แผลที่ไม่เคยเยียวยา

วันที่ 30 เดือน 10 ปี 2024

ตีห้าของวันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายนปี 2018 จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น พอพี่จางเจ้าบ้านเปิดประตู ฉันก็ได้ยินจากห้องนอนว่าพวกเขามาจากกองพลความมั่นคงแห่งชาติเพื่อค้นบ้าน ตอนนั้นฉันกลัวมาก เพราะฉันมีรายชื่อสมาชิกคริสตจักร กับเบอร์โทรของพี่น้องชายหญิงสองสามคนอยู่ในกระเป๋า ถ้าตำรวจเจอคงเดือดร้อนแน่ ฉันจึงรีบคว้ากระเป๋าแล้วจะหนีออกทางหน้าต่าง แต่เท้าฉันดันไปเตะขอบหน้าต่างจนเกิดเสียง มีเจ้าหน้าที่ได้ยินก็เลยพากันกรูเข้ามา กระชากแขนฉันลงจากหน้าต่างและพาไปที่ห้องนั่งเล่น เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบีบแขนซ้ายฉันแน่นแล้วบิดไปไว้ด้านหลัง ฉันเจ็บแปลบจนทนไม่ไหวต้องกรีดร้องออกมา แต่เขาก็ไม่ปล่อยแถมยังดึงแขนฉันขึ้นไปอีก เขาบิดแรงมากจนนิ้วนางข้อสุดท้ายของฉันหัก กระดูกโผล่ออกมาทำให้เลือดไหลเยอะมาก เจ็บจนฉันไม่กล้าขยับ

แล้วเจ้าหน้าที่อีกห้าถึงหกคนก็มาถึง สองคนในนั้นเป็นหน่วยสวาทพร้อมปืนกลมือ เจ้าหน้าที่คนอื่นเริ่มค้นบ้าน พอเห็นพวกนั้นจัดกำลังพลแบบนั้นมา แล้วก็ไม่รู้ว่าจะโดนทำอะไรบ้าง ฉันก็กังวลใจ ฉันจึงเฝ้าอธิษฐานต่อพระเจ้า ให้ทรงคุ้มครองหัวใจและทรงมอบความเชื่อให้ฉันค่ะ นิ้วนางข้างซ้ายของฉันยังเลือดไหลอยู่ ฉันจึงเอามือขวาบีบมันไว้แน่น ไม่กล้าคลายมือเลย ถ้าคลายมือเลือดก็จะเริ่มไหลอีก ฉันบีบแน่นมาก จนนิ้วนั้นชา ฉันกับพี่จางถูกลากขึ้นรถคนละคัน แล้วพาไปศูนย์ประมวลผลเทศบาล ฉันขอให้ตำรวจพาไปเข้าเฝือกนิ้ว แต่ตำรวจกลับเมินที่จะพาฉันไปโรงพยาบาล ฉันต้องขอย้ำอีกครั้งนั่นแหละ พวกเขาถึงพาฉันไปโรงพยาบาลจนได้ เช้าวันที่สอง เจ้าหน้าที่พาฉันไปที่โรงแรม เพื่อเค้นว่าฉันใช่ผู้นำคริสตจักรหรือไม่ พอฉันไม่พูด เขาก็โกรธและตะคอกว่า “เลิกเสแสร้งซะ คนอื่นบอกเราแล้วว่าแกเป็นผู้นำ” เขาพูดพลางจิกผมฉันแล้วตบจนหน้าหันถึงสองครั้ง แล้วก็ต่อยหน้าฉันอย่างแรง แล้วก็ยังเตะเข้าที่ขาฉัน เขาทุบตีจนฉันมึนงงเห็นดาว ขาก็เจ็บจนฉันไม่กล้าขยับเขยื้อน ฉันคิดในใจว่า “เพิ่งเข้ามาถึง ฉันก็โดนหนักขนาดนี้แล้ว พวกเขาจะทรมานอะไรฉันอีกบ้างก็ไม่รู้ ฉันก็ไม่ใช่คนหนุ่มสาว ถ้าฉันพิการ ก็จะเป็นภาระต่อครอบครัว แล้วฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไปยังไง?” ฉันรู้สึกแย่จริงๆ ค่ะ แล้วฉัน ก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า “ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงต้นเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างยอมจำนนจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะพลีอุทิศตัวพวกเขาเองจะสามารถข้ามไปได้ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล  หากว่ามนุษย์เก็บงำความคิดที่ขลาดอายและเกรงกลัว นั่นก็เป็นเพราะซาตานได้หลอกพวกเขา ด้วยกลัวว่าพวกเราจะข้ามสะพานแห่งความเชื่อเพื่อเข้าสู่พระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6)  พระวจนะช่วยให้ฉันตระหนัก ว่าซาตานใช้ความทุกข์ทนเจ็บปวดของเนื้อหนังทำให้เราทรยศพระเจ้า ถ้าฉันมองแค่เนื้อหนังกับอนาคตของตัวเอง ฉันก็คงตกหลุมพรางซาตานไปแล้ว ฉันจะพิการหรือไม่นั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ว่าจะทนทุกข์แค่ไหน ฉันก็ต้องยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้า และทำให้ซานตานอับอาย

ต่อมา เจ้าหน้าที่อีกคนก็เข้ามาถามฉันว่า “ผู้นำแกเป็นใคร? แกร่วมชุมนุมกับใคร? แกจะพูดหรือไม่พูด? ถ้าไม่พูด แกได้โดนดีแน่!” พอฉันไม่พูด เขาก็ตบฉันจนหน้าหันถึงสี่ครั้ง ฉันมึนงงจะเป็นลม หน้าก็ชาไปหมด แล้วเจ้าหน้าที่อีกคนก็เข้ามา แล้วพวกมันสองคนก็มาลากแขนฉัน และกดไหล่ฉัน ให้นั่งลงไปที่พื้น เจ้าหน้าที่อีกคนลากขาฉันมากดตรึงติดกับพื้น ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะทำอะไร ก็เลยดิ้นรนสุดฤทธิ์เลยค่ะ พอกดฉันให้นิ่งไม่ได้ พวกเขาก็เรียกเจ้าหน้าที่ร่างอ้วนเข้ามา เจ้าหน้าที่สองคนดึงแขนฉัน ส่วนอีกสองคนก็ดึงขาฉันกางออก บังคับให้แยกห่างกันที่สุดเท่าที่ทำได้ ขาของฉันแข็งเป็นไม้กระดาน อายุขนาดฉันฉีกขาไม่ได้หรอกค่ะ พวกเขาถึงกับเหยียบน่องฉันเพื่อไม่ให้หุบขาได้ ฉันเจ็บร้าวยังกับขาจะฉีกจากกัน เหงื่อกาฬฉันแตกทะลักท่วมไปหมดทั้งตัว ฉันอยากวางมือบนพื้นเพื่อผ่อนแรงกดสักเล็กน้อย แต่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็บิดแขนฉันไพล่หลัง แล้วใส่กุญแจมือทันที เจ้าหน้าที่อีกคนลากฉันไปหันหลังชนกับขาตั้งทีวี ฉันเจ็บปวดสาหัส และได้แต่ดิ้นรนร้องโหยหวน พวกเขาถึงจะปล่อยค่ะ ฉันกลั้นใจเตรียมรับความเจ็บปวด ก่อนจะค่อยๆ หุบขาเข้าหากัน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งข่มขู่ฉันอย่างชั่วร้ายว่า “ถ้าฉันนับถึงยี่สิบ แกโดนฉีกขาอีกแน่!” พอฉันไม่พูด เขาก็เริ่มนับ ฉันกลัวมากเลยค่ะ ฉันรับความเจ็บปวดนั้นไม่ได้จริงๆ ฉันทนโดนจับฉีกขาแบบนั้นไม่ไหวอีกแล้ว ฉันจึงอธิษฐานขอพระเจ้าทรงมอบความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ฉัน เพื่อให้ฉันทนการทรมานได้ พอพวกเขานับครบ และฉันยังไม่ยอมพูด พวกเขาก็เริ่มดึงขาฉันออกด้านข้างอีกครั้ง ฉันเจ็บมากจนเริ่มดิ้นรนเตะถีบอย่างบ้าคลั่ง เป็นอยู่อย่างนั้นเจ็ดถึงแปดนาทีจนพวกเขาเหนื่อยไปเอง ฉันรู้สึกเหมือนบั้นเอวหักและขาใช้การไม่ได้ จนไม่กลัาขยับเขยื้อนเลยค่ะ ฉันเจ็บมากจนไม่กล้าส่งเสียง และเหงื่อก็พรั่งพรูเต็มหน้า ขาฉันเจ็บมากจนนั่งไม่ได้ ก็เลยคิดว่าจะลองนอนลงเพื่อให้ความเจ็บบรรเทา แต่พอเจ้าหน้าที่นั่นเห็น เขาก็จับฉันไว้ไม่ให้นอน เขาบอกให้อีกคนพาฉันไปหลังประตูด้วย และตะคอกว่า “ฉันจะนับถึงยี่สิบ ถ้าแกไม่พูด โดนทรมานต่อแน่!” พูดจบ เขาก็เริ่มนับถอยหลัง พอเขาเริ่มนับ ฉันก็ขวัญเสียและเฝ้าคิดว่า “นับช้าๆ หน่อยเถิด ได้โปรด” ฉันกลัวว่าจะรับการทรมานมากกว่านั้นไม่ไหว ก็เลยรีบอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ทรยศพระองค์เพราะทนไม่ไหว โปรดทรงมอบความเข้มแข็งให้ด้วยเถิด” พอฉันยังไม่ยอมพูด พวกนั้นก็เริ่มฉีกขาฉันออกอีกครั้ง ให้ฉันนั่งหลังตรงพิงกำแพง ฉันนั่งตัวตรงทั้งสวมกุญแจมือไม่ได้ พวกเขาก็เลยถอดมันออก ฉันยันมือกับพื้นโดยอัตโนมัติ จนตัวโน้มไปข้างหน้า ท่านั้นช่วยทุเลาความเจ็บปวด แต่แล้วตำรวจคนหนึ่งก็ยกแขนฉันขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว พร้อมกับกดบั้นเอวฉ้นลงอย่างแรง ฉันเจ็บมากเหมือนบั้นเอวจะหัก และร้องออกมาทันที คอฉันแห้งผาก แทบร้องไม่ออก เจ็บปวดมากจนคิดว่าจะสลบไป จนพวกเขาหมดแรงนั่นแหละถึงยอมปล่อย ตอนกำลังออกไป คนหนึ่งก็พูดว่า “คราวหน้า เอาขามันพาดสองเตียง ให้มันขาฉีกอยู่ตรงกลางดีกว่า ดูซิว่ามันจะพูดไหม!” พอได้ยินเขาพูดแบบนั้น ฉันก็กลัวจนตัวสั่น การทรมานรอบก่อนก็เจ็บปวดแสนสาหัสแล้ว ถ้ายังโดนอีก ฉันอาจจะตายก็ได้ ฉันไม่อยากตายด้วยน้ำมือพวกเขาแบบนั้น แล้วฉันก็เกิดความคิดหนึ่ง แค่บอกรายละเอียดทั่วๆ ไปคงไม่เป็นไร แบบนั้นอย่างน้อย ฉันก็ไม่โดนทรมานถึงตาย แล้วฉันก็นึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา คนนั้นจะได้ชีวิตรอด(มัทธิว 16:25)  “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงสามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรกได้(มัทธิว 10:28)  พระวจนะช่วยให้ฉันตระหนัก ว่าชีวิตฉันอยู่ในพระหัตถ์ ถ้าฉันรักษาชีวิตตัวเองแล้วทรยศพระเจ้าเหมือนยูดาส ต่อให้เนื้อหนังของฉันรอดพ้นจากความทุกข์เล็กน้อย สุดท้าย ฉันก็จะถูกพระเจ้าทรงสาปแช่งและลงโทษเหมือนยูดาส แล้วฉันก็คิดถึงตอนที่โยบถูกซาตานทำร้าย และทั้งตัวเต็มไปด้วยฝี จนเขาเจ็บปวดแสนสาหัส เขาสาปแช่งตัวเองแทนที่จะติเตียนพระเจ้า ยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้าต่อหน้าซาตาน ทำให้มันอับอายจนถึงที่สุด ฉันควรเอาอย่างโยบ ต่อให้ต้องตาย ฉันก็ต้องยืนหยัดเป็นพยานแด่พระเจ้า จนซาตานอับอาย พอคิดได้ ความเชื่อและความเข้มแข็งก็คืนมา ต่อให้โดนทรมานยังไง ฉันจะไม่มีวันเป็นยูดาส และทรยศพระเจ้า!

ประมาณบ่ายสองโมง พวกตำรวจก็เข้ามาอีก คนหนึ่งเข้ามาพูดทันทีว่า “แกจะพูดไหม? หรือจะทรมานต่อ!” หัวใจฉันเริ่มกระดอนออกจากอก ฉันทั้งกลัวและกังวลมากเลยค่ะ ฉันเฝ้าร้องเรียกหาพระเจ้า พอฉันไม่ยอมพูด พวกเขาก็จับฉันไปหลังประตูแล้วฉีกขาฉันต่อ ฉันเหงื่อแตกพลั่กท่วมตัวอีกครั้งเพราะความเจ็บปวด ฉันตะโกนด้วยความโกรธว่า “ทำไมพวกคุณโหดร้ายขนาดนี้!?” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งแสยะยิ้มแล้วพูดว่า “เราโหดร้ายหรือ? แกนั่นแหละที่ไม่ยอมพูด! คราวนี้เราจะเปลี่ยนแกเป็นนักยิมนาสติก ให้แกกลับไปเป็นครูฝึกได้เลย!” แล้วตลอดช่วงบ่ายที่เหลือ ฉันก็โดนฉีกขาอีกสองรอบ ฉันเจ็บจนดิ้นรนกรีดร้องตลอดเวลา เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจึงเอารองเท้าแตะยัดปากฉัน ฉันเจ็บจนทนไม่ไหว ได้แต่บิดตัวไปมาเพื่อให้คลายเจ็บลงบ้าง พอดูว่าฉันทนไม่ไหวแล้ว พวกเขาถึงยอมปล่อย ฉันร่วงลงไปกับพื้น หนึ่งในนั้นฉีกยิ้มชั่วแล้วพูดว่า “ฉีกขาเป็นแล้วสินะ” พอมองหน้าตาอัปลักษณ์ของพวกนั้นทั้งหมดแล้ว ฉันรู้สึกโกรธมาก พวกมันเป็นฝูงปีศาจที่ฆ่าคนโดยไม่สะทกสะท้าน พอฉันไม่ยอมพูด พวกมันคนหนึ่งก็พูดอย่างโกรธจัดว่า “แกนี่เป็นพวกดื้อด้านสินะ? ถ้าแกไม่พูด เราจะหนีบนิ้วแก!” ฉันยังไม่ทันตอบโต้อะไร พวกมันก็คว้ามือฉันมับ แล้วก็ใช้ดินสอหนีบนิ้วมือของฉันทุกข้อจนรัดแน่น ฉันเจ็บมากจนเตะขาไปมาอย่างรุนแรง พวกเจ้าหน้าที่ต้องกดขาฉันเอาไว้ ฉันใช้เรี่ยวแรงที่เหลือทั้งหมด แต่ก็ยังดิ้นไม่หลุด จึงได้แต่กรีดร้องซ้ำๆ มันเจ็บปวดมากเหลือเกินจนฉันคิดว่ากระดูกนิ้วของฉันคงจะแหลก ฉันเฝ้าอธิษฐานในหัวใจต่อพระเจ้า ขอพระองค์ทรงนำและมอบความเข้มแข็งให้ฉันเอาชนะการทรมานได้ เจ้าหน้าที่อีกคนพูดว่า “ถ้ายังตะโกนต่อ เราจะอุดปากแก แล้วก็จะหนีบนิ้วที่หักของแกด้วย!” แล้วเขาก็ยัดรองเท้าแตะใส่ปากฉันอีก ดินสอแท่งหนึ่งหักก่อนที่พวกมันจะหนีบได้ครบทุกนิ้ว พวกมันจึงใช้ดินสอที่หักนั่นหนีบนิ้วฉันต่อไป พวกมันหนีบฉันครบเก้านิ้วแล้วนั่นแหละถึงยอมปล่อย นิ้วของฉันบวมเหมือนไส้กรอกและแสบร้อนด้วยความเจ็บปวด ฉันเจ็บจนตัวแข็ง และหายใจแผ่วมาก ราวกับฉันกำลังขาดอากาศหายใจค่ะ แล้วฉันก็ได้ยินอีกคนพูดว่าจะใช้กระบองไฟฟ้ากับฉัน ฉันเลยยิ่งกลัวขึ้นไปอีก อายุขนาดฉันจะทนการโดดช็อตได้ยังไง? ถ้าเกิดฉันทนการทรมานไม่ไหวจนตายล่ะ? ฉันรีบอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์คิดว่าตัวเองทนมากกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ข้าพระองค์ทนการทรมานพวกนี้ไม่ไหวแล้ว โปรดทรงมอบความแน่วแน่ที่จะทนทุกข์และยืนหยัดเป็นพยานได้ด้วยเถิด” หลังจากนั้น ฉันก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้  สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้?  ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็นไม่สามารถทำสิ่งใดมากขึ้นอีกในผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถทำกับมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 36)  พระวจนะให้ความเชื่อและความเข้มแข็งแก่ฉัน ฉันควรแขวนชีวิตบนเส้นด้าย ยอมถูกซ้อมตาย ดีกว่าทรยศพระเจ้า ความกลัวและความขี้ขลาดเกิดจากความละโมภของเนื้อหนัง และความกังวลเรื่องความตายของตัวเอง ฉันไม่ได้มอบหัวใจแด่พระเจ้าเลย พระเจ้าทรงงานและทดสอบผู้คนเพื่อให้ชนะใจและได้รับพระสิริผ่านพวกเขา เมื่อพระเจ้าทรงอยากให้ฉันเป็นพยาน ฉันกลับคิดถึงแต่เนื้อหนังของตัวเอง ฉันไม่ได้ให้คำพยานแม้แต่น้อย พอคิดได้ ฉันก็ละอายและรู้สึกผิด ฉันตั้งปณิธานเฉพาะพระพักตร์ว่า “ไม่ว่าจะถูกทรมานอย่างไร ข้าพระองค์จะไม่ทรยศพระเจ้า!” ฉันนึกย้อนไปถึงวันคืนที่พวกตำรวจทรมานฉัน ฉันเกลียดพรรคนี้สุดหัวใจเลยค่ะ การเชื่อและติดตามพระเจ้าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่พวกมันกลับปราบปรามข่มเหงผู้เชื่อ โดยฝันหวานว่าจะสยบคริสตจักรได้ พวกมันก็แค่พวกปีศาจที่เกลียดพระเจ้าเท่านั้นเอง! ดังที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยว่า “เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ?  บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ?  พวกเขาล้วนต่อต้านพระเจ้า!  การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย!  เสรีภาพทางศาสนาหรือ?  สิทธิ์และผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ?  ทั้งหมดนั้นคือเพทุบายเพื่อที่จะปิดบังบาป!… เหตุใดจึงวางสิ่งที่ไม่อาจตีฝ่าเข้าไปได้เช่นนั้นเพื่อกีดขวางพระราชกิจของพระเจ้า?  เหตุใดจึงใช้เพทุบายต่างๆ นานาเพื่อหลอกลวงคนของพระเจ้า?  ไหนเล่าอิสรภาพที่แท้จริงและสิทธิ์กับผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8))  พรรคอ้างว่าส่งเสริมอิสรภาพทางศาสนา แต่ที่จริง พวกมันปราบปราม จับกุม และทรมานผู้เชื่ออย่างโหดร้าย ต้องการเพียงฆ่าพวกเขาให้หมด ใครจะรู้ว่ามีพี่น้องชายหญิงถูกพวกมันทรมานอย่างโหดร้ายไปแล้วกี่คน และมีกี่คนที่ถูกไล่ตามข่มเหงจนถึงจุดที่พวกเขาไม่ปลอดภัยในบ้านของตัวเองอีกต่อไป บางคนถูกทรมานจนตายหรือพิการด้วยซ้ำ พรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นแค่ฝูงปีศาจที่ป่าเถื่อนและต้านทานพระเจ้า ฉันเกลียดพรรคคอมมิวนิสต์จีนสุดหัวใจ และฉันตระหนักว่าพระเจ้าทรงงานในประเทศของพญานาคใหญ่สีแดงยากแค่ไหน ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงเสียสละมากแค่ไหนเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ และตื้นตันจนหลั่งน้ำตา นี่กระตุ้นให้ฉันยิ่งติดตามพระเจ้าไปจนสุดทางค่ะ

สองวันก็แล้ว พวกมันก็ยังไม่ได้อะไรจากฉันเลย จึงให้ฉันยืนทั้งวัน พอกลางคืนก็สวมกุญแจมือฉันติดเก้าอี้เสือ ไม่ให้หลับ พวกมันเปลี่ยนกะกันเฝ้าดูฉัน ทันทีที่พวกมันเห็นฉันเริ่มสัปหงก ก็จะตะโกนปลุกให้ฉันตื่น หัวฉับแทบระเบิดด้วยความเหนื่อยล้า ตอนแปดโมงเช้าวันที่ 9 ธันวาคม ตำรวจพาฉันไปที่ทางเข้าโรงแรม ให้ฉันถอดรองเท้า แล้วยืนเท้าเปล่าบนทางเท้าที่จับไปด้วยน้ำแข็ง น้ำแข็งนั่นหนาประมาณหนึ่งเซนติเมตร ไม่นานนัก ฉันก็หนาวจัดจนเริ่มตัวสั่นเทิ้มและเท้าชาไร้ความรู้สึก แล้วพวกมันก็เริ่มสอบสวนฉันเรื่องคริสตจักรอีกครั้ง พอฉันไม่พูด เจ้าหน้าที่คนหนึ่งก็เอากิ่งไม้หนาเท่านิ้วมือมาเฆี่ยนเท้าฉัน พร้อมตะคอกอย่างชั่วร้ายว่า “เงียบต่อไปเถอะ ดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น!” พอเหนื่อย เขาก็หยุดประเดี๋ยวหนึ่ง แล้วเฆี่ยนต่อ ตอนนั้นอุณหภูมิต่ำกว่าศูนย์หลายองศา ตัวฉันสั่นเทิ้ม ฝ่าเท้าก็เย็นเยือก หลังเท้าเจ็บแปลบไปหมด ความเจ็บปวดและความหนาวเหน็บเกินจะทนได้ ฉันรู้สึกเหมือนว่าอาจจะหมดสติได้ทุกเมื่อ ฉันคิดขึ้นว่า “ถ้าเขาฟาดฉันอยู่อย่างนั้น ขาของฉันอาจจะพิการ” แล้วฉันก็นึกถึงเรื่องพี่ชายคนหนึ่งที่เคยได้ยินมา ว่าถูกมัดกับต้นไม้ทิ้งไว้กลางแจ้งทั้งคืนตอนที่หนาวติดลบถึงสิบองศา แต่การคุ้มครองของพระเจ้าช่วยให้เขาไม่ล้มป่วย พี่ชายคนนั้นอธิษฐานขอพระเจ้าเพื่อเอาชนะความโหดร้ายและยืนหยัดเป็นพยาน ฉันก็ควรเหมือนกัน ฉันจึงรีบอธิษฐานขอพระเจ้าทรงอารักขาหัวใจฉัน ช่วยให้ฉันเอาชนะการทรมานได้ พวกนั้นเฆี่ยนทรมานฉันอยู่ประมาณ 40 นาที จนกิ่งไม้หักไปหลายท่อน เท้าของฉันเจ็บปวดเหลือทน บวมเป่งเหมือนลูกโป่ง และชาไปหมดในที่สุด ฉันเหนื่อยล้าอย่างที่สุด เหมือนกำลังจะแหลกสลาย สองทุ่มคืนนั้น ตำรวจบังคับให้ฉันกับพี่น้องชายหญิงดูวิดีโอการศึกษาใหม่ ฉันโกรธมากกับเนื้อหาที่หมิ่นประมาทและให้ร้ายพระเจ้า หลังจากดูวิดีโอ พวกมันก็ให้เราเสวนาโต้ตอบ ฉันพูดว่า “การเชื่อและติดตามพระเจ้าเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง วิดีโอที่คุณให้ดูเต็มไปด้วยการใส่ร้าย” พวกมันไม่พอใจคำตอบนั้น ก็เลยลงโทษให้ฉันยืน พวกมันให้ฉันถอดรองเท้า แล้วเริ่มเอากิ่งไม้เฆี่ยนเท้าฉันอีกด้วย ความที่โดนเฆี่ยนไปแล้วรอบหนึ่งตอนเช้า ทำให้ครั้งนี้เจ็บหนักกว่าเดิม ฉันรู้สึกเหมือนกระดูกนิ้วเท้ากำลังแตก และฉันก็เจ็บปวดจนสั่นเทิ้มตลอดเวลา เฆี่ยนอยู่ครึ่งชั่วโมง พวกมันก็ส่งฉันกลับห้องโดยบังคับให้ยืนทั้งคืน ฉันนึกถึงการทรมานตลอดสองสามวันนั้น และการที่หัวเจ็บและปวดตุบๆ จากการอดนอน ฉันรู้สึกอ่อนแอมาก และไม่รู้ว่าพวกมันจะทรมานฉันอีกนานแค่ไหน ดูเหมือนคงทรมานฉันจนตายก่อนถึงจะหยุดก็ได้ ฉันอธิษฐานในความทุกข์และอ่อนแอว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รับไม่ไหวอีกแล้ว ขอพระองค์ทรงนำข้าพระองค์ไปต่อที” แล้วพระวจนะหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ “งานของเราท่ามกลางกลุ่มผู้คนของยุคสุดท้ายเป็นวิสาหกิจที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และด้วยเหตุนั้น ผู้คนทั้งหมดต้องทนทุกข์กับความยากลำบากสุดท้ายเพื่อเรา เพื่อที่สง่าราศีของเราอาจเติมเอกภพจนเต็ม  เจ้าเข้าใจเจตนารมณ์ของเราไหม?  นี่เป็นความประสงค์สุดท้ายที่เรามีต่อมนุษย์ กล่าวคือเราหวังว่าผู้คนทั้งหมดสามารถกล่าวคำพยานที่กึกก้องแข็งแกร่งต่อเราเบื้องหน้าพญานาคใหญ่สีแดง ว่าพวกเขาสามารถมอบถวายตัวพวกเขาเองเพื่อเราเป็นครั้งสุดท้าย และทำให้ข้อกำหนดของเราลุล่วงเป็นคราวสุดท้าย  พวกเจ้าสามารถทำการนี้ได้อย่างแท้จริงหรือ?  เจ้าไม่ได้สามารถที่จะทำให้สมดังหัวใจเราในอดีต—เจ้าจะสามารถทำลายแบบแผนนี้ในคราวสุดท้ายได้หรือ?  เราให้โอกาสผู้คนที่จะไตร่ตรอง เราปล่อยให้พวกเขาใคร่ครวญอย่างรอบคอบระมัดระวังก่อนที่จะให้คำตอบกับเราในที่สุด—มันผิดหรือที่ทำการนี้?  เรารอคอยการขานรับของมนุษย์ เรารอคอย ‘จดหมายตอบกลับ’ ของเขา—พวกเจ้ามีความเชื่อที่จะทำให้ข้อกำหนดของเราลุล่วงหรือไม่?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 34)  เมื่อไตร่ตรองพระวจนะ ฉันนึกถึงการที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์ และพระเจ้าแห่งยุคสุดท้ายได้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์อีกครั้ง และถูกพญานาคใหญ่สีแดงไล่ล่า ถูกโลกศาสนากล่าวโทษใส่ร้าย พระเจ้าได้ทรงทนทุกข์อย่างมากเพื่อช่วยมวลมนุษย์ทั้งหมดให้รอด ฉันนึกถึงการเชื่อของฉันในหลายปีมานี้ ฉันได้ชื่นชมการให้น้ำและเสบียงแห่งพระวจนะ แต่ไม่เคยเป็นพยานอย่างแท้จริงเลย พระเจ้าทรงอนุญาตให้พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงฉันเพื่อทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อม และให้โอกาสฉันเป็นพยาน ฉันต้องพึ่งพาพระเจ้าเพื่อเป็นพยานต่อหน้าพญานาคใหญ่สีแดงให้ซาตานอับอาย! คืนนั้น ฉันอธิษฐานและไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า และรู้สึกกลัดกลุ้มน้อยลงค่ะ

สองสามวันต่อมา ตำรวจก็มาสอบสวนฉันอีก เมื่อฉันไม่พูด เจ้าหน้าที่สองคนก็คว้าขาของฉันทั้งซ้ายขวา แล้วหนึ่งในนั้นก็เอาเท้ากดขาซ้ายฉันกับกำแพง ขณะที่อีกคนบิดหัวฉันไปทางขวา และเหยียบขาขวาฉันอย่างแรง ฉันเจ็บปวดสาหัสและรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก แล้วคนหนึ่งก็ใช้เท้ายันขาของฉันเข้าด้วยกัน แล้วเตะขาฉันแยกออก ทำอยู่อย่างนี้หลายครั้งพลางพูดว่า “แกดื้อด้าน ให้ฉันทรมานแกจนตายสินะ!” แล้วเขาก็ใช้เท้ายกขาฉันขึ้นหลังเข่า แล้วทิ้งมันลงสามครั้งติดกัน จากนั้นเขาก็เหยียบต้นขาด้านในของฉันอย่างแรง บดขยี้ขึ้นลง เหยียบขาซ้ายขวาของฉันสลับไปมาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วน เหมือนเขากำลังบังคับถลกเนื้อหนังออกจากต้นขาของฉัน มันเจ็บมากจนฉันกรีดร้องด้วยความทุกข์ทรมาน ถึงจุดนั้นเขาก็เอาร้องเท้าแตะยัดปากฉัน พวกมันบังคับให้ฉันฉีกขาทั้งหมดสามรอบ หลังจากนั้น ก็ใช้ปากกาสองด้ามหนีบนิ้วฉันรูดลงมา พวกมันทรมานฉันแบบนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉันเริ่มบรรยายไม่ถูกด้วยซ้ำว่ามันแย่แค่ไหน ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่หยุด ความคิดเดียวก็คือฉันควรตายก่อนจะกลายเป็นยูดาส แล้วเพลงสรรเสริญพระวจนะก็แว่วขึ้นในใจว่า “ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า  ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น)  พระวจนะให้ความเข้มแข็งแก่ฉัน ฉันมีโอกาสเป็นพยานแด่พระเจ้าต่อหน้าพญานาคใหญ่สีแดง นับเป็นเกียรติอย่างสูงค่ะ ไม่ว่าตำรวจทรมานฉันยังไง ตราบที่ฉันยังหายใจ ฉันก็ควรเป็นพยานแด่พระเจ้า ทำให้ซาตานอับอายที่สุด

ประมาณหกโมงเช้าของวันที่ 13 ธันวาคม พวกนั้นบังคับให้เราไปร้องเพลงชาติที่ห้องโถง ขาของฉันบวมมากจนฉันเดินไม่ได้ เจ้าหน้าที่สองคนจึงลากฉันไปที่ประตู พวกเจ้าหน้าที่ล้อฉันเล่นต่อหน้าทุกคนว่า “เธอท้องเสียทั้งคืนจนเดินไม่ได้ยังไม่ไหวเลย!” ขาของฉันปวดมากจนยืนเองไม่ไหวก็เลยต้องพิงกำแพงค่ะ ประมาณเก้าโมงเช้า พวกเขาก็บังคับให้ฉันฉีกขาอีกสามรอบ แล้วก็ลากฉันไปที่เก้าอี้เสือ และล็อกมือฉันไว้ในห่วงโลหะ พวกมันหนีบนิ้วฉันต่อด้วยค่ะ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งใช้ตะเกียบสองคู่หนีบมือซ้ายฉัน แล้วพอตะเกียบหัก เขาก็ใช้เศษที่หักหนีบสี่นิ้วของฉันต่อ เจ้าหน้าที่อีกคนใช้ปากกาหนีบมือขวาฉัน การหนีบและรีดนิ้วทำให้ฉันเจ็บปวดมากจนต้องดิ้นเตะขาไปมา พวกมันเลยต้องมัดขาฉันกดลงไว้กับเก้าอี้ จนฉันขยับเขยื้อนไม่ได้เลย พวกมันผลัดกันเตะขาฉันด้วย ความเจ็บปวดเหลือทนจริงๆ ค่ะ ฉันทนต่อไปไม่ไหวก็เลยโขกหัวกับกำแพงอย่างแรง พวกตำรวจไม่อยากให้ฉันตายคามือ ก็เลยเอามือขวางหัวฉันไว้

บ่ายวันนั้น พวกมันก็ทรมานฉันแบบเดิมอีก การหนีบทำให้เล็บมือฉันช้ำลึก มือฉันก็ฟกช้ำดำเขียว นิ้วชี้ซ้ายของฉันชาไปหมด หัวก็รู้สึกเหมือนจะระเบิด ฉันเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัว ขาก็ขยับไม่ได้ แต่พวกมันก็ยังไม่ยอมปล่อย คืนนั้นฉันต้องดูสิ่งที่เรียกว่า “ภาพยนตร์ให้การศึกษา” และเช้าวันถัดมา พวกมันก็ให้ฉันฉีกขาต่อ พวกมันทรมานฉันแบบนี้อยู่สองวันครึ่ง ฉันรับไม่ได้อีกต่อไปจริงๆ จนคิดว่าจะอดอาหารเพื่อจบความทุกข์นี้ ในความทุกข์และอ่อนแอ ฉันอธิษฐานว่า “โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์รับการทรมานของพญานาคใหญ่สีแดงไม่ไหวแล้ว ข้าพระองค์กลัวจะทรยศพระองค์เหมือนยูดาส โอ พระเจ้า! โปรดประทานความเชื่อให้ข้าพระองค์ที” แล้วพระวจนะบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจค่ะ “ความเชื่อและความรักอย่างถึงที่สุดเป็นสิ่งที่พวกเราพึงต้องมีในช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจ  พวกเราอาจจะสะดุดจากความเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อยที่สุด ด้วยว่าช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจแตกต่างไปจากช่วงระยะก่อนหน้านี้ทั้งหมด กล่าวคือ สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมก็คือความเชื่อของมวลมนุษย์ ซึ่งการนี้ทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้  สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำคือทรงแปลงพระวจนะเป็นความเชื่อ เป็นความรักและเป็นชีวิต  ผู้คนต้องไปให้ถึงจุดที่พวกเขาได้ทนฝ่ากระบวนการถลุงนับหลายร้อย ครั้ง และครองความเชื่อที่ยิ่งใหญ่กว่าของโยบ  พวกเขาต้องทนฝ่าความทุกข์อันเหลือเชื่อ และการทรมานทุกลักษณะโดยไม่เคยจากพระเจ้าไปเลย  เมื่อพวกเขานบนอบตราบจนสิ้นชีพ และมีความเชื่ออันยิ่งใหญ่ในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจของพระเจ้าก็จะครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (8))  เมื่อไตร่ตรองพระวจนะ ฉันจึงตระหนักว่า พระเจ้าทรงอนุญาตให้พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงฉัน เพื่อทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อม ฉันต้องเจอเหตุการณ์นี้เพื่อยืนหยัดเป็นพยานแด่พระองค์และทำให้ซาตานอับอาย แต่ความเชื่อของฉันอ่อนแอ พอเนื้อหนังเป็นทุกข์ ฉันจึงอยากตาย ที่แท้ฉันอ่อนแอตลอดมา ถ้าฉันตาย ฉันก็จะตกหลุมเพทุบายของซาตาน ฉันตายไม่ได้ ฉันต้องพึ่งพาพระเจ้าเพื่อยืนหยัดเป็นพยาน

เนื่องจากการทรมาน ฉันฟกช้ำรุนแรงตั้งแต่เอวลงไป และแผลห้อเลือดรอบขาหนีบก็บวมเป่งขนาดเท่าไข่ไก่ ต้นขาฉันบวมฟกช้ำดำเขียว น่องซ้ายก็ชา เท้าทั้งสองข้างก็บวมและฟกช้ำ ตำรวจไม่อยากรับผิดชอบหากฉันตายคามือ วันต่อมาพวกมันก็เลยเรียกหมอมารักษาฉัน รักษาอยู่หนึ่งสัปดาห์ ฉันถึงกล้ายืนขึ้นแล้วเริ่มเดินช้าๆ ค่ะ ขาฉันบาดเจ็บรุนแรงมากจน ฉันเจ็บปวดจนนอนไม่ได้อยู่ยี่สิบวัน มันเป็นความยากลำบากที่เกินทนค่ะ ฉันอาการหนักมาก พวกนั้นไม่อยากให้ฉันตายในมือพวกมัน ก็เลยปล่อยฉันในที่สุด การทรมานห้าสิบวันนั้น หลงเหลืออาการสาหัสมากไว้ให้ฉัน ถึงวันนี้ ฉันก็ยังใช้มือทำงานบ้านไม่ได้ ถ้าฉันนวดแป้งหรือซักผ้าจนเหนื่อย ก็จะเจ็บเหมือนมีดแทง กระดูกต้นขาฉันก็เจ็บจนนั่งยองแล้วยันขึ้นไม่ได้เลย เนื้อหนังฉันอาจทนทุกข์ไปบ้าง แต่ฉันก็ได้ประจักษ์ความรักของพระเจ้า ตอนที่ถูกทรมานจนเนื้อหนังทนไม่ไหวอีกแล้ว ก็เป็นการทรงอารักขาของพระเจ้าและการนำของพระวจนะ ที่ให้ความเชื่อและความเข้มแข็ง จนฉันเอาชนะและรอดมาจากการทรมานของปีศาจได้ ฉันยังหยั่งรู้ความไร้มนุษยธรรมของพรรคนั่นอย่างชัดเจน มันคือมารซาตานที่ต้านทานพระเจ้า ฉันเกลียดพรรคคอมมิวนิสต์จีนสุดหัวใจ และต้องการละทิ้งมันอย่างสิ้นเชิง แล้วไล่ตามความจริงลุล่วงหน้าที่เพื่อตอบแทนพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

คืนที่ฉันถูกจับกุม

วันนั้นเป็นเดือนเมษายนปี 2011ตอนสองทุ่มกว่าค่ะ พี่หลิวกับฉันกำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าในห้องของเรา จู่ๆ ตอนนั้น เราก็ได้ยินเสียงทุบประตู...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger