เหตุใดการรับฟังคำแนะนำจึงยากนัก?
โดย จูดี้ ฟิลิปปินส์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2021 ฉันให้น้ำผู้มาใหม่ในคริสตจักร พี่น้องชายเจเรมีกำกับดูแลงานของพวกเรา...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “โดยผ่านทางกระบวนการของการทำหน้าที่ของเขา มนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนไป และโดยผ่านทางกระบวนการนี้ เขาแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีของเขา ด้วยเหตุนี้ ยิ่งเจ้าสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้มากเท่าใด เจ้าก็จะได้รับความจริงมากขึ้นเท่านั้น และการแสดงออกของเจ้าก็จะยิ่งกลายเป็นจริงมากขึ้นเท่านั้น พวกที่เพียงแต่เสแสร้งทำไปอย่างพอเป็นพิธีในการทำหน้าที่ของพวกเขาและไม่แสวงหาความจริงจะถูกกำจัดในท้ายที่สุด เพราะผู้คนเช่นนี้ไม่ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาในการปฏิบัติความจริง และไม่ปฏิบัติความจริงในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง พวกเขาคือพวกที่ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงและจะถูกสาปแช่ง ไม่เพียงแต่การแสดงออกของพวกเขาไม่บริสุทธิ์เท่านั้น แต่ทุกสิ่งที่พวกเขาแสดงออกนั้นชั่วร้าย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) “พวกเจ้าจำเป็นต้องทนทุกข์และจ่ายราคาเพื่อการเอาใจใส่หน้าที่ของพวกเจ้าและการสามารถรับผิดชอบ—การเพียงแค่พูดถึงมันนั้นไม่พอ หากพวกเจ้าไม่ได้เอาใจใส่หน้าที่ของพวกเจ้า แต่กลับต้องการที่จะใช้แรงกายแทนอยู่ตลอด เช่นนั้นแล้วหน้าที่ของพวกเจ้าก็ย่อมจะไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดีเป็นแน่แท้ พวกเจ้าจะทำพอให้แล้วเสร็จไปแต่เพียงเท่านั้น และพวกเจ้าจะไม่รู้ว่าพวกเจ้าได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าอย่างดีเพียงใด หากเจ้าเอาใจใส่มัน เจ้าก็จะค่อยๆ มาเข้าใจความจริง หากเจ้าไม่เอาใจใส่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่เข้าใจ เมื่อเจ้าเอาใจใส่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อนั้นเจ้าก็กลายเป็นค่อยๆ สามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ สามารถค้นพบความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของเจ้าเองได้ และสามารถเป็นนายเหนือสภาวะอันหลากหลายทั้งหมดของเจ้าได้ หากเจ้าไม่ใช้หัวใจของเจ้าเพื่อตรวจสอบตัวเจ้าเอง และมุ่งเน้นไปที่การสร้างความพยายามภายนอกเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไร้ความสามารถที่จะค้นพบสภาวะอันแตกต่างกันซึ่งเกิดขึ้นในหัวใจของเจ้า และปฏิกิริยาทั้งหมดที่เจ้ามีต่อสภาพแวดล้อมภายนอกซึ่งแตกต่างกัน หากเจ้าไม่ใช้หัวใจของเจ้าเพื่อตรวจสอบตัวเจ้าเอง เช่นนั้นแล้ว ย่อมจะเป็นการยากสำหรับเจ้าที่จะแก้ไขประเด็นปัญหาในหัวใจของเจ้า” (“โดยการซื่อสัตย์เท่านั้นคนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเหมือนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้เราเห็นได้ว่า เราต้องเอาใจใส่ รับผิดชอบ และแสวงหาความจริงเพื่อทำหน้าที่ของเราให้สำเร็จลุล่วง ฉันเคยเป็นบุคคลที่มักง่าย ฉันไม่ได้ทุ่มพยายามมากๆ ในอะไรเลย มันเหมือนกันในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันไม่ได้พยายามเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในหน้าที่ของฉัน เมื่อใดก็ตามที่ฉันเผชิญกับสิ่งที่ซับซ้อนที่ต้องทำงานหนัก ฉันกลับมักง่ายและไม่รับผิดชอบ ฉันเลยทำผิดพลาดในหน้าที่ของฉันอยู่เสมอ ต่อมาฉันก็เข้าใจอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันนิดหน่อยจากพระวจนะของพระเจ้า และวิธีการทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วงเพื่อสมกับน้ำพระทัยของพระเจ้า แล้วฉันจึงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของฉันอย่างมีความรับผิดชอบและอย่างแน่วแน่
หน้าที่ของฉัน ณ ตอนนั้นคือตรวจสอบการแปลเป็นภาษาอิตาเลียน ตอนแรกฉันขยันและเต็มใจที่จะแก้ไขปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันเผชิญกับเอกสารคั่งค้าง และเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อฉันเห็นเอกสารที่มีโน้ตสารพัดสี และบรรดาเครื่องหมายจุด เครื่องหมายลูกน้ำและเครื่องหมายวรรคตอนอื่นๆ ทุกๆ อย่างจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบสำหรับการจัดรูปแบบและการจัดวาง ฉันเกิดกระสับกระส่าย ฉันคิดว่า “ฉันต้องใช้ความคิดกับงานนี้มากเท่าไหร่กัน? มันต้องพยายามเกินไป” แล้วฉันก็จะไม่อยากตรวจสอบมันอย่างขยันขันแข็งอีกต่อไป แต่จะแค่จะดูมันผ่านๆ และดูให้แน่ใจว่าพวกมันถูกมากหรือน้อย บางครั้งฉันจำเป็นต้องสงบใจของฉัน และคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับการแปลว่าแม่นยำหรือไม่ แต่พอฉันเห็นโครงสร้างประโยคที่ซับซ้อน ฉันก็จะทำการคำนวณอย่างเห็นแก่ตัวว่า “มันต้องใช้ความพยายามมากในการไตร่ตรองและค้นคว้าทุกคำ แล้วถ้าฉันไม่ได้อะไรเลย มันจะไม่เป็นการเปลืองพลังงานหรอกหรือ? ช่างมัน ฉันจะทิ้งมันไว้ให้คนอื่นจัดการละกัน” และก็เป็นแบบนั้นเอง ฉันทำหน้าที่ให้ผ่านๆ ไปอย่างไม่รอบคอบ
เวลาผ่านไป ปัญหาต่างๆ เริ่มจะผุดขึ้นมา คนอื่นพบ ข้อผิดพลาดในการใช้อักษรตัวใหญ่และเครื่องหมายวรรคตอนในเอกสารที่ฉันตรวจสอบ และบางฉบับถึงกับแปลตกไปสองสามคำ ฉันรู้สึกแย่มากเมื่อเห็นแบบนั้น คนอื่นเห็นปัญหาเล็กๆ เหล่านั้นทันที แต่ฉันไม่เคยเห็นทั้งที่มันอยู่ตรงหน้าฉัน แล้วมีคำตกที่เห็นโต้งๆ แบบนั้นได้อย่างไร ยิ่งฉันนึกถึงมันเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งรู้สึกแย่ วันหนึ่งหลังมื้อเที่ยง ฉันได้รับข้อความหนึ่งที่บอกว่า มีข้อผิดพลาดพื้นฐานมากๆ กับเอกพจน์และพหูพจน์ในเอกสารที่ฉันตรวจสอบ ฉันรู้สึกเหมือนโดนมีดเสียบหัวใจ ฉันมักง่ายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน? ฉันมองข้ามข้อผิดพลาดพื้นฐานอย่างนั้นได้อย่างไร? ฉันไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่า เอกสารอื่นๆ ที่ฉันตรวจสอบไปมีความผิดพลาดแบบเดียวกันมั้ย งานของฉันเต็มไปด้วยข้อผิดพลาด ฉันจะทำอย่างไร? ในความทุกข์ทรมานของฉัน ฉันรีบมาอยู่ต่อหน้าพระเจ้าและอธิษฐาน ฉันย้อนนึกถึงสถานะและทัศนคติของฉันที่มีต่อหน้าที่ของฉันพักหลังมานี้
ฉันอ่านบทตอนหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “หากเจ้าไม่ใส่หัวใจของเจ้าเข้าไปในหน้าที่ของเจ้าและสะเพร่า โดยแค่ทำสิ่งทั้งหลายในหนทางง่ายที่สุดที่เจ้าสามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วนี่คือความรู้สึกนึกคิดแบบใดหรือ? นั่นเป็นหนึ่งในการที่แค่ทำสิ่งทั้งหลายในลักษณะขอไปที โดยไม่มีความจงรักภักดีต่อหน้าที่ของเจ้า ไม่มีสำนึกต่อหน้าที่รับผิดชอบ และไม่มีสำนึกต่อภารกิจ ทุกครั้งที่เจ้าทำหน้าที่ของเจ้า เจ้าใช้เพียงครึ่งหนึ่งของพละกำลังของเจ้าเท่านั้น เจ้าทำหน้าที่อย่างไม่เต็มใจ ไม่ใส่หัวใจของเจ้าเข้าไปในหน้าที่นั้น และแค่พยายามทำให้ผ่านๆ และจบสิ้นไป โดยปราศจากการมีสติแม้แต่น้อย เจ้าทำหน้าที่ในลักษณะที่ผ่อนคลายจนกระทั่งเป็นราวกับว่าเจ้าก็แค่กำลังเที่ยวเล่น การนี้จะไม่นำไปสู่ปัญหาทั้งหลายหรอกหรือ? ในที่สุด ผู้คนก็จะพูดว่าเจ้าคือใครบางคนที่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างแย่ และว่าเจ้าก็เพียงทำไปอย่างขอไปที และพระเจ้าจะตรัสสิ่งใดต่อการนี้เล่า? พระองค์จะตรัสว่าเจ้าไว้วางใจไม่ได้ หากเจ้าได้รับการไว้วางใจมอบหมายการงาน และไม่ว่านั่นจะเป็นการงานซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบหลักหรือการงานที่เป็นหน้าที่รับผิดชอบธรรมดา หากเจ้าไม่ใส่หัวใจของเจ้าเข้าไปในสิ่งนั้น หรือใช้ชีวิตตามหน้าที่รับผิดชอบของเจ้า และหากเจ้าไม่มองสิ่งนั้นเป็นภารกิจหนึ่งที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้าหรือเรื่องหนึ่งซึ่งพระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า หรือทำความเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นหน้าที่และภาระผูกพันของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วนี่ก็จะเป็นปัญหาหนึ่ง ‘ไว้วางใจไม่ได้’—สองคำนี้จะนิยามวิธีที่เจ้าดำเนินหน้าที่ของเจ้า และพระเจ้าจะตรัสว่า บุคลิกลักษณะของเจ้าไม่ดีเข้าขั้น หากเรื่องหนึ่งได้รับการไว้วางในมอบหมายให้เจ้า แต่ทว่าเจ้าใช้ท่าทีนี้ต่อเรื่องนั้น และนี่เป็นวิธีที่เจ้าจัดการเรื่องนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้รับพระบัญชากับหน้าที่เพิ่มเติมอันใดในอนาคตหรือไม่? เจ้าจะสามารถได้รับการไว้วางใจมอบหมายอะไรก็ตามที่สำคัญหรือไม่? บางทีเจ้าอาจได้รับ แต่นั่นคงจะขึ้นอยู่กับว่าเจ้าได้ประพฤติตนอย่างไร อย่างไรก็ตาม ลึกลงไปนั้น พระเจ้าจะทรงเก็บงำความไม่ไว้วางพระทัยบางอย่างต่อเจ้าเสมอ ตลอดจนความไม่พึงพอพระทัยบางอย่าง นี่จะเป็นปัญหาหนึ่ง ใช่หรือไม่?” (“เส้นทางมาจากการไตร่ตรองความจริงบ่อยครั้ง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระเจ้าทรงสังเกตเห็นจิตใจของมนุษย์ ทุกพระวจนะของพระองค์กระทบกับข้อบกพร่องที่ร้ายแรงของฉัน แล้วฉันก็ตระหนัก การทำสิ่งต่างๆ ด้วยวิธีง่ายๆ ในหน้าที่ของฉันคือทัศนคติแบบลวกๆ มันไม่มีความตื่นตัวในนี้ มันเป็นเพียงการปัดสวะสิ่งต่างๆ และไม่รับผิดชอบอะไรเลย ย้อนคิดถึงผลงานของฉัน เมื่อไหร่ก็ตามที่มีอะไรที่ต้องใช้เวลาและความพยายาม ฉันจะใช้วิธีทางลัดที่พยายามน้อยที่สุดเพื่อให้มันเสร็จ ฉันจะทำอะไรก็ตามที่ง่ายที่สุด ช่วยลดความยุ่งยากมากที่สุด หรือเหนื่อยน้อยที่สุด เมื่อมีคำศัพท์ใหม่ๆ มากมาย หรือจุดที่ไวยากรณ์หรือโครงสร้างประโยคยากๆ ฉันจะไม่พยายามอย่างจริงจังในการตรวจดูพวกมัน ฉันจะใช้เส้นทางง่ายๆ ในการทำเครื่องหมายพวกมันและถามคนอื่น เมื่อฉันเห็นโน้ตที่ซับซ้อนหรือต้องตรวจสอบเครื่องหมายวรรคตอนอย่างระมัดระวัง ฉันแค่ดูพวกมันอย่างคร่าวๆ แล้วมองข้ามปัญหาบางอย่างไป ฉันมักง่ายและปัดความรับผิดชอบของฉัน ต่อหน้าที่ของฉันและพระบัญชาของพระเจ้า ฉันคิดถึงแต่การหลีกเลี่ยงความทุกข์ทางกายเท่านั้น มีพื้นที่เล็กๆ สำหรับพระเจ้าตรงไหนในใจฉันบ้าง?
ต่อมาฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นที่ตรัสว่า “สำหรับผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาให้ดีเช่นกันแม้เมื่อไม่มีใครกำลังเฝ้าดูอยู่นั้นควรจะง่ายดาย นี่ควรรวมเข้าไว้ในส่วนแบ่งหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขา สำหรับพวกที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์และผู้ที่พึ่งไม่ได้ การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาเป็นกระบวนการหนึ่งที่ใช้ความพยายามทั้งกายและใจมาก ผู้อื่นจำเป็นต้องคอยวิตกกังวลเกี่ยวกับพวกเขา กำกับดูแลพวกเขา และถามความคืบหน้าของพวกเขาอยู่เสมอ มิฉะนั้น พวกเขาจะทำความเสียหายทุกครั้งที่เจ้าให้งานพวกเขาทำ สรุปสั้นๆ ผู้คนจำเป็นต้องทบทวนตัวเองเสมอเมื่อปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาว่า ‘ฉันได้ทำให้หน้าที่นี้ลุล่วงอย่างพอเพียงหรือยัง? ฉันได้ใส่หัวใจของฉันเข้าไปในหน้าที่นั้นหรือไม่? หรือฉันก็แค่มั่วไปจนตลอดรอดฝั่งกับสิ่งนั้น?’ หากอะไรก็ตามจากสิ่งเหล่านั้นได้เกิดขึ้น เช่นนั้นแล้วนั่นก็ไม่เป็นประโยชน์ นั่นเป็นอันตราย ในสำนึกรับรู้อันคับแคบ นั่นหมายความว่าบุคคลเช่นนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือ และว่าผู้คนไม่สามารถไว้วางใจเขาได้ หากพูดในแง่ที่กว้างขึ้น หากบุคคลเช่นนั้นแค่แสร้งขยับท่าทางเคลื่อนไหวเสมอในตอนที่ทำหน้าที่ของเขา และหากเขาทำอะไรขอไปทีกับพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง เช่นนั้นแล้วเขาก็อยู่ในอันตรายใหญ่หลวง! อะไรคือผลสืบเนื่องที่ตามมาของการมีเล่ห์ลวงโดยรู้ตัว? ในระยะสั้น เจ้าจะมีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม กระทำการฝ่าฝืนบ่อยๆ โดยไม่กลับใจ และไม่เรียนรู้วิธีปฏิบัติความจริง อีกทั้งเจ้าจะไม่นำความจริงไปปฏิบัติ ในระยะยาว เนื่องจากเจ้าทำสิ่งเหล่านั้นอย่างต่อเนื่อง บทอวสานของเจ้าจึงจะปลาสนาการไป การนั้นจะส่งผลให้เจ้าเดือดร้อน นี่คือสิ่งที่รู้จักกันว่าเป็นการที่ไม่ทำความผิดพลาดหลักอันใดเลย แต่ทำความผิดพลาดเล็กน้อยอยู่เนืองนิตย์ ในที่สุด การนี้จะนำไปสู่ผลสืบเนื่องที่ตามมาซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ นั่นคงจะร้ายแรงมาก!” (“การเข้าสู่ชีวิตต้องเริ่มต้นด้วยประสบการณ์แห่งการปฏิบัติหน้าที่ของคนเรา” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การเห็นพระเจ้าทรงตีแผ่ธรรมชาติและผลที่ตามมาจากความมักง่ายของฉันต่อหน้าฉัน ฉันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว การไม่ตั้งใจทำหน้าที่ของฉันคือการหลอกลวงทั้งผู้อื่นและพระเจ้า ทัศนคตินี้ถูกพระเจ้ากล่าวโทษ ถ้าฉันไม่กลับใจ ไม่ช้าก็เร็วฉันจะทำการล่วงละเมิดที่ร้ายแรงและถูกพระเจ้าทรงกำจัด เมื่อคริสตจักรได้เตรียมการสำหรับหน้าที่ของฉันไว้ ฉันปฏิญาณอย่างขึงขังที่จะปฏิบัติหน้าที่ของฉันอย่างเหมาะสม แต่เวลาที่ฉันต้องใช้ความพยายามจริงๆ ฉันใส่ใจแค่ในเนื้อหนัง การกลัวปัญหาและความทุกข์ทรมาน ฉันทำลวกๆ และมักง่ายเวลาที่ตรวจเอกสาร ฉันจึงไม่เห็นแม้กระทั่งความผิดพลาดที่ชัดเจนที่สุด นั่นเป็นการโกงไม่ใช่หรือ? ความคิดเหล่านี้ ทำให้ฉันเต็มไปด้วยความเสียใจและการโทษตัวเอง ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! ลูกไม่เคยรับผิดชอบหน้าที่ของลูก แต่หลอกพระองค์มาตลอด ช่างน่ารังเกียจ ลูกขาดจิตสำนึกเหลือเกิน พระเจ้า ลูกอยากกลับใจ ได้โปรดนำทางให้ลูกที โปรดประทานเจตจำนงให้ลูกที่จะอดทนต่อความลำบาก และความสามารถที่จะละทิ้งเนื้อหนังและทำหน้าที่ของลูกให้ลุล่วง”
ในทุกๆ เอกสารหลังจากนั้น ฉันจะตรวจสอบทุกคำที่เห็นว่าไม่ค่อยเหมาะสมในพจนานุกรมหลายเล่ม ฉันจะถามพี่น้องชายหญิงหรือนักแปลมืออาชีพเมื่อฉันไม่แน่ใจ จนกว่าฉันจะเข้าใจชัดเจน สำหรับเอกสารที่ยากและยาว ฉันจะไม่กล้าตรวจพวกมันแค่พอผ่านๆ และทำมั่วๆ แต่ฉันจะพิจารณาแต่ละประโยคอย่างระมัดระวังซ้ำๆ และอย่างละเอียด พยายามอย่างเต็มที่เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการแปล เมื่อทำการสรุปเอกสาร ฉันจะจดรายละเอียดทั้งหมดที่ฉันต้องตรวจสอบ และเตือนตัวฉันเองอยู่ตลอดว่าทุกขั้นตอนจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ฉันจะตรวจสอบทุกรายละเอียดเมื่อทำการสรุป และพยายามอย่างเต็มที่เพื่อลดจำนวนข้อผิดพลาดในขั้นตอนสุดท้าย หลังจากเวลาผ่านไป ฉันได้รับผลลัพธ์ที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนในหน้าที่ของฉัน และอัตราความผิดพลาดก็ลดลงเช่นกัน
พี่น้องหญิงอีกคนเข้าร่วมทีมในภายหลัง ผู้ช่วยสร้างมาตรฐานการจัดรูปแบบของคำแปลที่สรุปแล้ว เธอจะถามฉันบ้างเป็นครั้งคราว “เครื่องหมายวรรคตอนนี้ถูกต้องมั้ย? เครื่องหมายวรรคตอนนั้นเป็นอย่างไร?” เมื่อเธอถามคำถามมากมาย ฉันจะค่อนข้างรำคาญและคิดว่า “มันยุ่งยากมากไปที่จะอธิบายทุกอย่าง แค่ดูตามเอกสารที่สรุปแล้วก็พอ” ฉันเลยตัดรำคาญโดยบอกเธอว่า “นี่เป็นเอกสารที่สรุปแล้ว มันไม่มีปัญหาอะไรกับเครื่องหมายวรรคตอน เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอิตาเลียนและภาษาอังกฤษก็เหมือนๆ กันแหละ ส่วนใหญ่สามารถจัดการได้เหมือนภาษาอังกฤษ แต่มันมีข้อยกเว้น คุณต้องพิจารณาความหมาย” แล้วเธอก็ถามฉันว่า “หนังสืออ้างอิงปัจจุบันของเราเป็นประเภทที่ผู้เชี่ยวชาญใช้ ฉันไม่เข้าใจบางส่วน เรามีเอกสารใดๆ ที่ให้คำแนะนำทั่วไปเกี่ยวกับเครื่องหมายวรรคตอนของอิตาเลียนมั้ยคะ?” ฉันบอกว่าเรายังไม่มี หลังจากนั้นฉันคิดว่าฉันควรทำเอกสารที่สมาชิกใหม่ใช้อ้างอิงได้ แต่มีเครื่องหมายวรรคตอนเยอะมาก นั่นหมายถึงการตรวจสอบหนังสืออ้างอิงและจะยุ่งยากมากเกินไป ฉันวางมันไว้ก่อนในระหว่างนั้น ฉันคิดว่าประเด็นนั้นคงจะจบไปแล้ว แต่พอเธอจัดการเครื่องหมายวรรคตอนภาษาอิตาเลียนเหมือนภาษาอังกฤษอย่างที่ฉันบอกเธอ ในการจัดรูปแบบของเธอ เธอก็ลงมือลบช่องว่างทั้งหมดก่อนและหลังเครื่องหมายขีดคั่นในเอกสาร ยาว 150,000 กว่าคำไปเลย ฉันตกตะลึงเมื่อรู้เข้า ในภาษาอิตาเลียน เราต้องมีวรรคตอนก่อนและหลังขีดคั่น เพื่อหลีกเลี่ยงการผสมขีดคั่นกับยัติภังค์ ซึ่งแตกต่างจากภาษาอังกฤษ แต่ฉันไม่ได้บอกเธอเรื่องนั้น มันทำอะไรไม่ได้เลย เธอต้องย้อนกลับไปตรวจใหม่และแก้ไขแต่ละคำ ฉันรู้สึกแย่และเสียใจมาก ฉันเกลียดตัวเองและคิดว่า “ทำไมฉันไม่พยายามสักนิดในการทำเอกสารอ้างอิงแต่แรก? ทำไมฉันถึงคิดถึงเนื้อหนังและกลัวความยุ่งยากอยู่เสมอ? เธอต้องทบทวนมันอีกครั้ง เพราะความมักง่ายของฉันล้วนๆ มันจะต้องได้รับการยืนยันอีกครั้งด้วย มันต้องใช้ความพยายาม และสิ่งสำคัญคือมันทำให้งานของเราล่าช้า นั่นเป็นการขัดขวางพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าไม่ใช่หรือ?” ความรู้สึกของการเป็นหนี้บุญคุณ การตำหนิตัวเองและเสียใจท่วมท้นอีกครั้ง ฉันอยากตบหน้าตัวเองซะ ทำไมฉันถึงทำอีก? ฉันเป็นอะไรไป?
ครั้งหนึ่งในการเฝ้าเดี่ยว ฉันได้พบพระวจนะของพระเจ้าตอนหนึ่ง “การรับมือกับสิ่งทั้งหลายอย่างตลกคะนองและไร้ความรับผิดชอบเหลือเกินนั้น ไม่ใช่บางสิ่งที่อยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรอกหรือ? สิ่งใดหรือ? สิ่งนั้นก็คือคราบสกปรก ไม่ว่าในเรื่องอะไรทั้งหมด พวกเขาพูดว่า ‘นั่นถูกต้องแล้ว’ และ ‘ใกล้เคียงพอแล้ว’ นั่นคือท่าทีที่ว่า ‘อาจจะ’ ‘เป็นไปได้’ และ ‘สี่ในห้า’ พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายอย่างขอไปที พึงพอใจที่จะทำขั้นต่ำ และพึงพอใจที่จะมั่วไปเรื่อยๆ ตามที่พวกเขาสามารถทำได้ พวกเขาไม่เห็นประโยชน์ในการถือสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงจังหรือการเพียรพยายามเพื่อความเที่ยงตรง และพวกเขาเห็นประโยชน์น้อยกว่านั้นในการแสวงหาหลักธรรมทั้งหลาย นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่อยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามหรอกหรือ? นั่นเป็นการสำแดงของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติหรือ? การเรียกสิ่งนั้นว่าความโอหังนั้นถูกต้อง และการเรียกสิ่งนั้นว่าเหลวแหลกก็เหมาะสมทั้งสิ้นด้วยเช่นกัน—แต่การที่จะจับภาพสิ่งนั้นอย่างสมบูรณ์แบบ คำพูดเดียวที่จะทำได้ก็คือ ‘เป็นคราบสกปรก’ คราบสกปรกเช่นนั้นมีอยู่ในสภาวะความเป็นมนุษย์ของผู้คนส่วนใหญ่ ไม่ว่าในเรื่องอะไรทั้งหมด พวกเขาก็ปรารถนาที่จะทำน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ปรารถนาที่จะเห็นสิ่งที่พวกเขาสามารถหลบรอดไปได้ และมีกลิ่นโชยวูบของเล่ห์ลวงในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ พวกเขาโกงคนอื่นเมื่อพวกเขาสามารถทำได้ ทำอะไรลวกๆ เมื่อพวกเขามีความสามารถทำได้ และเกลียดที่จะใช้เวลาหรือความคิดให้มากในการพิจารณาเรื่องหนึ่งเรื่อง ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถหลีกเลี่ยงการถูกเปิดโปงได้ และพวกเขาไม่ก่อให้เกิดปัญหา และพวกเขาไม่ได้ถูกเรียกให้มาอธิบาย พวกเขาก็คิดว่าทุกอย่างนั้นเรียบร้อย และด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมั่วต่อไปข้างหน้า สำหรับพวกเขา การทำการงานหนึ่งให้ดีนั้นยุ่งยากเกินกว่าจะคุ้มค่า ผู้คนเช่นนั้นไม่เรียนรู้สิ่งใดให้เชี่ยวชาญเลย และพวกเขาไม่พยายามใช้ความสามารถอย่างหนักในการศึกษาของพวกเขา พวกเขาต้องการเพียงได้รับเค้าโครงกว้างๆ ของหัวเรื่องเท่านั้น แล้วจากนั้นจึงเรียกตัวพวกเขาเองว่าช่ำชองในสิ่งนั้น แล้วจากนั้นจึงพึ่งพาการนี้เพื่อมั่วไปในหนทางของพวกเขาจนตลอดรอดฝั่งไปได้ นี่ไม่ใช่ท่าทีที่ผู้คนมีต่อสิ่งทั้งหลายหรอกหรือ? นั่นใช่ท่าทีที่ดีหรือไม่? ท่าทีจำพวกนี้ซึ่งผู้คนเช่นนั้นนำเอาไปใช้กับผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายนั้นอยู่ในคำพูดไม่กี่คำก็คือ ‘มั่วจนตลอดรอดฝั่งไปได้’ และคราบสกปรกเช่นนั้นมีอยู่ในมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามทั้งหมด” (“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (9)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนถึงรากเหง้าของการขาดความพยายามในหน้าที่ของฉัน คราบสกปรกของฉันนั้นร้ายแรงเกินไป ฉันทำทุกสิ่งด้วยทัศนคติที่ขอไปทีและหลอกลวง เมื่อพี่น้องหญิงคนนั้นถามฉันเกี่ยวกับความเหมาะสมของการใช้เครื่องหมายวรรคตอน ฉันไม่ต้องการความยุ่งยาก ฉันไม่รับฟังมันจริงจัง และไม่ต้องการคำถามมากเกินไป ฉันเลยตัดรำคาญด้วยการบอกให้เธอทำตามกฎง่ายๆ และพอเธอถามฉันเกี่ยวกับเอกสารอ้างอิง ฉันก็ทำเอกสารให้เธอได้ แต่เมื่อฉันคิดถึงสิ่งที่ต้องแลก ในแง่ของความลำบากของตัวเอง ฉันก็ตัดสินใจที่จะไม่ทำ ฉันกังวลเกี่ยวกับข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ฉันก็ยังตัดสินใจที่จะใช้วิธีโกงให้มันผ่านไป มันคงจะดีถ้าฉันไม่ต้องลงทุนลงแรงมากแล้วสิ่งต่างๆ ผ่านไปด้วยดี ทุกครั้งที่ฉันทำสิ่งต่างๆ โดยไม่ต้องพยายาม ฉันก็ต้องพึ่งพาโชคในการทำมั่วๆ ให้ผ่านพ้นไป ฉันมักจะมองหาวิธีที่จะใช้ความพยายามน้อยที่สุดเพื่อเอาตัวรอด ฉันไม่ได้พยายามอย่างซื่อสัตย์จริงๆ ที่จะทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วง โดยพิจารณาทุกรายละเอียดและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด ดูเหมือนว่าฉันกำลังทำงานอยู่และฉันกำลังตอบคำถามอยู่ แต่ในความเป็นจริง ฉันก็แค่กำลังโกหกพี่น้องหญิงคนนั้นและกลับกลอก เป็นผลให้ เธอเชื่อคำตอบฉัน และทำให้เกิดข้อผิดพลาดร้ายแรง และทำให้เธอเองเหนื่อยล้ากับงานที่ไร้ผล เธอถึงกับต้องทำงานจำนวนมากซ้ำใหม่ ซึ่งทำให้ความคืบหน้าของการทำงานโดยรวมช้าลง และนำความเสียหายมาสู่งานของคริสตจักร หลักการที่อยู่เบื้องหลังการกระทำของฉัน การทำสิ่งที่ง่ายที่สุดและไร้ความยุ่งยากที่สุด เป็นหลักการของการทำร้ายผู้คน ฉันใช้เคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ เพื่อประหยัดความพยายามในระยะสั้น ฉันไม่ทรมานในด้านร่างกาย แต่การล่วงละเมิดในหน้าที่ของฉันไม่มีหยุด และขัดขวางการทำงานของพระนิเวศของพระเจ้า ฉันทำร้ายคนอื่นและตัวฉันเอง! ฉันถูกมอบหมายให้ทำงานสำคัญอย่างนั้น แต่ฉันกลับทำแบบไม่ใส่ใจ และทำลวกๆ ไม่รับผิดชอบ หลอกลวง และมักง่าย และไม่สนใจผลที่ตามมา ฉันไม่มีความรู้สึกผิดชอบเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนั้นเองที่ฉันเห็นว่าคราบสกปรกของฉันร้ายแรงแค่ไหน ความซื่อตรงของฉันต่ำต้อยแค่ไหนและฉันไร้ค่าแค่ไหน
หลังจากนั้นฉันดูวิดีโอของการอ่านพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “หากผู้คนไม่สามารถแสดงออกในสิ่งที่พวกเขาควรจะแสดงออกในระหว่างการปรนนิบัติหรือการสัมฤทธิ์สิ่งที่เป็นไปได้โดยธรรมชาติสำหรับพวกเขา แต่กลับเล่นไปเรื่อยเปื่อยและเสแสร้งแสดงท่าทาง พวกเขาก็ได้สูญเสียภารกิจที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี ผู้คนเช่นนี้เป็นสิ่งที่รู้จักกันว่าเป็น ‘คนที่มีคุณภาพปานกลาง’ พวกเขาเป็นขยะที่ไร้ประโยชน์ ผู้คนเช่นนี้จะสามารถถูกเรียกอย่างเหมาะสมว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร? พวกเขาไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่เสื่อมทรามซึ่งสุกใสที่ด้านนอกแต่เน่าเสียที่ด้านในหรอกหรือ?…ใครคือผู้ที่คำพูดและการกระทำของพวกเจ้าสามารถมีค่าพอกับเขา? เป็นไปได้ไหมว่าการพลีอุทิศเพียงน้อยนิดของพวกเจ้านั้นมีค่าพอสำหรับทุกสิ่งที่เราได้ประทานให้พวกเจ้า? เราไม่มีทางเลือกอื่นใดและได้อุทิศตนอย่างสุดหัวใจให้พวกเจ้ามานานแล้ว แต่พวกเจ้ายังคงเก็บงำเจตนาชั่วร้ายไว้และมีความไม่เต็มใจต่อเรา นั่นคือขอบข่ายหน้าที่ของพวกเจ้า ภารกิจเพียงอย่างเดียวของพวกเจ้า มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นหรอกหรือ? พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าได้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง? พวกเจ้าจะสามารถถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้อย่างไร? มันไม่ชัดเจนสำหรับพวกเจ้าหรอกหรือว่าพวกเจ้ากำลังแสดงออกและดำรงชีวิตตามอะไร? พวกเจ้าได้ล้มเหลวในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าให้ลุล่วง แต่พวกเจ้าพยายามที่จะได้รับความอดกลั้นและพระคุณอันไพบูลย์ของพระเจ้า พระคุณเช่นนี้ไม่ได้ถูกตระเตรียมไว้สำหรับคนที่ไร้ค่าและต่ำช้าเช่นพวกเจ้า แต่ถูกตระเตรียมไว้สำหรับพวกที่ไม่ขออะไรและพลีอุทิศด้วยความยินดี ผู้คนเช่นพวกเจ้า คนที่มีคุณภาพปานกลางเช่นนี้ ไม่มีค่าพออย่างที่สุดที่จะได้ชื่นชมกับพระคุณแห่งสวรรค์ มีแต่ความยากลำบากและการลงโทษที่ไม่มีที่สิ้นสุดเท่านั้นที่จะไปกับพวกเจ้าทุกวัน! หากพวกเจ้าไม่สามารถสัตย์ซื่อต่อเรา ชะตากรรมของพวกเจ้าก็จะเป็นชะตากรรมแห่งความทุกข์ หากเจ้าไม่สามารถรับผิดชอบต่อถ้อยคำของเราและงานของเรา บทอวสานของพวกเจ้าก็จะเป็นบทอวสานแห่งการลงโทษ พระคุณ พระพร และชีวิตอันวิเศษของอาณาจักรทั้งหมดนั้นจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับพวกเจ้า นี่คือจุดจบที่พวกเจ้าสมควรได้พบและเป็นผลสืบเนื่องจากการกระทำของพวกเจ้าเอง!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความแตกต่างระหว่างพันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์) พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า “เราไม่มีทางเลือกอื่นใดและได้อุทิศตนอย่างสุดหัวใจให้พวกเจ้ามานานแล้ว แต่พวกเจ้ายังคงเก็บงำเจตนาชั่วร้ายไว้และมีความไม่เต็มใจต่อเรา นั่นคือขอบข่ายหน้าที่ของพวกเจ้า” พระวจนะเหล่านี้แทงใจฉัน พระเจ้าให้โอกาสฉันฏิบัติหน้าที่ของฉัน ฉันจึงสามารถแสวงหาและได้รับความจริงผ่านหน้าที่ของฉัน ขับไล่อุปนิสัยเสื่อมทราม และได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า แต่แทนที่จะแสวงหาความจริง ฉันแค่ใส่ใจเกี่ยวกับเนื้อหนัง โกงและหลอกลวงพระเจ้า ฉันคิดถึงการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด ทรงอดทนต่อความอัปยศอดสูและความเจ็บปวดอย่างมหาศาล ถูกรัฐบาลไล่ล่าและข่มเหง ถูกผู้คนประณามและปฏิเสธ แต่พระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกินเพื่อช่วยชีวิตผู้คนเสมอ ความสามารถของเราขาดไป เราจึงเข้าใจความจริงอย่างช้าๆ พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงไม่ทอดทิ้งเราเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงสามัคคีธรรมกับเราอย่างจริงจังจากทุกมุมมอง พระองค์ทรงอธิบายความจริงทั้งหมดอย่างละเอียดถี่ถ้วน พระองค์ทรงเล่าเรื่อง ยกตัวอย่าง และใช้คำอุปมาอุปมัยเพื่อช่วยให้เราเข้าใจ ความจริงบางอย่างซับซ้อนและเกี่ยวพันกับหลายสิ่ง พระเจ้าจึงทรงแบ่งพวกมันออก และทรงมอบโครงร่างคร่าวๆ แก่เรา พระองค์ทรงนำทางเราอย่างใจเย็นและเป็นระบบให้เข้าใจความจริงทีละน้อยผ่านการสามัคคีธรรม เราสามารถเห็นได้ว่าพระเจ้าทรงรับผิดชอบอย่างยิ่งต่อชีวิตของเรา แต่ฉันกลับปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองอย่างไร? ฉันคิดว่าการทุ่มความคิดและความพยายามมากขึ้นมันไม่คุ้มค่า ฉันไม่ได้จริงจังหรือมีความรับผิดชอบเมื่อตรวจสอบเอกสาร ฉันใช้เส้นทางของความอดทนน้อยที่สุดโดยไม่ดูผลลัพธ์หรือผลที่ตามมา ฉันไม่ใส่ใจพระบัญชาของพระเจ้าจริงจัง เพียงแค่ทำพอให้ผ่านๆ ไปเท่านั้น จิตสำนึกของฉันอยู่ที่ไหน ฉันสมควรได้รับการลงโทษจากพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่เคยล้มเลิกในการช่วยฉันให้รอด พระองค์ใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อให้ความกระจ่างแก่ฉันและนำทางฉัน ช่วยฉันให้รู้จักตัวเองและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ถ้าฉันยังคงเฉื่อยชาและทำหน้าที่ของฉันอย่างขอไปที ฉันก็ไม่สมควรที่จะมีชีวิตหรือถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์ ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! คราบสกปรกของลูกนั้นร้ายแรงเหลือเกิน ลูกไม่ยินดีที่จะดำเนินชีวิตต่อไปในทางที่น่าอับอายและไม่สมเกียรติอีกแล้ว โปรดให้ความเข้มแข็งแก่ลูกในการปฏิบัติตามความจริง เพื่อให้ลูกสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเหมือนมนุษย์ที่แท้จริงและทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตที่สร้างขึ้นให้ลุล่วงด้วยเถอะ”
ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าดังนี้ “ในฐานะมนุษย์ เพื่อยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า คนเราต้องอุทิศตน คนเราต้องอุทิศตนแด่พระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ และไม่สามารถเหยาะแหยะ ล้มเหลวในการรับผิดชอบ หรือกระทำการบนพื้นฐานของผลประโยชน์หรืออารมณ์ของคนเราเอง นี่ไม่ใช่การทุ่มเทอุทิศ การทุ่มเทอุทิศอ้างอิงถึงสิ่งใด? การทุ่มเทอุทิศหมายความว่า ขณะที่ทำให้หน้าที่ของเจ้าลุล่วง เจ้าจะไม่ได้รับอิทธิพลและการจำกัดควบคุมโดยอารมณ์ สภาพแวดล้อม ผู้คน เรื่องต่างๆ หรือสิ่งต่างๆ ‘ฉันได้รับพระบัญชานี้จากพระเจ้าแล้ว พระองค์ได้ทรงมอบพระบัญชานี้ให้ฉันแล้ว นี่คือสิ่งที่ฉันถูกคาดหมายให้ทำ เพราะฉะนั้น ฉันจะทำการนี้โดยคำนึงถึงการนี้ในฐานะกิจธุระของฉันเอง ในหนทางใดก็ตามที่ให้ผลลัพธ์ที่ดี โดยให้ความสำคัญกับการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย’ เมื่อเจ้ามีสภาวะนี้ เจ้าไม่เพียงถูกควบคุมโดยมโนธรรมของเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวข้องกับการทุ่มเทอุทิศอีกด้วย หากเจ้าเพียงแค่พอใจที่จะทำให้สำเร็จเท่านั้น โดยไม่ใฝ่สูงที่จะมีประสิทธิภาพและสัมฤทธิ์ผล และรู้สึกว่าเพียงแค่ใช้ความพยายามออกไปบ้างก็เพียงพอแล้ว เช่นนั้นแล้วนี่ก็เป็นเพียงแค่มาตรฐานของมโนธรรม และไม่สามารถนับเป็นการอุทิศได้ เมื่อเจ้าทุ่มเทอุทิศแด่พระเจ้า มาตรฐานนี้ก็จะสูงส่งกว่ามาตรฐานของมโนธรรมเล็กน้อย เช่นนั้นแล้ว การนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของการใช้ความพยายามออกไปบ้างอีกต่อไป เจ้ายังต้องใส่ทั้งหัวใจของเจ้าลงไปอีกด้วย เจ้าต้องคำนึงถึงหน้าที่ของเจ้าในฐานะการงานของเจ้าเองที่ต้องทำ รับภาระสำหรับกิจนี้ ทนทุกข์กับการตำหนิหากเจ้าทำผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อยเสมอ หรือหากเจ้าหละหลวมแม้แต่น้อย ต้องรู้สึกว่าเจ้าไม่สามารถเป็นบุคคลประเภทนี้ได้ เพราะมันทำให้เจ้าไม่ควรค่ากับพระเจ้าเหลือเกิน ผู้คนที่มีสำนึกรับรู้อย่างจริงแท้ย่อมทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วงราวกับว่าหน้าที่เหล่านั้นเป็นการงานของพวกเขาเองที่ต้องทำ โดยไม่คำนึงถึงว่ามีผู้ใดกำลังกำกับดูแลหรือไม่ ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงมีความสุขกับพวกเขาหรือไม่ และไม่สำคัญว่าพระองค์จะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็มักจะมีข้อเรียกร้องที่เคร่งครัดต่อตัวพวกเขาเองเสมอในการทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วงและทำให้พระบัญชาที่พระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้พวกเขานั้นครบบริบูรณ์ นี่เรียกว่าการอุทิศ” (“เพียงโดยการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความสุขอย่างแท้จริงได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าแสดงให้ฉันเห็นเส้นทางของการปฏิบัติ เราไม่สามารถทำไปตามอารมณ์และความชอบในหน้าที่ของเรา ทำสิ่งที่เราต้องการ เราไม่สามารถทำมั่วๆ ให้ผ่านไป เมื่อมีบางสิ่งที่ต้องใช้การทำงานหนัก แต่เราควรปฏิบัติต่อหน้าที่ของเราเหมือนเป็นพระบัญชาของพระเจ้า เหมือนเป็นความรับผิดชอบของเราเอง เราควรใช้ความคิดและความพยายามเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่ว่าจะยากอย่างไร ไม่ว่าเราจะได้รับการกำกับดูแลหรือไม่ก็ตาม เราควรปฏิบัติหน้าที่ด้วยสุดหัวใจ ความคิดและกำลังของเรา เมื่อฉันตระหนักถึงสิ่งนี้ ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้า เต็มใจกลับใจและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า หลังจากนั้น ฉันใช้เวลาว่างในการสร้างเอกสารเกี่ยวกับการใช้เครื่องหมายวรรคตอนในภาษาอิตาลี สำหรับสมาชิกใหม่ไว้ใช้อ้างอิง หลังจากนั้นฉันสรุปปัญหาทั่วไปที่พบในการแปล และระบุรายการทุกสิ่งที่ต้องใช้ความใส่ใจ ฉันจะตรวจสอบเรื่องนี้ในระหว่างการตรวจสอบเอกสาร จะได้ไม่มีอะไรถูกข้ามไป และเมื่อพี่น้องชายหรือหญิงถามคำถามเกี่ยวกับหน้าที่ของพวกเขา ฉันจะไม่เพียงแค่ดูคร่าวๆ และใช้จินตนาการของฉันที่จะตอบ แต่พิจารณาคำถามของพวกเขาอย่างรอบคอบ ประยุกต์ใช้หลักการและมองหาความรู้ด้านอาชีพที่ฉันสามารถใช้เพื่อตอบคำถามพวกเขา เมื่อฉันไม่เข้าใจอะไร โดยการใช้ความพยายามแท้จริง ควบคู่กับความรู้แจ้งและการนำจากพระเจ้า ฉันจะค่อยๆเข้าใจมัน ฉันยังสะท้อนให้เห็นถึงแรงจูงใจที่ไม่ถูกต้องมากมายในหน้าที่ของฉัน เมื่อใดก็ตามที่ฉันประสบความยากลำบากและต้องการที่จะทำให้พอผ่านๆ ไป ฉันจะอธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อละทิ้งเนื้อหนัง ฉันจึงสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้โดยใช้ความพยายามอย่างแท้จริง ทัศนคติของฉันในหน้าที่ของฉันค่อยๆ ได้รับการแก้ไขอย่างมีนัยสำคัญ และฉันก็ทำสิ่งต่างๆ แบบมั่วๆ ให้ผ่านไปน้อยลง ฉันสามารถปฏิบัติหน้าที่ของฉันได้ในลักษณะที่มั่นคง การเปลี่ยนแปลงในตัวฉันนี้เป็นผลมาจากการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย จูดี้ ฟิลิปปินส์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2021 ฉันให้น้ำผู้มาใหม่ในคริสตจักร พี่น้องชายเจเรมีกำกับดูแลงานของพวกเรา...
โดย ดานี พม่า ฉันสนใจ ศาสนาคริสต์ตั้งแต่เด็ก แต่เพราะครอบครัวเป็นชาวพุทธ ฉันเลยไม่ได้มาเป็นคริสเตียน ในตอนนั้น ฉันเคยได้ยินเรื่องนรก แต่ฉัน...
โดย หยางฟาน, ประเทศจีน ปี 2019 ฉันเริ่มทำหน้าที่ผู้นำ ฉันรู้ว่านี่คือการทรงยกชูของพระเจ้า ฉันสัญญากับตัวเองว่าจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดี จากนั้น...
มีนาคมปี 2021 ฉันยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันอ่านพรวะจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากมาย เข้าชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงบ่อยๆ...