การพิพากษาคือความรักของพระเจ้า

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย ซือ เอิน, สหรัฐอเมริกา

พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ในท้ายที่สุดแล้วมนุษย์เป็นคำพยานใดให้แก่พระเจ้า? มนุษย์เป็นพยานว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงชอบธรรม ว่าพระอุปนิสัยของพระองค์คือความชอบธรรม พระพิโรธ การตีสอน และการพิพากษา มนุษย์เป็นพยานให้แก่พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า พระเจ้าทรงใช้การพิพากษาของพระองค์เพื่อทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม พระองค์ทรงรักมนุษย์ และทรงช่วยมนุษย์ให้รอด—แต่มีอยู่มากเพียงใดภายในความรักของพระองค์? มีการพิพากษา พระบารมี พระพิโรธ และการสาปแช่ง ถึงแม้ว่าพระเจ้าเคยสาปแช่งมนุษย์ในอดีต พระองค์ก็มิได้ทรงโยนมนุษย์ลงไปในบาดาลลึกอย่างสิ้นเชิง หากแต่ได้ทรงใช้วิธีนั้นเพื่อถลุงความเชื่อของมนุษย์ พระองค์มิได้ทรงทำให้มนุษย์ถึงแก่ความตาย หากแต่ได้ทรงกระทำการเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม แก่นแท้ของเนื้อหนังเป็นสิ่งที่เป็นของซาตาน—พระเจ้าได้ตรัสไว้ได้ถูกต้องโดยแท้—หากแต่ข้อเท็จจริงที่พระเจ้าทรงดำเนินการมิได้ครบบริบูรณ์ตามพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงสาปแช่งเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้รักพระองค์ และเพื่อที่เจ้าจะได้รู้จักแก่นแท้ของเนื้อหนัง พระองค์ทรงตีสอนเจ้าเพื่อที่เจ้าจะได้ตื่นรู้ เพื่อเปิดโอกาสให้เจ้ารู้จักความขาดตกบกพร่องภายในตัวเจ้า และให้รู้ถึงความไม่คู่ควรอย่างที่สุดของมนุษย์ ดังนั้น คำสาปแช่งของพระเจ้า การพิพากษาของพระองค์ และพระบารมีกับพระพิโรธของพระองค์—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงกระทำในวันนี้ และพระอุปนิสัยอันชอบธรรมที่พระองค์ทรงทำให้ชัดเจนภายในตัวพวกเจ้า—ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม เช่นนั้นเองคือความรักของพระเจ้า(“การพิพากษาของพระเจ้าคือความรัก” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) เมื่อผู้คนกล่าวถึงความรักของพระเจ้า ฉันเคยคิดถึงพระกรุณาและพระเมตตา พระคุณและพระพรของพระองค์ ทีแรกฉันไม่เข้าใจความรักแห่งการพิพากษาและการตีสอน แต่พอได้ประสบด้วยตัวเอง ฉันก็เห็นว่าสำคัญแค่ไหน ว่าพระวจนะเป็นความจริง และทั้งหมดล้วนสัมพันธ์กับชีวิตจริง การพิพากษาคือความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์อย่างแท้จริง คือความรอดที่ดีที่สุด

ฉันเคยเป็นคนรับผิดชอบทีมให้น้ำ เมื่อกันยายนปีก่อน ฉันถูกปลดเพราะไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ผู้นำคริสตจักรได้จัดการให้พี่หวัง เข้ามารับงานแทนฉัน ทำให้ฉันเกิดความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกเลย เพราะฉันเคยดูแลงานของพี่หวังมาก่อน แล้วตอนนี้เธอจะมาดูแลงานฉัน นี่ทำให้ฉันดูไร้ความสามารถไม่ใช่หรือ? จากคนที่ทำหน้าที่ดูแล มาเป็นสมาชิกธรรมดาของทีมให้น้ำ ถ้าพี่น้องชายหญิงที่รู้จักฉันรู้เข้า มันไม่น่าขายหน้าหรอกหรือ? ฉันเสียใจจริงๆ ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ฉันให้ดี ต่อมาในการเสวนาเกี่ยวกับงานของทีม ทุกคนต่างก็เงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อฉันมองดูเวลาที่ผ่านไป ฉันก็คิดว่า ถึงฉันจะไม่ได้เป็นคนดูแลแล้ว แต่ฉันก็มีประสบการณ์เรื่องงานให้น้ำอยู่บ้าง ฉันควรจะทำงานและแสดงความคิดของฉันมากขึ้น แบบนั้นทุกคนจะเห็นว่าฉันยังคงมีบทบาทที่สำคัญอยู่ และทุกคนก็อาจจะนับถือฉัน ดังนั้นฉันจึงเริ่มเสนอความคิดและแนวคิดของฉันไปอย่างมั่นใจ หลังการเสวนาผ่านไปสักพัก คนส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยกับฉัน ในแทบทุกการเสวนา พวกเราก็ทำไปตามความคิดฉัน ฉันจึงรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถโดดเด่นมากในทีม ฉันไม่ได้มีบทบาทเป็นหัวหน้างาน แต่ยังจัดการงานประเภทนั้นได้ ฉันคิดว่าคนอื่นน่าจะนับถือฉัน แล้ววันหนึ่งฉันอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งอีกครั้ง จากนั้นฉันก็เริ่มเสริมความคิดอย่างแข็งขันมากขึ้น และทุกครั้งก่อนการชุมนุม ฉันจะเข้าไปถามถึงสภาวะของทุกคน หาพระวจนะที่เกี่ยวข้องกัน มันต้องใช้ทั้งเวลาและพลังงานมาก แต่ฉันคิดว่าถ้าทำงานได้ดี ก็จะพิสูจน์ความสามารถของฉัน ดังนั้นมันจึงคุ้มค่าที่ยอมจ่าย

ในช่วงนั้น ฉันได้พบปัญหาบางอย่างในงานของเรา และส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยกับการแก้ปัญหา และข้อเสนอแนะที่ฉันเสนอไป ฉันรู้สึกเหมือน ทุกคนได้เห็นว่าฉันทำงานหนักแค่ไหน ดังนั้นเวลาผู้นำมาตรวจงานและเห็นแบบนั้น ฉันอาจได้เลื่อนตำแหน่งก็ได้ แต่ว่าเวลาผ่านไป ดูเหมือนผู้นำไม่มีเจตนาจะเลื่อนตำแหน่งให้ฉันเลย ฉันสังเกตว่ามีคนมาเข้าร่วมคริสตจักรมากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องการคนมารับตำแหน่งเพิ่ม แต่ก็เหมือนว่าไม่มีความคิดที่จะเลื่อนตำแหน่งฉันเลย ฉันเริ่มรู้สึกแย่ขึ้นมา ฉันรู้สึกว่าตัวเองได้เปลี่ยนแปลงแล้ว และทำหน้าที่ได้ดีทีเดียว ในเมื่อคริสตจักรขาดคนช่วยอยู่ ทำไมฉันถึงไม่ได้รับโอกาสล่ะ? หลังจากถูกปลดครั้งหนึ่ง ฉันจะไม่มีโอกาสเป็นคนดูแลอีกหรือ? ฉันไม่เข้าใจเลย ฉันไม่รู้ว่าทำไมที่ฉันทำงานหนักทั้งหมดนั้นจึงไร้ผล ฉันยังขาดอะไรกันแน่? ต่อมาฉันก็คิดว่า ฉันต้องทำงานหนักไม่พอหรือไม่ดีพอแน่ๆ หรือไม่ก็ ไม่ประสบความสำเร็จเพียงพอ ฉันคิดว่าฉันต้องทำงานหนักต่อไป และไม่เพียงแต่มุ่งเน้นเรื่องความสำเร็จในหน้าที่เท่านั้น แต่ยังต้องมีเรื่องการเข้าสู่ชีวิต ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย เพื่อให้คนอื่นได้เห็นความก้าวหน้าส่วนตัวของฉัน จากนั้นพระเจ้าจะทรงมีพระกรุณาและให้โอกาสฉัน ด้วยการ “ไล่ตามเสาะหา” ที่ถูกต้อง สักวันหนึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลง ต่อให้ฉันไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ฉันก็ยังโดดเด่นในทีมของเรา และได้รับความเลื่อมใสจากพี่น้องชายหญิง ฉันก็เลยทุ่มตัวเองให้กับงานให้น้ำของทีมเรา เมื่อผู้มาใหม่มีปัญหา ฉันจะคิดทบทวนอย่างรอบคอบ หาพระวจนะเพื่อมาสามัคคีธรรม เมื่อเจอเรื่องที่ไม่เข้าใจ ฉันก็จะอธิษฐานและแสวงหาอย่างจริงจัง หลังผ่านไปสักพัก การให้น้ำผู้มาใหม่ก็ประสบผลสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อมาในการชุมนุม ผู้นำทีมพูดถึงเรื่องที่ฉันแบกรับภาระในหน้าที่ และแก้ปัญหาของผู้เชื่อใหม่ได้เป็นอย่างดี ฉันรู้สึกพอใจในตัวเองมาก ฉันคิดว่าทีนี้ทุกคนจะเริ่มเห็น ว่าฉันทำได้ดีแค่ไหน และถ้าหากฉันพัฒนาการปฏิบัติงานของฉันให้ดีขึ้น ฉันก็จะได้การชื่นชมจากทุกคน แล้วก็จะมีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง จากนั้น ฉันก็ทุ่มเทตัวเองอย่างหนัก นอกจากรับผิดชอบงานของตัวเองแล้ว ฉันก็ยังทำงานอื่นๆ ของทีมเท่าที่ทำได้อีกด้วย ให้การตอบกลับและความช่วยเหลือแก่หัวหน้างาน เวลาที่ฉันค้นพบปัญหา เรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริง ฉันก็ไม่ได้หย่อนยาน เมื่อไรที่มีเวลาว่างก็จะอ่านพระวจนะของพระเจ้า เมื่อไรที่รู้สึกแย่ฉันก็จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์ อธิษฐานและแสวงหา เข้าร่วมสามัคคีธรรมในการชุมนุมอย่างแข็งขัน

แต่หลังจากการทำงานหนักไปพักใหญ่ ก็ยังไม่ได้เลื่อนตำแหน่ง ฉันรู้สึกว่าไม่ว่าจะทำงานหนักแค่ไหน หรือทำได้ดีเพียงไร พระเจ้าก็จะไม่ทรงปูนบำเหน็จ ผู้นำก็จะไม่เลื่อนตำแหน่งให้ แล้วทั้งหมดนี้จะมีประโยชน์อะไร? หลังจากนั้น ฉันก็หยุดทุ่มเทความพยายาม เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่ไม่ได้มาชุมนุมกันเป็นประจำ ฉันก็แค่ถามเผินๆ ไม่ลงรายละเอียดหรือช่วยเหลือใดๆ บางครั้งเวลาพี่หวังให้ฉันหาพระวจนะ ที่ตรงกับสภาวะต่างๆ ของพี่น้องชายหญิง ฉันก็รู้สึกว่านั่นไม่ใช่งานของฉันเลย ถึงฉันทำได้ดีแค่ไหนก็ไม่มีใครเห็น ฉันก็เลยหาข้ออ้างเพื่อหลบเลี่ยง สภาวะของฉันเริ่มทรุดโทรมลง ในการอธิษฐาน ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไร อ่านพระวจนะก็ไม่ได้ทำให้รู้แจ้ง บางครั้งฉันก็ง่วงนอน รู้สึกถึงความมืดอันแท้จริงในวิญญาณฉัน ไม่รู้สึกถึงงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ต่อมาไม่นาน ฉันก็เห็นพี่น้องชายหญิงคนอื่นได้เลื่อนตำแหน่ง ในขณะที่ฉันยังเป็นสมาชิกอันต่ำต้อยของทีมให้น้ำ ฉันก็ยิ่งเสียกำลังใจ เหล่าผู้เชื่อแบบฉัน ได้เป็นผู้นำคริสตจักรและผู้นำทีม ได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่น แต่ฉันไม่เคยได้เลื่อนตำแหน่ง นี่แปลว่าฉันล้มเหลวในฐานะผู้เชื่อและในหน้าที่ของฉันใช่ไหม ฉันทำงานอย่างหนักมานาน แต่ก็ยังติดอยู่ที่เดิม ดูเหมือนการเลื่อนตำแหน่งของฉันจะไม่มีหวังแล้ว ฉันรู้สึกเป็นลบอย่างมาก ไม่มีแรงจูงใจจะทำอะไรเลย

ในตอนนั้น ฉันสงสัยว่า ทำไมฉันถึงรู้สึกเศร้านัก? ทำไมฉันถึงใช้ชีวิตเพื่อสถานะเท่านั้น? ตลอดหลายปีของความเชื่อ ฉันแค่ไล่ตามสถานะเท่านั้นหรือ? พอมาคิดทบทวน ฉันก็ตระหนักว่าตัวเองน่าสมเพชแค่ไหน ในฐานะที่เป็นมนุษย์ ทำไมฉันถึงหมกมุ่นกับสถานะ? ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ ฉันได้คุกเข่าอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ ว่า “พระเจ้า ในความเชื่อ ข้าฯ ต้องการไล่ตามเสาะหาความจริง ตอบแทนความรักของพระองค์ และทำหน้าที่แห่งสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เหตุใดข้าฯ ถึงหมกมุ่นอยู่กับสถานะ? ข้าฯ ไม่อยากใช้ชีวิตในสภาวะเช่นนี้ แต่ข้าฯ ก็ทำอะไรไม่ได้เลย ข้าฯ ตกอยู่ในเงื้อมมือแห่งความปรารถนาในสถานะ พระเจ้า โปรดให้ความรู้แจ้งและช่วยข้าฯ ให้รอด เพื่อให้ข้าฯ ได้เข้าใจและแก้ไขปัญหาได้ด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ฉันก็อ่านพระวจนะบทตอนนี้ที่ว่า “ศัตรูของพระคริสต์มีอุปนิสัยและแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ และนี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาโดดเด่นแตกต่างจากบุคคลปกติ โดยผิวเผินแล้ว พวกเขาอาจปรากฏให้เห็นว่าเต็มใจที่จะนบนอบต่อการปลดพวกเขาจากตำแหน่ง ที่จะสามารถยอมรับความเป็นจริงนี้ได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงเลย นั่นคือ ไม่สำคัญว่าพวกเขากำลังทำหน้าที่อยู่ตรงไหน พวกเขาคบหาสมาคมกับผู้คนกลุ่มใด พวกเขาต้องการที่จะโดดเด่นจากฝูงชน ที่จะให้ผู้อื่นเคารพยกย่องและเลื่อมใส ทั้งนี้ ต่อให้พวกเขาไม่มีตำแหน่งงานและยศถาบรรดาศักดิ์อันถูกทำนองคลองธรรมในฐานะผู้นำคริสตจักรหรือผู้นำทีม พวกเขาก็ยังคงต้องการอยู่ดีที่จะอยู่เหนือผู้อื่นแบบขาดลอยในจุดยืนและสถานะ ไม่ว่าพวกเขาสามารถทำงานได้หรือไม่ พวกเขามีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือประสบการณ์ชีวิตจำพวกใด พวกเขาจะคิดค้นวิถีทางทุกแบบและพยายามอย่างยิ่งที่จะหาโอกาสยกระดับตนเอง ที่จะทำให้ผู้คนรักพวกเขา ที่จะเอาชนะใจผู้อื่น หลอกลวงและชักนำผู้อื่นเหล่านั้น เพื่อให้ได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่นเหล่านั้น แล้วมีอะไรเกี่ยวกับพวกเขาให้เลื่อมใสเล่า? ‘อูฐตัวผอมบางยังคงตัวใหญ่กว่าม้าอยู่ดี’—ถึงแม้ว่าพวกเขาได้ถูกปลดจากตำแหน่งไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังคงเป็นนกอินทรีที่บินเหนือพวกไก่ นี่ไม่ใช่ความโอหังและความคิดว่าตนชอบธรรมเสมอของศัตรูของพระคริสต์และลัทธิข้อยกเว้นของพวกเขาหรอกหรือ? พวกเขาไม่สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับการปราศจากสถานะ การเป็นแค่บุคคลธรรมดาสามัญได้ พวกเขาไม่สามารถเอาเสียเลยที่จะทำหน้าที่ของพวกเขาโดยยืนอยู่บนความเป็นจริงและอยู่ในที่ทางของพวกเขา ทำงานให้ได้ดีในหน้าที่ของตัวเอง อุทิศตัวเองต่อหน้าที่นั้น และทำแบบที่ดีสุด สิ่งเหล่านี้ไม่มาใกล้กับการทำให้พวกเขาพึงพอใจแม้แต่น้อย ความมักใหญ่ใฝ่สูงของพวกเขาอยู่ตรงไหนเล่า? อยู่ในการได้รับการเลื่อมใส การได้รับการเคารพยกย่อง และการกุมอำนาจ ดังนั้น ต่อให้พวกเขาไม่มียศถาบรรดาศักดิ์พิเศษโดยเฉพาะติดไปกับชื่อของพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์ก็จะเพียรพยายามเพื่อตัวเอง พูดขึ้นมาเพื่อตัวเอง และให้เหตุผลว่าตัวเองถูกต้อง โดยทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อแสร้งทำการแสดง เพื่อแสดงให้เห็นสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ และหวาดกลัวว่าจะไม่มีใครมองเห็น พวกเขาจะตะครุบทุกโอกาสเหมาะในการที่จะกลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ที่จะเพิ่มเกียรติยศของพวกเขา โดยทำให้มีผู้คนจำนวนมากขึ้นมองเห็นพรสวรรค์และจุดแข็งของพวกเขา เห็นว่าพวกเขาอยู่สูงเหนือผู้อื่น ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ ศัตรูของพระคริสต์เต็มใจที่จะจ่ายราคาใดก็ตามที่จำเป็นเพื่อโอ้อวดและกล่าวชมเชยตัวเอง เพื่อทำให้ทุกคนคิดว่า ต่อให้พวกเขาไม่ใช่ผู้นำอีกต่อไป และไม่มีสถานะอีกต่อไป พวกเขาก็ยังคงอยู่สูงเหนือผู้คนธรรมดาสามัญอยู่ดี ในลักษณะนี้ ศัตรูของพระคริสต์ได้สัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเป็นบุคคลปกติธรรมดา บุคคลธรรมดาสามัญ ทั้งนี้ พวกเขาต้องการอำนาจและเกียรติยศ และการได้รับการยกย่อง(“พวกเขาต้องการล่าถอยเมื่อไม่มีตำแหน่งและไม่มีความหวังที่จะได้รับพระพร” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พระวจนะแทงใจดำฉันจริงๆ รู้สึกเหมือนกับพระเจ้าทรงเปิดโปงฉัน ตรัสว่า คนแบบศัตรูของพระคริสต์ ต้องการชื่อและสถานะเพื่อให้มีอำนาจ ให้ได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่น ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม เพื่อลุล่วงความมักใหญ่ใฝ่สูงนั้น ศัตรูของพระคริสต์ยอมจ่ายทุกอย่างให้เป็นที่สนใจ ยกระดับตัวเองและชนะใจผู้คน เห็นได้ว่าการไล่ตามเสาะหาของฉัน ก็เหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ ในความเชื่อ ฉันต้องการจะมีสถานะ เพื่อเป็นผู้นำหรือเป็นหัวหน้างาน ภายในกลุ่ม ฉันอยากจะเหนือกว่า ให้ผู้อื่นมาเลื่อมใสและสนับสนุน หลังจากถูกปลด ความปรารถนาที่จะเป็นหัวหน้างานของฉันก็ยังอยู่ ฉันเข้าร่วมเสวนาเรื่องงานอย่างแข็งขัน เสนอข้อเสนอแนะต่างๆ รีบส่งการตอบกลับให้ผู้นำทันทีที่ฉันค้นพบปัญหา เพื่อให้พวกเขารู้ว่าฉันไม่เพียงแต่เจอปัญหา แต่ยังให้วิธีแก้ปัญหาด้วย ว่าฉันเป็นคนที่มีความคิด จากนั้นก็จะรอคิวเลื่อนตำแหน่ง ฉันทำงานหนัก เพื่อให้พี่น้องชายหญิงคนอื่นเห็นว่า ฉันทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ และเมื่อพวกเขาเห็นชอบกับฉันแล้ว ฉันก็จะมีโอกาสเลื่อนตำแหน่ง ฉันมีความริเริ่มในการทำงาน แม้จะไม่ใช่ความรับผิดชอบหลักของฉัน พร้อมที่จะสละเวลาและพลังงานมากมาย และก็ไม่ได้ขาดตกบกพร่อง ในเรื่องการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย เพื่อให้ทุกคนเห็น ว่าฉันแบกรับภาระที่หนักได้ โดยที่ยังคงไล่ตามเสาะหาความจริง เพื่อให้ทุกคนเห็นชอบ ฉันมองหาทุกๆ โอกาสเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เพื่ออวดตัวและเอาชนะใจผู้คน นี่มันคือพฤติกรรมเยี่ยงศัตรูของพระคริสต์ ที่พระเจ้าทรงเปิดโปงไม่ใช่หรือ?

ฉันอ่านพระวจนะอีกบทตอน ที่อธิบายแก่นแท้อันเสื่อมทรามของศัตรูของพระคริสต์ได้ละเอียดจริงๆ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เป้าหมายและเหตุจูงใจเบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่างที่ศัตรูของพระคริสต์ทำวนเวียนอยู่กับสองสิ่งนี้—สถานะและความมีหน้ามีตา ไม่ว่าจะเป็นหนทางภายนอกของพวกเขาในการพูด การกระทำ หรือการประพฤติตน หรือชนิดของการคิดและทัศนคติ หรือหนทางของการแสวงหา ทุกสิ่งทุกอย่างวนเวียนอยู่กับความมีหน้ามีตาและสถานะของพวกเขา สำหรับศัตรูของพระคริสต์ การโจมตีหรือการสร้างความเสียหายต่อความมีหน้ามีตาและชื่อเสียงของพวกเขาเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากกว่าการลองพยายามที่จะเอาชีวิตของพวกเขาไปเสียด้วยซ้ำ ไม่สำคัญว่าพวกเขารับคำเทศนามากมายเพียงใดหรือว่าพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมายเพียงใด คำเทศนาและพระวจนะเหล่านั้นไม่สามารถเป็นเหตุให้พวกเขารู้สึกถึงความเศร้าใจหรือความเสียใจในเรื่องของการที่ไม่เคยปฏิบัติความจริงและการที่พวกเขาได้ใช้เส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ อีกทั้งในเรื่องของการที่พวกเขาครองธรรมชาติและแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเขากลับบีบเค้นสมองของพวกเขาอยู่เสมอ เพื่อหนทางทั้งหลายที่จะได้รับสถานะและเพิ่มความมีหน้ามีตาของพวกเขา อาจพูดได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่บุคคลจำพวกนี้ทำนั้นทำไปต่อหน้าผู้อื่น และหาใช่ทำเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ เหตุใดหรือเราจึงพูดเช่นนี้? นั่นเป็นเพราะผู้คนดังกล่าวรักสถานะมากเสียจนพวกเขาถึงกับปฏิบัติต่อสถานะประหนึ่งเป็นชีวิตจริงของพวกเขา ประหนึ่งเป็นเป้าหมายและทิศทางชีวิตของพวกเขา ที่มากกว่านั้นก็คือ เพราะพวกเขารักสถานะมากเหลือเกิน พวกเขาจึงไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของความจริงเลย ความนัยก็คือว่า เพราะผู้คนเช่นนี้มีแก่นแท้และธรรมชาติจำพวกนี้ พวกเขาจึงไม่เก็บงำการเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ด้วยเหตุนี้ ไม่สำคัญว่าพวกเขาคิดคำนวณอย่างไร และไม่สำคัญว่าพวกเขาลองพยายามอย่างไรที่จะใช้รูปลักษณ์เทียมเท็จเล่นเล่ห์กับผู้คนและพระเจ้า ในห้วงลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่มีความรู้สึกผิดหรือสำนึกอันใดของการตระหนักรู้ นับประสาอะไรที่จะมีความวิตกกังวลอันใด เพราะฉะนั้น ตลอดมานั้น ในขณะที่แสวงหาสถานะและความมีหน้ามีตาอยู่เป็นนิตย์และอย่างขาดหลักศีลธรรม พวกเขายังได้บอกปฏิเสธเรื่อยมาในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำด้วยเช่นกัน ลึกลงไปในหัวใจของพวกเขา ในจิตใต้สำนึกของพวกเขา พวกเขามีความเข้าใจเฉพาะบางอย่าง พวกเขาคิดว่า ‘สถานะของบุคคลหนึ่งและสิ่งอื่นใดนั้นขึ้นอยู่กับตัวพวกเขาเองที่จะเพียรพยายามให้ได้มา มีเพียงโดยการที่คนเรายืนปักหลักท่ามกลางผู้คนและการได้รับอำนาจเด็ดขาดและสถานะสูงสุดเท่านั้น ชีวิตของคนเราจึงจะสามารถมีคุณค่าอันใดได้ ทั้งนี้ เมื่อนั้นเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตเสมือนมนุษย์คนหนึ่งได้ ในทางตรงกันข้าม การใช้ชีวิตในหนทางที่เป็นการนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการในทุกสิ่งทุกอย่างของพระเจ้า ดังเช่นในพระวจนะแห่งพระเจ้า เพื่อเต็มใจยืนในตำแหน่งของสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง และเพื่อใช้ชีวิตเช่นบุคคลปกตินั้น คงจะเป็นเรื่องขี้ขลาด—ไม่มีผู้ใดที่จะเคารพยกย่องพวกเขา สถานะ ความมีหน้ามีตา และความสุขของบุคคลหนึ่งนั้น ต้องเอาชนะให้ได้มาโดยผ่านทางการดิ้นรนต่อสู้ของพวกเขาเอง ทั้งนี้ การไขว่คว้าและต่อสู้เพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นมาต้องทำด้วยท่าทีเชิงบวกและแข็งขัน จะไม่มีใครคนอื่นที่มอบสิ่งเหล่านั้นให้คุณ—การรอเรื่อยเปื่อยอย่างนิ่งดูดายนั้นไร้ประโยชน์’…ในการแสวงหาของพวกเขาและในขอบเขตของความรู้ของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่ามีเพียงวัตถุเป้าหมายแท้จริงทั้งหลายของการทรงสร้างเท่านั้นที่เป็นบรรดาผู้ที่มีสถานะ และว่าการมีสถานะหมายถึงการมีความสามารถที่จะได้มาซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างและทำให้บุคคลหนึ่งใช้ชีวิตด้วยสภาพเสมือนมนุษย์ได้ พวกศัตรูของพระคริสต์มองสถานะเป็นดังสิ่งใดหรือ? พวกเขามองสถานะเป็นดั่งความจริง ทั้งนี้ พวกเขาคำนึงถึงสถานะว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดที่ผู้คนปกติจะไล่ตามเสาะหา อย่างไรก็ตามที นั่นไม่ใช่ปัญหาหรอกหรือ? พวกเขาเชื่อว่าการแสวงหาความจริง การแสวงหาความเชื่อฟังพระเจ้า การแสวงหาความซื่อสัตย์เป็นกระบวนการที่ไร้ความหมาย—เชื่อว่ากระบวนการเหล่านั้นทำไปก็เพื่อให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นและไม่ใช่มาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติตน ความเข้าใจนี้วิปลาสและไร้สาระน่าขัน มีเพียงคนไร้เหตุผลซึ่งไม่รักความจริงเท่านั้นที่สามารถผลิตแนวคิดอันไร้สาระน่าขันเช่นนั้นออกมาได้(“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) พออ่านพระวจนะบทตอนนี้ ฉันก็ปวดร้าวจริงๆ รู้สึกเหมือนทุกสิ่งที่ฉันซ่อนไว้ในหัวใจ ถูกพระเจ้าทรงตีแผ่ออกมา ฉันรู้สึกไม่มีที่ให้ซ่อน ฉันก็เลยเริ่มทบทวนตัวเอง ยิ่งฉันทำ ก็ยิ่งรู้สึกว่าความคิดตัวเองเหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ ทุกคำพูดและการกระทำล้วนทำเพื่อสถานะ ฉันทำทุกอย่างเพื่อให้ได้รับความเลื่อมใส สถานะสำคัญกับฉันยิ่งกว่าสิ่งใด ก่อนได้รับความเชื่อ ฉันมักอยากโดดเด่นกว่าคนอื่นเสมอ ฉันชอบที่จะได้รับการสนับสนุนและเห็นชอบจากผู้อื่น หลังได้รับความเชื่อ ฉันก็เอาแต่ไล่ตามตำแหน่งผู้นำ เพื่อเป็นที่เคารพและมีบทบาทสำคัญในคริสตจักร หลังจากเสียตำแหน่งหัวหน้างาน ฉันก็ทุ่มเทในหน้าที่ ทำงานอย่างหนัก เพื่อเอาบทบาทที่สำคัญกลับคืนมา หากหลังจากทำงานหนักแล้วฉันยังไม่ได้มา ฉันก็จะเสียกำลังใจ หลังจากลงแรงไปมากและทำงานได้ดี ฉันก็หมดความสนใจในหน้าที่ ถ้าไม่มีใครสังเกตเห็น เมื่อไม่ได้รับสถานะใดๆ ฉันก็สูญเสียแรงผลักดันที่จะทำหน้าที่ได้ดี ฉันถึงกับเข้าใจผิดและติเตียนพระเจ้า อ้างเหตุผลและต้านทานพระองค์ ฉันถูกความคิดในเรื่องชื่อและสถานะทำให้ลุ่มหลง ฉันสูญเสียมโนธรรมและเหตุผล ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรจะมี ฉันถูกปลดเพราะไม่ได้ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง แต่ฉันกลับไม่เสียใจกับความผิดพลาดในอดีต ฉันไม่ได้คิดถึงการกลับใจและทำหน้าที่ให้ดี เพื่อชดเชยหนี้ให้แก่พระเจ้า ฉันใช้โอกาสในการทำหน้าที่เพื่ออวดตัว ไล่ตามเสาะหาสถานะอย่างสุดหัวใจ ฉันไม่พอใจที่จะเป็นสมาชิกธรรมดาของทีม แต่ฉันเป็นคนชั่วไร้ยางอายเหมือนกับศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิง พระวจนะเหล่านี้ช่วยฉันไว้จริงๆ ค่ะ “พวกเขาเชื่อว่าการแสวงหาความจริง การแสวงหาความเชื่อฟังพระเจ้า การแสวงหาความซื่อสัตย์เป็นกระบวนการที่ไร้ความหมาย—เชื่อว่ากระบวนการเหล่านั้นทำไปก็เพื่อให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นและไม่ใช่มาตรฐานของการประพฤติปฏิบัติตน(“พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองโดดเด่นไม่ซ้ำใครและป้อนผลประโยชน์และความทะเยอทะยานให้กับตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นจนหมดสิ้นเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (ภาคที่สาม)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) มันรู้สึกเหมือนฉันถูกตบหน้าจริงๆ การไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริงเป็นสิ่งที่ดี เป็นหน้าที่ของเราในฐานะประชาชน เราต้องไล่ตามเสาะหาความจริงในชีวิตเรา ใช้ชีวิตตามพระวจนะ แต่ว่า ฉันใช้การไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง เป็นเครื่องต่อรองเพื่อสถานะส่วนตัว แลกเปลี่ยนเพื่อตำแหน่ง นี่ทำเหมือนความจริงเป็นของเล่นและเหยียบย่ำไม่ใช่หรือ? การมีแรงจูงใจอันชั่วร้ายในหน้าที่ ไม่มีวันได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า พระวจนะแสดงให้เห็นว่า มุมมองของฉันต่อสิ่งต่างๆ มันช่างไร้สาระ ฉันคิดแค่ว่า ถ้ามีสถานะและอำนาจ เป็นที่เคารพ เป็นที่รู้จักดี และเป็นที่เลื่อมใส ชีวิตฉันจะมีคุณค่า หากไม่มีสถานะเป็นผู้เชื่อ เป็นผู้ติดตามธรรมดา เป็นวิถีชีวิตที่น่าสมเพช และเป็นความล้มเหลว ช่างเป็นทัศนคติที่บ้าบอสิ้นดี! เป็นตรรกะเยี่ยงซาตานอย่างสิ้นเชิง พระเจ้าทรงต้องการให้เรา เป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่คุณสมบัติเหมาะสม ให้อยู่ในที่ของเรา นบนอบต่อกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการตามหน้าที่ เพื่อลุล่วงความรับผิดชอบของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง แต่ฉันกลับหันหลังให้กับหลักธรรมในการเป็นคนดี ที่พระผู้สร้างกำหนดให้เรา ไม่อยากอยู่ในที่ของตัวเอง แต่จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ทำงานสำคัญ เพื่อมีตำแหน่งสูงส่ง และได้รับความเลื่อมใสมากขึ้น นั่นคืออุปนิสัยเยี่ยงซาตาน ฉันคุ้นเคยพอสมควรกับงานการให้น้ำ ฉันจึงเสนอความคิดและข้อเสนอแนะต่างๆ ในการเสวนาของเราได้ ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ มันเป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของฉัน แต่ฉันกลับมีความปรารถนาบ้าๆ นี้ ที่จะใช้มันเพื่ออวดตัวและได้เลื่อนตำแหน่ง เมื่อฉันไม่ได้อย่างที่ตัวเองต้องการ ก็จะไม่พอใจ และรู้สึกว่า พระเจ้าทรงมองไม่เห็นการทำงานหนักของฉัน เมื่อไม่ได้รับสถานะก็คิดว่าตัวเองล้มเหลวในความเชื่อ หมดความสนใจในหน้าที่ ฉันเข้าใจผิดว่าความมักใหญ่ใฝ่สูงของตัวเอง คือการอุทิศตนเพื่อพระเจ้า การอุทิศตนที่เรียกกันผิดๆ นั้นไม่บริสุทธิ์ มันไม่ซื่อสัตย์ เป็นการแลกเปลี่ยน แล้วจะเป็นการปฏิบัติความจริงและการทำหน้าที่ได้อย่างไร? ฉันพยายามใช้ประโยชน์และคดโกงพระเจ้า และเดินไปตามเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ที่ต่อต้านพระเจ้า พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นไปถึงหัวใจและความคิดเรา ทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ ฉันผลีผลามไปตามเส้นทางที่ผิด แล้วฉันจะได้รับงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างไร? สภาวะฉันทรุดโทรมลง หลงอยู่ในความมืด นี่คือพระเจ้าทรงตีสอนฉัน กันฉันออกไป มันทำให้ฉันเห็นว่า การไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะมันน่ากลัวแค่ไหน ฉันไม่รู้จักตัวเอง ว่าจะทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงได้หรือไม่ ฉันเอาแต่ไล่ตามเสาะหาตำแหน่งที่สูงขึ้น ฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามจนขาดเหตุผลที่ปกติ และขาดการตระหนักรู้ตัวเอง ฉันไม่รู้ที่ของตัวเองจริงๆ ฉันถึงได้เสียหลัก ดิ้นรนอยู่ในความเจ็บปวดของตัวเอง ฉันถูกความเสื่อมทรามปั่นหัวและทำร้าย ซาตานใช้การไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะของเรา ทำให้เราเสื่อมทรามและทำร้ายเรา นี่ไม่ใช่เส้นทางที่ดีที่จะเดินตาม ต่อให้เราได้สถานะโดยไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เราก็ต้องลงเอยด้วยการถูกกำจัดทิ้ง เราต้องไล่ตามเสาะหาความจริง ทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเพื่อความรอด แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ว่า “วันหนึ่งพวกเจ้าทั้งหมดจะระลึกรู้ได้ ว่าชื่อเสียงและทรัพย์สมบัติเป็นโซ่ตรวนอันมหึมาที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดมนุษย์ เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะต้านทานการควบคุมของซาตานอย่างถ้วนทั่วและต้านทานโซ่ตรวนที่ซาตานใช้เพื่อผูกมัดเจ้าอย่างถ้วนทั่ว เมื่อเวลานั้นมาถึงเมื่อเจ้าปรารถนาจะขว้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานปลูกฝังไว้ในตัวเจ้าออกไป เมื่อนั้นเจ้าจึงจะแยกทางกันอย่างเด็ดขาดกับซาตาน และเจ้าจะเกลียดทั้งหมดที่ซาตานได้นำมาให้เจ้าอย่างแท้จริง เมื่อนั้นเท่านั้นมวลมนุษย์จึงจะมีความรักและการโหยหาที่แท้จริงต่อพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6) เป็นความจริงเหลือเกิน ฉันได้เห็นว่าความทุกข์ระทมของฉัน ล้วนเป็นเพราะซาตาน ฉันไล่ตามเสาะหาสถานะไม่หยุดหย่อน ถูกซาตานปั่นหัวและทรมาน ฉันสูญเสียการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ใช้ชีวิตในความมืด ความปรารถนาของฉันนั้น ได้ทำลายฉันจริงๆ ฉันเกลียดตัวเองที่หัวแข็ง ดื้อรั้นเหลือเกิน ตลอดมาฉันอยู่บนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ ต่อต้านพระเจ้า ฉันสมควรได้รับการลงโทษและการกำจัดทิ้ง แต่พระเจ้าไม่ได้พรากโอกาสฉันในการได้รับความรอด ทรงคอยให้น้ำอย่างอดทน เลี้ยงดูฉันด้วยพระวจนะ ให้โอกาสฉันได้ทำหน้าที่ เพื่อให้ฉันเห็นปัญหาในการไล่ตามเสาะหาและหันหลังกลับ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจ ยังคงอยู่ในด้านลบและติเตียนพระเจ้า ฉันมันช่างไร้เหตุผล พอตระหนักดังนั้น ฉันก็รู้สึกผิดอย่างมาก ฉันจึงอธิษฐานว่า “พระเจ้า ขอบพระทัยสำหรับการพิพากษาและการตีสอน ที่ทำให้ข้าพระองค์ได้รู้จักตัวเอง ข้าฯ ไม่อยากไล่ตามเสาะหาสถานะ แต่แสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขความเสื่อมทราม และกลับใจอย่างแท้จริง”

ฉันได้อ่านพระวจนะอีกบทตอนค่ะ “การทำให้หน้าที่ลุล่วงอย่างถูกต้องเหมาะสมพึงต้องมีความร่วมมือที่กลมกลืน” ส่วนสุดท้ายค่ะ “สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากผู้คนไม่ใช่ความสามารถในการทำกิจจำนวนหนึ่งให้เสร็จสิ้นหรือสำเร็จลุล่วงภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่อันใด อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องให้พวกเขาบุกเบิกภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่อันใด สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ก็คือให้ผู้คนสามารถทำทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้ในหนทางแบบติดดิน และใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงจำเป็นต้องให้เจ้ายิ่งใหญ่หรือมีเกียรติ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องให้เจ้าทำให้เกิดปาฏิหาริย์อันใด อีกทั้งพระองค์ยังไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะเห็นความประหลาดใจซึ่งน่ายินดีอันใดในตัวเจ้า พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องการสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงจำเป็นต้องการก็คือให้เจ้าฟังพระวจนะของพระองค์ และทันทีที่เจ้าได้ยินพระวจนะแล้ว นำพระวจนะเหล่านั้นไปที่หัวใจและฝึกฝนปฏิบัติในลักษณะที่ติดดินโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า เพื่อที่พระวจนะของพระเจ้าอาจกลายเป็นสิ่งที่เจ้าใช้ชีวิตตาม และกลายเป็นชีวิตของเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงจะพึงพอพระทัย เจ้าแสวงหาความยิ่งใหญ่ ความสูงศักดิ์ และความมีเกียรติอยู่เสมอ เจ้าแสวงหาการยกย่องอยู่เสมอ พระเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นการนี้? พระองค์ทรงเกลียดสิ่งนั้น และไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะทอดพระเนตรไปที่สิ่งนั้น ยิ่งเจ้าแสวงหาสิ่งทั้งหลายเช่นความยิ่งใหญ่ นั่นคือความสูงศักดิ์และการเหนือกว่าผู้อื่น ได้รับการปฏิบัติที่แตกต่าง โดดเด่น และเป็นที่สังเกตจดจำมากขึ้นเท่าใด พระเจ้าก็ยิ่งทรงพบว่าเจ้าน่าขยะแขยงมากขึ้นเท่านั้น หากเจ้าไม่ทบทวนตนเองและกลับใจ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าย่อมจะทรงดูหมิ่นเจ้าและละทิ้งเจ้า ต้องมั่นใจว่าไม่เป็นใครบางคนที่พระเจ้าทรงพบว่าน่าขยะแขยง จงเป็นบุคคลที่พระเจ้าทรงรัก ดังนั้นแล้ว คนเราสามารถบรรลุความรักของพระเจ้าได้อย่างไรหรือ? โดยการรับความจริงในหนทางแบบติดดิน โดยการยืนอยู่ในตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง โดยการพึ่งพาพระวจนะแห่งพระเจ้าอย่างมั่นคงที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์และปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา และโดยการใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนของมนุษย์ที่แท้จริง นี่ก็มากพอแล้ว ต้องมั่นใจว่าไม่เกาะกุมหรือหาความบันเทิงไปกับฝันอันเกียจคร้าน จงอย่าแสวงหาชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะ หรือพยายามโดดเด่นจากฝูงชน ที่มากไปกว่านั้นคือ จงอย่าพยายามเป็นบุคคลแห่งความยิ่งใหญ่หรือยอดมนุษย์ ผู้ซึ่งสูงส่งอยู่ท่ามกลางพวกมนุษย์และทำให้ผู้อื่นเคารพบูชาพวกเขา นั่นคือความอยากได้อยากมีของสภาวะความเป็นมนุษย์อันเสื่อมทราม และนั่นคือเส้นทางของซาตาน ทั้งนี้ พระเจ้าไม่ทรงช่วยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายดังกล่าวให้รอด หากผู้คนบางคนยังคงไล่ตามเสาะหาชื่อเสียง ผลตอบแทน และสถานะ และไม่ยอมที่จะกลับใจ เช่นนั้นแล้ว ย่อมไม่มีวิธีการแก้ไขใดเลยสำหรับพวกเขา และก็มีเพียงบทอวสานหนึ่งเท่านั้นสำหรับพวกเขา นั่นคือ การถูกกำจัดทิ้ง(บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันได้เห็นจากพระวจนะของพระเจ้า พระองค์ไม่อยากให้เรามีชื่อเสียง ยิ่งใหญ่ หรือสูงส่ง ทรงอยากให้เราเป็นคนติดดิน และทำหน้าที่ของเรา และเพียงแค่นบนอบต่อพระองค์เท่านั้น แต่ฉันกลับไม่เข้าใจตัวเอง หรือทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ ฉันต้องการความเลื่อมใสและคำสรรเสริญ มีที่ในหัวใจของผู้อื่น ซึ่งตรงข้ามกับสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ ฉันเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างมาก แต่ฉันไม่พอใจกับการเป็นคนธรรมดา ฉันแค่ต้องการสถานะและอยู่เหนือกว่าเท่านั้น ฉันนั้นช่างโอหัง ไม่ตระหนักรู้ตัวเองเลย พระเจ้าคือพระผู้สร้าง พระองค์ทรงยิ่งใหญ่มากและเปี่ยมบารมี ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ เสด็จมายังโลกและแสดงความจริงเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด แต่พระองค์ไม่เคยอวดพระองค์เอง หรือแสดงท่าทีเป็นพระเจ้า กลับกัน ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดด้วยการทรงงานอย่างเงียบๆ พระเจ้าช่างทรงถ่อมใจและซ่อนเร้น แก่นแท้ของพระองค์ช่างน่ารักเหลือเกิน พอคิดแบบนั้น ฉันก็รู้สึกละอายใจเหลือเกิน ฉันตั้งปณิธานว่าจะละทิ้งเนื้อหนัง และปฏิบัติความจริงอย่างแน่นอน

จากนั้น ฉันก็ทุ่มเทตัวเองสุดหัวใจให้กับหน้าที่ คิดอย่างจริงจังว่าจะให้น้ำผู้มาใหม่อย่างไร มีความสุขกับการเป็นคนธรรมดา ลืมเรื่องสถานะไป และทำหน้าที่ให้ดีเท่าที่ทำได้ เมื่อฉันทำหน้าที่อย่างเต็มหัวใจ พระเจ้าก็ทรงให้ความรู้แจ้งและให้เส้นทางในการให้น้ำแก่ฉัน ไม่ทันรู้ตัว การทำหน้าที่ของฉันก็ดีขึ้น ฉันรู้สึกดีขึ้นมากกับการปฏิบัติเช่นนี้ ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนเราต้องจัดตั้งการชุมนุมให้ผู้เชื่อใหม่ แต่พี่น้องหญิงที่มาใหม่ในทีมให้น้ำ ไม่เข้าใจผู้เชื่อใหม่ดีนัก และไม่รู้วิธีเข้าหาพวกเขา ฉันรู้ดีว่าควรเข้าไปช่วยดูแล แต่ฉันผุดคิดขึ้นมาว่า การทำงานเกี่ยวกับการเตรียมการในการติดต่อกับผู้คน ล้วนเป็นงานที่ต่ำต้อยจริงๆ หากฉันเสนอตัวทำงานนั้น มันจะดูน่าอายหรือเปล่า? ในตอนนั้นฉันก็เห็นว่าฉันเข้าใจผิด หน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความสำคัญ การสื่อสารก็เป็นหน้าที่เช่นกัน แล้วทำไมฉันถึงจะทำไม่ได้ล่ะ? จากนั้นฉันจึงเสนอตัวไปช่วย ติดต่อเหล่าพี่น้องชายหญิง ฉันได้ตระหนักว่า ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่ไหน ตราบที่เรามีเจตนารมณ์ที่ถูกต้อง ทำได้ด้วยหัวใจ เผชิญหน้าพระเจ้า เราก็จะรู้สึกผ่อนคลายและสงบ บางครั้งเวลาที่ฉันเห็นหัวหน้างานยุ่งมาก และพี่น้องชายหญิงก็ถามรายละเอียดงานการให้น้ำ ฉันก็จะไม่คิดถึงสถานะ ฉันแค่อยากจะทำงานให้ดีร่วมกับคนอื่นๆ และทำหน้าที่ตัวเองให้ดี ฉันจึงทำทุกอย่างที่ทำได้ เพื่อสามัคคีธรรมและแก้ปัญหาต่างๆ พอผ่านไปสักพัก เมื่อฉันเปลี่ยนวิธีคิด ทุกสิ่งในหน้าที่ของฉันก็เปลี่ยน ฉันรู้สึกถึงความรับผิดชอบและเจอปัญหามากขึ้น สภาวะของฉันก็ค่อยๆ ดีขึ้น

วันหนึ่ง ผู้นำก็มาหาฉัน บอกว่าอยากให้ฉันรับผิดชอบงานของคริสตจักร ร่วมกับพี่น้องหญิงอีกคนหนึ่ง พอได้ยินแบบนั้นฉันก็ประหลาดใจมาก ฉันไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกอย่างไรดี ฉันรู้สึกเหมือนว่าความเข้าใจผิดทั้งหมด และระยะห่างจากพระเจ้ามันหายไปทันที ที่ผ่านมาฉันมักจะใจแคบและเข้าใจพระเจ้าผิดมาตลอด ก่อนหน้านี้ฉันรู้สึกเหมือนล้มเหลวในหน้าที่ จากนั้นไม่ว่าฉันจะทำงานหนักแค่ไหน ก็ไม่มีใครเห็น พระเจ้าจะไม่ทรงกรุณา หรือให้โอกาสฉันมากกว่านี้ แต่พระเจ้าก็ทรงรอมาตลอด ให้ฉันหันหลังกลับ พระองค์ทรงจัดวางสิ่งต่างๆ เพื่อให้ฉันเจอที่ของตัวเอง และยอมรับการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง ฉันพยายามต่อสู้เพื่อสถานะของตัวเองมาโดยตลอด แล้วก็ล้มเหลวในทุกขั้นตอน เมื่อฉันปล่อยเรื่องนั้นไป และหยุดคิดถึงเรื่องตำแหน่ง พระเจ้าก็ประทานพระบัญชาอื่นแก่ฉัน ฉันได้เห็นแก่นแท้ของพระเจ้า ว่าทรงเมตตาและน่ารักแค่ไหน พระเจ้าไม่เคยทำร้ายผู้ใดด้วยเรื่องแบบนั้น แม้การพิพากษาและการตีสอน จะมีพระพิโรธ แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยความคาดหวังอันลึกซึ้งของพระองค์ พระองค์หวังว่าหลังจากการตีสอนและได้ทนทุกข์ พวกเขาจะเติบโตในชีวิต นี่คือความรักอันล้ำค่าของพระเจ้า! ฉันขอบคุณจากใจ สำหรับความรอดของพระองค์

ที่ผ่านมาฉันเคยไล่ตามเสาะหาชื่อและสถานะไม่หยุดหย่อน ซึ่งทำให้ฉันต้องทรมานและเหน็ดเหนื่อย ถ้าไม่มีการพิพากษา บททดสอบ และการเปิดเผยแห่งพระวจนะ ฉันคงไม่เห็นว่าซาตานทำให้ฉันเสื่อมทรามมากแค่ไหน หรือฉันสนใจสถานะมากเพียงไร ฉันคงเอาแต่ต่อสู้เพื่อสิ่งเหล่านั้น ถูกซาตานปั่นหัว โดยไร้สภาพเสมือนมนุษย์ ฉันได้รับประสบการณ์ส่วนตัวว่า การพิพากษาและการตีสอนนั้น คือการทรงคุ้มครองและความรอดที่ดีที่สุด เป็นความรักที่แท้จริงที่สุดของพระองค์ ดังที่พระเจ้าตรัสว่า “ในชีวิตของเขา หากมนุษย์ปรารถนาที่จะได้รับการชำระให้สะอาดและสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขา หากเขาปรารถนาที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมายและทำหน้าที่ของเขาในฐานะสิ่งทรงสร้างให้ลุล่วงแล้วไซร้ เขาต้องยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้า และต้องไม่ยอมให้การบ่มวินัยของพระเจ้าและการเฆี่ยนตีของพระเจ้าผละจากเขาไป เพื่อที่เขาอาจปลดปล่อยตนเองจากการหลอกใช้และอิทธิพลของซาตาน และมีชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้าได้ จงรู้ไว้ว่าการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าคือความสว่าง และแสงสว่างแห่งความรอดของมนุษย์ และรู้ว่าไม่มีการได้รับพรใด พระคุณใด หรือการคุ้มครองปกป้องใดที่ดีกว่านี้อีกแล้วสำหรับมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

หลังแผ่นดินไหว

โดย เจน, ฟิลิปปินส์ ฉันยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อเดือนกรกฎาคม 2019 ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระองค์เยอะมาก...

การรักษาโรคริษยา

โดย สวุนฉิว ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เนื้อหนังของมนุษย์เป็นของซาตาน มันเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเป็นกบฏ...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger