มองย้อนทบทวนไปถึงการสูญเสียหน้าที่
เพราะว่าผมมีทักษะการเชื่อมเหล็ก ในปี 2017 ผมจึงได้รับมอบหมายให้ไปดูแลงานของคริสตจักร มันเป็นงานที่ใช้กำลัง และก็ต้องมีการทำงานล่วงเวลาบ้าง บางครั้งผมไม่มีเวลากินข้าว หรือไปร่วมชุมนุมสาย ตอนแรกผมก็ไม่ได้สนใจอะไร คิดว่าการมีโอกาสใช้ทักษะที่มีในหน้าที่ เป็นสิ่งที่มีเกียรติสำหรับผม ผมอยากทุ่มเททุกอย่างที่มีให้หน้าที่นี้ครับ ต่อมา ทีมของเรายุ่งมากขึ้น งานก็ค่อนข้างวุ่นวาย สักพักผมก็เริ่มหมดแรงหมดใจ แล้วก็เริ่มรู้สึกขุ่นเคือง
ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง อยู่ๆ พี่สาวคนหนึ่งก็มาบอกให้พวกเราไปช่วยขนของ ผมไม่อยากทำเลยครับ ผมสงสัยว่าทำไมไม่รอให้ชุมนุมเสร็จก่อน และถ้ามันเร่งด่วนจริงก็ให้คนอื่นทำไปสิ! ทำไมต้องเป็นพวกเราด้วย สำหรับเขาเราเป็นแค่ลูกจ้างเองเหรอ ด้วยความรู้สึกต่อต้านในหัว แม้ว่าผมจะไปช่วยขนของ แต่ผมก็โอ้เอ้ไปเรื่อย ผมไม่ได้ทุ่มเทกับมันเลย แค่ทำๆ ไปตามหน้าที่เท่านั้น ทุกคนทำงานล่วงเวลาหากมีอะไรต้องทำแบบกระทันหัน แต่ผมแค่ทำชุ่ยๆ ให้งานเสร็จ ถ้าผมไปทำงานจิ๊บจ๊อยได้ ผมก็จะเลี่ยงงานหนัก เมื่อไหร่ที่ผมต้องทำงานเกินเวลาสักสองสามชั่วโมง ผมจะขุ่นเคืองและไม่เต็มใจ เหมือนกับมีคนทำผิดต่อผม ถึงดูแล้วงานของผมจะเสร็จดี แต่ก็ทำแบบเสียไม่ได้ ผมอยากพักผ่อนหลังจากเสร็จงานที่ผู้นำทีมมอบหมายให้ และก็ไม่อยากช่วยงานคนอื่นที่ยังทำไม่เสร็จด้วย ผมคิดว่านั่นมันเรื่องของพวกเขา ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผู้นำทีมได้ตำหนิและจัดการผม เพราะเห็นว่าผมมัวแต่โอ้เอ้ แต่ผมกลับคิดว่าเขาจุกจิก และไม่ได้ทบทวนตัวเอง ผมทำงานแบบไม่หือไม่อืออย่างนี้ พอใจกับการทำงานให้น้อยที่สุด พี่น้องชายคนอื่นทำงานกันหนักมาก แต่ผมไม่อิจฉาพวกเขา แถมยังหัวเราะเยาะพวกเขาในใจอีก มีครั้งหนึ่ง ตอนที่ขนซุงกัน ผมขนทีละหนึ่งท่อน ในขณะที่คนอื่นขนทีละสอง ผมคิดว่า “ทำไมต้องทำร้ายตัวเองกันขนาดนั้น งี่เง่าชะมัด ถึงจะมีแรงก็ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้ เดี๋ยวก็หมดแรงหรอก” ที่จริงผมอายุน้อยกว่าเขา ถ้าจะขนทีละสองท่อน ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมอยู่แล้ว แต่ถ้าแบกเยอะขนาดนั้นผมคงปวดเมื่อย ผมเลยไม่ทำดีกว่า พอเห็นผมอู้งาน พี่น้องชายคนอื่นๆ เลยมาตำหนิ และบอกให้ผมตั้งใจทำงานมากขึ้น แต่ผมก็ไม่สนใจ ผมรู้สึกว่าผมทำงานเสร็จ เพราะงั้นก็ไม่ได้เสียหายอะไร แต่เพราะว่าผมไม่ยอมเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อหน้าที่ ผมจึงได้สัมผัสการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า
ในวันที่ 21 กรกฎาคมของปีนี้ ขณะที่ผมกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ อยู่ๆ ผู้นำทีมก็บอกผมว่า ผมขาดสภาวะความเป็นมนุษย์ และเกียจคร้านในการทำหน้าที่ ผมจึงไม่เหมาะกับตำแหน่งนี้ ตอนที่เขาบอกผม ผมรู้สึกมวนท้องไปหมด ถ้าไม่มีหน้าที่ แล้วผมจะเหลืออะไร นี่ผมยังมีหวังในความรอดไหม ผมรู้สึกกังวลขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มจมดิ่งสู่ความหดหู่ ผมคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์ และอธิษฐานทันที “พระเจ้า! ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงอนุญาตให้สิ่งนี้เกิดขึ้น แต่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจน้ำพระทัยในเรื่องนี้ และไม่รู้ว่าบทเรียนที่ควรเรียนรู้คืออะไร โปรดทรงคุ้มครองหัวใจ เพื่อให้ข้าพระองค์นบนอบต่อพระราชกิจ และไม่พบกับความผิดพลาดด้วยเถิด” ผมรู้สึกสงบขึ้นมากหลังจากอธิษฐานเสร็จ พอเก็บของเสร็จ กำลังจะกลับ ผมเหลือบมองไปยังพี่น้องชายคนอื่นๆ ที่กำลังเดินวุ่นขวักไขว่ทำงานอย่างแข็งขัน ขณะที่ผมกำลังจะกลับ ผมรู้สึกแย่มาก ผมเป็นผู้เชื่อมาสิบกว่าปี และคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนที่ไล่ตามความจริง ผู้ทำการพลีอุทิศได้ ผมไม่นึกเลยว่าจะถูกปลดจากหน้าที่ ถ้าถึงขนาดไม่เหมาะในการทำหน้าที่ แล้วผมจะทำอะไรได้อีก ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผู้นำทีมถึงบอกว่าผมขาดสภาวะความเป็นมนุษย์ ปกติแล้วผมไม่เคยมีปัญหากับคนอื่นมาก่อน และส่วนมาก ก็เข้ากับคนอื่นได้ดีมาตลอด เรื่องสภาวะความเป็นมนุษย์ก็ไม่ได้มีปัญหา ส่วนในเรื่องหน้าที่นั้น ผมรู้สึกเหมือนผมลงแรงไปพอประมาณแล้ว แต่ผมก็ตระหนักขึ้นได้ว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม ดังนั้นถ้าผมทำหน้าที่ได้ดีจริง ผมคงไม่ถูกปลดออก หลังจากเสียหน้าที่ไป ผมก็ไม่ต้องยุ่งหรือทำงานหนักตลอดเวลา แต่ลึกๆ แล้ว ผมกลับรู้สึกผิดหวังมาก ตลอดช่วงนั้น ผมได้มาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ขอพระองค์ทรงให้ความรู้แจ้ง เพื่อให้ผมรู้จักตัวเอง ครั้งหนึ่ง ผมอ่านสิ่งนี้ในพระวจนะ “ผู้คนบางคนมักจะอวดตัวอยู่เสมอว่าพวกเขาครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี โดยอ้างว่าไม่เคยได้ทำสิ่งใดที่ไม่ดี ไม่เคยได้ลักขโมยสิ่งครอบครองของผู้อื่น และไม่เคยได้ละโมบสิ่งของของผู้อื่น พวกเขาไปไกลถึงขั้นเปิดโอกาสให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์บนความเดือดร้อนของพวกเขาเองด้วยซ้ำเมื่อมีการโต้เถียงเกี่ยวกับผลประโยชน์ โดยเลือกที่จะทุกข์ทนกับการสูญเสีย และพวกเขาไม่พูดสิ่งใดที่ไม่ดีเกี่ยวกับผู้ใดเพียงเพื่อให้ผู้อื่นทุกคนคิดว่าพวกเขาเป็นผู้คนที่ดีเลย อย่างไรก็ตาม ขณะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเจ้าเล่ห์เพทุบายและลื่นไหล โดยสร้างอุบายเพื่อตัวพวกเขาเองเสมอ พวกเขาไม่คิดถึงผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้าเลย พวกเขาไม่ปฏิบัติเสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วนต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วน หรือคิดอย่างที่พระเจ้าทรงดำริเลย และพวกเขาไม่สามารถวางผลประโยชน์ของพวกเขาเองไว้ก่อนเพื่อที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเลย พวกเขาไม่ละทิ้งผลประโยชน์ของพวกเขาเองเลย แม้ขณะที่พวกเขาเห็นพวกคนทำชั่วกำลังกระทำความชั่ว พวกเขาก็ไม่เปิดโปงพวกคนทำชั่ว พวกเขาไม่มีหลักธรรมอันใดเลย นี่ไม่ใช่ตัวอย่างของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี จงอย่าให้ความสนใจกับสิ่งที่บุคคลเช่นนั้นพูด เจ้าต้องดูว่าเขาใช้ชีวิตตามสิ่งใด เขาเปิดเผยสิ่งใด และท่าทีของเขาเป็นอย่างไรเมื่อเขาปฏิบัติหน้าที่ของเขา ตลอดจนสภาวะภายในของเขาเป็นอย่างไรและเขารักสิ่งใด” (“จงมอบหัวใจอันแท้จริงของเจ้าแด่พระเจ้า และเจ้าจึงจะสามารถได้มาซึ่งความจริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พอทบทวนดู ผมก็ตระหนักได้ว่า ผมคิดว่าตัวเองมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี เพราะได้ทำเรื่องดีๆ แบบผิวเผินมาบ้าง แต่ที่จริงแล้วนี่ไม่สอดคล้องความจริงเลย พระเจ้าทรงตัดสินสภาวะความเป็นมนุษย์ของบุคคลตามการกระทำและท่าทีที่พวกเขามีต่อหน้าที่ มันอยู่ที่ว่าพวกเขาละวางประโยชน์ส่วนตน และค้ำจุนประโยชน์แห่งแด่ของพระเจ้าได้หรือไม่ คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีโดยแท้จริง จะอุทิศตนในหน้าที่เพื่อพระเจ้า พวกเขาทนทุกข์และยอมลำบากได้ เมื่อถึงเวลาสำคัญ พวกเขาก็ละทิ้งเนื้อหนังและค้ำจุนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าได้ หลังจากนั้น ผมก็เริ่มทบทวนว่าผมครอบครองสภาวะความเป็นมนุษย์จริงหรือไม่ และตามพระวจนะ ผมมีท่าทีแบบไหนต่อหน้าที่
ผมได้อ่านบทตอนนี้ “ทั้งหมดที่มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอ แง่มุมอันหลากหลายเกี่ยวกับการใช้แรงงานและการงานซึ่งมีความสัมพันธ์กับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า—นี่ล้วนแต่พึงต้องมีการให้ความร่วมมือจากมนุษย์ นี่ล้วนแต่เป็นหน้าที่ของมนุษย์ ขอบเขตของหน้าที่นั้นกว้างขวางมาก หน้าที่ทั้งหลายคือความรับผิดชอบของเจ้า หน้าที่เหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าควรที่จะทำ และหากเจ้าหลบหลีกเกี่ยวกับหน้าที่เหล่านี้เสมอ เช่นนั้นแล้ว ย่อมมีปัญหา กล่าวอย่างอ่อนโยนก็คือเจ้าขี้เกียจเกินไป เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเกินไป เจ้าลอยชายไร้สาระ เจ้ารักยามว่างและเกลียดการใช้แรงงาน ทั้งนี้ กล่าวอย่างจริงจังก็คือ เจ้าไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าไม่มีความหมายมั่น ไม่มีความเชื่อฟัง หากเจ้าไม่สามารถแม้แต่จะทุ่มความพยายามให้กับกิจเล็กๆ นี้ได้ สิ่งใดเล่าที่เจ้าสามารถทำได้? สิ่งใดเล่าที่เจ้าสามารถทำได้อย่างถูกต้องเหมาะสม? หากบุคคลหนึ่งอุทิศอย่างแท้จริง และมีสำนึกถึงความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตน เช่นนั้นแล้ว ตราบเท่าที่นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ และตราบเท่าที่นั่นคือสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าจำเป็นต้องมี พวกเขาย่อมจะทำทุกสิ่งที่พวกเขาได้รับการเอ่ยขอ โดยไม่มีการคัดเลือก ทั้งนี้ พวกเขาจะเข้ารับภาระหน้าที่และทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขามีความสามารถและควรที่จะทำจนครบบริบูรณ์ นี่คือสิ่งที่ผู้คนควรเข้าใจ และคือสิ่งที่พวกเขาควรสัมฤทธิ์ใช่หรือไม่? (ใช่) ผู้คนบางคนไม่เห็นด้วย และกล่าวว่า ‘คุณใช้เวลาทั้งวันไปกับการทำหน้าที่ของคุณในห้องของคุณ โดยได้รับการกำบังจากลมและแดด ไม่มีความยากลำบากอันใดต่อการนี้เลยแม้แต่น้อย คุณไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องอะไร—พวกเรามาดูกันเถิดว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณจำเป็นที่จะต้องยืนกลางแดดเป็นเวลาสองสามชั่วโมงและทนทุกข์จากความยากลำบากเล็กน้อย!’ คำพูดเหล่านี้ไม่ผิด ทั้งนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นพูดง่ายกว่าทำ ในด้านหนึ่งนั้น ตอนที่ผู้คนกระทำการจริงๆ เจ้าก็ต้องมองดูที่บุคลิกลักษณะของพวกเขา และในอีกด้านหนึ่งนั้น เจ้าต้องมองดูว่าพวกเขารักความจริงมากเพียงใด ก่อนอื่นพวกเรามาพูดถึงบุคลิกลักษณะของผู้คนกันเถิด หากบุคคลมีบุคลิกลักษณะที่ดี พวกเขาย่อมมองด้านที่เป็นบวกของทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขาอ้าแขนรับสิ่งทั้งหลาย และลองพยายามที่จะล่วงรู้สิ่งเหล่านั้นจากมุมมองที่เป็นบวกและเป็นไปในเชิงรุก ทั้งนี้ นั่นคือ หัวใจ บุคลิกลักษณะ และภาวะจิตใจของพวกเขานั้นมีความชอบธรรม—นี่มาจากมุมมองเกี่ยวกับบุคลิกลักษณะ แง่มุมอื่นก็คือพวกเขารักความจริงมากเพียงใด การนี้มีความสัมพันธ์กับสิ่งใดหรือ? สิ่งที่การนี้หมายถึงก็คือ ไม่สำคัญว่าความคิดเห็น ความคิด และทรรศนะในหัวของเจ้าเกี่ยวกับบางสิ่งนั้นสอดรับกับความจริงมากเพียงใด ไม่สำคัญว่าเจ้าเข้าใจมากเพียงใด เจ้าก็มีความสามารถที่จะยอมรับการนั้นจากพระเจ้าได้ ทั้งนี้ การที่เจ้าเชื่อฟังและจริงใจนั้นก็เพียงพอแล้ว เมื่อเจ้าเชื่อฟังและจริงใจ เจ้าย่อมไม่ย่อหย่อนในเวลาที่เจ้าทำงาน เจ้าสร้างความพยายามจริงๆ เมื่อเจ้าใส่หัวใจเข้าไปในการงานของเจ้า มือของเจ้าก็คล้อยตามไปเอง เมื่อเจ้าเกิดหมดกำลังใจขึ้นมา เมื่อเจ้าหยุดลองพยายาม เจ้าก็เริ่มเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง และจิตใจของเจ้าก็เริ่มคิดว่า ‘เวลาอาหารค่ำนั้นเมื่อไหร่หนอ? เป็นไปได้อย่างไรที่ยังอีกตั้งนานกว่าจะถึงเวลา? เมื่อไหร่ฉันจะทำงานที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี้เสร็จสักที? ช่างน่ารำคาญเหลือเกิน ฉันไม่ใช่คนโง่นะ ฉันจะทำให้น้อยยิ่งกว่าน้อยเสียอีก ฉันจะไม่ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดของฉันให้กับการนั้นหรอก’ บุคลิกลักษณะของบุคคลนี้เป็นอย่างไรกระนั้นหรือ? เจตนาของพวกเขาชอบธรรมกระนั้นหรือ? (ไม่ชอบธรรม) เจตนาเหล่านั้นถูกเปิดโปงแล้ว ผู้คนดังกล่าวรักความจริงกระนั้นหรือ? พวกเขาก็แค่มีความเต็มใจเล็กน้อยเท่านั้นที่จะทำหน้าที่ของพวกเขา ทั้งนี้ มโนธรรมของพวกเขาไม่แย่ขนาดนั้น พวกเขาสามารถทำงานได้นิดหน่อย แต่ไม่ทุ่มเทความพยายามอันใดให้กับงานนั้น พวกเขาก็แค่เคยทำกิจที่ผิวเผินทั้งหลาย เมื่อถึงเวลาทำงาน นั่นเป็นเวลาที่ความตั้งใจเลวของพวกเขาปรากฏให้เห็น และพวกเขากำลังมองหาหนทางที่จะย่อหย่อนอยู่เสมอ ทั้งนี้ เมื่อพวกเขาทำงาน ผลิตภาพของพวกเขาต่ำมาก ทุกครั้งที่พวกเขาใช้อุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง พวกเขาก็ทำอุปกรณ์นั้นพัง เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนเริ่มสังเกตเห็นว่ามีปัญหากับพวกเขาเหล่านั้น และว่าพวกเขาเหล่านั้นควรถูกเปิดโปง ในข้อเท็จจริงแล้ว พระเจ้าได้ทอดพระเนตรเห็นทั้งหมดนี้แล้ว และก็แค่กำลังทรงรอให้ผู้คนตื่นขึ้น ให้ผู้คนเปิดโปงและกำจัดพวกเขาเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม บุคคลผู้นี้คิดว่า ‘ดูสิว่าฉันฉลาดแยบยลเพียงใด พวกเรากินอาหารอย่างเดียวกัน แต่หลังจากทำงานพวกเขาก็เหนื่อยล้าอย่างสิ้นสภาพ—ในขณะที่ดูฉันสิ ฉันรู้วิธีที่จะมีช่วงเวลาที่ดี ฉันเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลม ใครก็ตามที่ทำงานจริงเป็นคนปัญญาอ่อน’ เป็นการถูกต้องหรือไม่สำหรับพวกเขาที่จะมีทรรศนะกับผู้คนที่ซื่อสัตย์ในหนทางนี้? ในข้อเท็จจริงนั้น ผู้คนที่ทำงานจริงก็คือคนที่ฉลาดหลักแหลม อะไรหรือที่ทำให้พวกเขาฉลาดหลักแหลม? พวกเขากล่าวว่า ‘ฉันไม่ทำอะไรที่พระเจ้าไม่ทรงเอ่ยขอให้ฉันทำ และฉันทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงเอ่ยขอให้ฉันทำ ฉันทำสิ่งใดก็ตามที่พระองค์ทรงเอ่ยขอ และฉันก็ใส่หัวใจของฉันเข้าไปในการนั้น ฉันใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันสามารถใส่ได้เข้าไปในการนั้น ฉันไม่เล่นกลเลยแม้แต่น้อย ฉันไม่ใช่กำลังทำการนี้เพื่อบุคคลใดเลย ฉันกำลังทำการนี้เพื่อพระเจ้า และฉันกำลังทำการนี้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อให้พระเจ้าได้ทอดพระเนตร ทั้งนี้ ฉันไม่ใช่กำลังทำการนี้เพื่อให้บุคคลใดได้เห็น’ แล้วผลลัพธ์ล่ะ? กลุ่มหนึ่งกำจัดผู้คนที่เคี้ยวคดทิ้งไปทั้งหมด และมีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่ยังคงเหลืออยู่สภาวะของผู้คนที่ซื่อสัตย์เหล่านี้ยิ่งพัฒนาก้าวหน้าขึ้นทุกที และพระเจ้าทรงอารักขาพวกเขาในทุกสิ่งที่ตกมาถึงพวกเขา แล้วอะไรหรือที่ทำให้พวกเขาได้รับการทรงอารักขานี้? เพราะว่าในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาซื่อสัตย์ พวกเขาไม่กลัวความยากลำบากหรือความเหนื่อยล้าอิดโรย และไม่เลือกมากเกี่ยวกับทุกสิ่งที่พวกเขาได้รับความไว้วางใจมอบหมาย ทั้งนี้ พวกเขาไม่ถามเหตุผล พวกเขาแค่ทำดังที่พวกเขาได้รับการบอกกล่าว พวกเขาเชื่อฟังโดยปราศจากการตรวจสอบหรือการวิเคราะห์ หรือการรับเอาสิ่งอื่นใดไว้เพื่อพิจารณา ทั้งนี้ พวกเขาไม่มีเหตุจูงใจแอบแฝง แต่มีความสามารถที่จะเชื่อฟังได้ในทุกสรรพสิ่ง สภาวะภายในของพวกเขานั้นเป็นปกติอย่างมากเสมอ ทั้งนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับภาวะอันตราย พระเจ้าจึงทรงอารักขาพวกเขา ทั้งนี้ เมื่อความเจ็บป่วยหรือโรคระบาดตกมาถึงพวกเขา พระเจ้าก็ทรงอารักขาพวกเขาด้วยเช่นกัน—พวกเขาได้รับการทรงอวยพรอย่างใหญ่หลวงนัก” (“พวกเขาดูหมิ่นความจริง หยามหยันหลักธรรมอย่างเปิดเผยต่อสาธารณะ และเพิกเฉยการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า (ภาคที่สี่)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์) หลังอ่านบทตอนนี้ ผมก็แน่ใจจริงๆ พระวจนะของพระเจ้าได้ตีแผ่มุมมอง ท่าที และสภาวะในหน้าที่ของผมอย่างครบถ้วน และผมได้เห็นว่าพระเจ้าทรงเห็นลึกลงไปถึงจิตวิญญาณของเรา พระองค์ทรงสังเกตทุกการกระทำ ทุกย่างก้าว และทุกความคิดของเรา ตอนที่ผมเพิ่งเริ่มทำหน้าที่แรกๆ ผมตั้งใจว่าจะสละตัวผมเพื่อพระเจ้าและตอบแทนความรักของพระองค์ แต่พอเวลาผ่านไป ผมเริ่มลงแรงมากขึ้นและทนทุกข์มากขึ้น ธรรมชาติแท้จริงของผมก็เผยออกมา ผมเริ่มมักง่ายในหน้าที่ พยายามหาทางทำงานให้น้อยลง ผมเริ่มต่อต้านและรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง เวลาที่ต้องทำงานมากกว่าเดิมเล็กน้อย หรือต้องทนใช้แรงงานเพิ่มขึ้น ตอนที่เราทำงาน ทุกคนต่างทุ่มเท โดยไม่กลัว ว่าจะเหนื่อย หรือหมดแรง แต่ผมกลับโอ้เอ้ คอยเลือกจะทำแค่งานง่ายๆ พอผมเห็นว่าพี่ชายคนนั้นตั้งใจทำงานมาก ผมก็ถึงกับแอบหัวเราะเยาะเขาว่าโง่ มองว่าตัวเองฉลาด ที่ทำหน้าที่เสร็จโดยที่ไม่ต้องเหนื่อย แถมยังได้เพลิดเพลินกับพระพรจากพระเจ้า ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง ผมถึงกับคำนวณผลประโยชน์ได้เสียจากหน้าที่นี้ ฉลาดแกมโกงมาก น่ารังเกียจที่สุด พระวจนะของพระเจ้าทำให้ผมเห็น ว่าตอนที่ผมหัวเราะเยาะความพยายามของคนอื่น ผมต่างหากที่โง่ จากบรรดาพี่น้องชายทุกคน ไม่มีคนที่ผมมองว่าโง่ สูญเสียหน้าที่ไปเลยสักคน แต่ผมกลับถูกปลดจากหน้าที่ทั้งที่คิดว่าตัวเองฉลาด ทำให้หมดโอกาสในการรับใช้ ผมเป็นเหยื่อของ “ความฉลาด” ของตนเอง ผมสมควรถูกเรียกว่าคนโง่มากกว่า และพระเจ้าก็ทรงรังเกียจการทำหน้าที่ในทางนั้นด้วย การทำหน้าที่ให้ดีคือทุกอย่าง เป็นภารกิจของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเป็นสิ่งที่พระผู้สร้างได้มอบหมายให้กับมวลมนุษย์ แต่ผมกลับทำเหมือนผมเป็นแค่ผู้ใช้แรงงานรายวัน ที่ทำไปมั่วๆ ไม่รับผิดชอบอะไรเลย ผมสูญเสียมโนธรรมและเหตุผล ที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี มีค่าน้อยกว่าสุนัขเฝ้าบ้านอีก อย่างน้อยสุนัขก็ยังรับใช้เจ้าของ เฝ้าสนามหน้าบ้าน และซื่อสัตย์ต่อเจ้าของไม่ว่าจะได้รับการดูแลแบบไหน แต่สำหรับผม ผมทั้งกินและดื่มสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดหาให้ เพลิดเพลินกับพระพรแห่งพระคุณของพระองค์ แต่ผมทำภาระหน้าที่ที่พระองค์มอบหมายมาไม่สำเร็จ ผมต้อยต่ำกว่าสัตว์เดรัจฉาน ไม่คู่ควรจะถูกเรียกว่ามนุษย์ การที่ผมถูกปลดจากหน้าที่ คือการสำแดงแห่งพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้า ทั้งหมดล้วนมาจากความเป็นกบฏของผม ผมไม่สงสัยเลย
ต่อมา ผมได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะ “หากไม่มีราคาจริงและไม่มีความจงรักภักดีในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ขึ้นไปไม่ถึงมาตรฐาน หากเจ้าไม่อุทิศตัวตนของเจ้าอย่างแท้จริงให้แก่ความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากเจ้าแสร้งทำท่าขยับเคลื่อนไหวตบตาอยู่เสมอและแค่ขอไปทีในการกระทำทั้งหลายของเจ้าอย่างที่ผู้ไม่เชื่อคนหนึ่งกำลังทำงานให้กับนายของพวกเขา นั่นคือ หากเจ้าเพียงใช้ความพยายามพอเป็นพิธี โดยการอาศัยโชคช่วยให้ผ่านไปในแต่ละวันที่มาถึง เพิกเฉยต่อปัญหายุ่งเหยิงทั้งหลายเมื่อเจ้ามองเห็นปัญหาเหล่านั้น เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ และมองผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองไปอย่างไม่เลือกหน้า—เช่นนั้นแล้ว นี่มิใช่ความเดือดร้อนหรอกหรือ? ใครบางคนเช่นนี้สามารถเป็นสมาชิกของครัวเรือนของพระเจ้าได้หรือ? ผู้คนเช่นนั้นเป็นพวกคนนอก พวกเขาไม่ใช่เป็นของพระนิเวศของพระเจ้า ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าย่อมชัดเจนเกี่ยวกับการที่ว่าเจ้ากำลังจริงแท้หรือไม่ ว่าเจ้าได้อุทิศตัวตนของเจ้าแล้วหรือไม่ในยามที่พวกเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และพระเจ้าก็ทรงทำบัญชีไว้เช่นกัน ดังนั้น เจ้าเคยอุทิศตัวตนของเจ้าอย่างแท้จริงให้แก่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าบ้างหรือไม่? เจ้าเคยจริงจังกับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าบ้างหรือไม่? เจ้าได้ปฏิบัติต่อมันอย่างเป็นความรับผิดชอบของเจ้า เป็นภาระผูกพันของเจ้าแล้วหรือยัง? เจ้าได้รับสภาพความเป็นเจ้าของของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าแล้วหรือยัง? เจ้าเคยพูดขึ้นบ้างหรือไม่หลังจากที่เจ้าได้ค้นพบปัญหาในยามที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า? หากเจ้าไม่เคยพูดขึ้นเลยหลังจากที่ค้นพบปัญหา และไม่แม้แต่จะคิดพยายามที่จะทำ หากเจ้าไม่ยอมทำให้ตัวเองเป็นกังวลอยู่กับสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น และคิดว่ายิ่งปัญหาน้อยก็ยิ่งดี—หากนั่นเป็นหลักธรรมที่เจ้าใช้กับสิ่งเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า นั่นคือ เจ้ากำลังดำรงชีวิตอยู่โดยอาบเหงื่อต่างน้ำ เจ้ากำลังทำงานปรนนิบัติ พวกคนทำงานปรนนิบัติไม่ใช่เป็นของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเป็นลูกจ้าง นั่นคือ หลังเสร็จงานของพวกเขา พวกเขาก็รับเงินของพวกเขาและจากไป แต่ละคนไปตามหนทางของตัวเองและกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน นั่นคือสัมพันธภาพของพวกเขากับพระนิเวศของพระเจ้า สมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้านั้นต่างออกไป กล่าวคือ พวกเขารับความเจ็บปวดเหนือทุกสิ่งทุกอย่างในพระนิเวศแห่งพระเจ้า พวกเขาเข้ารับความรับผิดชอบ สองตาของพวกเขามองเห็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำในพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาก็เก็บกิจเหล่านั้นไว้ในใจเสมอ พวกเขาจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาคิดและมองเห็น พวกเขามีภาระ พวกเขามีสำนึกแห่งความรับผิดชอบ—เหล่านี้คือสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเจ้าได้เอื้อมถึงจุดนี้หรือยัง? (ยัง) เช่นนั้นแล้ว หนทางของพวกเจ้าก็ยังอีกยาวไกล ดังนั้นเจ้าจึงต้องคอยไล่ตามเสาะหาต่อไป! หากเจ้าไม่พิจารณาว่าตัวเจ้าเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า และกำจัดตัวเจ้าออกไป เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงมองเจ้าอย่างไรหรือ? พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อเจ้าดั่งเป็นคนนอก เป็นตัวเจ้านั่นเองที่วางตัวเจ้าเลยพ้นประตูของพระนิเวศของพระองค์ไป ดังนั้นพูดตามจริงก็คือ เจ้าเป็นบุคคลประเภทไหนกันแน่? เจ้าไม่อยู่ในพระนิเวศของพระองค์ การนี้มีอันใดเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเจ้าตรัสหรือกำหนดพิจารณาหรือไม่? เป็นเจ้านั่นเองที่ได้วางปลายทางและตำแหน่งของเจ้าไว้ภายนอกพระนิเวศของพระเจ้า—ตรงนั้นมีใครอื่นให้ตำหนิหรือ?” (“การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีอย่างน้อยที่สุดพึงต้องมีมโนธรรม” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พอไตร่ตรองพระวจนะ ผมก็ตระหนักได้ว่า การคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศในทุกสิ่ง และมองพระนิเวศเป็นบ้านของตัวเองนั้น คือทางเดียวที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัยและชูพระทัย เป็นทางเดียวที่จะได้เป็นสมาชิกในครัวเรือนของพระองค์ ผมทำหน้าที่ในพระนิเวศมาโดยตลอด แต่เพราะท่าทีและวิธีเข้าหาหน้าที่ของผม ผมจึงไม่ได้เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระองค์อย่างแท้จริง ผมเป็นเหมือนลูกจ้างของพระนิเวศ ที่แค่ใช้แรงงานไปเผินๆ ไม่ได้ทุ่มเทหัวใจลงไปด้วย โดยส่วนตัวนั้น ผมไม่ทุ่มอะไร ให้สิ่งที่ไม่กระทบกับผมโดยตรง ผมเห็นว่าตัวเองขาดสภาวะความเป็นมนุษย์โดยสิ้นเชิง ไม่มีความซื่อตรงเลยด้วย ผมไม่คู่ควรเป็นคนปรนนิบัติด้วยซ้ำ ผมเป็นผู้ไม่เชื่อ ผมไม่คู่ควรกับการทำหน้าที่ในคริสตจักรเลยสักนิด
จากนั้น ผมก็เรียกหาและอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่หยุด คิดทบทวนว่าอะไรครอบงำผม ให้มีท่าทีเช่นนั้นต่อหน้าที่ ผมได้อ่านพระวจนะที่ว่า “ธรรมชาติของซาตานนี่เองที่กำกับดูแลและครอบงำผู้คนจากภายในจนกว่าพวกเขานั้นได้มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าและได้รับความจริงแล้ว สิ่งใดหรือที่ธรรมชาตินั้นพ่วงท้ายมาด้วยเป็นพิเศษ? ตัวอย่างเช่น เหตุใดพวกเจ้าจึงเห็นแก่ตัว? เหตุใดพวกเจ้าจึงปกป้องตำแหน่งของตัวเจ้าเอง? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีภาวะอารมณ์รุนแรงเช่นนั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชื่นชมสิ่งที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้น? เหตุใดพวกเจ้าจึงชอบคนชั่วพวกนั้น? อะไรคือพื้นฐานของความชื่นชอบของพวกเจ้าที่มีต่อสิ่งทั้งหลายดังกล่าว? สิ่งเหล่านี้มาจากไหน? เหตุใดพวกเจ้าจึงมีความสุขยิ่งนักที่จะยอมรับสิ่งเหล่านี้? ถึงตอนนี้ พวกเจ้าล้วนได้มาเข้าใจว่า เหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็คือว่า พิษของซาตานอยู่ภายในตัวพวกเจ้า สำหรับสิ่งที่พิษของซาตานเป็นนั้น มันสามารถแสดงออกมาอย่างครบถ้วนด้วยคำพูด ตัวอย่างเช่น หากเจ้าถามว่า ‘ผู้คนควรดำรงชีวิตอย่างไร? ผู้คนควรดำรงชีวิตเพื่อสิ่งใด?’ ผู้คนก็จะตอบว่า ‘เพราะมนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’ วลีเดียวนี้แสดงถึงรากเหง้าที่แท้จริงของปัญหา ตรรกะของซาตานได้กลายมาเป็นชีวิตของผู้คนไปแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ผู้คนก็แค่มีส่วนกับมันเพื่อตัวพวกเขาเอง เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเองเท่านั้น ‘มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม’—นี่คือชีวิตและปรัชญาของมนุษย์ และมันยังเป็นตัวแทนธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย คำพูดเหล่านี้ของซาตานเป็นพิษของซาตานอย่างแน่แท้ และเมื่อผู้คนรับมันไว้ภายใน มันจึงกลายเป็นธรรมชาติของพวกเขา ธรรมชาติของซาตานนั้นถูกเปิดโปงโดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้ คำพูดเหล่านี้เป็นตัวแทนซาตานอย่างครบบริบูรณ์ พิษนี้กลายเป็นชีวิตของผู้คนเช่นเดียวกับเป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา และมนุษยชาติซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามก็ได้ถูกครอบงำโดยพิษนี้เป็นเวลาหลายพันปี” (“วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะนี้ทำให้ผมเข้าใจ ว่าที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตด้วยกฎแห่งการเอาตัวรอดของซาตาน อย่าง “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “จงปล่อยสิ่งทั้งหลายให้ลอยไป หากพวกมันไม่ส่งผลต่อคนเราเป็นการส่วนตัว” มีอีกนะคะ “จงได้เปรียบ มิใช่เสียเปรียบ” สิ่งเหล่านี้ฝังรากลึก และได้กลายเป็นมาธรรมชาติจริงๆ ของผม ผมใช้ชีวิตด้วยหลักพวกนี้ และกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจขึ้นเรื่อยๆ ในหน้าที่ ผมคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเอง คิดว่าอะไรเป็นประโยชน์ ผมจะทำแต่เรื่องที่ที่คิดว่าง่ายกว่า ผมไม่ได้คิดเลยว่า จะใส่ใจน้ำพระทัยในหน้าที่ยังไง ผมคิดถึงเรื่องที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมายังแผ่นดินโลก ทรงสู้ทนกับการดูหมิ่นและความทุกข์ทนเหลือคณา ในการแสดงความจริงเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด แต่พระเจ้า ไม่เคยร้องขอให้มวลมนุษย์ตอบแทนพระองค์เลย ความรักของพระองค์มหาศาลมาก และผมก็ได้ชื่นชมการจัดหาสรรพสิ่งอันมากล้น รวมถึงการให้น้ำแห่งพระวจนะที่พระเจ้าทรงประทาน โดยไร้ซึ่งความรู้คุณ กลับขุ่นเคืองความยากลำบากเล็กน้อยที่สุดในหน้าที่ ผมมันไร้มโนธรรมและเหตุผลโดยสิ้นเชิง การขาดความสามารถ ทำให้ผมไม่ได้ทำหน้าที่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงบอกปัดผม พระองค์ทรงจัดเตรียมหน้าที่ที่เหมาะสมมาให้ ทรงให้โอกาสผมได้รับความจริงและถูกช่วยให้รอด นี่คือความรักของพระเจ้า พอคิดอย่างนี้ ผมก็เปี่ยมด้วยความเสียใจ เกลียดตัวเองที่เกียจคร้านและหละหลวมในหน้าที่ เกลียดอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและการขาดสภาวะความเป็นมนุษย์อย่างลึกซึ้งเป็นพิเศษ ผมไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้นอีกแล้ว ผมตั้งปณิธาน ว่าหลังจากนั้น ไม่ว่าผมจะได้รับหน้าที่อะไร ผมจะทุ่มเททั้งหัวใจ ทุ่มความพยายามทั้งหมดที่มี และเลิกมองพระเจ้าผิดไป ผมมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ว่า “พระเจ้า! ขอบคุณการพิพากษาและตีสอนของพระองค์ ที่ทำให้เห็นว่า ข้าพระองค์ไม่จริงจังกับหน้าที่ เห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ และไร้สภาวะความเป็นมนุษย์ ข้าพระองค์น้อมรับผิด และขอกลับใจ ข้าพระองค์จะตั้งใจทำหน้าที่ และชดใช้หนี้ที่ติดค้างพระองค์ เพื่อชูพระทัยพระองค์” จากนั้น ผมเริ่มทุ่มเวลาและความพยายามทั้งหมดในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ แค่อยากทำหน้าที่นั้นให้ดี เพื่อชดเชยความผิดพลาดในอดีต
ผ่านไปเดือนกว่าๆ ผู้นำก็เห็นว่าสภาวะ และท่าทีที่ผมมีต่อหน้าที่นั้นดีขึ้น เขาโทรมาบอกให้ผมกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองได้อีกครั้ง ผมตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ และเอ่ยเงียบๆ ว่า “ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงมอบโอกาสให้ผมได้ทำหน้าที่อีกครั้ง” จากนั้น พอวางสายไป น้ำตาของผมก็พลันรื้นขึ้นมา หัวใจของผมเปี่ยมด้วยความขอบคุณพระเจ้า และสำนึกแห่งหนี้บุญคุณครั้งใหญ่ พอนึกถึงท่าทีและความกบฏต่อหน้าที่ของผมเมื่อก่อน ผมก็เปี่ยมด้วยความเสียใจและละอายใจ ผมคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์เพื่ออธิษฐาน แต่ก็ทำได้แค่ร้องไห้และพูดอะไรไม่ออก สิ่งที่พอจะพูดได้ ดูไม่เพียงพอเลย ผมจึงได้แต่พูดซ้ำๆ ว่า “พระเจ้า! ขอบคุณพระองค์จริงๆ!” ผมเพิ่งมาได้คิดว่า พระเจ้าทรงทำงานในตัวผมมากขนาดไหน ทรงพิพากษา ตีสอน ชำระให้บริสุทธิ์ และช่วยผมให้รอด สิ่งเดียวที่ผมทำได้ คือการแสดงความรู้คุณ สิ่งเดียวที่ผมต้องการ คือมอบทุกอย่างที่มีแก่พระเจ้า และทุ่มเททุกอย่างในหน้าที่ เพื่อตอบแทนความรักของพระองค์ พอได้หน้าที่กลับคืนมา ผมก็เรียนรู้ที่จะถนอมมันไว้ และเข้าใจถึงพระเจตนา “ทั้งหมดที่มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งที่พระเจ้าทรงเอ่ยขอ แง่มุมอันหลากหลายเกี่ยวกับการใช้แรงงานและการงานซึ่งมีความสัมพันธ์กับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า—นี่ล้วนแต่พึงต้องมีการให้ความร่วมมือจากมนุษย์ นี่ล้วนแต่เป็นหน้าที่ของมนุษย์” ผมไม่คิดว่าการทุ่มความพยายามในงาน คือความทุกข์ และการด้อยค่าอีกต่อไป แต่มันคือความเป็นเกียรติ เพราะนั่นคือพระบัญชาจากพระเจ้า เป็นสิ่งที่ทรงประสงค์ และยิ่งกว่านั้น มันคือหน้าที่ของผม ผมเคยตกอยู่ในความคิดที่ผิด ว่าการทำงานในพระนิเวศ กับการทำงานทางโลกต่างก็เป็นงานหนัก ไม่ต่างอะไรกัน แต่ประสบการณ์นี้สอนผมว่า การทำงานในโลกข้างนอก ก็แค่เพื่อหาเลี้ยงตัวเอง และความยากลำบากก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว มันไร้ความหมาย ถึงแม้ในพระนิเวศจะเป็นการใช้แรงงานเหมือนกัน แต่มันคือการทำหน้าที่ ความยากลำบากนั้นมีค่า และพระเจ้าทรงเห็นชอบ
การปรับเปลี่ยนหน้าที่ครั้งนี้ ทำให้ผมประสบกับความรักของพระเจ้าจริงๆ ผมไม่อยากเป็นแค่ลูกจ้างในพระนิเวศอีกต่อไป แต่แสวงหาจะเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวนี้ นับแต่นั้นมา ผมก็ทุ่มเทเรี่ยวแรงที่มี ในการทำหน้าที่ของตัวเอง บางทีสิ่งต่างๆ ก็ยากหรือเหนื่อยไปบ้าง แต่ผมก็ไม่บ่นแล้ว ผมทุ่มแรงใจและแรงกายทั้งหมดให้การทำหน้าที่ให้ดี ผมขอบคุณการพิพากษาและตีสอนของพระเจ้า สำหรับการเปลี่ยนแปลงท่าทีต่อหน้าที่ และแก้ไขมุมมองอันไร้สาระของผม แถมมันยังเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของผมไปบ้างด้วยครับ
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ