รางวัลแห่งการทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง

วันที่ 23 เดือน 01 ปี 2021

โดย หยางหมิงเจิน ประเทศแคนาดา

พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าต้องเป็นจริงและมีการปฏิบัติจริง และจะต้องถูกนำไปใช้ในชีวิต การนบนอบเพียงผิวเผินอย่างเดียวไม่อาจได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้าได้ และการเชื่อฟังแค่แง่มุมผิวเผินของพระวจนะของพระเจ้าโดยไม่ได้มุ่งเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของตนนั้น ก็ไม่ได้เป็นไปตามพระทัยพระเจ้า การเชื่อฟังพระเจ้าและการนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้านั้นคือสิ่งเดียวกันและเหมือนกัน บรรดาผู้ที่นบนอบเฉพาะต่อพระเจ้าแต่ไม่ใช่ต่อพระราชกิจของพระองค์นั้นไม่อาจนับเป็นผู้ที่เชื่อฟังได้ นับประสาอะไรกับพวกที่ไม่ได้นบนอบอย่างแท้จริงแต่เพียงประจบสอพลอภายนอกเท่านั้น บรรดาผู้ที่นบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงสามารถจะได้รับผลดีจากพระราชกิจของพระเจ้าและสัมฤทธิ์ความเข้าใจเรื่องพระอุปนิสัยและพระราชกิจของพระองค์ เฉพาะผู้คนแบบนี้เท่านั้นที่นบนอบต่อพระเจ้าอย่างแท้จริง ผู้คนเช่นนี้สามารถก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงใหม่และได้รับความรู้ใหม่จากพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า เฉพาะผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่ได้รับการสรรเสริญโดยพระเจ้า เฉพาะผู้คนเหล่านี้เท่านั้นที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม และมีแต่พวกเขาเหล่านี้เท่านั้นที่อุปนิสัยของตนได้มีการเปลี่ยนแปลง บรรดาผู้ที่ได้รับการสรรเสริญโดยพระเจ้าคือผู้ที่นบนอบต่อพระเจ้า และต่อพระวาจาและพระราชกิจของพระองค์อย่างเปรมปรีดิ์ เฉพาะผู้คนดังกล่าวเท่านั้นที่อยู่ในทางชอบธรรม มีแต่ผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่ต้องการพระเจ้าอย่างจริงใจ และแสวงหาพระเจ้าอย่างจริงใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหล่าผู้เชื่อฟังพระเจ้าด้วยใจจริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน) การอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าย้ำเตือนฉันถึงประสบการณ์ของฉันเกี่ยวกับการนบนอบต่อพระเจ้า

ทั้งหมดเริ่มขึ้นในเดือนมีนาคม 2016 ตอนที่ฉันออกจากประเทศจีนเพื่อหนีการจับกุมและข่มเหงของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อที่ฉันจะได้ปฏิบัติความเชื่อของฉันอย่างอิสระ เวลาต่อมา พี่จางผู้นำของคริสตจักรก็มาหาฉัน และถามว่า “เธออยากรับหน้าที่รดน้ำไหม” ฉันตอบอย่างลิงโลด “เยี่ยมไปเลยค่ะ! ฉันจะได้สามารถช่วยพี่น้องชายหญิงให้เข้าใจความจริงและวางรากฐานในหนทางที่แท้จริง ฉันจะได้ทำอะไรดีๆ มากเลย!” ถ้าพี่น้องชายหญิงที่รู้จักฉันรู้ว่าฉันกำลังทำหน้าที่รดน้ำอยู่ พวกเขาต้องชื่นชมฉันและยกย่องฉันแน่ มันจะทำให้ฉันดูดีมาก แต่ว่าในขณะที่ฉันมีความหวังเต็มเปี่ยม ผู้นำก็มาพูดกับฉันอีกครั้ง เธอบอกว่าพี่น้องหญิงบางคนต้องย้ายบ้านเนื่องจากเหตุฉุกเฉิน แต่พวกเขายังไม่เจอที่เหมาะๆ เลย เธอบอกว่าบ้านของฉันน่าจะใช้ได้ และถามว่าฉันสามารถทำหน้าที่เจ้าบ้านได้ไหม พอเธอพูดแบบนั้นฉันก็สับสนภายในใจ ฉันคิดไว้ว่าฉันจะได้ทำหน้าที่รดน้ำ แต่ตอนนี้กลับเป็นหน้าที่เจ้าบ้าน ฉันไม่ต้องอยู่ในครัวทั้งวันหรือนี่ คงจะเป็นงานหนัก แต่ยิ่งกว่านั้นมันเป็นเรื่องน่าขายหน้า! ที่โลกภายนอก ฉันเคยจัดการธุรกิจใหญ่ๆ และมีโรงงานของตัวเอง ญาติมิตรล้วนขนานนามฉันว่าเป็นยอดมนุษย์หญิง ที่บ้าน ฉันมีพี่เลี้ยงซักรีดผ้า ทำอาหาร และทำความสะอาด แต่นี่ฉันต้องสวมบทบาทนั้นและทำอาหารให้คนอื่น ฉันไม่อยากทำเลยจริงๆ แต่ฉันคิดเรื่องที่พี่น้องหญิงพวกนั้นไม่มีที่อยู่ และไม่สามารถทำหน้าที่ของพวกเขาอย่างสงบได้ แถมบ้านของฉันก็เหมาะจะต้อนรับแขก ฉันก็เลยตอบตกลงอย่างเสียไม่ได้

สองสามวันต่อจากนั้น ภายนอกฉันทำหน้าที่เจ้าบ้าน แต่ภายในฉันสับสนวุ่นวายใจ และเริ่มเกิดความสงสัย หรือว่าพี่น้องชายหญิงของฉันจะคิดว่าฉันไม่เหมาะสำหรับหน้าที่รดน้ำนะ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะขอให้ฉันเป็นเจ้าบ้านทำไมกัน ถ้าพี่น้องชายหญิงที่รู้จักฉันรู้เข้าละก็ พวกเขาจะพูดว่าฉันขาดความเป็นจริงของความจริง และพูดว่าฉันไม่สามารถทำหน้าที่อื่น นอกจากเป็นเจ้าบ้านได้เท่านั้นหรือเปล่า ความคิดนี้ทำให้ฉันหัวเสียยิ่งขึ้นอีก จากนั้นฉันก็คิดถึงปณิธานที่ฉันให้ไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ว่าไม่ว่าฉันจะได้รับมอบหมายหน้าที่อะไร ตราบใดที่มันเป็นประโยชน์ต่องานของคริสตจักร ฉันจะทำมันอย่างแน่นอน และแม้ว่าฉันจะไม่ชอบ ฉันก็ยังจะนบนอบเพื่อสนองพระเจ้า แล้วทำไมตอนนี้พอฉันถูกขอให้ทำหน้าที่เจ้าบ้าน ฉันจึงไม่สามารถนบนอบได้ล่ะ ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าอย่างเงียบๆ ฉันกล่าวว่า “โอ้พระเจ้า พระองค์ได้ทรงปกครองและจัดการเตรียมการให้ข้าพระองค์ทำหน้าที่เจ้าบ้าน แต่ข้าพระองค์รู้สึกอยากกบฏเสมอและไม่สามารถนบนอบได้ พระเจ้า ขอทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์จะสามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ได้”

หลังจากนั้น ฉันอ่านสองบทตอนจากพระวจนะของพระเจ้า “ในการวัดว่าผู้คนสามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้หรือไม่ สิ่งสำคัญที่จะต้องมองดูก็คือว่า พวกเขาอยากได้อยากมีสิ่งอันใดที่ฟุ้งเฟ้อจากพระเจ้าบ้างหรือไม่ และมองดูว่าพวกเขามีสิ่งจูงใจแอบแฝงหรือไม่ หากผู้คนกำลังสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าอยู่เสมอ นั่นก็พิสูจน์ว่าพวกเขาไม่เชื่อฟังพระองค์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าก็ตาม หากเจ้าไม่สามารถรับมันไว้ได้จากพระเจ้า ไม่สามารถแสวงหาความจริง กำลังพูดจาจากการให้เหตุผลแบบอัตนัยของตัวเจ้าเองอยู่เสมอ และรู้สึกอยู่เสมอว่าตัวเจ้าเท่านั้นที่ถูก และถึงขั้นยังคงมีความสามารถในการกังขาพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าจะตกอยู่ในปัญหารุมเร้า ผู้คนดังกล่าวโอหังที่สุดและเป็นกบฏต่อพระเจ้า ผู้คนที่สร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าเสมอนั้นไม่มีวันสามารถเชื่อฟังพระองค์ได้อย่างแท้จริง หากเจ้าสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้า นี่ย่อมพิสูจน์ว่า เจ้ากำลังสร้างข้อตกลงกับพระเจ้า ว่าเจ้ากำลังเลือกความคิดของตัวเจ้าเอง และกำลังปฏิบัติตนไปตามความคิดของเจ้าเอง ในการนี้ เจ้าทรยศพระเจ้า และปราศจากความเชื่อฟัง(“ผู้คนสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากเกินไป” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)การนบนอบที่แท้จริงคืออะไรหรือ? เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำสิ่งที่ดำเนินไปตามหนทางของเจ้า และเจ้ารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นน่าพึงพอใจและถูกต้องเหมาะสม และเจ้าได้รับอนุญาตให้โดดเด่นได้ เจ้ารู้สึกว่านี่ค่อนข้างมีสง่าราศีทีเดียว และเจ้าพูดว่า ‘ขอบคุณพระเจ้า’ และสามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อใดก็ตามที่เจ้าได้รับการมอบหมายให้ไปยังสถานที่ซึ่งไม่มีความสลักสำคัญ ที่ซึ่งเจ้าไม่มีวันสามารถที่จะโดดเด่นได้ และในนั้นไม่มีใครเลยที่เคยยอมรับเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมหยุดการรู้สึกมีความสุข และพบว่าลำบากยากเย็นที่จะนบนอบ…การนบนอบในขณะที่สภาพเงื่อนไขน่าโปรดปรานนั้นมักจะง่าย หากเจ้าสามารถนบนอบได้ในรูปการณ์แวดล้อมที่ทุกข์ยาก—บรรดารูปการณ์แวดล้อมซึ่งสิ่งทั้งหลายไม่ดำเนินไปตามหนทางของเจ้าและเจ้ากำลังรู้สึกถูกทำร้าย ที่ทำให้เจ้าอ่อนแอ ที่ทำให้เจ้าทุกข์ทนทางกาย และรับผลกระทบต่อความมีหน้ามีตา ที่ไม่สามารถสนองความไร้ค่าและความเย่อหยิ่งของเจ้าได้ และที่ทำให้เจ้าทุกข์ทนในทางจิตวิทยา—เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมมีวุฒิภาวะที่แท้จริง นี่มิใช่เป้าหมายที่เจ้าควรกำลังไล่ตามเสาะหาหรอกหรือ? หากพวกเจ้ามีแรงขับเคลื่อนดังกล่าว มีเป้าหมายดังกล่าวแล้ว เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมมีความหวัง(การสามัคคีธรรมของพระเจ้า) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นว่า การมอบตนที่แท้จริงไม่ใช่ธุรกิจ และไม่มีความชอบส่วนตัวเข้ามาเกี่ยว ไม่ว่าฉันจะชอบมันหรือไม่ ไม่ว่าฉันจะได้ประโยชน์หรือไม่ ตราบใดที่มันมาจากพระเจ้าและช่วยงานของคริสตจักร งั้นฉันก็ควรนบนอบอย่างเต็มที่ แต่ฉันกลับทำอะไรล่ะ พอฉันถูกขอให้ทำหน้าที่เจ้าบ้าน การนึกถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า หรือค้ำชูงานของคริสตจักรไม่ได้อยู่ในใจฉันเลย แต่ฉันกลับเอาแต่คิดว่าฉันจะสามารถโอ้อวด ให้คนอื่นยกย่องฉันได้หรือไม่ และฉันจะสนองความทะนงตัวของฉันได้หรือไม่ นั่นจะเป็นการนบนอบต่อพระเจ้าอย่างไร ฉันคิดย้อนไปถึงตอนที่ฉันเป็นผู้นำกลุ่ม ผู้นำคริสตจักรสามัคคีธรรมกับฉันเรื่องงานในคริสตจักรก่อนเสมอ ฉันเคยคิดว่าผู้นำเห็นฉันสำคัญมาก และพี่น้องชายหญิงก็ยกย่องฉัน ไม่มีความพยายามไหนใหญ่หลวงเกินไปในหน้าที่ของฉัน และไม่ว่าจะหนักหรือเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ฉันก็ยินดีทำ แต่เจอกับหน้าที่เจ้าบ้าน ฉันเริ่มคิดลบ คิดว่ามันต่ำต้อย ที่สำคัญกว่านั้น ไม่ว่าฉันพยายามหนักแค่ไหน ความอุตสาหะนั้นก็ไม่มีใครมองเห็น เพราะอย่างนั้นฉันจึงไม่ชอบและไม่อยากทำ ที่จุดนั้นเองที่ฉันเห็นว่า ฉันพากเพียรอย่างมากในหน้าที่เก่าของฉัน เพราะฉันสามารถโอ้อวดให้คนอื่นยกย่องฉันได้ แต่ว่าหน้าที่เจ้าบ้าน ไม่มีทางสามารถสนองความทะเยอทะยานของฉันได้ ฉันจึงไม่สามารถนบนอบได้ แล้วฉันก็ตระหนักว่าฉันมีความพึงใจและความชอบส่วนตัวในหน้าที่ของฉันมาตลอด และทั้งหมดที่ฉันเคยคิดถึงก็มีแค่ชื่อเสียง สถานะ และประโยชน์ที่ฉันได้รับ ฉันไม่ได้ไล่ตามความจริงหรือนบนอบต่อพระเจ้าสักนิด!

ต่อมาฉันก็อ่านพระวจนะนี้ของพระเจ้า “บรรดาผู้ที่มีความสามารถในการนำความจริงมาปฏิบัติ ย่อมสามารถยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าได้เมื่อทำสิ่งทั้งหลาย เมื่อเจ้ายอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า หัวใจของเจ้าก็จะได้รับการแก้ไขให้เข้าใจถูกต้อง หากเจ้าเพียงทำสิ่งทั้งหลายเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นอยู่ตลอดเวลา และไม่ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระเจ้ายังคงทรงอยู่ในหัวใจของเจ้ากระนั้นหรือ? ผู้คนเยี่ยงนี้ไม่มีความเคารพให้กับพระเจ้า จงอย่าทำสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองเสมอ และจงอย่าพิจารณาผลประโยชน์ทั้งหลายของตัวเจ้าเองเป็นนิตย์ จงอย่าพิจารณาสถานะ เกียรติยศ หรือความมีหน้ามีตาของตัวเจ้าเอง จงอย่าพิจารณาถึงผลประโยชน์ของมนุษย์ด้วยเช่นกัน อันดับแรกเจ้าต้องพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และทำให้ผลประโยชน์เหล่านั้นมีความสำคัญเป็นที่หนึ่ง เจ้าควรมีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าและเริ่มโดยการใคร่ครวญว่าเจ้าได้มีราคีในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงหรือไม่ ว่าเจ้าได้ทำจนถึงที่สุดของเจ้าที่จะจงรักภักดีต่อพระเจ้า ทำดีที่สุดของเจ้าที่จะลุล่วงความรับผิดชอบของเจ้า และให้ทั้งหมดของเจ้าไปแล้วหรือยัง ตลอดจนว่าเจ้าได้ให้ความคิดโดยหมดทั้งหัวใจต่อหน้าที่ของเจ้าและงานในพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ เจ้าต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้ จงคิดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นอยู่เนืองนิจ และจะง่ายยิ่งขึ้นสำหรับเจ้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ได้ดี(“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันพบวิถีการปฏิบัติในพระวจนะของพระเจ้า ฉันต้องยอมรับการชำระให้บริสุทธิ์ของพระเจ้าในหน้าที่ของฉัน มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า สามารถปล่อยวางประโยชน์ส่วนตัวและทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อคริสตจักรได้ หลังจากเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันก็อธิษฐานแบบนี้ค่ะ “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์เต็มใจยอมรับการชำระให้บริสุทธิ์ของพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่จดจ่ออยู่กับสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับข้าพระองค์อีกต่อไป ข้าพระองค์เพียงต้องการที่จะสามารถนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์และทำหน้าที่เจ้าบ้านของข้าพระองค์อย่างดี” ตลอดหลายวันหลังจากนั้น พี่น้องหญิงในคริสตจักรของฉันรู้ว่าฉันเพิ่งมาถึงประเทศต่างแดนนี้ และการซื้อสิ่งต่างๆ ก็เป็นเรื่องยากสำหรับฉัน พวกเธอจึงหาเวลาไปเลือกซื้อของจำเป็นกับฉัน พวกเธอยุ่งกับหน้าที่ของตัวเองจริงๆ แต่พวกเธอจะช่วยฉันทำงานบ้านเมื่อทำได้ เมื่อไรก็ตามที่ฉันมีปัญหา พวกเธอจะสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับฉัน และสามัคคีธรรมถึงประสบการณ์ของพวกเธอเองเพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนฉัน ไม่มีพี่น้องหญิงคนไหนดูถูกฉันหรือรังเกียจฉันเพราะฉันเป็นเจ้าบ้าน ฉันเกิดความซาบซึ้งใจว่า จริงๆ แล้วไม่มีอะไรสูงอะไรต่ำเมื่อเป็นเรื่องการทำหน้าที่กับพี่น้องชายหญิง เราแค่ทำหน้าที่และพันธกิจของเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า หลังจากประสบการณ์นี้ ฉันคิดว่าฉันสามารถนบนอบได้เล็กน้อยในหน้าที่ของฉัน แต่ในเมื่อฉันไม่มีความเข้าใจจริงในธรรมชาติและแก่นแท้ของฉัน ฉันจึงยังไม่ได้ปล่อยวางการไล่ตามชื่อเสียงและสถานะลงอย่างสิ้นเชิง ฉันถูกเปิดโปงอีกครั้งในขณะที่สถานการณ์ที่ฉันไม่ชอบเกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด

ไม่นานจากนั้น ผู้นำคริสตจักรก็โทรหาฉัน บอกว่าพี่น้องโจวยุ่งมากกับการประกาศข่าวประเสริฐ และเธอถามว่าฉันพอมีเวลาครึ่งวันทุกวันเสาร์ เพื่อดูแลลูกสาวของพี่น้องโจวไหม ฉันต่อต้านความคิดที่จะดูแลเด็กๆ ในทันที ฉันเคยยุ่งมากกับธุรกิจของฉันจนไม่ได้ดูแลลูกๆ ของตัวเองด้วยซ้ำ การดูแลลูกๆ ของคนอื่นจะทำให้ฉันเหมือนพี่เลี้ยงเด็กจริงๆ พี่น้องชายหญิงที่รู้จักฉันจะคิดอย่างไรถ้าพวกเขารู้เรื่องนี้เข้า ฉันจะมีหน้าไปเจอใครได้อย่างไร แต่ฉันคิดถึงเรื่องความลำบากแท้จริงที่พี่น้องโจวมี และฉันรู้ว่าถ้าฉันไม่ช่วย ฉันคงรู้สึกผิด ฉันคิดอยู่สักครู่แล้วก็ตอบตกลง บ่ายวันเสาร์นั้น ฉันไปที่บ้านของพี่น้องโจว ฉันเกือบไม่รอดไปจนถึงตอนเย็น ตอนที่อยู่ๆ เด็กคนนั้นก็เริ่มร้องเสียงดังและตะโกนหาแม่ และฉันก็ไม่สามารถปลอบเธอได้ ฉันวิ่งวุ่นเพื่อหาขนมมาให้เธอเพื่อให้เธอมีความสุข ฉันเล่านิทานให้เธอฟัง และเปิดการ์ตูนให้เธอดู แล้วเธอก็หยุดร้องไห้ในที่สุด ระหว่างกลับบ้าน ฉันเดินไปคิดไปว่า “ดูแลเด็กนี่ยากจังเลย ไม่เพียงเหน็ดเหนื่อยเท่านั้น แต่มันต่ำต้อยและไม่มีใครเห็นเลย” ยิ่งฉันคิดเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งเสียใจมากขึ้นเท่านั้น เมื่อฉันกลับถึงบ้าน ฉันเห็นพี่น้องหญิงกำลังพูดคุยกันอย่างมีความสุขเรื่องรางวัลและประสบการณ์ที่พวกเธอได้รับจากหน้าที่ของพวกเธอ ฉันรู้สึกอิจฉาและหงุดหงิด ฉันคิดว่า “เมื่อไรฉันจะสามารถทำหน้าที่รดน้ำเหมือนพี่น้องหญิงของฉันได้ หน้าที่ที่ฉันทำอยู่ตอนนี้ ถ้าไม่ขัดหม้อกับกระทะ ฉันก็ดูแลเด็กเล็กๆ ทำแบบนี้ฉันจะได้รับความจริงอะไร ผู้คนจะพูดว่าฉันไม่มีความเป็นจริงของความจริง ฉันก็เลยสามารถทำได้แค่แรงงานต่ำต้อยแบบนี้เท่านั้นหรือเปล่า” ความคิดนี้ทำให้ฉันหัวเสียยิ่งขึ้นอีก คืนนั้น ฉันนอนกระสับกระส่าย ไม่สามารถข่มตาหลับได้ ฉันก็เลยไปอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ฉันพูดว่า “โอ้พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์รู้สึกหัวเสียมาก ข้าพระองค์อยากทำหน้าที่ที่ทำให้ข้าพระองค์โดดเด่น ที่ทำให้คนอื่นยกย่องข้าพระองค์เสมอ โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าการไล่ตามนี้ไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ แต่ข้าพระองค์พบว่ามันยากเหลือเกินที่จะนบนอบ พระเจ้า โปรดทรงชี้ทางและทรงนำข้าพระองค์ และทรงช่วยให้ข้าพระองค์รู้จักตัวเองเพื่อที่ข้าพระองค์จะสามารถทิ้งสภาวะนี้ไว้เบื้องหลังได้”

แล้วฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้า “อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ซ่อนเร้นอยู่ภายในทุกความคิดและแนวคิด ภายในสิ่งจูงใจทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังทุกการกระทำของพวกเขา มันซ่อนเร้นอยู่ในทุกทัศนคติที่มนุษย์มีเกี่ยวกับสิ่งใดก็ตามและภายในทุกความคิดเห็น ความเข้าใจ ทัศนคติ และความอยากที่พวกเขามีในการที่เขาเข้าหาทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำ มันถูกปกปิดไว้ภายในสิ่งเหล่านี้(“มีเพียงการเชื่อฟังอย่างแท้จริงเท่านั้นที่เป็นการเชื่อที่แท้จริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานนั้นหยั่งรากลึกมากในผู้คน มันกลายเป็นชีวิตของพวกเขา สิ่งใดกันแน่ที่ผู้คนแสวงหาและปรารถนาที่จะได้รับ? ภายใต้แรงขับเคลื่อนของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน อะไรหรือคืออุดมคติ ความหวัง ความทะเยอทะยาน และเป้าหมายชีวิต และทิศทางของผู้คน? พวกเขาไม่วิ่งสวนทางกับสิ่งที่เป็นบวกหรอกหรือ? ประการแรกคือ ผู้คนต้องการที่จะมีกิตติศัพท์หรือมีความเด่นดัง พวกเขาปรารถนาที่จะได้รับชื่อเสียงและเกียรติยศอันยิ่งใหญ่ และที่จะนำพาเกียรติมาสู่บรรพบุรุษของพวกเขา เหล่านี้คือสิ่งที่เป็นบวกหรือ? เหล่านี้ไม่อยู่ในแนวเดียวกับสิ่งที่เป็นบวกแต่อย่างใดเลย ที่มากกว่านั้นคือ สิ่งเหล่านั้นขัดต่อธรรมบัญญัติแห่งการมีอำนาจครอบครองของพระเจ้าเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ เหตุใดหรือ เราจึงจะพูดถึงการนั้น? บุคคลประเภทใดหรือที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์? พระองค์ทรงต้องประสงค์บุคคลแห่งความยิ่งใหญ่ คนเด่นคนดัง บุคคลสูงศักดิ์ หรือบุคคลที่กำลังเขย่าโลกใช่หรือไม่? (ไม่) ดังนั้นแล้ว บุคคลประเภทใดเล่าที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์? พระองค์ทรงต้องประสงค์บุคคลหนึ่งซึ่งท่าทีต่อชีวิตของเขานั้นปักหลักอยู่กับความเป็นจริง ผู้ซึ่งแสวงหาที่จะเป็นสิ่งทรงสร้างซึ่งมีคุณสมบัติเหมาะสมของพระเจ้า ผู้ซึ่งสามารถลุล่วงหน้าที่ของสิ่งทรงสร้าง และผู้ซึ่งสามารถประมาณตนในฐานะมนุษย์ได้…เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดหรือที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานนำพามาสู่ผู้คน? (การต่อต้านพระเจ้า) สิ่งใดหรือที่มาจากผู้คนซึ่งต่อต้านพระเจ้า? (ความเจ็บปวด) ความเจ็บปวดหรือ? มันคือความย่อยยับ! มันมากกว่าแค่ความเจ็บปวด สิ่งที่เจ้าเห็นต่อหน้าต่อตาเจ้าคือความเจ็บปวด ความเป็นลบ และความอ่อนแอ และมันคือความต้านทานและความคับแค้นใจ—บทอวสานใดเล่าที่สิ่งเหล่านี้จะนำพามา? การทำลายล้าง! นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลย และมันก็ไม่ใช่เกม(“มีเพียงการแสวงหาความจริงและการพึ่งพาพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถแก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) หลังจากฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับการพิพากษาและวิวรณ์ ฉันก็รู้สึกละอายใจมาก ฉันเริ่มทบทวนตัวเองว่า “ทำไมฉันไม่สามารถนบนอบต่อสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้ได้ ทำไมฉันไม่เคยเต็มใจทำหน้าที่ที่ดูไม่สำคัญพวกนี้ ฉันรู้สึกเหมือนคนอื่นดูแคลนฉันที่ทำงานพวกนี้ ราวกับฉันนั้นด้อยกว่า ฉันไม่สามารถภูมิใจในตัวเองได้ และฉันรู้สึกไร้ค่า ฉันรู้สึกเหมือนมีเพียงหน้าที่สำคัญพวกนั้น ที่ฉันสามารถโดดเด่น และได้ความนิยมชมชอบจากคนอื่นเท่านั้นที่ควรค่าที่จะทำ” ขณะที่ฉันใคร่ครวญความคิดพวกนี้ ฉันก็พบว่าฉันยังถูกควบคุมโดยความปรารถนาชื่อเสียงและสถานะของฉัน ฉันใช้ชีวิตตามยาพิษแบบซาตานอย่าง “ต้นไม้อยู่เพื่อลำต้นฉันใด คนย่อมอยู่เพื่อหน้าตาฉันนั้น” “มนุษย์อยู่ที่ใดก็ทิ้งชื่อของเขาไว้ที่นั่นฉันใด ห่านบินไปที่ใดก็เปล่งเสียงร้องของมันที่นั่นฉันนั้น” และ “มนุษย์ดิ้นรนขึ้นที่สูง น้ำไหลลงที่ต่ำ” พิษร้ายเหล่านี้หยั่งรากในตัวฉันมานานและกลายเป็นธรรมชาติของฉัน มันทำให้ฉันหยิ่งยโสและหลอกลวงอย่างมาก ฉันรักการมีคนอื่นยกย่องฉัน ฉันรักการมีชื่อและสถานะ และฉันเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นเป้าหมายชีวิตให้ไล่ตาม ฉันตระหนักว่านี่เป็นเป้าหมายแบบเดียวกับที่ผู้คนในโลกต่างไล่ตาม ก่อนที่ฉันจะเริ่มเชื่อในพระเจ้า ฉันเคยชอบการแข่งขันมาก ฉันทำแต่งานหามรุ่งหามค่ำจนหมดเรี่ยวแรง เพื่อพยายามให้โรงงานของฉันดำเนินงานต่อไปได้ด้วยดี เวลาฉันกลับไปเยี่ยมบ้านเกิด และญาติมิตรของฉันทักทายฉันอย่างอบอุ่นและเรียกฉันว่ายอดมนุษย์หญิง ความทะนงตัวของฉันก็พองโต และฉันก็เต็มใจยอมลำบากทุกอย่าง ฉันยังคงใช้ชีวิตตามมุมมองนี้หลังจากที่ฉันได้รับความเชื่อแล้ว การทำหน้าที่ของฉันเพื่อชื่อเสียงและตำแหน่งทำให้ฉันกังวลเรื่องกำไรและขาดทุน เมื่อมีตำแหน่งที่คนอื่นยกย่อง ฉันจะรู้สึกมีความสุข พอไม่มีตำแหน่งนั้น เมื่อฉันไม่สามารถโดดเด่นได้ ฉันก็เริ่มคิดลบแล้วไม่มีความสุข ฉันต่อต้านพระเจ้า และฉันต่อต้านสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้ ยิ่งฉันคิดเรื่องนี้เท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งตระหนักว่า พิษร้ายแบบซาตานพวกนี้นำมาแต่ความเจ็บปวดเท่านั้น และมันทำให้ฉันกบฏต่อพระเจ้า และท้ายทายพระองค์แทนที่จะเป็นตัวฉันเอง ถ้าฉันยังไล่ตามอะไรแบบนั้นต่อไป สุดท้ายฉันก็คงถูกพระเจ้าทรงชิงชังอย่างแน่นอน และพระองค์ก็จะทรงกำจัดฉัน ยิ่งฉันคิดถึงมันเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกกลัววิถีที่ฉันกำลังติดตามมากขึ้นเท่านั้น ฉันรีบไปอธิษฐานและกลับใจต่อพระเจ้า ฉันไม่อยากไล่ตามชื่อและสถานะหรือมีคนอื่นยกย่องฉันอีกแล้ว แต่ฉันต้องการแสวงหาการเป็นสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างแท้จริงที่สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า หลังจากฉันอธิษฐานแล้ว หัวใจของฉันก็สงบลง

ระหว่างการอุทิศตนของฉันในวันต่อมา ฉันอ่านพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า “เจ้าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า และดังนั้นแล้วในหัวใจของเจ้า เจ้าต้องรักพระเจ้า เจ้าต้องทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้า เจ้าต้องพยายามทำให้พระเจ้าทรงลุล่วงในสิ่งพึงปรารถนา และเจ้าต้องปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า เจ้าควรถวายทุกสิ่งทุกอย่างแด่พระองค์ และไม่ควรตัดสินใจเลือกหรือทำการเรียกร้องเป็นการส่วนตัว และเจ้าควรสัมฤทธิ์การทำให้พระเจ้าทรงลุล่วงในสิ่งพึงปรารถนา เนื่องจากเจ้าได้ถูกสร้างขึ้น เจ้าควรเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ได้ทรงสร้างเจ้า เพราะโดยธรรมชาติแล้วเจ้าไม่มีอำนาจครอบครองเหนือตัวเอง และไม่สามารถควบคุมชะตาลิขิตของเจ้าเอง เนื่องจากเจ้าเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งเชื่อในพระเจ้า เจ้าควรแสวงหาความบริสุทธิ์และการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเจ้าเป็นสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า เจ้าควรยึดติดต่อหน้าที่ของเจ้า และรู้สถานะของเจ้า และเจ้าต้องไม่ล้ำเส้นหน้าที่ของเจ้า นี่ไม่ได้เป็นการจำกัดควบคุมเจ้า หรือเป็นการข่มปรามเจ้าโดยผ่านทางคำสอน แต่กลับเป็นเส้นทางที่เจ้าสามารถใช้เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และมันสามารถสัมฤทธิ์ผลได้—และควรที่จะสัมฤทธิ์ผล—โดยพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ทำความชอบธรรม(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน) การอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ชี้นำฉันสู่ความเข้าใจค่ะ ว่าในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้าง ฉันควรนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ฉันควรไล่ตามความจริงและไล่ตามการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของฉัน นั่นคือหน้าที่ของฉัน และมันเป็นสิ่งที่ฉันควรไล่ตาม ฉันไม่ชอบสถานการณ์ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการ แต่พระประสงค์ที่ดีของพระเจ้าอยู่เบื้องหลังค่ะ พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการทั้งหมดนั้นอย่างระมัดระวังเพื่อทรงชำระฉันให้บริสุทธิ์และเปลี่ยนแปลงฉัน ฉันไม่สามารถไล่ตามชื่อเสียงและตำแหน่ง หรือช่างเลือกเกี่ยวกับหน้าที่ของฉันอีกต่อไป ฉันควรจดจ่ออยู่กับการไล่ตามความจริง และยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้าเพื่อแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของฉัน ฉันควรทุ่มเททั้งหมดในการทำหน้าที่ของฉันให้ดี

ตลอดหลายวันหลังจากนั้น ฉันเลิกจดจ่ออยู่กับสิ่งที่คนอื่นคิดเกี่ยวกับฉัน แต่ทำหน้าที่ของฉันเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า บางครั้งเมื่อพี่น้องชายหญิงกำลังยุ่งกับหน้าที่ของพวกเขาและไม่มีเวลาดูแลลูกๆ ฉันก็จะเสนอตัวช่วย เมื่อฉันเห็นพี่น้องชายหญิงประกาศข่าวประเสริฐและนำคนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้ามากขึ้น ฉันก็รู้สึกยินดีในหัวใจของฉัน แม้ว่าฉันจะไม่สามารถโดดเด่นในหน้าที่ของฉันได้ ฉันก็สามารถทำให้จิตใจพี่น้องชายหญิงได้พักสงบได้ และกระทำการขยายราชอาณาจักรแห่งข่าวประเสริฐในส่วนของฉันอย่างเงียบๆ นี่ก็มีความหมายเหมือนกัน ระหว่างที่ฉันทำหน้าที่เจ้าบ้านและช่วยดูแลเด็ก แม้ว่าความทะนงตัวและความปรารถนาชื่อเสียงของฉันจะไม่ได้รับการตอบสนอง ฉันก็พบว่ามันมีคุณค่าอย่างมาก ฉันรู้ว่าการไล่ตามชื่อเสียงและตำแหน่งไม่ใช่วิถีที่ถูกต้อง การนบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉันให้ดีที่สุด คือสิ่งที่ฉันควรไล่ตาม ฉันเกิดความซาบซึ้งอย่างแท้จริง ว่าไม่มีอะไรสูงอะไรต่ำเลยจริงๆ ในหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าฉันทำหน้าที่อะไร ก็มีบทเรียนให้เรียนรู้ และความจริงที่ฉันควรปฏิบัติและเข้าสู่เสมอ ตราบใดที่ฉันนบนอบและไล่ตามความจริง ฉันก็ได้รับรางวัล นี่แสดงให้ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงชอบธรรมแค่ไหน และพระองค์ไม่ได้ทรงรักใครเป็นพิเศษ การมีความเข้าใจและการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้เป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้ชีวิตฉันค่ะ ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ใครบอกว่าอุปนิสัยที่หยิ่งยโสไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

โดย จ้าวฝาน ประเทศจีน พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ผู้คนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเองได้ พวกเขาต้องก้าวผ่านการพิพากษากับการตีสอน...

บทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการแบ่งคริสตจักร

ต้นปีที่แล้ว ด้วยความที่คริสตจักรของผู้มาใหม่ของเราเติบโตอย่างมาก ผู้นำเลยตัดสินใจ แบ่งความรับผิดชอบของฉัน กับเพื่อนร่วมงานใหม่ ทีแรก...

ติดต่อเราผ่าน Messenger