สิ่งที่เป็นการติดตามพระเจ้า และสิ่งที่เป็นการติดตามมนุษย์

วันที่ 07 เดือน 01 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ความสำคัญหลักในการติดตามพระเจ้าคือ ทุกสิ่งควรเป็นไปอย่างสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ กล่าวคือ ไม่ว่าเจ้าจะกำลังไล่ตามเสาะหาการเข้าสู่ชีวิตหรือการทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าลุล่วง ทุกสิ่งควรมีศูนย์กลางอยู่ที่พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ หากสิ่งที่เจ้าสื่อสารและไล่ตามเสาะหาไม่ได้มีศูนย์กลางอยู่ที่พระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คือคนแปลกหน้าต่อพระวจนะของพระเจ้า และสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างสิ้นเชิง สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์คือผู้คนที่ติดตามรอยพระบาทของพระองค์ ไม่ว่าสิ่งที่เจ้าเข้าใจมาก่อนนั้นจะมหัศจรรย์และบริสุทธิ์มากน้อยเพียงใด พระเจ้าก็ไม่ทรงต้องประสงค์สิ่งนั้น และหากเจ้าไร้ความสามารถที่จะละสิ่งเหล่านั้นได้ เช่นนั้นแล้วสิ่งเหล่านั้นจะเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงต่อการเข้าสู่ของเจ้าในอนาคต บรรดาผู้ที่มีความสามารถที่จะติดตามความสว่างปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ก็ได้รับพระพร ผู้คนในยุคก่อนๆ ยังได้ติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าด้วยเช่นกัน แต่กระนั้นก็ดีพวกเขาก็ไม่สามารถติดตามได้จนถึงวันนี้ นี่คือพระพรของผู้คนในยุคสุดท้าย บรรดาผู้ที่สามารถติดตามพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ และผู้ที่มีความสามารถที่จะติดตามรอยพระบาทของพระเจ้าได้ เฉกเช่นที่พวกเขาติดตามพระเจ้าไม่ว่าพระองค์จะนำทางพวกเขาไปยังที่ใด—เหล่านี้คือผู้คนที่ได้รับพระพรจากพระเจ้า บรรดาผู้ที่ไม่ติดตามพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังไม่ได้เข้าสู่พระราชกิจแห่งพระวจนะของพระเจ้า และไม่ว่าพวกเขาจะทำงานมากมายเพียงใด หรือความทุกข์ของพวกเขาใหญ่หลวงเพียงใด หรือพวกเขาวิ่งวุ่นดำเนินงานมากเพียงใด สิ่งเหล่านั้นไม่มีความหมายอะไรกับพระเจ้า และพระองค์จะไม่ชมเชยพวกเขา วันนี้ บรรดาผู้ที่ติดตามพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้านั้นอยู่ในกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกที่เป็นคนแปลกหน้าต่อพระวจนะของพระเจ้าในวันนี้ต่างอยู่นอกกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้คนเช่นนั้นไม่ได้รับการชมเชยจากพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์

ในคำว่า “บรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทางจะได้รับความรอด” นั้น ความหมายของคำว่า “ติดตาม” คือการตั้งมั่นท่ามกลางความทุกข์ลำบาก วันนี้ ผู้คนมากมายเชื่อว่าการติดตามพระเจ้าเป็นเรื่องง่าย แต่เมื่อพระราชกิจของพระเจ้ากำลังจะสิ้นสุด เจ้าจะรู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ติดตาม” เพียงเพราะเจ้ายังคงมีความสามารถที่จะติดตามพระเจ้าในวันนี้หลังจากที่ได้รับการพิชิต ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ในท้ายที่สุด พวกที่ไร้ความสามารถที่จะสู้ทนการทดสอบ พวกที่ไม่สามารถมีชัยท่ามกลางความทุกข์ลำบาก จะไม่สามารถยืนหยัด และดังนั้นจะไร้ความสามารถที่จะติดตามพระเจ้าไปจนถึงบทอวสาน บรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริงย่อมมีความสามารถที่จะทนสู้การทดสอบของงานของพวกเขา ในทางตรงกันข้าม พวกที่ไม่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง ย่อมไม่สามารถทนสู้การทดสอบใดๆ ของพระเจ้า ไม่ช้าไม่นาน พวกเขาย่อมจะถูกขับไล่ ในขณะที่ผู้ชนะจะยังคงอยู่ในราชอาณาจักร การที่มนุษย์แสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริงหรือไม่นั้นกำหนดจากการทดสอบแห่งงานของเขา นั่นคือ จากบททดสอบของพระเจ้า และไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับการตัดสินใจของมนุษย์เอง พระเจ้าไม่ทรงปฏิเสธบุคคลใดตามพระดำริชั่วแล่น ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำสามารถโน้มน้าวมนุษย์ให้เชื่ออย่างถึงที่สุดได้ พระองค์ไม่ทรงทำสิ่งใดก็ตามที่มนุษย์มองไม่เห็น หรือพระราชกิจใดก็ตามที่ไม่สามารถโน้มน้าวมนุษย์ให้เชื่อ การเชื่อของมนุษย์เป็นจริงหรือไม่นั้นย่อมพิสูจน์ด้วยข้อเท็จจริง และมนุษย์ไม่สามารถตัดสินความเชื่อของตนได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์

เจ้ารู้หรือไม่ว่าการติดตามพระเจ้าหมายถึงอะไร? หากปราศจากนิมิตแล้ว เจ้าจะเดินบนเส้นทางใด? ในพระราชกิจของวันนี้ หากเจ้าไม่มีนิมิต เจ้าจะไม่สามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ได้เลย เจ้าเชื่อในผู้ใดกัน? เหตุใดเจ้าจึงเชื่อในพระองค์? เหตุใดเจ้าจึงติดตามพระองค์? เจ้ามองเห็นความเชื่อของเจ้าเป็นดังเกมอย่างหนึ่งหรือ? เจ้ากำลังจัดการกับชีวิตของเจ้าเหมือนเป็นของเล่นประเภทหนึ่งหรือ? พระเจ้าของวันนี้คือนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เจ้ารู้จักพระองค์มากเพียงใด? เจ้าได้มองเห็นพระองค์มากเพียงใด? เมื่อได้มองเห็นพระเจ้าของวันนี้แล้ว รากฐานของการเชื่อในพระเจ้าของเจ้ามั่นคงหรือไม่? เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะบรรลุความรอดตราบเท่าที่เจ้าติดตามไปในหนทางที่ปนเปยุ่งเหยิงนี้? เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถจับปลาในน้ำขุ่นคลั่กได้? มันง่ายเช่นนั้นหรือ? เจ้าได้พักวางมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระวจนะที่พระเจ้าดำรัสในวันนี้ไปมากเพียงใด? เจ้ามีนิมิตเกี่ยวกับพระเจ้าของวันนี้หรือไม่? ความเข้าใจที่เจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าของวันนี้อยู่ในที่ใด? เจ้าเชื่ออยู่เสมอว่าเจ้าสามารถได้มาซึ่งพระองค์[ก]เพียงด้วยการติดตามพระองค์ หรือเพียงด้วยการมองเห็นพระองค์ และว่าไม่มีใครจะสามารถกำจัดเจ้าได้ อย่าทึกทักเอาว่าการติดตามพระเจ้าเป็นเรื่องง่ายนัก สิ่งสำคัญคือเจ้าต้องรู้จักพระองค์ เจ้าต้องรู้จักพระราชกิจของพระองค์ และเจ้าต้องมีเจตจำนงที่จะสู้ทนความยากลำบากเพื่อประโยชน์ของพระองค์ เสียสละชีวิตของเจ้าเพื่อพระองค์ และได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์ นี่คือนิมิตที่เจ้าควรมี จะไม่เกิดประโยชน์อันใดหากความคิดของเจ้ามุ่งมั่นแต่จะชื่นชมพระคุณอยู่เสมอ อย่าสันนิษฐานว่าพระเจ้าทรงอยู่ที่นี่เพียงเพื่อความชื่นชมยินดีของผู้คน หรือเพื่อประทานพระคุณแก่พวกเขา เจ้าจะคิดผิด! หากคนเราไม่สามารถเสี่ยงชีวิตของพวกเขาเพื่อติดตามพระองค์ และหากคนเราไม่สามารถละทิ้งสิ่งครอบครองทุกอย่างทางโลกเพื่อติดตามพระองค์ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะไม่สามารถติดตามพระองค์ต่อไปจนถึงที่สุดได้อย่างแน่นอน! เจ้าต้องมีนิมิตเป็นรากฐานของเจ้า หากวันหนึ่งมีโชคร้ายบังเกิดกับเจ้า เจ้าควรจะทำอย่างไรหรือ? เจ้าจะยังคงสามารถติดตามพระองค์ได้หรือไม่? จงอย่าพูดพล่อยๆ ว่าเจ้าจะสามารถติดตามไปจนถึงที่สุดได้หรือไม่ได้ เจ้าควรเปิดตาของเจ้าให้กว้างเสียก่อนจะดีกว่าเพื่อดูว่าตอนนี้เป็นเวลาใด ถึงแม้ว่าในขณะนี้พวกเจ้าอาจเป็นเหมือนกับเสาของพระวิหาร แต่สักวันหนึ่งย่อมถึงเวลาที่เสาทั้งหมดเหล่านั้นจะถูกหนอนกัดแทะ ทำให้พระวิหารพังลงได้ เพราะในขณะนี้มีนิมิตมากมายที่พวกเจ้าขาดพร่องอยู่ พวกเจ้าเพียงใส่ใจกับโลกเล็กๆ ของพวกเจ้าเอง และพวกเจ้าไม่รู้ว่าวิธีการที่เชื่อถือได้และเหมาะสมที่สุดในการแสวงหาคืออะไร พวกเจ้าไม่ใส่ใจกับนิมิตของพระราชกิจของวันนี้ อีกทั้งพวกเจ้าไม่โอบกอดสิ่งเหล่านี้ไว้ในหัวใจของเจ้า พวกเจ้าเคยคำนึงหรือไม่ว่าวันหนึ่งพระเจ้าของพวกเจ้าจะพาพวกเจ้าไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยที่สุด? พวกเจ้าจินตนาการได้หรือไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดกับเจ้าในวันหนึ่งที่เราอาจคว้าทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพวกเจ้า? กำลังวังชาของพวกเจ้าในวันนั้นจะเป็นเหมือนกับที่เป็นในตอนนี้หรือไม่? ความเชื่อของพวกเจ้าจะปรากฏอีกครั้งหรือไม่? ในการติดตามพระเจ้า เจ้าต้องรู้นิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ซึ่งก็คือ “พระเจ้า” กล่าวคือ นี่เป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญที่สุด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พวกเจ้าต้องเข้าใจพระราชกิจ—อย่าติดตามอย่างงุนงงสับสน!

เมื่อพวกเขาไม่มีปัญหา เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างกำลังไปได้อย่างราบรื่นสำหรับพวกเขา ผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่าพระเจ้าทรงฤทธิ์ และชอบธรรม และน่ารักชื่นชม เมื่อพระเจ้าทรงทดสอบพวกเขา ทรงจัดการกับพวกเขา ทรงตีสอนพวกเขา และทรงบ่มวินัยพวกเขา เมื่อพระองค์ทรงขอให้พวกเขาละวางผลประโยชน์ของพวกเขาเอง หันหลังให้กับเนื้อหนังและปฏิบัติความจริง เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจกับพวกเขา และทรงจัดวางเรียบเรียงและทรงครอบครองเหนือชะตากรรมของพวกเขาและชีวิตของพวกเขา พวกเขากลายเป็นกบฏ และสร้างความเหินห่างระหว่างตัวพวกเขาเองกับพระเจ้า พวกเขาสร้างความขัดแย้งและ ระหว่างพวกเขากับพระเจ้า ในเวลาเช่นนั้น ในหัวใจของพวกเขา พระเจ้าไม่ทรงน่ารักชื่นชมแม้แต่น้อย พระองค์ไม่ทรงฤทธิ์เลย ด้วยเหตุที่สิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นไม่ทำให้ความปรารถนาของพวกเขาลุล่วง พระเจ้าทรงทำให้พวกเขาเศร้า พระองค์ทรงทำให้พวกเขาอารมณ์เสีย พระองค์ทรงนำพาความเจ็บปวดและความทุกข์มาสู่พวกเขา พระองค์ทรงทำให้พวกเขารู้สึกไม่มั่นคง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่นบนอบต่อพระเจ้าเลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเป็นกบฏต่อพระองค์และหลบเลี่ยงพระองค์ พวกเขากำลังปฏิบัติความจริงโดยการทำการนี้หรือไม่? พวกเขากำลังติดตามทางแห่งพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาติดตามพระเจ้าหรือไม่? ไม่ ดังนั้นแล้ว โดยไม่คำนึงถึงว่ามโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของเจ้าเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าจะมีมากมายเพียงใด และโดยไม่คำนึงถึงว่าก่อนหน้านี้เจ้าได้ปฏิบัติตนตามเจตจำนงของเจ้าเองและเป็นกบฏต่อพระเจ้าอย่างไร หากเจ้าไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริง และยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระเจ้า และยอมรับการได้รับการตัดแต่งและการจัดการโดยพระวจนะของพระเจ้า หากในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงจัดวางเรียบเรียง เจ้ามีความสามารถที่จะติดตามทางแห่งพระเจ้า เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า แสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ปฏิบัติโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์และน้ำพระทัยของพระองค์ มีความสามารถที่จะพยายามเสาะแสวงที่จะนบนอบ และสามารถละวางเจตจำนง ความพึงปรารถนา ความคำนึงถึง แรงจูงใจ และความเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้าทั้งหมดของเจ้าเอง—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะกำลังติดตามพระเจ้า! เจ้าพูดว่าเจ้าติดตามพระเจ้า แต่ทั้งหมดที่เจ้าทำ เจ้าทำตามเจตจำนงของเจ้าเอง ในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ เจ้ามีจุดมุ่งหมายของเจ้าเอง แผนของเจ้าเอง เจ้าไม่ทิ้งสิ่งนั้นให้ขึ้นอยู่กับพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พระเจ้ายังคงทรงเป็นพระเจ้าของเจ้าอยู่หรือไม่? หากพระเจ้าไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เมื่อเจ้าพูดว่าเจ้าติดตามพระเจ้า เหล่านี้ไม่ใช่คำพูดที่ว่างเปล่าหรอกหรือ? คำพูดเช่นนั้นไม่ใช่ความพยายามที่จะหลอกผู้คนหรอกหรือ? เจ้าพูดว่าเจ้าติดตามพระเจ้า แต่การกระทำและพฤติกรรมทั้งหมดของเจ้า ทรรศนะเกี่ยวกับชีวิตของเจ้า คุณค่าของเจ้า และท่าทีและหลักธรรมซึ่งเจ้าใช้เข้าหาและรับมือกับเรื่องทั้งหลายล้วนแต่มาจากซาตาน—เจ้ารับมือกับทั้งหมดนี้โดยสอดคล้องกับหลักธรรมและตรรกะของซาตานทั้งสิ้น ดังนั้นแล้ว เจ้าติดตามพระเจ้าหรือไม่?

…หนทางที่เรียบง่ายที่สุดในการพรรณนาการเชื่อในพระเจ้าคือการไว้วางใจว่ามีพระเจ้า และบนรากฐานนี้ การติดตามพระองค์ การเชื่อฟังพระองค์ การยอมรับอำนาจครอบครอง การจัดวางเรียบเรียง และการจัดการเตรียมการของพระองค์ การฟังพระวจนะของพระองค์ การใช้ชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ การทำทุกสิ่งทุกอย่างตามพระวจนะของพระองค์ การเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่แท้จริง และการยำเกรงพระองค์และการหลบเลี่ยงความชั่ว มีเพียงการนี้เท่านั้นที่เป็นการเชื่อในพระเจ้าที่แท้จริง นี่คือสิ่งที่หมายถึงการติดตามพระเจ้า เจ้าพูดว่าเจ้าติดตามพระเจ้า แต่ในหัวใจของเจ้า เจ้าไม่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า และเจ้าไม่ยอมรับอำนาจครอบครอง การจัดวางเรียบเรียง และการจัดการเตรียมการของพระองค์ หากเจ้ามีมโนคติอันหลงผิดเสมอเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ และเจ้าเข้าใจผิดเสมอในสิ่งที่พระองค์ทรงทำ และร้องทุกข์เกี่ยวกับสิ่งนั้น หากเจ้าไม่พึงพอใจเสมอ และเจ้าประเมินวัดและเข้าหาสิ่งที่พระองค์ทรงทำโดยใช้มโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของเจ้าเองเสมอ หากเจ้ามีความเข้าใจของเจ้าเองเสมอ—การนี้จะเป็นสาเหตุให้เกิดความเดือดร้อน เจ้าไม้ได้กำลังได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และเจ้าไม่มีหนทางที่จะติดตามพระองค์อย่างแท้จริง เช่นนั้นไม่ใช่การเชื่อในพระเจ้า

ตัดตอนมาจาก “การเชื่อในศาสนาจะไม่มีวันนำทางสู่ความรอด” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ผู้คนบางคนไม่ได้ชื่นบานในความจริง นับประสาอะไรกับคำพิพากษา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับชื่นบานในอำนาจและความมั่งคั่ง ผู้คนเช่นนั้นเรียกกันว่าผู้แสวงอำนาจ พวกเขาค้นหาเฉพาะบรรดานิกายในโลกที่มีอิทธิพล และพวกเขาก็ค้นหาเฉพาะบรรดาศิษยาภิบาลและคณาจารย์ที่มาจากโรงเรียนสอนศาสนาทั้งหลาย แม้ว่าพวกเขาจะได้ยอมรับหนทางแห่งความจริงแล้ว พวกเขาก็เชื่อเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถให้หัวใจและจิตใจของพวกเขาได้ทั้งหมด ปากของพวกเขาพูดถึงการสละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้า แต่สายตาของพวกเขากลับจดจ่ออยู่ที่บรรดาศิษยาภิบาลและคณาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ และพวกเขาก็ไม่ได้ชายตามองมาที่พระคริสต์อีกเลย หัวใจของพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับชื่อเสียง ความมีโชคและความรุ่งโรจน์ พวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลตัวเล็กๆ เช่นนั้นจะสามารถพิชิตได้มากมายขนาดนั้น เป็นไปไม่ได้ที่คนธรรมดาไม่มีอะไรน่าสนใจอย่างนั้นจะสามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ พวกเขาคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่พวกนอกสายตาเหล่านี้ท่ามกลางฝุ่นและกองขยะจะเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาเชื่อว่าหากผู้คนเช่นนั้นคือวัตถุแห่งความรอดของพระเจ้า ถ้าอย่างนั้นแล้วสวรรค์และโลกก็คงจะกลับด้านกัน และผู้คนทุกคนก็คงจะหัวเราะจนท้องแข็ง พวกเขาเชื่อว่าหากพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกนอกสายตานั้นเพื่อที่จะทำให้มีความเพียบพร้อม ถ้าอย่างนั้นแล้วบรรดามนุษย์ที่ยิ่งใหญ่ทั้งหลายก็คงจะกลายเป็นพระเจ้าไปเสียเอง มุมมองของพวกเขานั้นด่างพร้อยไปด้วยการไม่เชื่อเกินกว่าที่กำลังไม่เชื่อ พวกเขาเป็นแค่สัตว์ป่าที่วิปริตผิดแปลก เพราะว่าพวกเขาเห็นคุณค่าเฉพาะสถานภาพเกียรติยศและอำนาจเท่านั้น และพวกเขาก็เคารพนับถือเฉพาะบรรดากลุ่มและนิกายใหญ่ๆ เท่านั้น พวกเขาไม่ได้มีความนับถือสำหรับบรรดาผู้ที่ได้รับการทรงนำโดยพระคริสต์แม้แต่น้อย พวกเขาเป็นแค่เหล่าคนทรยศที่หันหลังให้กับพระคริสต์ กับความจริง และกับชีวิต

สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ แต่เป็นบรรดาผู้เลี้ยงเทียมเท็จที่มีจุดยืนอันโดดเด่นเหล่านั้น เจ้าไม่ได้ชื่นชมบูชาความดีงามหรือพระปรีชาญาณของพระคริสต์ แต่เป็นพวกคนหลงระเริงที่เกลือกกลิ้งในความโสมมของโลก เจ้าหัวเราะให้กับความเจ็บปวดของพระคริสต์ที่ไม่มีที่จะวางพระเศียรของพระองค์ แต่เจ้ากลับเลื่อมใสบรรดาซากศพเหล่านั้นที่ตามล่าหาของถวายและใช้ชีวิตอยู่กับความเสเพล เจ้าไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์เคียงข้างพระคริสต์ แต่เจ้ากลับเปรมปรีดิ์ที่จะโผเข้าสู่อ้อมแขนของพวกต่อต้านพระคริสต์ที่บ้าบิ่นสิ้นคิดเหล่านั้น แม้พวกเขาจะจัดหาให้เจ้าเพียงแค่เนื้อหนังคำพูดและการควบคุม แม้ว่าบัดนี้หัวใจของเจ้ายังคงหันเข้าหาพวกเขา เข้าหาความมีหน้ามีตาของพวกเขา เข้าหาสถานภาพของพวกเขา เข้าหาอิทธิพลของพวกเขา และกระนั้นเจ้าก็ยังคงสงวนท่าทีที่ทำให้เจ้าพบว่าพระราชกิจของพระคริสต์นั้นยากที่จะกลืนลง และเจ้าก็ไม่เต็มใจที่จะยอมรับพระราชกิจนั้น นี่คือเหตุผลที่ทำไมเราจึงกล่าวว่าเจ้าขาดความเชื่อที่จะยอมรับพระคริสต์ เหตุผลที่เจ้าได้ติดตามพระองค์มาจนถึงวันนี้ก็เพียงเพราะเจ้าไม่มีทางเลือกอื่น ภาพลักษณ์อันสูงส่งเป็นชุดๆ ตั้งตระหง่านอยู่ในหัวใจของเจ้าตลอดกาล เจ้าไม่อาจลืมทั้งวาจาและความประพฤติทุกอย่างของพวกเขา และคำพูดกับมือที่มีอิทธิพลของพวกเขาได้ ในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเขาคือผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดตลอดกาลและเหล่าวีรบุรุษตลอดกาล แต่นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นสำหรับพระคริสต์ในวันนี้ พระองค์ไม่มีนัยสำคัญตลอดกาลในหัวใจของเจ้า และไม่คู่ควรที่จะได้รับความเคารพตลอดกาล เพราะพระองค์นั้นทรงมีความเป็นธรรมดาเกินไปมาก ทรงมีอิทธิพลน้อยเกินไปมาก และห่างไกลจากคำว่าสูงส่ง

ไม่ว่าในกรณีใด เราพูดเลยว่า ผู้คนทุกคนที่ไม่ได้เห็นคุณค่าของความจริงคือพวกที่ไม่เชื่อและพวกที่หักหลังความจริง พวกมนุษย์เช่นนั้นจะไม่มีวันได้รับการยอมรับจากพระคริสต์ บัดนี้เจ้าได้ระบุหรือยังว่ามีความไม่เชื่อมากเพียงใดอยู่ภายในตัวเจ้า และเจ้ามีการทรยศต่อพระคริสต์มากเพียงใด เราเคี่ยวเข็ญเจ้าดังนี้ว่า เนื่องจากเจ้าได้เลือกหนทางแห่งความจริงเช่นนั้นแล้ว เจ้าจึงควรอุทิศตัวเจ้าเองโดยสุดหัวใจ จงอย่าลังเลหรือไม่เต็มใจ เจ้าควรเข้าใจว่าพระเจ้าไม่ได้เป็นของโลกหรือบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่เป็นของผู้คนทุกคนที่เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง ผู้คนทุกคนที่นมัสการพระองค์ และผู้คนทุกคนที่อุทิศตนและสัตย์ซื่อต่อพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?

ไม่สำคัญว่าพวกผู้นำและผู้ร่วมงานทั้งหลายนั้นอยู่ที่ระดับใดภายในคริสตจักร หากพวกเจ้าเคารพบูชาพวกเขาเสมอ และพึ่งพาพวกเขาในทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อที่จะเชื่อในพระเจ้าและสัมฤทธิ์ความรอด แรงกระตุ้นนี้ก็ผิดอยู่แล้วในตัวมันเอง โดยไม่คำนึงถึงอันดับขั้นของพวกเขาท่ามกลางกลุ่มผู้นำ พวกเขาก็ยังคงเป็นผู้คนธรรมดาทั่วไป และหากเจ้ามองเห็นพวกเขาเป็นพวกที่อยู่เหนือกว่าเจ้า หากเจ้ารู้สึกว่าพวกเขาอยู่สูงกว่าเจ้า ว่าพวกเขายิ่งใหญ่กว่าหรือมีความสามารถรอบรู้มากกว่าเจ้า และว่าพวกเขาควรนำทางเจ้า ว่าพวกเขานั้นเหนือกว่าใครในหมู่พวกเดียวกันอย่างสังเกตได้ชัดในทุกหนทาง นั่นก็ผิดแล้ว—นั่นเป็นความหลงผิดของเจ้า แล้วความหลงผิดนั้นนำทางไปสู่ผลสืบเนื่องอะไรหรือ? ความหลงผิดนี้ ความเข้าใจที่มีข้อตำหนินี้จะนำทางเจ้าไปสู่การประเมินวัดผู้นำทั้งหลายของเจ้าตามข้อพึงประสงค์ที่ไม่คล้อยตามความเป็นจริงโดยไม่รู้สึกตัว ในเวลาเดียวกัน เจ้ายังจะถูกดึงดูดเข้าหาสิ่งที่เรียกว่าความโก้เก๋และความเลิศหรูของพวกเขา หรือความสามารถและความสามารถพิเศษของพวกเขาอย่างถลำลึกโดยที่เจ้าไม่รู้ตัวด้วยเช่นกัน จนถึงขั้นที่ ก่อนที่เจ้าทันรู้ตัว เจ้าก็กำลังเคารพบูชาพวกเขาอยู่ และพวกเขาก็ได้กลายเป็นพระเจ้าทั้งหลายของเจ้าไปเสียแล้ว เส้นทางนั้นนับจากชั่วขณะที่พวกเขาเริ่มกลายเป็นบุคคลต้นแบบของเจ้า, เป็นวัตถุแห่งการเคารพบูชาของเจ้า, ไปจนถึงชั่วขณะที่เจ้ากลายเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของพวกเขา ก็คือเส้นทางที่จะนำทางเจ้าให้ห่างไปจากพระเจ้าโดยไม่รู้สึกตัว และแม้แต่ในขณะที่เจ้าค่อยๆ เคลื่อนห่างจากพระเจ้า เจ้าก็จะยังคงเชื่อว่าเจ้ากำลังติดตามพระเจ้าอยู่ เชื่อว่าเจ้าอยู่ในพระนิเวศของพระเจ้า ว่าเจ้าอยู่ในการทรงสถิตของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม เจ้าก็จะได้ถูกดึงดูดห่างออกไปแล้วอย่างไม่รู้ตัวโดยใครบางคนซึ่งถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม หรือแม้แต่โดยพวกศัตรูของพระคริสต์ นี่คือสภาวการณ์ที่เป็นอันตรายอย่างมาก เพราะฉะนั้น เพื่อที่จะแก้ไขปัญหานี้ เจ้าต้องมีความสามารถที่ถูกต้องแม่นยำในอันที่จะเข้าใจและแยกแยะอุปนิสัยที่แตกต่างกันของพวกศัตรูของพระคริสต์กับหนทางทั้งหลายที่พวกเขาใช้ปฏิบัติการ ตลอดจนธรรมชาติของการกระทำทั้งหลายของพวกเขาและวิธีการกับเพทุบายทั้งหลายที่พวกเขาชอบใช้ได้ ทั้งนี้ เจ้ายังต้องเริ่มโดยการปรับปรุงแก้ไขตัวพวกเจ้าเองด้วยเช่นกัน การที่เชื่อในพระเจ้าทว่าเคารพบูชามนุษย์นั้นไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง บางคนอาจจะพูดว่า “เอาเถอะ ฉันมีเหตุผลสำหรับการเคารพบูชาบรรดาผู้นำที่ฉันเคารพบูชา—บรรดาผู้ที่ฉันเคารพบูชานั้นอยู่ในแนวเดียวกับความนึกคิดและจินตนาการของฉัน” เหตุใดหรือ เจ้าจึงดึงดันในการเคารพบูชามนุษย์แม้ว่าตัวเจ้านั้นเชื่อในพระเจ้า? เมื่อพิจารณาโดยรวมทุกอย่างแล้ว ผู้ใดกันแน่ที่จะเป็นผู้ช่วยเจ้าให้รอด? ผู้ใดกันแน่คือผู้ที่รักเจ้าและปกป้องเจ้าอย่างแท้จริง—เจ้าไม่สามารถมองเห็นได้จริงๆ หรือ? เจ้าติดตามพระเจ้าและรับฟังพระวจนะของพระองค์ แล้วถ้าหากว่าใครบางคนพูดและกระทำอย่างถูกต้อง และสอดคล้องกับความจริงหลักธรรมทั้งหลาย การเชื่อฟังความจริงนั้นไม่มากพอสำหรับเจ้าหรอกหรือ? เหตุใดเจ้าจึงต่ำช้านัก? เจ้าดึงดันในการค้นหาใครบางคนที่เจ้าเคารพบูชาเพื่อที่จะติดตาม—เหตุใดหรือเจ้าจึงชอบที่จะเป็นทาสของซาตาน? เหตุใดเล่าเจ้าจึงไม่เป็นผู้รับใช้ความจริงแทน? จงมองในที่นี้เพื่อให้เห็นว่าบุคคลหนึ่งมีสำนึกรับรู้และศักดิ์ศรีหรือไม่ เจ้าควรเริ่มต้นโดยการปรับปรุงแก้ไขตัวเจ้าเอง โดยการเตรียมตัวเจ้าเองให้พร้อมไปด้วยความจริงทั้งหลายซึ่งแยกความแตกต่างของผู้คนและเหตุการณ์ทั้งหลายที่ต่างกัน โดยการพัฒนาวิจารณญาณขึ้นมาระหว่างหนทางทั้งหมดที่เหตุการณ์และบุคคลแต่ละจำพวกสำแดงออกมา โดยการรู้ในทุกกรณีว่าอะไรคือแก่นแท้และอุปนิสัยที่กำลังได้รับการเปิดเผย เจ้าต้องเข้าใจด้วยว่าตัวเจ้าเป็นบุคคลประเภทใด บรรดาผู้ที่อยู่รอบตัวเจ้าเป็นผู้คนประเภทใด และผู้คนประเภทใดกำลังนำทางเจ้า เจ้าต้องมีความสามารถที่จะคำนึงถึงพวกเขาอย่างถูกต้องแม่นยำ ทันทีที่เจ้าพร้อมไปด้วยความจริง พร้อมไปด้วยวุฒิภาวะประเภทนี้ เจ้าย่อมจะไม่ตกไปอยู่ในเล่ห์เพทุบายของพวกศัตรูของพระคริสต์อย่างง่ายดาย และเจ้าจะไม่เกรงกลัวการหลอกลวงทั้งหลายของพวกเขา

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาปฏิบัติตนอย่างลับๆ ล่อๆ ประพฤติตนตามแบบปัจเจกนิยม และอย่างเผด็จการ ไม่สามัคคีธรรมกับผู้คนเลย และบังคับผู้คนให้เชื่อฟัง” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ไม่สำคัญว่ามีผู้คนมากเพียงใดปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในคริสตจักร ไม่ว่าจะมีสองคนหรือหลายสิบคน ชั่วขณะที่พวกเขาสูญเสียพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาก็ไม่ได้กำลังรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า และพวกเขาไม่มีความเชื่อมโยงอันใดและไม่มีส่วนในพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาได้กลายเป็นกลุ่มทางศาสนาไปแล้ว ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในอันตรายใหญ่หลวงหรอกหรือ? พวกเขาไม่แสวงหาความจริงเลยเมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาและพวกเขาไม่ปฏิบัติตนตามความจริงหลักธรรม แต่ตกอยู่ภายใต้การจัดการเตรียมการและการบงการของมนุษย์ มีแม้กระทั่งหลายคนที่ไม่อธิษฐานหรือแสวงหาความจริงหลักธรรมเลยในขณะที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาเพียงแค่ถามผู้อื่นและทำตามที่ผู้อื่นพูดเท่านั้น โดยปฏิบัติตนตามคำบอกบทจากผู้อื่น ไม่ว่าผู้คนอื่นๆ อาจชี้ไปที่ใด พวกเขาเองก็ไปที่นั่น ในความเชื่อของพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าการแสวงหาความจริงนั้นคลุมเครือและสร้างความเดือดร้อน ในขณะที่การพึ่งพาผู้อื่นและทำสิ่งที่ผู้อื่นพูดนั้นง่ายและสัมพันธ์กับชีวิตจริงที่สุด และดังนั้นพวกเขาจึงทำสิ่งที่ซื่อตรงเปิดเผยและไม่เจ็บปวดที่สุด โดยถามผู้อื่นและทำสิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นพูดในทุกสิ่งทุกอย่าง ผลที่ตามมาก็คือ แม้ภายหลังจากที่เชื่อมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหา พวกเขาไม่เคยได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าสักครั้ง โดยอธิษฐานและแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์และความจริง แล้วจึงสัมฤทธิ์ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริง และปฏิบัติตนและประพฤติตนตามน้ำพระทัยของพระเจ้า—พวกเขาไม่เคยได้มีประสบการณ์เช่นนั้น ผู้คนเช่นนี้ปฏิบัติตามความเชื่อในพระเจ้าจริงๆ หรือ? เราฉงนฉงายว่า ทันทีที่ผู้คนบางคนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม เหตุใดจึงง่ายสำหรับพวกเขา—ทำได้ดีถึงระดับหนึ่ง—ที่จะเปลี่ยนแปลงในทันทีทันใดจากการเป็นใครบางคนที่เชื่อในพระเจ้าไปเป็นใครบางคนที่เชื่อในมนุษย์ และจากการเป็นใครบางคนที่ติตามพระเจ้าไปเป็นใครบางคนที่ติดตามมนุษย์? เหตุใดพวกเขาจึงเปลี่ยนแปลงรวดเร็วยิ่งนัก? เหตุใดพวกเขาจึงประพฤติตนในหนทางนั้นแม้ภายหลังจากที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีแล้ว? พวกเขาได้เชื่อในพระเจ้าตลอดหลายปีมานี้ แต่ก็แปลก พระเจ้าไม่เคยได้ทรงมีที่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่เคยได้มีความเชื่อมโยงอันใดกับพระเจ้า การกระทำ คำพูด ชีวิตของพวกเขา ความประพฤติและการรับมือกับเรื่องทั้งหลายของพวกเขา แม้แต่การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและการปรนนิติที่พวกเขามีต่อพระเจ้า—ทั้งหมดที่พวกเขาทำ พฤติกรรมทั้งหมดที่พวกเขาเปิดเผย ทั้งหมดที่พวกเขาแสดง และแม้กระทั่งความคิดหรือแนวคิดแต่ละอย่างของพวกเขา—ไม่มีสิ่งใดเลยจากการนี้ที่มีความเชื่อมโยงอันใดกับความเชื่อในพระเจ้า ดังนั้นแล้วบุคคลผู้นี้เป็นหนึ่งในผู้เชื่อที่แท้จริงหรือไม่? ผลรวมของหลายปีแห่งความเชื่อของใครบางคนสามารถเปิดเผยได้หรือไม่ว่า วุฒิภาวะของพวกเขาในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขายิ่งใหญ่เพียงใด? นั่นเป็นข้อพิสูจน์หรือไม่ว่า พวกเขามีสัมพันธภาพที่เป็นปกติกับพระเจ้าหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน

ตัดตอนมาจาก “โดยการดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นนิตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถเดินบนเส้นทางสู่ความรอดได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ไม่สำคัญว่ามีผู้คนเชื่อในพระเจ้ามากเพียงใด แต่ทันทีที่การเชื่อของพวกเขาถูกพระองค์ทรงนิยามว่าเป็นการเชื่อของศาสนาหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง พระองค์ก็ได้ทรงกำหนดไว้แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? ในผู้คนแก๊งหนึ่งหรือฝูงหนึ่งที่ปราศจากพระราชกิจและการทรงนำของพระเจ้า และที่ไม่นมัสการพระองค์เลย พวกเขานมัสการผู้ใด? พวกเขาติดตามผู้ใด? ในรูปแบบและในนาม พวกเขาติดตามบุคคลหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วพวกเขาติดตามผู้ใด? ลึกลงไปพวกเขายอมรับรู้พระเจ้า แต่อันที่จริง พวกเขาอยู่ภายใต้การบงการ การจัดการเตรียมการ และการควบคุมของมนุษย์ พวกเขาติดตามมารซาตาน พวกเขาติดตามกำลังบังคับที่ไม่เป็นมิตรกับพระเจ้า และที่เป็นศัตรูของพระองค์ พระเจ้าจะทรงช่วยผู้คนหมู่หนึ่งเช่นผู้คนพวกนี้ให้รอดหรือไม่? (ไม่) เพราะเหตุใด? พวกเขาสามารถกลับใจใหม่ได้หรือไม่? (ไม่) พวกเขาไม่สามารถกลับใจใหม่ได้ พวกเขาโบกธงแห่งความเชื่อ ดำเนินอุตสาหกิจของมนุษย์จนเสร็จสิ้น และกระทำการบริหารจัดการของพวกเขาเอง และพวกเขาวิ่งสวนทางกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมวลมนุษย์ บทอวสานขั้นสุดท้ายของพวกเขาคือบทอวสานของการถูกพระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธ พระองค์ไม่ทรงสามารถช่วยผู้คนเหล่านี้ให้รอดได้ พวกเขาไม่อาจสามารถกลับใจได้ พวกเขาได้ถูกซาตานจับเป็นเชลยแล้ว—พวกเขาอยู่ในกำมือของซาตานโดยสิ้นเชิง ในความเชื่อของเจ้า จำนวนปีที่เจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามีความสำคัญหรือไม่ต่อการที่เจ้าจะได้รับการยกย่องโดยพระองค์หรือไม่? พิธีกรรมและกฎข้อบังคับทั้งหลายที่เจ้ายึดปฏิบัติตามสำคัญหรือไม่? พระเจ้าทรงมองวิธีการปฏิบัติของผู้คนหรือไม่? พระองค์ทรงมองว่ามีผู้คนมากมายเท่าใดหรือไม่? พระองค์ได้ทรงเลือกมวลมนุษย์ไว้ส่วนหนึ่งแล้ว พระองค์ทรงวัดอย่างไรว่าพวกเขาสามารถและควรได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? พระองค์ทรงวางการตัดสินใจนี้บนพื้นฐานของเส้นทางต่างๆ ที่ผู้คนเหล่านี้เดิน ในยุคพระคุณ แม้ว่าความจริงที่พระเจ้าตรัสบอกผู้คนมีจำนวนน้อยกว่าในวันนี้ และไม่เฉพาะเจาะจงเท่า แต่พระองค์ก็ยังคงทรงสามารถทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมได้ ณ เวลานั้น และความรอดก็ยังคงเป็นไปได้ ด้วยเหตุนั้น สำหรับผู้คนของยุคนี้ที่ได้ยินความจริงมากมายและได้มาเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว หากพวกเขาไม่สามารถติดตามหนทางของพระองค์และไร้ความสามารถที่จะเดินบนเส้นทางแห่งความรอดได้ เช่นนั้นแล้วบทอวสานขั้นสุดท้ายของพวกเขาจะเป็นสิ่งใด? บทอวสานขั้นสุดท้ายของพวกเขาจะเป็นเช่นเดียวกันกับของบรรดาผู้เชื่อในศาสนาคริสต์และศาสนายิว จะไม่มีความแตกต่าง นี่คือพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า! ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินคำเทศนามาแล้วกี่ครั้ง หรือเจ้าได้เข้าใจความจริงมากเพียงใด หากในที่สุดเจ้ายังคงติดตามพวกมนุษย์และซาตาน และในท้ายที่สุด หากเจ้ายังคงไม่สามารถติดตามหนทางของพระเจ้าได้ และไร้ความสามารถที่จะยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว เช่นนั้นแล้วผู้คนเช่นนี้ก็จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธ เห็นได้ชัดเจนว่าผู้คนเช่นนี้ที่พระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธสามารถพูดได้มากมายเกี่ยวกับตัวอักษรและคำสอนทั้งหลาย และอาจได้มาเข้าใจความจริงมากมายแล้ว แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถนมัสการพระเจ้าได้ พวกเขาไม่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และไม่สามารถนบนอบอย่างเต็มเปี่ยมต่อพระองค์ ในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ทรงนิยามพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาหนึ่ง เป็นเพียงพวกมนุษย์กลุ่มหนึ่ง—พวกมนุษย์แก๊งหนึ่ง—และเป็นที่พักชั่วคราวสำหรับซาตาน โดยรวมแล้วพวกเขาถูกอ้างอิงว่าเป็นแก๊งของซาตาน และผู้คนเหล่านี้ถูกพระเจ้าทรงดูหมิ่นอย่างถึงที่สุด

ตัดตอนมาจาก “โดยการดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นนิตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถเดินบนเส้นทางสู่ความรอดได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

มันคงจะดีที่สุดสำหรับบรรดาผู้คนที่อ้างว่าติดตามพระเจ้าในการที่จะเปิดตาของตนและมองให้ดีเพื่อให้เห็นว่าใครกันแน่ที่พวกเขาเชื่อ กล่าวคือ จริงแท้หรือที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า หรือเชื่อในซาตาน? หากเจ้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าเชื่อไม่ใช่พระเจ้า แต่เป็นรูปเคารพของเจ้าเองแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วมันคงจะดีที่สุดหากเจ้าไม่อ้างว่าเป็นผู้เชื่อคนหนึ่ง หากเจ้าไม่รู้จริงๆ ว่าใครที่เจ้าเชื่อแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วก็อีกเช่นเคย มันคงจะดีที่สุดหากเจ้าไม่ได้อ้างว่าเป็นผู้เชื่อ การพูดเช่นนั้นจะเป็นการดูหมิ่นศาสนา! ไม่มีใครบีบบังคับให้เจ้าเชื่อในพระเจ้า จงอย่าพูดว่าพวกเจ้าเชื่อในเรา เราเลิกทนกับการพูดเช่นนั้นแล้ว และไม่ปรารถนาที่จะได้ยินคำนั้นอีก เพราะสิ่งที่พวกเจ้าเชื่อคือรูปเคารพในหัวใจของพวกเจ้าและบรรดาอันธพาลประจำถิ่นในหมู่พวกเจ้า พวกที่ส่ายหน้าของตนเมื่อได้ยินความจริง ผู้ที่แสยะยิ้มเมื่อได้ยินการพูดถึงความตาย ล้วนเป็นลูกหลานของซาตาน และพวกเขาคือบรรดาผู้ที่จะถูกกำจัดไป หลายคนในคริสตจักรไม่มีการหยั่งรู้ เมื่อมีบางสิ่งที่ลวงตาเกิดขึ้น พวกเขาจะยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานอย่างคาดไม่ถึง พวกเขาถึงขั้นมีความขุ่นเคืองกับการถูกเรียกว่าสมุนของซาตาน แม้ว่าผู้คนอาจจะกล่าวว่าพวกเขาไม่มีการหยั่งรู้ พวกเขาก็มักจะยืนอยู่ในฝ่ายที่ปราศจากความจริง พวกเขาไม่เคยยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงในยามวิกฤติเลย พวกเขาไม่เคยยืนหยัดและโต้แย้งเพื่อความจริงเลย พวกเขาขาดพร่องการหยั่งรู้อย่างจริงแท้หรือ? เหตุใดพวกเขาจึงเลือกฝ่ายของซาตานอย่างคาดไม่ถึง? เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยพูดสักคำหนึ่งที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผลเพื่อสนับสนุนความจริง? สถานการณ์นี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความสับสนเพียงชั่วขณะของพวกเขาอย่างแท้จริงหรือ? ยิ่งผู้คนมีการหยั่งรู้น้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงน้อยลงเท่านั้น การนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร? มันไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าผู้คนที่ปราศจากการหยั่งรู้นั้นรักความชั่ว? มันไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าพวกเขานั้นเป็นลูกหลานที่จงรักภักดีของซาตาน? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ที่พวกเขาสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานและพูดภาษาของมันได้ตลอดเวลา? ทุกถ้อยคำและการกระทำของพวกเขา การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขา ล้วนเพียงพอในการพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้รักความจริงประเภทใดเลย ตรงกันข้าม พวกเขาเป็นผู้คนที่เกลียดชังความจริง การที่พวกเขาสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานได้ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าซาตานนั้นรักมารตัวน้อยเหล่านี้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตของตนต่อสู้เพื่อประโยชน์ของซาตาน ข้อเท็จจริงเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่กระจ่างชัดอย่างท่วมท้นหรอกหรือ? หากเจ้าคือบุคคลหนึ่งที่รักความจริงอย่างจริงแท้แล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่สนใจบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริง และเหตุใดเจ้าจึงติดตามพวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงทันทีที่พวกเขามองมาเพียงนิดเดียว? นี่เป็นปัญหาประเภทใดกันแน่? เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะมีการหยั่งรู้หรือไม่ เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าได้จ่ายไปในราคาแพงเท่าใด เราไม่ใส่ใจว่ากำลังบังคับของเจ้าจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน และเราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะเป็นอันธพาลประจำถิ่นหรือว่าเป็นผู้นำที่ถือธง หากกำลังบังคับของเจ้ายิ่งใหญ่ นั่นก็เป็นเพียงด้วยความช่วยเหลือจากพละกำลังของซาตาน หากศักดิ์ศรีของเจ้าสูงส่ง เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเพียงเพราะว่ามีผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงอยู่รอบตัวเจ้ามากเกินไป หากเจ้ายังไม่ถูกขับไล่ออกไป เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเพราะว่า ณ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสำหรับงานแห่งการขับไล่ แต่ทว่า นี่เป็นเวลาแห่งงานของการกำจัด ไม่มีความรีบร้อนที่จะขับไล่เจ้าในตอนนี้ เราเพียงแค่กำลังรอคอยวันที่เราจะลงโทษเจ้าหลังจากที่เจ้าได้ถูกกำจัดไปแล้ว ผู้ใดก็ตามที่ไม่ปฏิบัติความจริงจะถูกกำจัดไป!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง

เชิงอรรถ:

ก. ข้อความต้นฉบับไม่มีคำว่า “พระองค์”

ก่อนหน้า: ในพระคัมภีร์ เปาโลได้กล่าวว่า “ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า” (โรม 13:1) “จงเฝ้าระวังทั้งตัวพวกท่านเองและฝูงแกะซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงตั้งพวกท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และให้เลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้า” (กิจการ 20:28) ผู้คนส่วนมากในโลกศาสนาดำเนินไปตามคำพูดของเปาโลในการเชื่อของพวกเขาที่ว่า พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสนั้นได้รับการแต่งตั้งโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า และว่าพวกเขารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในคริสตจักร พวกเขาเชื่อว่า บรรดาผู้ที่รับฟังและเชื่อฟังพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสนั้นเชื่อฟังและติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า และการรับฟังคำพูดของพวกศิษยาภิบาลก็คือการรับฟังพระวจนะแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า นี่เป็นไปในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ในโลกศาสนานั้น พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสถือครองอำนาจ พวกเขาเดินในเส้นทางของพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคด และถึงแม้พวกเราติดตามพวกเขาและทำตามที่พวกเขาพูด แต่พวกเราก็เชื่อในองค์พระเยซูเจ้า ไม่ใช่เชื่อในพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส เช่นนั้นแล้ว พวกคุณสามารถพูดได้อย่างไรเล่าว่าพวกเราก็เดินในเส้นทางของพวกฟาริสีด้วยเช่นกัน? พวกคุณกำลังพูดหรือว่า พวกเราเหล่านั้นที่เชื่อในพระเจ้าที่อยู่ในศาสนาจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดจริงๆ?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง “เขาทั้งหลายเป็นผู้นำที่ตาบอด ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองคนจะตกลงไปในบ่อ” (มัทธิว 15:14)...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger