ตอนนี้ฉันแยกแยะพระคริสต์จริงแท้จากพระคริสต์เทียมเท็จได้แล้ว
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระเจ้าซึ่งทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้รับการขานพระนามว่าพระคริสต์ และดังนั้นแล้วพระคริสต์ที่สามารถประทานความจริงแก่ผู้คนได้จึงมีพระนามเรียกขานว่าพระเจ้า ไม่มีอะไรที่เกินเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงครองเนื้อแท้ของพระเจ้า และทรงครองพระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระปรีชาญาณในพระราชกิจของพระองค์ ที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์ บรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าพระคริสต์ ทว่ากลับไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้นั้นเป็นพวกฉ้อฉล พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นแค่การสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นเนื้อหนังพิเศษเฉพาะที่ได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินการและทำให้พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์เสร็จสิ้น เนื้อหนังนี้ไม่สามารถแทนที่ได้โดยมนุษย์คนใด แต่เป็นเนื้อหนังที่สามารถแบกรับพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้อย่างเพียงพอ และสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นตัวแทนพระเจ้าได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ได้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกที่แสร้งแสดงตนเป็นพระคริสต์จะพินาศกันทั้งหมด เพราะแม้พวกเขาจะอ้างว่าเป็นพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่ได้ครองเนื้อแท้ของพระคริสต์เลย และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าความจริงแท้แห่งพระคริสต์ไม่สามารถนิยามได้โดยมนุษย์ แต่พระเจ้าจะเป็นผู้ตอบและตัดสินด้วยพระองค์เอง อย่างนี้แล้ว หากเจ้าปรารถนาที่จะแสวงหาหนทางแห่งชีวิตอย่างแท้จริง เจ้าต้องรับรู้เสียก่อนว่า ด้วยการเสด็จมาสู่แผ่นดินโลกนั่นเองที่พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการประทานหนทางแห่งชีวิตแก่มนุษย์ และเจ้าจำต้องรับรู้ว่า เป็นช่วงระหว่างยุคสุดท้ายนั่นเองที่พระองค์เสด็จมาสู่แผ่นดินโลกเพื่อประทานหนทางแห่งชีวิตแก่มนุษย์ นี่ไม่ใช่อดีต มันกำลังเกิดขึ้น ณ วันนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) พระเจ้าตรัสดีจังเลย พระองค์ทรงบอกเราถึงหลักปฏิบัติในการแยกแยะพระคริสต์เที่ยงแท้จากพระคริสต์เทียมเท็จในแค่ไม่กี่คำ บอกว่ามันแสดงให้เห็นถึงความจริงและพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดได้หรือไม่ นี่คือหลักปฏิบัติที่สำคัญค่ะ ในการเชื่อของฉันเมื่อก่อน ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสมักให้เราคอยระวังตัวจากพระคริสต์เทียมเท็จ แต่ก็ไม่เคยอธิบายหลักปฏิบัติในการแยกแยะเลย พวกเขากล่าวโทษทุกคำพยานเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าปลอม และบอกเราว่าอย่าไปยุ่งกับมัน ดังนั้น พอฉันได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ฉันก็ไม่กล้าตรวจสอบ ฉันเกือบปฏิเสธพระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายและพลาดโอกาสในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าไปแล้ว
หลังจากเชื่อในพระเยซูเมื่อปี 1996 ฉันก็มักอธิษฐานต่อพระองค์เวลามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น และฉันก็ผ่านพ้นปัญหามาหลายครั้งด้วยวิธีนี้ การมีองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ด้วยมันช่างวิเศษ ฉันรู้สึกได้ถึงสันติสุขและความชื่นบานยินดี เมื่อไม่กี่ปีก่อน ฉันได้ตระหนักว่าพวกนักบวชพูดแต่เรื่องเดิมๆ และการเทศนาของเขาก็ไม่มีความสว่างเลย ผู้เข้าร่วมนมัสการลดลง และบางคนถึงขั้นหลับตลอดการเทศนา ฉันไม่ได้อะไรมาเลย แถมยังไม่รู้สึกชื่นชมยินดีทางจิตวิญญาณด้วย ฉันไม่อยากไปอีกแล้ว แต่ก็รู้สึกผิดเลยบังคับตัวเองไปต่อ
ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง ผู้อาวุโสซูได้กล่าวว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราว่า: ‘ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า “นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่” หรือ “อยู่ที่โน่น” อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้’ (มัทธิว 24:23-24) คำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่วนใหญ่ลุล่วงไปแล้ว และอีกไม่ช้าพระองค์จะเสด็จมาหาเรา แต่พระคริสต์เทียมเท็จก็จะปรากฏเพื่อหลอกลวงเราเช่นกัน เราต้องระวังตัวให้ดีและไม่ยอมรับข่าวที่บอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกกำลังให้คำพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วและกำลังทรงพระราชกิจใหม่ แถมผู้เชื่อจริงแท้มากมายจากหลายคริสตจักรก็ยอมรับ แม้แต่คนที่เป็นนักเทศน์มานานก็ถูกฟ้าแลบจากทิศตะวันออกขโมยตัวไป พวกคุณยังไม่เป็นผู้ใหญ่ในชีวิต เพราะฉะนั้นก็อยู่ให้ห่างจากคนแปลกหน้า จะได้ไม่ถูกฟ้าแลบจากทิศตะวันออกหลอกเอา”
ตอนที่ฉันได้ยินว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกบอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว แถมคนที่เป็นนักเทศน์มานานหลายคนก็ยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ฉันตกใจและคิดว่า “นักเทศน์พวกนี้เข้าใจพระคัมภีร์ แถมพวกเขาก็มั่นใจในความคิดตัวเองอย่างมากด้วย การที่พวกเขายอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรือฟ้าแลบจากทิศตะวันออกจะมีความจริงให้แสวงหานะ? ฉันปรารถนาการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี ถ้าพระองค์ทรงกลับมาจริงๆ และฉันไม่แสวงหาหรือสอบสวน แล้วพระองค์ทรงทอดทิ้งฉันขึ้นมา ฉันจะทำยังไง” แต่ฉันก็กังวลกับสิ่งที่ผู้อาวุโสซูพูดค่ะ ที่บอกว่าพระคริสต์เทียมเท็จจะปรากฏในยุคสุดท้าย—ฉันจะโดนหลอกไม่ได้! ฉันรู้สึกขัดแย้งนิดหน่อยและไม่รู้จะทำยังไง ฉันเลยเอ่ยคำอธิษฐานนี้ในหัวใจ: “ข้าพระองค์ควรฟังฟ้าแลบจากทิศตะวันออกไหม ถ้ามีคน จากคริสตจักรนั้นมาประกาศให้ข้าพระองค์ฟัง องค์พระเยซูเจ้า โปรดทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ที” แล้วฉันก็นึกถึงข้อนี้ในพระคัมภีร์ขึ้นมา: “เพราะว่าพระองค์ได้ตรัสว่า ‘เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย’ เพราะฉะนั้นเราอาจกล่าวด้วยความมั่นใจว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระผู้ช่วยของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว ใครจะทำอะไรกับข้าพเจ้าได้เล่า?” (ฮีบรู 13:5-6) ฉันรู้สึกสงบในหัวใจขึ้นมาทันทีเลยค่ะ พอมีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหนุนหลัง ฉันก็ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว ตราบใดที่ฉันอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าบ่อยๆ พระองค์ก็จะทรงนำฉันให้แยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จได้ แค่ฟังก็คงไม่เจ็บปวดอะไร
วันหนึ่งในการชุมนุม ผู้อาวุโสซูพูดถึงวิธีระวังตัวจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกอีกครั้ง ย้ำแล้วย้ำอีกเรื่องพระคริสต์เทียมเท็จจะหลอกลวงผู้คน บอกให้เราอยู่ห่างจากคนแปลกหน้าเข้าไว้ แล้วซิสเตอร์เฉียนก็พูดขึ้นว่า “ผู้อาวุโสซูคะ ทำไมคุณถึงบอกให้เราอยู่ห่างจากคนแปลกหน้าล่ะ คุณบอกเสมอว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาหาเราในไม่ช้า อันที่จริงพระองค์ทรงมายืนอยู่หน้าประตูแล้ว ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกให้คำพยานว่าพระองค์ทรงกลับมาแล้วและทรงกำลังแสดงความจริง การที่เราไม่ไปฟังและแสวงหาเรื่องนี้ เป็นน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหรอคะ? พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์’ (โรม 10:17) การจะระบุว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออก เป็นการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไหม เราต้องไปฟังการเทศนาของพวกเขาก่อน ถ้าเราไม่ฟังและเอาตัวออกห่างจากพวกเขา เราจะรู้ได้ยังไงคะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกจริงแท้รึเปล่า ถ้ามันคือการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าจริงๆ คุณไม่ได้กำลังหยุดยั้งเราจากการหันเข้าหาองค์พระผู้เป็นเจ้าเหรอคะ?” จากนั้นซิสเตอร์ซ่งก็พูดว่า “องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน’ (มัทธิว 7:7) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้เราอธิษฐานและแสวงหามากขึ้นในสิ่งที่เราไม่เข้าใจ ตราบใดที่เราแสวงหาด้วยหัวใจที่เปิดรับ พระองค์ก็จะสดับถึงคำอธิษฐานและทรงนำเรา เราได้ยินข่าวประเสริฐเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เรากลับไม่ตรวจสอบ แถมยังไม่แสวงหาน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าผ่านคำอธิษฐานอีก นี่มันขัดกับคำสอนของพระองค์นะคะ แล้วเราจะต้อนรับพระองค์ได้ยังไงล่ะคะ”
พี่สาวสองคนนี้ทำเอาผู้อาวุโสซูอึ้งไปและไม่มีข้อแก้ตัว ฉันคิดว่าสิ่งที่พวกเธอพูดนั้นถูกต้อง ที่ว่าเราควรตรวจสอบฟ้าแลบจากทิศตะวันออกด้วยตัวเอง ฉันประหลาดใจมากด้วยค่ะ ซิสเตอร์ซ่งเธอมักเป็นคนขี้อายและแทบจะไม่พูดอะไร แต่เธอก็กล้าที่จะโต้แย้งผู้อาวุโส เธอยังมีหลักฐานจากในพระคัมภีร์ที่แข็งแรงมากจนไม่มีใครหักล้างเธอได้ มันเหลือเชื่อจริงๆ ค่ะ! แนวคิดและความรู้เชิงลึกของพี่สองคนนี้ดีขนาดนี้ได้ยังไง? พวกเธอยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกแล้วเหรอ? การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องใหญ่ ฉันต้องชัดเจนในเรื่องนี้เลยตัดสินใจไปถามพวกเธอ
วันต่อมา ฉันถามซิสเตอร์ซ่งว่าเธอยอมรับในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกแล้วเหรอ เธอพยักหน้าและตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งปวงซึ่งชำระพวกเราให้สะอาดและช่วยให้รอด รวมถึงทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพื่อถอนรากธรรมชาติที่เปี่ยมบาปและชำระความเสื่อมทรามของเราให้สะอาด เพื่อช่วยเราให้รอดจากบาปอย่างครบถ้วนถาวร” พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกว่าฉันต้องฟังสิ่งที่ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกพูดเสียแล้ว เธอเลยจัดแจงให้ฉันได้รับการสามัคคีธรรมจากคริสตจักรแห่งฟ้าแลบจากทิศตะวันออกค่ะ
พอวันนั้นมาถึง ฉันก็บอกความสับสนทั้งหมดให้พี่ชายจากคริสตจักรแห่งฟ้าแลบจากทิศตะวันออกฟัง “องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า “นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่” หรือ “อยู่ที่โน่น” อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้’ (มัทธิว 24:23-24) ผู้อาวุโสซูบอกว่าพระคริสต์เทียมเท็จจะปรากฏในยุคสุดท้ายเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา ข่าวเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งหมดเป็นข่าวปลอม และเราไม่ควรไปสอบสวน ฉันไม่คิดว่าการระวังตัวแบบน้ันจะสอดคล้องกับน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าค่ะ ถ้าเกิดเราไม่ตรวจสอบเรื่องนี้ ไม่ได้ต้อนรับพระองค์ แล้วถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงละทิ้งล่ะ แต่ฉันก็กลัวว่าจะถูกหลอกเหมือนกัน เวลามีคนประกาศเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เราควรทำยังไงคะ? ฉันอยากเข้าใจเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ”
พี่ชายคนนี้พูดยิ้มๆ ว่า “เราทุกคนกลัวการพลัดหลงและถูกพระคริสต์เทียมเท็จหลอก มันเป็นเรื่องธรรมดาที่จะกังวล เอาแต่กลัวมีประโยชน์อะไร? ความกลัวแก้ปัญหาให้เราได้ไหม? ในการจะเข้าใจและรู้ว่าต้องทำยังไง เราต้องเข้าใจน้ำพระทัยเบื้องหลังพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ตรัสพระวจนะเหล่านั้นเพื่อให้เราแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จได้และไม่ถูกหลอก พระองค์ไม่ได้ตรัสเพื่อให้เราระวังไปทุกอย่าง จนถึงขั้นปฏิเสธการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ไม่เพียงตรัสว่าพระคริสต์เทียมเท็จจะปรากฏในยุคสุดท้าย แต่ยังทรงบอกวิธีแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จไว้ด้วย องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้’ (มัทธิว 24:24) พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นชัดเจน พระคริสต์เทียมเท็จจะพึ่งพาหมายสำคัญและการอัศจรรย์เป็นหลักในการหลอกลวงผู้คน ตอนนี้เรารู้ลักษณะประจำตัวของพระคริสต์เทียมเท็จแล้ว เราก็แค่ต้องระวังจะได้ไม่ถูกหลอก ถ้าเราเชื่อข้อนี้โดยไม่สนบริบทและตีความพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าแบบผิดๆ กล่าวโทษทุกข่าวเรื่องการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่าปลอม และไม่แสวงหามันเลย เราจะไม่ปฏิเสธและกล่าวโทษการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเอาเหรอ?”
เรื่องนี้ทำให้ฉันตกใจมากค่ะ ฉันคิดว่า “มันคือเรื่องจริงเหรอเนี่ย?” “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพยากรณ์การเสด็จมาของพระองค์ไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่พวกเรากลับเอาข้อนี้ออกไปจากบริบท เรากล่าวโทษทุกข่าวว่าการเสด็จมาของพระองค์เป็นเรื่องเท็จ เรากำลังกล่าวโทษการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า!”
พี่ชายคนนี้สามัคคีธรรมต่อว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงบอกพวกเราไว้แล้วว่า ‘เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด”’ (มัทธิว 25:6) ‘นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา’ (วิวรณ์ 3:20) เราจะเห็นได้ว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา บางคนจะได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ จากนั้นก็ประกาศและให้คำพยานกับการนั้น นี่คือองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเคาะประตูของเรา ถ้าเราฟังสิ่งที่ศิษยาภิบาลพูด ปิดประตูใส่ใครที่ให้คำพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว แถมยังปิดหูปิดตา เราจะได้ยินพระสุรเสียงและต้อนรับพระองค์ได้เหรอ มันจะไม่เป็นการประชดประชันแบบไม่เข้าท่าเอาเหรอ”
พอฟังแล้ว ฉันก็คิดว่าสิ่งที่เขาพูดสอดคล้องกับพระคัมภีร์และน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า มันกลายเป็นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกเรา ว่าพระคริสต์เทียมเท็จจะหลอกผู้คนด้วยการแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์เป็นหลัก ว่าเราควรแยกแยะพวกพระคริสต์เทียมเท็จ แต่ไม่ใช่นิ่งเฉยและคอยระวังตัวกับซะทุกคน พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าชัดเจนมาก—ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นเรื่องนี้มาก่อนเลย ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสอ่านข้อนี้ตั้งหลายครั้ง นอกจากพวกเขาจะไม่พาดพิงถึงหลักธรรมนี้แล้ว พวกเขายังเฉไฉในข้อพระคัมภีร์ ตีความพระคัมภีร์ผิด บอกว่าข่าวการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องเท็จ ตอนนี้ดูเหมือนพวกเขาไม่ได้เข้าใจพระคัมภีร์เลยด้วยซ้ำ แถมพวกเขายังบอกให้เราอยู่ห่างจากคนแปลกหน้าเข้าไว้ และไม่ยอมให้เราแสวงหาข่าวประเสริฐเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอีก ถ้าพระองค์ทรงกลับมาแล้วจริงๆ ฉันไม่ได้ปิดกั้นพระองค์อยู่เหรอคะ มันอันตรายมากเลย!
จากนั้น พี่ชายก็หยิบหนังสือขึ้นมาและพูดว่า “มาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กันเถอะ จะได้เข้าใจมากขึ้น เรื่องพระคริสต์เทียมเท็จหลอกลวงผู้คนน่ะ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า ‘หากในระหว่างยุคปัจจุบันมีบุคคลผู้หนึ่งโผล่ออกมาซึ่งสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไล่ผี รักษาคนป่วย และทำปาฏิหาริย์มากมาย และหากบุคคลผู้นี้อ้างว่าพวกเขาคือพระเยซูผู้ได้เสด็จมา เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นสิ่งเทียมเท็จที่ทำขึ้นโดยพวกวิญญาณชั่วที่เลียนแบบพระเยซู จงจดจำการนี้ไว้! พระเจ้าไม่ทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ ช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเยซูได้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว และพระเจ้าจะไม่มีวันทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนั้นอีกครั้ง…ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พระเจ้าต้องทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เสมอ ต้องทรงรักษาคนป่วยและไล่ผีเสมอ และต้องทรงเป็นดุจดั่งพระเยซูเสมอ กระนั้นในครานี้ พระเจ้าไม่ทรงเป็นเหมือนเช่นนั้นเลย หากในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้ายังคงทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และยังคงทรงไล่ผีและรักษาคนป่วย—หากพระองค์ทรงทำอย่างเดียวกันกับพระเยซู—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็คงจะกำลังทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ และพระราชกิจของพระเยซูก็จะไม่มีนัยสำคัญหรือคุณค่า ดังนั้นในทุกยุคพระเจ้าจึงทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะเดียวจนแล้วเสร็จ ทันทีที่แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระองค์ได้ดำเนินการครบบริบูรณ์แล้ว ในไม่ช้าก็ถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว และหลังจากซาตานเริ่มตามหลังพระเจ้าไปติดๆ พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนแปลงไปสู่วิธีการที่ต่างออกไป ทันทีที่พระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ ก็จะถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว พวกเจ้าต้องชัดเจนเกี่ยวกับการนี้’ (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้)”
พออ่านจบเขาก็พูดว่า “พระเจ้าทรงใหม่เสมอและไม่มีวันเก่า และพระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจซ้ำ ในยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าทรงออกธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ เพื่อนำชีวิตมนุษย์บนแผ่นดินโลกและสอนวิธีนมัสการพระองค์ให้พวกเขา เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาในยุคพระคุณ พระองค์ก็ไม่ได้ทรงพระราชกิจเดิม แต่ทรงพระราชกิจแห่งการไถ่บนรากฐานแห่งพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติ พระองค์ตรัสถึงหนทางแห่งการกลับใจใหม่ ทรงรักษาคนป่วยและขับผีออก อีกทั้งแสดงถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ท้ายที่สุด พระองค์ก็ถูกตรึงกางเขนในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาป เพื่อเป็นการไถ่มวลมนุษย์จากบาป พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาในยุคสุดท้าย เพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า บนรากฐานแห่งพระราชกิจการไถ่ของพระเยซู พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งปวงซึ่งชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยให้รอด ถอนรากของต้นตอแห่งบาป ซึ่งคืออุปนิสัยและธรรมชาติเยี่ยงซาตานของเรา เพื่อให้เราสะอาดไร้บาปอย่างครบถ้วนถาวร และพระเจ้าก็ทรงนำทางพวกเราเข้าไปสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ สิ่งนี้แสดงให้เราเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าเคลื่อนต่อไปเรื่อยๆ และ พระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจต่อไป เพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดตามความต้องการที่จำเป็นของพวกเขา ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในยุคสุดท้ายและทรงพระราชกิจของยุคพระคุณอีกครั้ง ทรงรักษาคนป่วยและขับผีออกอีก เช่นนั้นแล้วพระราชกิจของพระเจ้าคงไม่เคลื่อนไปข้างหน้า และพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าก็คงไร้ความหมาย นั่นคือสาเหตุที่เมื่อพระองค์เสด็จมาอีกในยุคสุดท้าย พระองค์จะไม่ทรงแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ หรือรักษาคนป่วยและไล่ผีออกอย่างแน่นอน ถ้าใครแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ แสร้งว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา ก็มั่นใจได้ว่าพวกเขาคือพระคริสต์เทียมเท็จที่พยายามหลอกลวงผู้คน พระคริสต์เทียมเท็จคือวิญญาณชั่ว และคือมารที่แสร้งว่าเป็นพระคริสต์ พวกมันไม่สามารถแสดงความจริงได้ นับประสาอะไรที่จะทำงานเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ อย่างเดียวที่ทำได้คือเดินตามหลังพระเจ้า ลอกเลียนพระราชกิจของพระองค์ และแสดงความอัศจรรย์ง่ายๆ เพื่อหลอกลวงผู้คน แต่การอัศจรรย์ซึ่งเปี่ยมสิทธิอำนาจของพระเจ้าที่องค์พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เห็น เช่น การปลุกคนตายให้ฟื้น การป้อนอาหารห้าพันคน และห้ามลมและทะเล ไม่สามารถทำได้โดยพระคริสต์เทียมเท็จ เมื่อเรารู้จักพระราชกิจของพระเจ้า สามารถแยกแยะแก่นแท้และชั้นเชิงการหลอกลวงของพระคริสต์เทียมเท็จได้ เราก็จะไม่ถูกมันหลอก”
หลังจากฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันก็เข้าใจความจริงแห่งการแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จขึ้นมาบ้างค่ะ พระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่เคยเก่า และพระองค์ไม่มีวันทรงพระราชกิจซ้ำเดิม พระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าเสร็จสิ้นไปแล้ว ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงกลับมา พระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจเดิมอีก พระคริสต์เทียมเท็จไม่สามารถแสดงความจริงหรือทำงานของพระเจ้าได้ อย่างเดียวที่ทำได้คือเลียนแบบพระราชกิจในอดีตของพระเจ้า และหลอกลวงผู้คนด้วยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ง่ายๆ เท่านั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่” ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วค่ะว่าพระองค์หมายถึงอะไร
พี่ชายคนนี้พูดต่อไปว่า: “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ชัดเจนมากเรื่องความจริง ของการแยกแยะพระคริสต์แท้จริงจากพระคริสต์เทียมเท็จ และทรงแสดงให้เราเห็นหลักธรรมสำคัญในการจำแนกความต่างระหว่างพวกเขา เหนือสิ่งอื่นใดคือเราต้องเข้าใจว่าการจุติมาเป็นมนุษย์คืออะไร รวมถึงรู้จักแก่นแท้ของพระคริสต์ พอเรารู้จักพระคริสต์ เราย่อมจะหยั่งรู้พระคริสต์เทียมเท็จได้เป็นธรรมดา” จากนั้น พี่ชายคนนี้ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฟังสองบทตอนค่ะ “พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) “พระเจ้าซึ่งทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้รับการขานพระนามว่าพระคริสต์ และดังนั้นแล้วพระคริสต์ที่สามารถประทานความจริงแก่ผู้คนได้จึงมีพระนามเรียกขานว่าพระเจ้า ไม่มีอะไรที่เกินเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงครองเนื้อแท้ของพระเจ้า และทรงครองพระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระปรีชาญาณในพระราชกิจของพระองค์ ที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์ บรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าพระคริสต์ ทว่ากลับไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้นั้นเป็นพวกฉ้อฉล พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นแค่การสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นเนื้อหนังพิเศษเฉพาะที่ได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินการและทำให้พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์เสร็จสิ้น เนื้อหนังนี้ไม่สามารถแทนที่ได้โดยมนุษย์คนใด แต่เป็นเนื้อหนังที่สามารถแบกรับพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้อย่างเพียงพอ และสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นตัวแทนพระเจ้าได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ได้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกที่แสร้งแสดงตนเป็นพระคริสต์จะพินาศกันทั้งหมด เพราะแม้พวกเขาจะอ้างว่าเป็นพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่ได้ครองเนื้อแท้ของพระคริสต์เลย และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าความจริงแท้แห่งพระคริสต์ไม่สามารถนิยามได้โดยมนุษย์ แต่พระเจ้าจะเป็นผู้ตอบและตัดสินด้วยพระองค์เอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)
จากนั้น พี่เขาก็พูดว่า “จากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า พระคริสต์คือพระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ พระองค์คือพระเจ้าจากสวรรค์ที่ทรงสวมใส่เนื้อหนังในฐานะบุตรมนุษย์ เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจในหมู่มนุษย์ พระคริสต์ทรงครองทั้งความเป็นมนุษย์ที่ปกติและเทวสภาพอันครบบริบูรณ์ พระองค์อาจดูธรรมดาสามัญ แต่แก่นแท้ของพระองค์นั้นเป็นของพระเจ้า นั่นคือสาเหตุที่พระองค์ทรงสามารถแสดงความจริง ตรัสด้วยพระสุรเสียงของพระเจ้า ทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ทรงแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า รวมถึงสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นได้ พระคริสต์ทรงแสดงความจริงได้ตลอดเวลา เพื่อค้ำชูและทรงนำมนุษย์ รวมถึงแสดงให้เห็นถึงเส้นทางแห่งการปฏิบัติ การนี้กำหนดพิจารณาโดยแก่นแท้ของพระคริสต์ ในการจะแน่ใจว่าคนๆ หนึ่งใช่พระคริสต์หรือไม่ เราต้องกำหนดพิจารณาจากคำพูด งานที่ทำ และอุปนิสัยของเขา องค์พระเยซูเจ้าคือการจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้า พระองค์ทรงเริ่มต้นยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงแสดงความจริงและประทานหนทางแห่งการกลับใจใหม่ให้มนุษย์ ทรงแสดงให้เห็นถึงพระอุปนิสัยที่เปี่ยมด้วยรักและเมตตาของพระเจ้า รวมถึงทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์ จากพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ เราจะเห็นได้ว่าพระองค์ทรงจัดหาสิ่งที่จำเป็นต่อวิญญาณของมนุษย์ และประทานเส้นทางสู่ยุคใหม่ให้แก่ผู้คน พระองค์ทรงสอนให้ผู้คนสารภาพและกลับใจ สอนให้รักเพื่อนบ้านของตน สอนให้ยอมผ่อนปรนและอดทน ให้ยกโทษเจ็ดสิบครั้งคูณเจ็ด ให้รักพระเจ้าด้วยหัวใจและความคิดทั้งหมด และอื่นๆ เมื่ออธิษฐานต่อพระเจ้า พวกเรารู้สึกถึงสันติสุขและความชื่นบานยินดี เมื่อสารภาพและกลับใจต่อพระองค์ บาปของเราก็จะได้รับการอภัย เมื่อปฏิบัติตนตามพระวจนะของพระองค์ พระองค์ก็จะทรงชมเชยและทรงอวยพรพวกเรา จากพระวจนะ พระราชกิจ และพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกมา เราจะเห็นได้ ว่าพระองค์คือพระคริสต์ คือพระผู้ไถ่ของมวลมนุษย์ ตอนนี้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาแล้วเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งมวลซึ่งชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด อีกทั้งพระองค์ทรงเริ่มต้นยุคแห่งราชอาณาจักรและสิ้นสุดยุคพระคุณ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงและเปิดเผยความลึกลับแห่งแผนการบริหารจัดการเพื่อช่วยมนุษย์ของพระองค์ พระประสงค์ของพระราชกิจทั้งสามระยะ ความลึกลับแห่งพระนามและการจุติมาเป็นมนุษย์ของพระองค์ ความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์ ความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และงานของวิญญาณชั่ว รวมถึงความแตกต่างระหว่างพระคริสต์เที่ยงแท้กับพระคริสต์เทียมเท็จ และอีกมากมาย พระองค์ทรงเปิดเผยรากเหง้าแห่งความมืดมิดและความชั่วของโลก ธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมนุษย์ที่ต้านทานพระเจ้าและสภาวะอันเสื่อมทรามสารพันของเรา อีกทั้งพระองค์ยังทรงตีแผ่อุปนิสัยที่เสื่อมทรามในตัวมนุษย์ อย่างเช่น ความโอหัง การหลอกลวง ความชั่วและความยากลำบาก พระองค์ทรงแสดงให้เราเห็นเส้นทางที่จะได้รับการชำระให้สะอาด และความจริงที่เราควรปฏิบัติในการเข้าสู่อีกด้วย เช่น วิธีเป็นคนซื่อสัตย์ วิธีเชื่อฟังพระเจ้า รักพระเจ้า และเคารพพระเจ้า วิธีรับใช้ให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า วิธีขับไล่อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเรา และอีกมากมาย ผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรนั้นเข้าใจความจริงบางประการโดยผ่านทางการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้า พวกเขามองเห็นว่าตัวเองถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแค่ไหน และระลึกรู้พระอุปนิสัยอันชอบธรรมกับแก่นแท้อันบริสุทธิ์ของพระเจ้า จากนั้น พวกเขาก็เริ่มเคารพพระเจ้า และเริ่มปฏิบัติพระวจนะของพระองค์ รวมถึงละทิ้งอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของตน แล้วอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริง ทรงพระราชกิจการพิพากษา อีกทั้งทรงแสดงอุปนิสัยอันชอบธรรมและเปี่ยมบารมี ทั้งหมดพิสูจน์ว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา! พระคริสต์เทียมเท็จถูกวิญญาณชั่วเข้าครอง และเป็นวิญญาณชั่วจริงๆ พวกเขาไม่สามารถเริ่มต้นยุคใหม่หรือสิ้นสุดยุคเก่าได้ ไม่สามารถแสดงวจนะของพระเจ้า หรือเปิดเผยความลึกลับแห่งพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้าได้ พวกเขาไม่สามารถทำงานแห่งการพิพากษา ชำระมนุษย์ให้สะอาดและเปลี่ยนแปลงมนุษย์ได้ พวกเขาทำได้แค่เลียนแบบพระราชกิจในอดีตของพระเจ้า และแสดงให้เห็นถึงการอัศจรรย์ธรรมดาๆ พวกเขาตีความพระคัมภีร์ผิดและกล่าวคำสอนเทียม หรือไม่ก็พูดในสิ่งที่เข้ากับมโนคติที่หลงผิดในทางเนื้อหนังของมนุษย์เพื่อหลอกลวงผู้คน คนที่ฟังพวกเขาจะมาถึงทางตันและไม่ได้อะไรจากมันเลย พวกเขารู้สึกมืดมนอยู่ข้างในมากขึ้น จนกระทั่งถูกซาตานและวิญญาณชั่วร้ายพาให้หลงทาง”
จากนั้นซิสเตอร์ซ่งก็พูดว่า “พระคริสต์คือความจริง คือหนทาง และคือชีวิต พระคริสต์ทรงสามารถแสดงความจริง ทรงค้ำชูชีวิตมนุษย์และแสดงให้เห็นหนทางได้ พระคริสต์เทียมเท็จคือวิญญาณชั่วที่ไม่สามารถแสดงความจริง หรือ ค้ำชูชีวิตมนุษย์ และพวกเขาก็ไม่สามารถแสดงให้มนุษย์เห็นหนทางได้ อย่างเดียวที่พวกเขาทำได้คือแสดงให้เห็นการอัศจรรย์และพูดในสิ่งที่เข้ากับมโนคติที่หลงผิดเพื่อหลอกลวงมนุษย์ ในพระวจนะของพระเจ้า เรามีเส้นทางในการแยกแยะพระคริสต์เที่ยงแท้จากพระคริสต์เทียมเท็จ และเราก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกชักจูงให้หลงผิดอีกต่อไป”
จากพระวจนะของพระเจ้า ทั้งพี่ทั้งสองคน สามัคคีธรรมได้อย่างชัดเจนถึงสิ่งที่พระคริสต์ทรงเป็น และจะแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จได้ยังไง หัวใจของฉันก็เต็มไปด้วยความสว่างค่ะ กุญแจสำคัญที่จะกำหนดพิจารณาว่าใครบางคนใช่พระคริสต์และองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมาหรือไม่ คือให้ดูที่แก่นแท้ของเขา เพื่อดูว่าพวกเขาแสดงความจริงกับพระวจนะของพระเจ้า รวมถึงทำงานเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดได้หรือไม่ นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด มีแค่คนที่แสดงความจริงและทำงานเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดได้เท่านั้นคือพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ และมีแค่คนที่ทำงานพิพากษาเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดได้เท่านั้นที่เป็นพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ใครก็ตามที่แสดงความจริงหรือทำพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้ คนที่เรียกตัวเองว่าเป็นพระคริสต์หรือพระเจ้า คือพระคริสต์เทียมเท็จ เป็นตัวปลอมที่มาเพื่อหลอกลวงผู้คน นี่คือหนทางที่ถูกต้องแม่นยำและเรียบง่าย ในการแยกแยะพระคริสต์เที่ยงแท้กับพระคริสต์เทียมเท็จ! ถ้าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้ทรงเปิดเผยความจริงและความลึกลับพวกนี้ ฉันก็คงไม่มีวันรู้ ไม่ว่าจะอ่านพระคัมภีร์หรือฟังศิษยาภิบาลมากแค่ไหนก็ตาม
พี่ชายคนนี้พูดต่อไปว่า “องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น’ (ยอห์น 16:12-13) ตอนนี้พระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในร่างมนุษย์ พระองค์ทรงเปิดเผยความจริงและความลึกลับทั้งปวงที่จำเป็นต่อมนุษย์ในการได้รับความรอด เราสามารถเข้าใจความจริงและมีเส้นทางแห่งการปฏิบัติได้โดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์เท่านั้น” หลังจากนั้นพี่ชายคนนี้ก็สามัคคีธรรมอีกเยอะเลยค่ะ ขนาดเชื่อมาหลายปี ฉันยังไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย วันนั้นฉันได้เข้าใจอะไรมากกว่าที่เคยเข้าใจในหลายปีที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเสียอีก ไม่แปลกใจเลยที่มีคนบอกว่าการเทศนาของฟ้าแลบจากทิศตะวันออกดีมากๆ มันมาจากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทั้งนั้นเลย! ฉันถามพี่ชายไปว่า “หนังสือ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ราคาเท่าไหร่คะ? ฉันอยากอ่านซื้อมาอ่านเอง” เขาก็ยิ้มแล้วตอบว่า “ฟรีครับ พระเจ้าตรัสไว้ว่า ‘ใครที่กระหาย เราจะให้เขาดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย’ (วิวรณ์ 21:6) พระเจ้าทรงรักมนุษย์ และเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากแดนครอบครองของซาตานโดยครบถ้วนถาวร พระองค์จึงประทานให้เราแบบฟรีๆ ตราบใดที่เราอยากแสวงหาความจริง พระองค์ก็จะประทานพระวจนะของพระองค์ให้เราโดยไม่เสียอะไรเลย” ฉันรู้สึกตื้นตันใจมากๆ ค่ะ มีเพียงพระเจ้าที่ทรงรักและจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ให้เราอย่างไม่เห็นแก่ตัว จากนั้น พี่ชายคนนี้ก็มอบหนังสือ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ให้ฉันมาเล่มหนึ่ง
หลังจากนั้น ฉันก็กระตือรือร้นอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทุกวัน ยิ่งอ่านฉันยิ่งชื่นชมและได้อะไรจากมันมากขึ้น ฉันรู้สึกได้ว่าพระวจนะของพระเจ้าเข้าสู่หัวใจของฉันค่ะ สิ่งที่ฉันสับสนมานานก็ได้รับการแก้ไข ฉันมีความสุขและตื่นเต้นมากค่ะ ฉันตระหนักได้ว่าผู้เชื่อที่ดีที่ยอมรับในฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ล้วนเห็นถึงความจริงและได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าจากในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และยอมรับพระองค์ในฐานะพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ ในฐานะองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา ก่อนจะติดตามพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าโดยไม่ลังเล พวกเขาคือหญิงพรหมจารีมีปัญญาค่ะ! ฉันถูกหลอกจากมโนคติที่หลงผิดและเรื่องเหลวไหลที่พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสในคริสตจักรพ่นออกมา เชื่อว่าข่าวใดๆ เกี่ยวกับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นข่าวปลอมจนไม่กล้าค้นดูเกี่ยวกับมัน ฉันเกือบพลาดโอกาสในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว ฉันนี่มันโง่จริงๆ! แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงทอดทิ้งฉัน โดยผ่านทางการสามัคคีธรรมของพี่น้องชายหญิง พระองค์ทรงแสดงให้ฉันเห็นถึงวิธีแยกแยะพระคริสต์เทียมเท็จ เพื่อให้ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ จนกลายเป็นแน่ใจในพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และติดตามพระเมษโปดกได้ทัน ฉันขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอดที่พระองค์ทรงมีให้ฉันค่ะ!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ