ฉันไม่ใช้ชีวิตเพื่อเงินอีกต่อไป

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

ตอนเด็กๆ ครอบครัวของฉันยากจนมาก ญาติๆ และเพื่อนบ้านต่างก็ดูถูกเรา ลูกๆ ของเพื่อนบ้านก็ไม่เล่นกับฉัน จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่ฉันไปหาลูกของเพื่อนบ้านด้วยอารมณ์แจ่มใส เพื่อดูว่าเธออยากเล่นด้วยกันไหม แต่พอฉันกำลังจะถึงทางเข้าบ้านเธอ เธอก็ปิดประตูใส่ทันที ฉากนี้ฝังอยู่ในความทรงจำวัยเด็กของฉันราวกับเป็นตราประทับ กระทบต่อการเห็นคุณค่าในตัวเองของฉันอย่างมาก พอเริ่มไปโรงเรียน เพื่อนร่วมชั้นกับบรรดาคุณครูต่างก็พากันดูถูกฉันเหมือนกัน ตอนที่ฉันเห็นว่าลูกบ้านอื่น มีกระเป๋าเป้และกระเป๋าดินสอดีๆ มีเสื้อผ้าสวยๆ การรู้ว่าฉันก็ไม่มีอะไรแบบนั้นเลย ทำให้ฉันคิดอยู่ทุกวันว่า ถ้าครอบครัวฉันมีเงินมากเท่ากับครอบครัวอื่นๆ ก็คงจะดี แบบนั้นคนก็คงจะไม่ดูถูกฉัน ตอนสิบขวบ ที่บ้านฉันมีหนี้สินก้อนโตเนื่องจากอุบัติเหตุทางถนน พ่อก็เลยไปขอยืมเงินจากญาติๆ  แต่เพราะเรายากจน พวกเขาก็เลยไม่กล้าให้ยืม หลังจากนั้นพ่อก็มืดแปดด้านจนมักจะถอนหายใจอย่างสิ้นหวังอยู่เรื่อยๆ พ่อมักจะพูดกับฉันว่า “ญาติๆ กับพวกเพื่อนบ้านพากันดูถูกเราเพราะเราไม่มีเงิน โตขึ้น ลูกต้องนำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่วงศ์ตระกูลเรานะ ผู้คนจะยกย่องก็ต่อเมื่อลูกหาเงินได้มากๆ เท่านั้นแหละ” คำพูดของพ่อและความทรงจำของการโดนคนพูดจากลั่นแกล้งตอนเด็กๆ ฝังลึกอยู่ในใจฉัน และฉันก็ตั้งใจแน่วแน่ไว้ว่า โตขึ้นฉันจะหาเงินให้ได้มากๆ มีชีวิตที่มั่งคั่ง กำจัดคำตราหน้าว่า “คนจน” ออกไปให้สิ้นซาก และทำให้พวกที่เคยดูถูกฉันได้เห็น

ในปี 1996 พ่อของฉันเริ่มทำงานเป็นตัวแทนในธุรกิจการขนส่งสินค้า ไม่กี่ปีต่อมา ธุรกิจของครอบครัวเราก็เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแต่ใช้หนี้ได้หมด เรายังซื้อรถบรรทุกเพื่อขนส่งอีกด้วย มีทั้งโทรศัพท์บ้านและมือถือ พอครอบครัวเรามีเงินแล้ว ญาติๆ และบรรดาเพื่อนบ้านที่เคยดูถูกเราเมื่อก่อนก็เริ่มแวะเวียนกันมาเยี่ยม ไปไหนมาไหนก็มีแต่คนยกย่อง ในที่สุดฉันก็สามารถเดินอย่างเชิดหน้าชูตาได้เสียที นั่นทำให้ฉันเชื่อมากขึ้นไปอีกว่า การดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้คนเราจำเป็นต้องหาเงินให้ได้มากขึ้น ผู้คนจะเคารพก็แต่คนที่มีเงินเท่านั้น ฉันค่อยๆ เรียนรู้การทำธุรกิจจากสิ่งรอบตัวที่ได้เห็นและได้ยิน  ในปี1999 ขณะที่ฉันกำลังเตรียมที่จะทุ่มพลังทั้งหมดไปกับธุรกิจ ฉันก็พบความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้ายอย่างไม่คาดฝัน ในตอนแรก ฉันกระตือรือร้นอย่างแรงกล้ากับความเชื่อในพระเจ้า ฉันเห็นว่ายังมีผู้คนอีกมากมายที่ยังไม่ได้มาเฉพาะพระพักต์พระเจ้า ก็เลยเข้าร่วมในตำแหน่งผู้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ หลังจากนั้นฉันก็ออกไปเผยแผ่ข่าวประเสริฐอยู่บ่อยๆ ซึ่งกระทบต่อการทำธุรกิจของครอบครัว ครอบครัวของฉันจึงเริ่มดุด่าฉันว่า “อายุแค่นี้ทำไมถึงได้ไปเชื่อในพระเจ้าซะแล้วล่ะ? ถ้าขืนเธอยังวิ่งวุ่นอยู่แบบนี้ เราจะไม่ให้เงินเธอใช้นะ” ฉันคิดว่า “ถ้าไม่มีเงิน ก็จะต้องทนถูกผู้คนเลือกปฏิบัติเหมือนตอนเด็กๆ รึเปล่านะ?” ในที่สุดฉันก็พ่ายแพ้ต่อการทดลองนี้และละทิ้งการทำหน้าที่ของตัวเอง และฉันก็แค่เข้าร่วมการชุมนุมเป็นครั้งคราวเท่านั้น พองานยุ่งขึ้นเรื่อยๆ หัวใจฉันก็ยิ่งห่างไกลจากพระเจ้า ต่อมา พ่อยกกิจการทั้งหมดให้ฉันบริหาร ฉันก็เลยมีอาชีพเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ ตอนนั้นฉันมีความสุขที่สุดเลย เพื่อหาเงินให้ได้มากขึ้นและได้เป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จในอาชีพการงาน ทุกๆ วันฉันจึงใช้สมองไปกับการติดต่อกับผู้ส่งมอบสินค้าที่หลากหลาย มีสายโทรเข้ามาไม่ขาดทั้งวันทั้งคืน กระหายน้ำก็ไม่มีเวลาปลีกตัวไปดื่ม จนเสียงแหบเสียงแห้งแล้วฉันก็ยังไม่ยอมพักผ่อน ด้วยการทำงานอย่างหนักนี้ ในที่สุดฉันก็ออมเงินได้เกือบแสนหยวน แม้ว่าฉันต้องทนทุกข์ทรมานมากกว่าคนทั่วไปในช่วงไม่กี่ปีนั้น แต่มันก็คุ้มค่าที่ได้เห็นกระเป๋าเงินเริ่มโตขึ้น

ต่อมา ฉันเห็นว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาหารือเรื่องธุรกิจต่างก็ขับรถมา และอาศัยอยู่ในคอนโดสูงๆ ขณะที่ฉันเช่าบ้านสองห้องเก่าๆ ที่มีหน้าบ้านติดถนน เมื่อเทียบกับคนรวยพวกนี้แล้วฉันยังห่างไกลนัก ฉันจึงบอกกับตัวเองว่า “แค่นี้ไม่พอหรอก ฉันต้องทำงานหนักต่อไป และพยายามมุ่งมั่นเพื่อสักวันหนึ่งจะได้มีรถขับ ได้อยู่ในอพาร์ตเมนต์สูงๆ และมีบริษัทของตัวเอง” เพื่อให้ความปรารถนาของตัวเองเป็นจริงโดยเร็วที่สุด ฉันก็ยิ่งยุ่งมากขึ้นกว่าเดิมอีก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ฉันแทบนอนหลับไม่เต็มตื่นเลยสักคืนเดียว และมักจะอยู่ในสภาพเหนื่อยล้าอ่อนแรง ฉันยังสาวอยู่ตอนที่เริ่มมีอาการปวดหัวจากความเครียด เวลาที่ปวดหัวแบบนี้ ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มแทง นอกจากนี้ ฉันมักจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนจากรังสีของคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ ฉันใช้เล็บจิกหนังศีรษะแรงๆ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด หรือเอาหัวโขกกำแพง แต่วิธีการเหล่านี้ไม่ได้ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฉันเลยแม้แต่น้อย พอฉันปวดหัวจนทนไม่ไหวอีกต่อไป ฉันก็คิดว่าจะไปให้โรงพยาบาลตรวจดู แต่พอฉันเห็นเงินกำลังไหลมาเทมา ฉันก็ไม่อยากไปโรงพยาบาล “ลืมมันซะ” ฉันคิดว่า “โอกาสในการหาเงินตอนนี้ก็ยิ่งหายาก ฉันควรใช้โอกาสนี้หาเงินให้ได้มากขึ้นตอนที่ยังสาว” หลายปีต่อมา เราก็มีรถยนต์ มีบ้าน และได้จดทะเบียนบริษัทขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ ทุกครั้งที่ฉันขับรถไปบริษัทอื่นเพื่อพูดคุยเรื่องธุรกิจ บรรดาเจ้าของก็จะจ้องมองมาด้วยสายตายอมรับนับถือ และชมว่าฉันมีอาชีพเป็นของตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อย บอกว่าฉันมีความสามารถมาก ลูกค้าหลายคนมักเรียกฉันว่า “ผู้จัดการ” เวลาเจอกัน และเพื่อนๆ ก็ชมว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ประสบความสำเร็จ ในช่วงวันหยุด เวลาขับรถกลับไปบ้านในชนบทกันเป็นครอบครัว เพื่อนบ้านของเราหลายคนก็พากันเข้ามาดูเรา และบอกว่าพ่อแม่สามีฉันโชคดีที่มีลูกสะใภ้เก่งขนาดนี้ พอได้ยินคำสรรเสริญเยินยอเหล่านี้แล้ว ฉันก็รู้สึกพึงพอใจในตัวเองเป็นอย่างมาก ในช่วงไม่กี่ปีนั้น ทุกๆ วันฉันจะคิดวิธีหาเงินได้มากขึ้น และฉันก็เริ่มเมินเฉยต่อความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งเวลาที่ฉันไม่ได้เข้าร่วมการชุมนุม เหล่าพี่น้องหญิงก็จะมาหาฉัน แต่ฉันก็ไม่มีสภาวะจิตใจที่ถูกต้องเลยสักนิดในการรับฟังการสามัคคีธรรมของพวกเธอ บางครั้ง แม้ว่าจะไปร่วมการชุมนุม แต่ฉันก็ยังคิดถึงเรื่องธุรกิจอยู่ตลอดเวลา ถึงแม้แต่ละวันฉันยุ่งสุดๆ แต่ธุรกิจก็ไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดไว้ อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดแล้วเกิดอีก และลูกค้าหลายรายก็ชำระค่าขนส่งล่าช้า ในสองสามปีนั้น เราสูญเสียเงินไปหลายแสนหยวน เพื่อเอาเงินที่เสียไปคืนมา ฉันจึงทุ่มเวลาและพลังมากขึ้นกว่าเดิมอีก จากภาระงานที่หนักหน่วงทุกวัน ก็ทำให้ร่างกายของฉันทำงานหนักเกินรับไหว และอาการปวดหัวของฉันก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ละวันฉันรู้สึกว่าตายซะยังดีเสียกว่า นับตั้งแต่เราเริ่มมีเงิน สามีของฉันจะออกไปเที่ยวแสวงหาความสุขทุกวันและอยู่นอกบ้านทั้งคืน ซ้ำยังเล่นการพนันและผลาญเงินไปเยอะ เราทะเลาะกันเรื่องนี้ทุกวัน และฉันมักจะร้องไห้หน้าดำหน้าแดง ฉันรู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่ช่างเจ็บปวดเหลือเกิน ฉันรู้สึกอับจนหนทางอย่างที่สุด ทั้งยังสับสนมากอีกด้วย ตอนนี้ฉันตระหนักถึงความฝันของตัวเองแล้ว ฉันมีรถยนต์ มีบ้าน และมีบริษัท แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกมีความสุขแม้แต่น้อยเลย? มันเกิดอะไรขึ้น? ในเวลาที่ฉันเจ็บปวดและอับจนหนทางนั้น ฉันก็นึกถึงหนังสือพระวจนะของพระเจ้าที่เคยวางไว้ในที่ทำงานก่อนหน้านี้ ฉันเปิดดูบทที่ชื่อ “การทอดถอนพระทัยขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” และเริ่มอ่าน ตอนนั้นในออฟฟิศเงียบมาก และฉันก็อ่านตั้งแต่ต้นไปเรื่อยๆ พออ่านจนถึงบทตอนสุดท้าย พระวจนะของพระองค์ประทับใจฉัน พระเจ้าตรัสว่า “มนุษยชาติซึ่งได้ไถลห่างไปจากการจัดเตรียมชีวิตตามแนวทางขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้น ไม่รู้จุดประสงค์ของการดำรงอยู่ แต่กลับหวาดกลัวความตาย  พวกเขาไม่มีความช่วยเหลือหรือการสนับสนุน แต่ก็ยังคงลังเลที่จะยอมปิดเปลือกตาลง และได้ทำใจที่จะใช้ชีวิตอย่างต่ำทรามในโลกนี้ เหมือนกระสอบบรรจุเนื้อหนังที่ปราศจากสำนึกแห่งดวงจิตของตน  เจ้าดำเนินชีวิตอยู่แบบนี้ อย่างปราศจากความหวัง ปราศจากจุดมุ่งหมาย มนุษย์คนอื่นๆ ก็เช่นกัน  มีเพียงองค์บริสุทธิ์ในตำนานเท่านั้นที่จะช่วยผู้คนซึ่งกำลังครวญครางอยู่ท่ามกลางความทุกข์ของตน ผู้รอการมาถึงของพระองค์แทบขาดใจได้  จนถึงตอนนี้ การเชื่อนั้นก็ยังไม่เป็นที่ตระหนักในหมู่คนที่ไร้สติ  กระนั้นผู้คนก็ยังโหยหาสิ่งนั้นอยู่ดี  องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีพระกรุณาต่อผู้คนเหล่านี้ที่ทุกข์อย่างล้ำลึก ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงรู้สึกจงเกลียดจงชังผู้คนที่ขาดสติเหล่านี้ เนื่องจากพระองค์ต้องทรงรอคอยคำตอบจากมนุษย์นานเกินไป  พระองค์ทรงเฝ้าปรารถนาที่จะแสวงหา แสวงหาหัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้า เพื่อนำน้ำและอาหารมามอบให้เจ้า เพื่อปลุกเจ้าให้ตื่นขึ้นมา เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องกระหายและหิวโหยอีกต่อไป  ยามที่เจ้ารู้สึกอ่อนล้าท้อใจและยามที่เจ้าเริ่มรู้สึกถึงความหนาวเหน็บอ้างว้างบางอย่างในโลกใบนี้ จงอย่าหลงทาง จงอย่าร่ำไห้  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้เฝ้าดู จะทรงโอบกอดการมาถึงของเจ้าไม่ว่า ณ เวลาใดก็ตาม  พระองค์จะทรงเฝ้าจับตาดูอยู่ข้างกายเจ้า รอคอยให้เจ้าหันหลังกลับมา  พระองค์กำลังทรงรอคอยวันที่เจ้าพลันฟื้นความทรงจำขึ้นมา กล่าวคือ ยามที่เจ้าได้ตระหนักว่า ตัวเจ้านั้นมาจากพระเจ้า ได้ตระหนักว่า ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้หลงทางไป ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้สูญเสียสติไปในระหว่างเส้นทาง และ ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้ ‘บิดา’ มาหนึ่งคน ยิ่งไปกว่านั้นคือ ยามที่เจ้าตระหนักว่า องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงติดตามเฝ้าดูเจ้าตลอดมา ทรงรอคอยปักหลักอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานแสนนานเพื่อการกลับมาของเจ้า  พระองค์ทรงเฝ้ารอดูด้วยความถวิลหาสุดพระทัย รอคอยการตอบสนองที่ไม่มีแม้คำตอบสักคำ  การเฝ้าดูและการรอคอยของพระองค์นั้นเลอค่าเหนือกว่าจะประมาณได้ และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของหัวใจมนุษย์และจิตวิญญาณของมนุษย์  บางที การเฝ้าดูและการรอคอยนี้อาจไม่มีจุดสิ้นสุด และบางทีอาจมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว  แต่ตัวเจ้านั้นก็ควรรู้ว่า หัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้านั้นอยู่ที่ไหนในเวลานี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การทอดถอนพระทัยขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์)  พอได้อ่านถ้อยคำที่ว่า “รอคอยการตอบสนองที่ไม่มีแม้คำตอบสักคำ” หัวใจของฉันที่หลับใหลอยู่ก็ตื่นขึ้นทันที และฉันก็เริ่มตริตรองว่า “ใครจะรอคอยการตอบสนองที่ไม่มีแม้คำตอบสักคำได้เล่า? มีแต่พระเจ้าเท่านั้น! มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ทรงอยู่เคียงข้างผู้คนอย่างเงียบๆ แบบนี้” พระวจนะของพระเจ้าปลอบโยนจิตวิญญาณที่บาดเจ็บของฉัน จนฉันก็ไม่อาจห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลได้ ในขณะนั้นเอง ที่ฉันรู้สึกว่าหัวใจของฉันใกล้ชิดกับพระเจ้ามากๆ ตลอดหลายปีของการเชื่อในพระเจ้า ฉันไม่เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจังเลย ตลอดเวลาในหัวเต็มไปด้วยความคิดที่ว่า จะหาเงินได้มากขึ้นและทำให้คนอื่นยกย่องได้ยังไง ทุกๆ วัน ฉันจะลากสังขารที่เหนื่อยล้ามาบริหารจัดการธุรกิจ จนท้ายที่สุด ฉันก็ได้ชื่นชมยินดีกับวัตถุอย่างล้นเหลือและได้รับความเคารพจากผู้อื่น แต่สิ่งที่ได้รับกลับมา กลับเป็นการนอกใจของสามีครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังเจ็บไข้ได้ป่วยอีกด้วย ฉันไม่รู้สึกมีความสุขแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกว่างเปล่า เจ็บปวด และอับจนหนทางแทน ความเจ็บปวดทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะฉันเอาตัวออกห่าง และซ่อนตัวจากการดูแลและการคุ้มครองของพระเจ้า สิบปีก่อนฉันได้ยินพระสุระเสียงของพระองค์ แต่ฉันก็ไม่ถนอมรักษาพระคุณแห่งความรอดของพระองค์ หรือกินและดื่มพระวจนะของพระองค์อย่างถูกควร ทั้งยังละเลยการทำหน้าที่ของตน ฉันเป็นกบฏมากจริงๆ แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงทอดทิ้งฉัน และคอยอยู่เคียงข้างฉันเสมอ ทรงรอคอยให้ฉันเปลี่ยนใจ ตอนที่ฉันสับสนและอับจนหนทาง พระวจนะของพระเจ้าปลอบโยนจิตวิญญาณที่บาดเจ็บของฉันทันที ตอนที่ฉันไม่ได้ไปชุมนุมอย่างสม่ำเสมอและปลีกตัวออกห่างจากพระเจ้า พระองค์ก็ทรงให้พี่น้องหญิงมาช่วยฉันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ฉันสิ กลับเนรคุณและขัดขืน ฉันปฏิเสธความรอดของพระเจ้าที่ทรงมีให้ฉันหลายต่อหลายครั้ง ฉันไม่มีมโนธรรมหรือเหตุผลอะไรเลยจริงๆ ยิ่งคิดก็ยิ่งเสียใจ และโทษตัวเองมากขึ้น ฉันร้องไห้ไปอธิษฐานต่อพระเจ้าไป “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ผิดไปแล้ว ข้าพระองค์เกลียดตัวเองที่ไม่ได้อ่านพระวจนะของพระองค์อย่างละเอียดในตอนนั้น และทุ่มเทแรงใจทั้งหมดไปกับการหาเงิน คิดว่าถ้ามีเงิน ก็จะมีทุกอย่าง แต่พอมีเงินทองและได้ชื่นชมยินดีกับวัตถุแล้ว ข้าพระองค์ก็รู้สึกว่างเปล่า เจ็บปวด และอับจนหนทางจริงๆ ข้าแต่พระเจ้า ก่อนหน้านี้ข้าพระองค์เลือกเส้นทางผิด จากนี้ไปข้าพระองค์อยากจะไล่ตามเสาะหาความจริงและเดินบนเส้นทางแห่งการเชื่อในพระเจ้าอีกครั้ง” หลังจากอธิษฐานแล้ว ฉันก็รู้สึกสบายใจและสงบสุขเป็นอย่างมาก ราวกับว่าฉันเป็นเรือโดดเดี่ยวในมหาสมุทรที่ได้พบท่าจอดทอดสมอแล้ว เหมือนดังบุตรน้อยสุรุ่ยสุร่ายผู้หลงหาย ได้กลับมาสู่อ้อมแขนของมารดาหลังจากเร่ร่อนรอนแรมมานานหลายปี ฉันรู้สึกได้ถึงความปลอดภัยอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน หลังจากนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ถึงเวลาชุมนุม ฉันก็จะจัดตารางการงานไว้ล่วงหน้าเสมอ ฉันค่อยๆ รู้สึกผ่อนคลายลงเมื่อได้เข้าร่วมการชุมนุม  และมักจะหาเวลาในการอ่านพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่ในคริสตจักร แต่บางทีที่ธุรกิจกับหน้าที่ของฉันก็ขัดกัน ฉันจะเลือกธุรกิจและละทิ้งหน้าที่ของตัวเอง ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงระทมทุกข์อยู่ภายใน บางครั้งฉันก็คิดเหมือนกันนะว่า “เมื่อไหร่นะที่ฉันจะได้ทำหน้าที่อย่างสงบสุขโดยไม่ต้องพะวงกับธุรกิจ?” พอฉันได้เห็นว่าพี่น้องชายหญิงจำนวนมากสามารถทอดทิ้งครอบครัวและละทิ้งอาชีพการงานเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้ ฉันก็รู้สึกประทับใจอย่างมาก ฉันคิดว่าเราทุกคนเป็นมนุษย์ ดังนั้น หากเหล่าพี่น้องชายหญิงสามารถละความกังวลของตนและสละตนเพื่อพระเจ้าได้ แล้วทำไมฉันถึงจะทิ้งไปไม่ได้ล่ะ? ฉันหวังไว้มากว่า สักวันหนึ่งฉันจะสามารถทุ่มเทอย่างสุดจิตสุดใจในการทำหน้าที่ของตนได้ ถ้าได้แบบนั้นคงจะยอดเยี่ยมมาก! ฉันคิดเรื่องนี้กับพระเจ้าในตอนอธิษฐานซ้ำแล้วซ้ำอีก หวังว่าพระองค์จะประทานความเชื่อแก่ฉันให้มากขึ้น และขอให้วันนั้นมาถึง วันที่ฉันสามารถปล่อยวางการงานและสละตนเพื่อพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจ

ในฤดูร้อนปี 2011 อาการปวดหัวของฉันรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้วจึงไปตรวจที่โรงพยาบาลในเมือง หมอพูดกับฉันว่า “อาการปวดหัวของคุณอาจเกี่ยวข้องกับงานที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้ ถ้าอยากให้อาการดีขึ้น วิธีที่ดีที่สุดก็คือไม่ทำธุรกิจนี้อีกต่อไป ไม่งั้นอาการของคุณก็จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ” พอได้ยินคำพูดของหมอ ฉันก็รู้ชัดว่านี่คือทางออกที่พระเจ้าทรงประทานมาให้ ฉันอยากจะใช้โอกาสนี้บอกกับครอบครัวว่า ฉันไม่สามารถทำธุรกิจได้อีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังตัดสินใจไม่ได้สักที เพราะฉันเพียรพยายามบริหารจัดการมานานเป็นสิบปีถึงได้ผลิดอกออกผลอย่างในวันนี้ อีกอย่าง ปีนั้นธุรกิจก็กำลังรุ่งเรืองเฟื่องฟู บางวันเราก็มีรายได้ถึงวันละห้าหรือหกพันหยวนเลยทีเดียว ถ้าฉันล้มเลิกไป ลูกค้าที่ฉันติดต่อด้วยตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็จะถูกคนอื่นในแวดวงนี้ฉกฉวยไป สุดท้าย ฉันก็ไม่อาจเอาชนะเงินที่มาล่อตาล่อใจได้ และต้องทนทรมานกับความเจ็บป่วยเพื่อสู้ทนทำงานต่อไปอีกหลายเดือน ถึงแม้จะหาเงินมาได้มากมาย แต่ฉันก็ไม่มีความสุขเลย ฉันนึกถึงเมื่อก่อน ตอนที่ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าและเต็มใจที่จะละทิ้งธุรกิจและสละตนเพื่อพระองค์ แต่ตอนนี้ฉันยังคงกอดเงินไว้แน่นและไม่ยอมวางมือ ฉันรู้สึกผิดมากๆ อยู่ภายใน จึงอธิษฐานต่อพระเจ้าอีกครั้ง ขอให้พระองค์ช่วยฉันวางมือจากธุรกิจและสละตนเพื่อพระองค์ วันหนึ่ง ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หากเราจะวางเงินจำนวนหนึ่งตรงหน้าพวกเจ้าตอนนี้ และให้พวกเจ้ามีอิสระในการเลือก—และหากเราไม่กล่าวโทษพวกเจ้าเนื่องจากตัวเลือกของพวกเจ้า—เมื่อนั้น พวกเจ้าส่วนใหญ่คงจะเลือกเงินและละทิ้งความจริง  คนที่ดีกว่าในหมู่พวกเจ้าคงจะยอมละทิ้งเงินและเลือกความจริงอย่างลังเล ในขณะที่ผู้ที่อยู่ระหว่างกลางคงจะหยิบฉวยเงินไว้ในมือข้างหนึ่งและความจริงไว้ในมืออีกข้างหนึ่ง  เช่นนั้นแล้ว ธาตุแท้ของพวกเจ้าจะไม่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดหรอกหรือ?  เมื่อต้องเลือกระหว่างความจริงและสิ่งใดก็ตามที่พวกเจ้าจงรักภักดี พวกเจ้าจะเลือกตัวเลือกนี้กันทุกคน และทัศนคติของพวกเจ้าก็จะยังคงเป็นเหมือนเดิม  ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  มีผู้คนไม่มากนักในหมู่พวกเจ้าที่ได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาระหว่างถูกและผิดมิใช่หรือ?  ในการแข่งกันระหว่างด้านบวกกับด้านลบ ดำและขาว พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างแน่นอนถึงตัวเลือกที่พวกเจ้าได้เลือกระหว่างครอบครัวกับพระเจ้า ลูกๆ กับพระเจ้า สันติสุขกับการแตกแยก ความร่ำรวยกับความยากจน สถานภาพกับความธรรมดาสามัญ การได้รับการสนับสนุนกับการถูกทิ้งขว้าง เป็นต้น  ระหว่างครอบครัวที่สงบสุขกับครอบครัวที่แตกแยก พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก และเลือกเช่นนั้นโดยไม่ลังเล  ระหว่างความร่ำรวยและหน้าที่ พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรกอีกครั้ง และยิ่งขาดความตั้งใจที่จะกลับเข้าฝั่ง ระหว่างความหรูหราฟุ่มเฟือยกับความยากจน พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก เมื่อต้องเลือกระหว่างบุตรชาย บุตรสาว ภรรยาและสามีของพวกเจ้า กับเรา พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรก  และระหว่างมโนคติอันหลงผิดกับความจริง พวกเจ้าได้เลือกอย่างแรกอีกครั้งหนึ่ง  เมื่อได้เผชิญกับการกระทำอันชั่วร้ายทั้งหลายในทุกรูปแบบของพวกเจ้า เราก็เพียงหมดความเชื่อในตัวพวกเจ้าแล้วเท่านั้น  เราเพียงประหลาดใจเท่านั้นที่หัวใจของพวกเจ้าต้านทานการทำให้อ่อนลงยิ่งนัก  ชัดเจนแล้วว่าหลายปีแห่งการมอบอุทิศและความพยายามนั้นไม่ได้นำพาอะไรมาให้เรามากไปกว่าการทอดทิ้งและความสิ้นหวังของพวกเจ้า แต่ความหวังของเราที่มีต่อพวกเจ้าเติบโตไปพร้อมกับแต่ละวันที่ผ่านไป เนื่องจากวันของเราได้ถูกแผ่วางต่อหน้าทุกคนอย่างสมบูรณ์แล้ว  กระนั้น พวกเจ้าก็ยังยืนกรานที่จะแสวงหาสิ่งที่มืดมนและชั่วร้ายทั้งหลาย และปฏิเสธที่จะคลายมือของเจ้าที่ยึดจับสิ่งเหล่านั้นไว้  เช่นนั้นแล้ว บทอวสานของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  พวกเจ้าเคยให้การคิดคำนึงถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบหรือไม่?  หากพวกเจ้าถูกขอให้เลือกอีกครั้ง แล้วจุดยืนของพวกเจ้าจะเป็นอย่างไร?  มันจะยังคงเป็นอย่างแรกอยู่อีกหรือไม่?  พวกเจ้ายังจะนำความผิดหวังและความโศกเศร้าที่น่าเวทนามาสู่เราอยู่หรือไม่?  หัวใจของพวกเจ้ายังจะมีความอบอุ่นอันน้อยนิดเพียงอย่างเดียวอยู่หรือไม่?  พวกเจ้ายังจะไม่ตระหนักรู้ว่าต้องทำอะไรเพื่อชูใจเราอยู่หรือไม่?  ณ เวลานี้ พวกเจ้าจะเลือกอะไร?  เจ้าจะนบนอบต่อวจนะของเราหรือจะเหนื่อยล้าต่อวจนะเหล่านั้น?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าจงรักภักดีต่อใคร?)  เมื่อเจอกับคำถามของพระเจ้า ฉันก็เข้าสู่สภาวะของการคิดทบทวนตัวเอง ฉันคิดเรื่องที่ตัวเองอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่หลายครั้ง บอกว่าฉันเต็มใจละทิ้งธุรกิจของตัวเอง และจะสละตนเพื่อพระองค์ตลอดเวลา แต่พอมองดูรายได้หลายพันหยวนต่อวันแล้ว ฉันก็ไม่ยอมละทิ้งมันอีกเลย นี่ฉันกำลังหลอกลวงพระเจ้าอยู่ไม่ใช่เหรอ? ฉันคิดว่าถึงแม้ฉันจะเชื่อในพระเจ้าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ฉันใช้เวลาและพลังเกือบทั้งหมดไปกับการทำธุรกิจ ในหัวฉันเต็มไปด้วยความคิดที่ว่า ทำยังไงถึงจะหาเงินให้ได้มากขึ้น และไม่เคยถนอมรักษาหน้าที่ที่ฉันควรทำ เมื่อไหร่ก็ตามที่หน้าที่กับธุรกิจของฉันขัดกัน ฉันก็มักจะเลือกที่จะไปทำธุรกิจก่อน เก็บหน้าที่ของตนเอาไว้ก่อนแล้วก็ไม่เห็นเป็นเรื่องจริงจัง ไม่กี่ปีมานี้ ฉันกลายเป็นทาสของเงินอย่างเต็มตัว เพื่อที่จะโดดเด่นท่ามกลางหมู่เพื่อนฝูง ทุกๆ วันฉันต้องกระเสือกระสนอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าและความเจ็บปวด จมลึกลงไปเรื่อยๆ ถึงแม้ฉันกบฏต่อพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่พระองค์ก็ยังไม่ล้มเลิกที่จะช่วยฉัน ตอนที่ฉันไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมได้เพราะเห็นแก่ธุรกิจของตัวเอง พระองค์ก็ทรงจัดการเตรียมการให้พี่น้องหญิงมาคอยช่วยเหลือเกื้อหนุนฉัน ตอนที่ฉันต้องเผชิญกับการนอกใจของสามี ความท้าทายในธุรกิจ ไหนจะโรคภัยไข้เจ็บของฉันด้วย และตอนที่ฉันอยู่ในสภาวะเจ็บปวดและอับจนหนทาง พระเจ้าก็ทรงใช้พระวจนะของพระองค์นำทางฉัน ทำให้ฉันโหยหาแสงสว่างและมีความตั้งใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกควร พอฉันไม่ยอมที่จะละทิ้งธุรกิจ พระเจ้าก็ทรงใช้คำพูดของหมอเพื่อแนะนำฉัน พระองค์ทรงเป็นห่วงเป็นกังวลกับชีวิตของฉันอยู่เสมอ และทรงเพียรพยายามกับฉันมากขนาดนี้ แต่ฉันสิ กลับคิดแต่เรื่องวิธีการหาเงินอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยนึกถึงหน้าที่ของตนเลย ฉันนี่มันเห็นแก่ตัวจริงๆ! ตอนนี้พระเจ้ายังคงให้โอกาสฉันได้ทำหน้าที่ของตน และฉันต้องถนอมรักษาโอกาสนี้เอาไว้ ฉันต้องสละตนเพื่อการเผยแผ่ข่าวประเสิรฐแห่งราชอาณาจักร และทำหน้าที่ของฉันในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง หลังจากที่ฉันตัดสินใจเลือกแล้ว ก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น ซึ่งทำให้ฉันมองเห็นอันตรายและผลที่ตามมาจากการไล่ตามความมั่งคั่งได้ชัดขึ้น

วันหนึ่งในฤดูหนาวปี 2011 มีคนโทรมาข่มขู่สามีฉัน บอกว่าเราไปทำให้ใครคนหนึ่งขุ่นเคือง และขอให้สามีส่งเงินให้พวกเขาแสนหยวนเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะตัดแขนตัดขาของสามีฉันทิ้ง พอได้ยินคำพูดเหล่านี้ หัวใจของฉันก็เต้นระรัวด้วยความกลัว ฉันเคยเห็นฉากแบบนี้ในทีวีมาก่อน ไม่คิดเลยว่าจะได้เจอเองกับตัวในชีวิตจริง ทำไมโลกทุกวันนี้ถึงได้วุ่นวายอะไรขนาดนี้นะ! คนเราใจคอโหดร้ายขนาดนี้ได้ยังไงกัน? ณ เวลานั้นเอง จู่ๆ ฉันก็คิดขึ้นมาว่า ถ้าฉันยังทำธุรกิจนี้ต่อไปก็จะนำไปสู่หายนะร้ายแรงอย่างแท้จริง ฉันคิดว่านับตั้งแต่ครอบครัวมีเงิน ฉันก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเลยแม้แต่วันเดียว และตอนนี้ฉันก็ต้องมาเผชิญกับโชคร้ายที่คาดไม่ถึง เงินไม่ได้นำความสุขและความชื่นบานยินดีมาให้เลย ต่อมา ฉันก็ยังได้ยินอีกว่า มีคนขับรถบรรทุกหลายคนที่ส่งสินค้ามาบ้านเราต้องตายจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ พอได้ยินข่าวการตายของพวกเขา ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่านั่นเป็นเรื่องจริง ในหมู่พวกเขา มีคนหนุ่มสาวที่อายุราวๆ ยี่สิบปี กับวัยกลางคนที่มีอายุเพียงสี่สิบเท่านั้น แต่ที่ฝังใจฉันมากที่สุดก็คือคู่สามีภรรยา ซึ่งไม่ได้จ้างคนขับรถเพื่อจะได้มีรายได้เพิ่ม และจะทำงานทั้งวันทั้งคืน จนในที่สุด พวกเขาก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เพราะความเหนื่อยล้า และสามีภรรยาก็เสียชีวิตด้วยกันทั้งคู่ ต่อให้พวกเขาจะได้เงินมาบ้าง แต่ก็ต้องมาตายเพราะการหาเงินพวกนั้น แล้วเงินพวกนั้นช่วยอะไรพวกเขาได้บ้าง? ฉันนึกถึงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน?  หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?(มัทธิว 16:26)  เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงหลายๆ ปีที่ฉันทุ่มหมดใจไปกับการไต่เต้าทางสังคม ทุกๆ วันฉันทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนราวกับเครื่องจักร ถึงแม้จะมีรายได้และได้รับการชื่นชม รวมทั้งการยกย่องจากผู้คนมากมาย แต่ฉันก็ไม่มีความชื่นบานหรือชื่นชมยินดีอะไรไปกับสิ่งเหล่านั้นเลย กลับรู้สึกว่างเปล่าและเจ็บปวดมากขึ้นแทน ฉันเจ็บไข้ได้ป่วยก็เพราะเห็นแก่เงิน และพอปวดหัวมากจนอยากจะเอาหัวโขกกับกำแพง ฉันก็ยังไม่อยากหยุดหาเงิน ฉันได้เห็นแล้วว่าเงินพันธนาการฉันไว้อย่างแน่นหนา เงินก็เหมือนมีดที่ฆ่าคนอย่างเลือดเย็น หากฉันยังพยายามอย่างหนักเพื่อหาเงินเหมือนเมื่อก่อน วันหนึ่งฉันอาจจะถูกเงินทรมานจนตายเหมือนคนพวกนี้ หลังจากวันนี้ หัวเด็ดตีนขาดฉันก็จะไม่ยอมสละชีวิตเพื่อเงินอีกต่อไปแล้ว ฉันนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ยังมีคนอีกมากที่ยังไม่เข้าใจเรื่องนี้อย่างแจ่มแจ้ง และยังคงกระเสือกกระสนอยู่ในวังวนของเงินอยู่ พวกเขาไม่เห็นทิศทางของชีวิตและไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตให้มีความหมายได้ยังไง ฉันอยากจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าในยุคสุดท้ายแก่ผู้คนให้มากขึ้น เพื่อให้ผู้คนได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ให้เร็วขึ้นและเข้าใจความจริง และไม่ต้องทนทุกข์กับความเสื่อมทรามและอันตรายของซาตานอีกต่อไป ฉันบอกครอบครัวว่า ตอนนี้อาการปวดหัวของฉันนั้นหนักมาก และบอกว่าในอนาคตฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจอีกต่อไป ครอบครัวก็เห็นด้วยและอนุญาตให้ฉันไปพักฟื้น ฉันมีความสุขมาก ฉันขอบคุณพระเจ้าจากใจทรงหยิบยื่นทางออกให้ฉัน

ในปี 2012 หลังจากเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ ฉันก็ยกธุรกิจทั้งหมดให้สามีเป็นคนจัดการ และสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่ของฉันได้อย่างสงบ ฉันรู้สึกผ่อนคลายและสงบสุขอย่างที่สุดอยู่ภายในดวงจิตของฉัน สภาพจิตใจของฉันก็ค่อยๆ ดีขึ้นเช่นกัน ที่มหัศจรรย์กว่านั้นอีกก็คือ อาการปวดหัวของฉันหายไปอย่างน่าอัศจรรย์โดยไม่ต้องรับการรักษาใดๆ ฉันซาบซึ้งใจมาก และฉันก็ตระหนักดีว่าเป็นพระเจ้าที่ทรงรักษาอาการเจ็บป่วยของฉัน และทรงช่วยฉันให้พ้นความทรมานจากอาการเจ็บป่วยและการทำลายล้างจิตวิญญาณของฉัน ฉันตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำหน้าที่ของตนอย่างถูกควร และตอบแทนพระเจ้าสำหรับพราะคุณแห่งความรอดของพระองค์ พอสามีเห็นว่าอาการปวดหัวของฉันดีขึ้นแล้ว เขาก็กดดันให้ฉันไปทำธุรกิจต่อ และฉันก็บอกเขาอย่างชัดเจนถึงเจตคติที่ฉันไม่อยากทำธุรกิจอีก พอเห็นว่าฉันไม่ฟัง เขาก็เลยขู่ว่าจะหย่า และบอกว่าถ้าฉันยังเชื่อในพระเจ้าต่อไป เขาจะไม่ให้เงินฉันใช้จ่าย พอเห็นว่าสามีใจดำแค่ไหน ฉันก็โกรธจัดจนเริ่มตัวสั่น ฉากที่ผู้คนดูถูกฉันตอนเด็กๆ ปรากฏขึ้นในใจอีกครั้ง ฉันไม่อยากมีชีวิตแบบนั้นอีกเลยจริงๆ ฉันรู้สึกอ่อนแอมาก ถ้าฉันไม่เชื่อในพระเจ้า ฉันก็จะสามารถเพลิดเพลินไปกับชีวิตทางวัตถุอย่างเหลือกินเหลือใช้ และได้รับความเคารพจากผู้อื่น แต่ถ้าฉันเลือกที่จะทำหน้าที่ของฉันตลอดเวลา ฉันก็จะสูญเสียทุกสิ่งที่มีไป ฉันรู้สึกเจ็บปวดและทรมานใจอย่างที่สุด แล้วน้ำตาก็ไหลอาบแก้มไม่หยุด ด้านหนึ่งคือหน้าที่ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็เป็นอาชีพการงานที่ฉันทำมาหลายปี ฉันไม่รู้ว่าจะเลือกยังไง ฉันร้องไห้และอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ตอนนี้ข้าพระองค์อ่อนแอมาก และไม่รู้ว่าควรเลือกอะไรดี หากข้าพระองค์ยังคงทำหน้าที่ต่อไป ก็จะสูญเสียอาชีพการงานและครอบครัวไป แต่หากข้าพระองค์เลือกครอบครัวและอาชีพการงาน และละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะเป็นคนที่ขาดมโนธรรมและเหตุผล ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากจากพระองค์ไป หากพระองค์ไม่ทรงนำข้าพระองค์ทีละก้าวจนมาถึงทุกวันนี้ ข้าพระองค์คงไม่ได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต ที่ผ่านมา ข้าพระองค์ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงและสละตนเพื่อพระองค์ วันนี้ ข้าพระองค์จะมองข้ามน้ำพระทัยอันดีของพระองค์ไม่ได้อีกต่อไป ข้าพระองค์ต้องการไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกควรและติดตามพระองค์ต่อไป ข้าแต่พระเจ้า! โปรดมอบความเชื่อและความแข็งแกร่งให้แก่ข้าพระองค์เพื่อตัดสินใจเลือกสิ่งที่ถูกต้องด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งว่า “เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น  นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ  เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม  เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น  หากเจ้าดำเนินชีวิตที่ช่างหยาบช้าสามานย์เช่นนั้น และไม่เสาะหาวัตถุประสงค์ใดๆ เจ้าไม่ได้ทิ้งชีวิตไปอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ?  เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น?  เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา)  ตอนอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันรู้สึกราวกับว่าพระองค์ตรัสกับฉันตรงหน้าว่า “ต่อไปภายภาคหน้า เจ้าควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกควร อย่าได้ใช้ชีวิตหยาบคายอย่างที่ผ่านมา” ก่อนหน้านี้ ฉันไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง และฉันก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าไม่มากพอ ฉันทุ่มเวลาและความพยายามไปกับการทำธุรกิจ ทำให้เสียเวลาไปมาก ตอนนี้ฉันต้องถนอมรักษาเวลาในวันข้างหน้าเอาไว้ และไม่ว่าครอบครัวจะรั้งฉันยังไง ฉันก็ไม่อาจจะละทิ้งโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการไล่ตามเสาะหาความจริงนี้ไปได้ ฉันบอกกับสามีว่า “ไม่กี่ปีมานี้ ฉันป่วยหนักก็เพราะพยายามหาเงิน ถ้าฉันไม่เชื่อในพระเจ้า ฉันก็คงตายไปนานแล้ว ในฐานะผู้เชื่อในพระเจ้า ฉันกำลังเดินบนเส้นทางชีวิตที่สดใสและถูกต้อง เมื่อเลือกเส้นทางนี้แล้ว ฉันก็ต้องเดินไปให้ถึงที่สุด คุณไม่เชื่อในพระเจ้า แต่คุณก็ไม่สามารถมาก้าวก่ายอิสรภาพของฉันได้” เมื่อเห็นว่าไม่สามารถรั้งฉันไว้ได้แล้ว เขาก็เลิกกวนใจฉันในเรื่องนี้อีก หลังจากเลือกสิ่งนี้แล้ว ฉันก็รู้สึกโล่งใจมาก หลังจากนั้น ฉันก็ทำหน้าที่ของฉันตลอดเวลา

ต่อมา พอได้เห็นคนรู้จักกำลังขับรถอยู่ ฉันยังคงรู้สึกลังเลอยู่บ้าง เมื่อก่อนตอนที่ฉันทำธุรกิจ และได้ขับรถ ไปไหนมาไหนผู้คนก็จะยกย่องฉัน มาตอนนี้ฉันขี่จักรยานไฟฟ้าแทน พอคนรู้จักและลูกค้าในอดีตเห็นฉัน พวกเขาก็จะไม่ทักทาย คนที่ฉันรู้จักเกือบทุกคนปฏิบัติต่อฉันอย่างเย็นชา ไม่เพียงแต่จะสูญเสียบารมีที่เคยมี แต่ฉันยังต้องเจอกับคำดุด่าของครอบครัวอีกด้วย “เธอตรากตรำทำธุรกิจมาเป็นสิบๆ ปี จากนั้นก็ไส่พานมอบให้คนอื่น ถ้าไม่ทำธุรกิจแแล้ว ดูซิว่าต่อไปใครจะยังให้เงินเธอใช้จ่ายอยู่อีก ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรของเธอ ช่างโง่เขลาจริงๆ!” คำพูดที่น่าโมโหและซักไซ้ไล่เรียงเหล่านี้รบกวนจิตใจฉันอย่างหนัก ช่วงนั้น ฉันรู้สึกกังวลและจิตตกทุกวัน ฉันคิดว่า “ถ้ายังทำธุรกิจต่อไป คนอื่นก็คงจะยังยกย่องฉันอยู่ แต่ตอนนี้ไม่มีธุรกิจแล้ว ถ้าต่อไปไม่มีเงิน แล้วฉันจะใช้ชีวิตยังไงล่ะ?” ไม่ทันได้รู้ตัว ฉันก็จมอยู่ในการทดลองของซาตานอีกครั้ง และทั้งๆ ที่ไม่ได้อยากทำ แต่ฉันก็เริ่มคิดแผนสำรอง ในค่ำคืนอันเงียบสงบ ฉันมักจะพลิกตัวไปมาและนอนไม่หลับ ฉันเริ่มคิดทบทวนว่า “ทำไมทุกครั้งที่เผชิญกับการทดลองเรื่องเงินทอง ชื่อเสียง และสถานะ ใจฉันถึงได้วุ่นวายอยู่ตลอดเลยนะ?” ฉันอยากหาคำตอบให้กับคำถามนี้ให้ได้ ต่อมา ฉันก็ได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “‘เงินทำให้โลกหมุนไป’ เป็นปรัชญาหนึ่งของซาตาน มันแพร่หลายไปท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งหมด ในทุกสังคมมนุษย์ เจ้าสามารถกล่าวได้ว่ามันเป็นกระแสนิยมอย่างหนึ่ง  นี่เป็นเพราะมันถูกปลูกฝังอยู่ในหัวใจของทุกคนที่ไม่ได้ยอมรับคำกล่าวนี้แต่แรก แต่ต่อมากลับให้การยอมรับมันโดยปริยายเมื่อพวกเขาเข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเริ่มที่จะรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วคำพูดเหล่านี้จริงแท้  นี่ไม่ใช่กระบวนการที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามหรอกหรือ?ซาตานใช้เงินทองมาทดลองผู้คน และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามจนบูชาเงินตราและเทิดทูนวัตถุสิ่งของ  แล้วการบูชาเงินตรานี้สำแดงในตัวผู้คนอย่างไร?  พวกเจ้ารู้สึกว่าพวกเจ้าไม่สามารถอยู่รอดในพิภพนี้ได้โดยปราศจากเงินเลย ว่าแม้แต่วันหนึ่งที่ปราศจากเงินก็คงจะเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่?  สถานะของผู้คนขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีเงินมากเพียงใด เช่นเดียวกับความนับถือที่พวกเขาอยากได้มา  หลังของคนยากจนก้มโค้งด้วยความอดสู ในขณะที่คนมั่งคั่งชื่นชมสถานที่สูงส่งของพวกเขา  พวกเขาเชิดและเย่อหยิ่ง พูดเสียงดังและดำรงชีวิตอย่างโอหัง  คติพจน์และกระแสนิยมนี้นำพาสิ่งใดมาสู่ผู้คนหรือ?  จริงหรือไม่ที่ผู้คนมากมายทำการพลีอุทิศทุกอย่างในการไล่ตามเสาะหาเงินตรา?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของพวกเขาไปในการไล่ตามเสาะหาเงินตราที่มากขึ้นหรอกหรือ?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและติดตามพระเจ้าไปเพื่อประโยชน์ของเงินหรอกหรือ?  การสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดไม่ใช่การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้คนหรอกหรือ?  ซาตานไม่ส่อแววร้ายหรอกหรือที่ใช้วิธีการนี้และคติพจน์นี้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามถึงระดับเช่นนั้น?  นี่ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมที่คิดร้ายหรอกหรือ?  ขณะที่เจ้าก้าวจากการคัดค้านคติพจน์ยอดนิยมนี้ไปสู่การยอมรับในที่สุดว่ามันเป็นความจริง หัวใจของเจ้าก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานโดยบริบูรณ์ และดังนั้นเจ้าก็ได้มาดำรงชีวิตอยู่ด้วยคติพจน์นี้โดยไม่ตั้งใจ(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5)  จากสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปง ฉันได้พบต้นตอของสาเหตุ ว่าทำไมฉันถึงไม่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของเงินทองและชื่อเสียงได้สักที ฉันนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่พ่อมักจะสอนฉันตอนที่ยังเด็ก “ครอบครัวเรายากจน ฉะนั้นเมื่อโตขึ้น ลูกต้องหาเงินให้ได้มากๆ และนำเกียรติยศชื่อเสียงมาสู่ตระกูลเรา แค่มีเงิน คนก็จะมองเราในแง่ดี” คำพูดของพ่อประทับอยู่ในความทรงจำของฉัน ฉันคิดว่า ในช่วงหลายปีมานี้น้ำพิษของซาตานอย่างเช่น “เงินทำให้โลกหมุนไป” และ “เงินไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีเงิน ก็ทำอะไรไม่ได้” เป็นตัวกำหนดการใช้ชีวิตของฉัน ฉันเชื่อว่าขอแค่มีเงินเท่านั้น ฉันก็จะพูดได้อย่างภาคภูมิและทำให้ผู้อื่นยกย่องได้ เพื่อให้เป็นที่ยกย่องของผู้อื่น ฉันจึงทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยทั้งกลางวันและกลางคืน ราวกับหุ่นยนต์ผลิตเงิน พอเหนื่อยหรือง่วง ฉันก็ไม่อยากพักผ่อน พอป่วย ฉันก็ไม่ยอมไปหาหมอ เพราะไม่อยากพลาดโอกาสทางธุรกิจไปแม้แต่น้อย ฉันจึงทุ่มสุดใจไปกับการหาเงิน เมื่อไหร่ก็ตามที่ธุรกิจกับการชุมนุมขัดกัน ฉันจะจัดการเรื่องธุรกิจก่อนแล้วค่อยไปชุมนุม ฉันไม่เคยยกให้การไล่ตามเสาะหาความจริงและการทำหน้าที่ของตนเป็นเรื่องที่ต้องมาก่อนเลย และพอยุ่งอยู่กับการทำธุรกิจ ฉันก็จะไม่เข้าร่วมการชุมนุม ฉันจมปลักอยู่กับเงินและพาตัวเองให้หลุดออกมาไม่ได้ แล้วฉันก็กลายเป็นคนโลภและเสื่อมทรามมากขึ้น จากสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโปง ในที่สุดฉันก็เห็นชัดถึงแรงจูงใจอันร้ายกาจของซาตานในการใช้น้ำพิษเหล่านี้เพื่อทำร้ายผู้คน มันต้องการใช้ประโยชน์จากความทะเยอทะยานและความอยากไล่ตามเงินทองและชื่อเสียงของผู้คน มาทำร้ายและกลืนกินพวกเขาให้หมด หากพระเจ้าไม่ทรงเปิดโปงแรงจูงใจอันร้ายกาจของซาตาน ก็คงเป็นเรื่องยากที่ฉันจะรู้ทันกลอุบายร้อยเล่ห์ของมัน และฉันก็คงจะจมอยู่ในวังวนของเงินทองต่อไป และมอบกายถวายชีวิตให้กับซาตาน หลังจากเจอมากับตัวฉันก็เข้าใจว่า ไม่ว่าฉันจะมีเงินทอง ความชื่นชมยินดีในวัตถุ และความเคารพนับถือจากผู้อื่นมากเพียงใด หัวใจของฉันยังคงว่างเปล่าและเจ็บปวด ชีวิตของฉันไม่มีคุณค่าหรือความหมายแม้แต่น้อย ถ้าฉันยังไม่สามารถละทิ้งผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้าและยังกอดเงินไว้แน่น เช่นนั้นแล้ว เงินก็จะทรมานฉันจนตายในที่สุด ในชีวิตนี้ฉันโชคดีพอที่ได้ติดตามพระเจ้า และได้ฟังพระวจนะของพระผู้สร้างกับหูตัวเองและปฏิบัติหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง นี่คือสิ่งที่มีคุณค่าและความหมายมากที่สุดในชีวิตของฉัน ฉันไม่สามารถละทิ้งความจริงเพื่อไล่ตามความสุขทางวัตถุและความเคารพจากผู้อื่นได้ แต่การเชื่อและนมัสการพระเจ้าเป็นเป้าหมายที่ฉันกำลังไล่ตามเสาะหา ตอนนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการกระจายข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร ครั้งใหญ่ และในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง ฉันควรจะลุล่วงความรับผิดชอบและหน้าที่ของตน เผยแผ่และเป็นพยานถึงข่าวประเสริฐ เพื่อให้ผู้คนได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าให้มากขึ้น นี่คือคุณค่าและความหมายของชีวิตของฉัน หลังจากเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว เงินก็ไม่มีอิทธิพลต่อฉันอีกเลย ตอนไปบ้านพ่อกับแม่ พวกท่านก็ไม่ได้ดุด่าฉันเรื่องไม่ทำธุรกิจอีกแล้ว แถมบางครั้งยังให้เงินฉันไว้ใช้จ่ายอีกด้วย ฉันรู้ดีว่าทั้งหมดนี้เป็นพระคุณและพระกรุณาของพระเจ้า และรู้สึกขอบคุณพระองค์เต็มหัวใจ

ฉันคิดว่าในการเดินทางครั้งนี้ ถ้าไม่เป็นเพราะการนำของพระวจนะแล้ว ฉันก็คงจะหลุดพ้นจากการควบคุมโดยน้ำพิษของซาตานที่เรียกว่า “เงินทำให้โลกหมุนไป” ไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะละทิ้งธุรกิจและเลือกทำหน้าที่ของตนเลย ฉันเข้าใจว่าเงิน ชื่อเสียง สถานะ รถยนต์ บ้าน และอื่นๆ วัตถุสิ่งของเหล่านั้นก็เหมือนกับเมฆที่ลอยอยู่ชั่วครู่แล้วก็หายไป มีแค่การไล่ตามเสาะหาความจริง ดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า และทำหน้าที่ของตนในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเท่านั้น ถึงจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความหมายและมีคุณค่ามากที่สุด ดังพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “*”  (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (18)) หลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ฉันจึงเข้าใจคุณค่าและความสำคัญของการไล่ตามเสาะหาความจริงดีขึ้น ถึงแม้ตอนนี้ฉันจะไม่ได้ร่ำรวยเหมือนเมื่อก่อน และเสื้อผ้าของฉันก็ดูไม่สดใสสวยงามนักก็ตาม แต่ฉันกำลังชื่นชมยินดีกับเสบียงแห่งชีวิตของพระเจ้า นี่เป็นสิ่งที่ไม่ว่าจะมีเงินมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเอามาแลกไปได้ ฉันคิดถึงการที่ฉันกบฎต่อพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าและทำร้ายพระทัยของพระองค์ตลอดหลายปีที่ผ่านมา และการที่ฉันปฏิเสธความรอดของพระองค์อยู่หลายครั้งเพื่อไล่ตามเงินทอง ฉันไม่ถนอมรักษาโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะทำหน้าที่ของตน แต่พระเจ้าก็ทรงอยู่เคียงข้างฉันเสมอและรอให้ฉันกลับไป พระองค์ทรงไม่ล้มเลิกที่จะช่วยฉันให้รอด หลังจากที่ฉันเลิกทำธุรกิจ พระเจ้าไม่ได้ปล่อยให้ฉันอยู่ในความหนาวเย็นหรือปล่อยให้ฉันอดอยาก พระองค์ทรงจัดเตรียมให้ฉันทุกทางเท่าที่เป็นไปได้ พระคุณแห่งความรอดของพระเจ้านั้นไม่อาจประมาณได้ นับประสาอะไรกับการตอบแทน ฉันจะไม่มีวันเสียใจที่ชีวิตนี้เลือกติดตามพระองค์ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอดของพระองค์ ขอพระเกียรติทั้งมวลจงมีแด่พระองค์!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การตื่นขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณของคริสตชนคนหนึ่ง: วิธีกำจัดความเจ็บปวดจากความว่างเปล่าภายในไปจากตนเอง

โดย Su Chenyu ฉันยืนอยู่บนท้องถนนที่วุ่นวาย ฟังเสียงแตรรถยนต์ มองดูฝูงคนเดินถนนรีบรุดผ่านไปขณะที่รถบัสจอดออกันที่สี่แยก...

ในการอธิษฐานให้ได้งาน ฉันเป็นประจักษ์พยานต่อกิจการของพระเจ้า

โดย จี้จิง ประเทศญี่ปุ่น ฉันได้ยินมานานแล้วว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ดีจริงๆ ที่จะเดินทางไป หลังจากที่ฉันได้ไปถึงประเทศญี่ปุ่นในเดือนเมษายน...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger