พระเจ้าทรงใช้สายรุ้งเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาของพระองค์กับมนุษย์

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

ปฐมกาล 9:11-13 “เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป” พระเจ้าตรัสว่า “นี่แหละเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา ซึ่งเราให้ไว้ระหว่างเรากับพวกเจ้า และกับสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่อยู่กับพวกเจ้าสืบไปทุกชั่วอายุ คือเราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก”

ถัดไปพวกเรามาดูที่ข้อพระคัมภีร์ส่วนนี้เกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าได้ทรงใช้สายรุ้งเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาของพระองค์กับมนุษย์

ผู้คนส่วนใหญ่รู้ว่าสายรุ้งคืออะไรและได้ยินเรื่องราวบางเรื่องที่เกี่ยวโยงกับสายรุ้งมาบ้างแล้ว สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับสายรุ้งในพระคัมภีร์นั้น ผู้คนบางคนเชื่อ และบางคนถือว่าเป็นตำนาน ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่เชื่อเลย ไม่ว่าจะอย่างไร เหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นซึ่งเกี่ยวโยงกับสายรุ้งเป็นพระราชกิจของพระเจ้า และได้เกิดขึ้นในกระบวนการของการบริหารจัดการมนุษย์ของพระเจ้า เหตุการณ์เหล่านี้ได้รับการบันทึกอย่างแม่นยำในพระคัมภีร์ บันทึกเหล่านี้ไม่ได้บอกพวกเราว่าพระเจ้าทรงอยู่ในพระอารมณ์ใด ณ เวลานั้น หรือเจตนารมณ์เบื้องหลังพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ตรัส ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีผู้ใดสามารถซาบซึ้งในสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงรู้สึกเมื่อพระองค์ได้ตรัสพระวจนะเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม สภาวะจิตใจของพระเจ้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งปวงนี้ถูกเปิดเผยในระหว่างบรรทัดของข้อความ เป็นราวกับว่าพระดำริของพระองค์ ณ เวลานั้นกระโดดออกจากหน้าหนังสือโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้าแต่ละคำและแต่ละวลี

พระดำริของพระเจ้าคือสิ่งที่ผู้คนควรห่วงใย และเป็นสิ่งที่พวกเขาควรพยายามทำความรู้จักมากที่สุด นี่เป็นเพราะพระดำริของพระเจ้าเกี่ยวโยงอย่างแยกไม่ออกกับความเข้าใจพระเจ้าของมนุษย์ และความเข้าใจพระเจ้าของมนุษย์เป็นข้อต่อที่ขาดไม่ได้ต่อการเข้าสู่ชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นพระเจ้ากำลังทรงดำริอะไร ณ เวลานั้นเมื่อเหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้น?

แต่เดิมนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษยชาติซึ่งในสายพระเนตรของพระองค์นั้นดีและใกล้ชิดกับพระองค์มาก แต่พวกเขาได้ถูกทำลายด้วยน้ำท่วมหลังจากได้ทำการกบฏต่อพระองค์ การที่มนุษยชาติเช่นนี้หายวับไปในทันทีอย่างนั้นได้ทำให้พระเจ้าทรงเจ็บปวดหรือไม่? แน่นอนพระองค์ทรงเจ็บปวด! ดังนั้นอะไรคือการแสดงออกของพระองค์ถึงความเจ็บปวดนี้? มันถูกบันทึกในพระคัมภีร์อย่างไร? ได้มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ด้วยพระวจนะเหล่านี้ว่า “เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป” ประโยคเรียบง่ายนี้เปิดเผยพระดำริของพระเจ้า การทำลายล้างโลกครั้งนี้ได้ทำให้พระองค์เจ็บปวดอย่างมาก ในคำพูดของมนุษย์ พระองค์ได้ทรงโศกเศร้ามาก เราสามารถจินตนาการได้ว่า แผ่นดินโลกที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวาดูเป็นอย่างไรหลังจากถูกน้ำท่วมทำลาย? แผ่นดินโลก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยมนุษย์ ดูเหมือนอะไร ณ เวลานั้น? ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่เลย ไม่มีสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิต มีน้ำอยู่ทุกหนแห่ง และความย่อยยับถึงที่สุดบนผิวน้ำ ฉากเช่นนี้เป็นเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างแผ่นดินโลกหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน! เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าคือการได้เห็นชีวิตทั่วทั้งแผ่นดินโลก การได้เห็นมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างนมัสการพระองค์ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้โนอาห์เป็นผู้เดียวที่นมัสการพระองค์ หรือเป็นผู้เดียวที่สามารถตอบรับการทรงเรียกของพระองค์เพื่อทำให้สิ่งที่ได้วางพระทัยมอบหมายให้เขาครบบริบูรณ์ได้ เมื่อมนุษยชาติได้หายไป พระเจ้าก็ไม่ทรงได้เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงเจตนาไว้แต่เดิม แต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง พระทัยของพระองค์จะสามารถไม่เจ็บปวดได้อย่างไร? ดังนั้นเมื่อพระองค์กำลังทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ และแสดงพระอารมณ์ของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงทำการตัดสินพระทัยแล้ว การตัดสินพระทัยแบบใดกันที่พระองค์ได้ทรงทำ? ทรงทำรุ้งในเมฆ (นั่นคือสายรุ้งที่พวกเราเห็นกัน) เป็นพันธสัญญากับมนุษย์ เป็นพระสัญญาว่าพระเจ้าจะไม่ทรงทำลายมวลมนุษย์ด้วยน้ำท่วมอีก ในเวลาเดียวกันก็เป็นการบอกกับผู้คนอีกด้วยว่าพระเจ้าได้ทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วม เพื่อที่มวลมนุษย์จะได้จดจำตลอดไปว่าเหตุใดพระเจ้าจึงจะทำการเช่นนั้น

การทำลายโลก ณ เวลานั้นเป็นบางสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงต้องประสงค์หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงต้องประสงค์ พวกเราอาจสามารถจินตนาการส่วนเล็กๆ ของภาพที่น่าสังเวชของแผ่นดินโลกหลังจากการทำลายโลกได้ แต่พวกเราไม่สามารถจินตนาการได้แม้แต่น้อยว่าฉากนี้เป็นเหมือนอะไร ณ เวลานั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเราสามารถพูดได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้คนในปัจจุบันหรือเวลานั้น ไม่มีผู้ใดสามารถจินตนาการหรือซาบซึ้งได้ในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงรู้สึกเมื่อพระองค์ได้ทรงเห็นฉากนั้น ภาพนั้นของโลกหลังการทำลายโดยน้ำท่วม พระเจ้าทรงถูกบังคับให้ทำเช่นนี้โดยการไม่เชื่อฟังของมนุษย์ แต่ความเจ็บปวดที่พระทัยของพระเจ้าได้ทนทุกข์จากการทำลายโลกด้วยน้ำท่วมครั้งนี้เป็นความเป็นจริงที่ไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งลึกหรือซาบซึ้งได้ นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับมวลมนุษย์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งเป้าที่จะใช้บอกผู้คนให้จดจำว่าครั้งหนึ่งพระเจ้าได้ทรงทำบางสิ่งเช่นนี้ และสาบานกับพวกเขาว่าพระเจ้าจะไม่มีวันทรงทำลายโลกด้วยวิธีเช่นนี้อีก ในพันธสัญญานี้พวกเราเห็นพระทัยของพระเจ้า—เราเห็นว่าพระทัยของพระเจ้าได้อยู่ในความเจ็บปวดเมื่อพระองค์ได้ทรงทำลายมนุษยชาตินี้ ในภาษาของมนุษย์ เมื่อพระเจ้าได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ และได้ทรงเห็นมวลมนุษย์หายไป พระทัยของพระองค์ก็กำลังร่ำไห้และหลั่งพระโลหิต นั่นไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะบรรยายเรื่องนั้นหรอกหรือ? พระวจนะเหล่านี้ถูกใช้โดยพวกมนุษย์เพื่อแสดงให้เห็นอารมณ์มนุษย์ แต่ในเมื่อภาษาของมนุษย์บกพร่องเกินไป การใช้พระวจนะเหล่านั้นเพื่อบรรยายความรู้สึกและพระอารมณ์ของพระเจ้าดูเหมือนจะไม่แย่เกินไปสำหรับเรา และก็ไม่มากเกินไปด้วย อย่างน้อยมันก็ให้พวกเจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนมากและฉลาดมากว่าพระอารมณ์ของพระเจ้าเป็นเหมือนอะไร ณ เวลานั้น บัดนี้เจ้าจะนึกถึงอะไรเมื่อพวกเจ้าเห็นสายรุ้งอีกครั้ง? อย่างน้อยเจ้าก็จะจดจำว่าพระเจ้าได้ทรงเคยอยู่ในความโศกเศร้าอย่างไรกับการทำลายโลกด้วยน้ำท่วม เจ้าจะจดจำว่าพระทัยของพระองค์กำลังเจ็บปวด กำลังดิ้นรนเพื่อปล่อยวาง กำลังรู้สึกฝืนพระทัย และกำลังพบว่ามันยากที่จะทนอย่างไร แม้ว่าพระเจ้าได้ทรงเกลียดชังโลกนี้และดูหมิ่นมนุษยชาตินี้ เมื่อพระองค์ได้ทรงทำลายมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ความสบายพระทัยเพียงอย่างเดียวของพระองค์อยู่ในครอบครัวแปดคนของโนอาห์ เป็นความร่วมมือของโนอาห์นั่นเองที่ทำให้ความพยายามอย่างอุตสาหะของพระองค์ที่ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งไม่สูญเปล่า ณ เวลานั้นเมื่อพระเจ้ากำลังทรงทนทุกข์ นี่เป็นสิ่งเดียวที่สามารถชดเชยความเจ็บปวดของพระองค์ได้ จากจุดนั้นพระเจ้าได้ทรงวางความคาดหมายทั้งหมดของพระองค์ต่อมนุษยชาติไว้ในครอบครัวของโนอาห์ โดยหวังว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตภายใต้พระพรของพระองค์และไม่ใช่คำสาปแช่งของพระองค์ โดยหวังว่าพวกเขาจะไม่มีวันเห็นพระเจ้าทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วมอีก และโดยหวังเช่นกันว่าพวกเขาจะไม่ถูกทำลาย

พวกเราควรเรียนรู้เกี่ยวกับส่วนใดของพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากการนี้? พระเจ้าได้ทรงดูหมิ่นมนุษย์เพราะมนุษย์เป็นปรปักษ์กับพระองค์ แต่ในพระทัยของพระองค์นั้น ความใส่ใจ ความห่วงใย และความกรุณาของพระองค์ต่อมนุษยชาติยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ในเวลาที่พระองค์ได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ พระทัยของพระองค์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อมนุษยชาติเต็มไปด้วยความเสื่อมทรามและการไม่เชื่อฟังพระเจ้าในระดับที่มีเจตนาร้าย พระเจ้าก็ต้องทรงทำลายมนุษยชาตินี้ เพราะพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ และโดยสอดคล้องกับหลักการของพระองค์ แต่เพราะแก่นแท้ของพระเจ้า พระองค์ยังคงทรงสงสารมวลมนุษย์ และทรงถึงกับต้องการใช้วิธีสารพัดเพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถมีชีวิตต่อไปได้ อย่างไรก็ตามมนุษย์ได้ต่อต้านพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้าต่อไป และปฏิเสธที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้า นั่นคือ ปฏิเสธที่จะยอมรับเจตนารมณ์ดีของพระองค์ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกหาพวกเขา เตือนความจำพวกเขา หล่อเลี้ยงพวกเขา ช่วยเหลือพวกเขา หรือยอมผ่อนปรนต่อพวกเขาอย่างไร มนุษย์ก็ไม่ได้เข้าใจหรือซาบซึ้ง และพวกเขาก็ไม่ให้ความสนใจด้วย ในความเจ็บปวดของพระองค์ พระเจ้ายังคงไม่ทรงลืมที่จะประทานความยอมผ่อนปรนสูงสุดของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อรอให้มนุษย์เลี้ยวกลับ หลังจากพระองค์ได้ทรงไปถึงขีดจำกัดแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงทำในสิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำโดยไม่มีความลังเลอันใด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีช่วงเวลาและกระบวนการเฉพาะเจาะจงตั้งแต่ชั่วขณะที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนที่จะทำลายมวลมนุษย์จนถึงจุดเริ่มต้นของพระราชกิจของพระองค์ในการทำลายมวลมนุษย์ กระบวนการนี้ได้ดำรงอยู่เพื่อจุดประสงค์ในการทำให้มนุษย์สามารถเลี้ยวกลับได้ และนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่พระเจ้าได้ทรงให้แก่มนุษย์ ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงทำอะไรในช่วงเวลานี้ก่อนที่จะทำลายมวลมนุษย์? พระเจ้าได้ทรงทำพระราชกิจแห่งการเตือนความจำและเตือนสติในปริมาณมาก ไม่สำคัญว่าพระทัยของพระเจ้าได้อยู่ในความเจ็บปวดและความเศร้าโศกมากเพียงใด พระองค์ก็ยังทรงมอบความใส่พระทัย ความห่วงใย และความกรุณาอันอุดมของพระองค์ให้แก่มนุษยชาติต่อไป พวกเราเห็นอะไรจากการนี้? ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเราเห็นว่าความรักของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์นั้นเป็นจริงและไม่ใช่บางสิ่งที่พระองค์เพียงตรัสสนับสนุนอย่างไม่จริงใจ ความรักของพระเจ้าเป็นจริง จับต้องได้ และซาบซึ้งได้ ไม่ถูกปลอมแปลง ไม่มีสิ่งเจือปน ไม่หลอกลวงหรือเสแสร้ง พระเจ้าไม่มีวันทรงใช้การหลอกลวงอันใด หรือสร้างภาพเท็จเพื่อทำให้ผู้คนเห็นว่าพระองค์ทรงน่ารักน่าชื่นชอบ พระองค์ไม่มีวันทรงใช้คำพยานเท็จเพื่อให้ผู้คนเห็นความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ หรือเพื่ออวดความน่ารักน่าชื่นชมและความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ แง่มุมเหล่านี้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่มีค่าคู่ควรกับความรักของมนุษย์หรอกหรือ? ไม่มีค่าคู่ควรต่อการนมัสการหรอกหรือ? ไม่มีค่าคู่ควรต่อการทะนุถนอมหรอกหรือ? ณ จุดนี้เราต้องการถามพวกเจ้าว่า หลังจากได้ยินพระวจนะเหล่านี้ พวกเจ้าคิดว่าความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นเพียงคำพูดไร้สาระบนกระดาษแผ่นหนึ่งหรือไม่? ความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าเป็นเพียงคำพูดไร้สาระหรือไม่? ไม่ใช่! ไม่ใช่อย่างแน่นอน! พระอำนาจสูงสุด ความยิ่งใหญ่ ความศักดิ์สิทธิ์ ความยอมผ่อนปรน ความรัก และอื่นๆ ของพระเจ้า—ทุกรายละเอียดของทุกๆ ด้านที่แตกต่างกันของพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าได้รับการแสดงออกในทางปฏิบัติทุกครั้งที่พระองค์ทรงทำพระราชกิจของพระองค์ ถูกรวบรวมอยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ต่อมนุษย์ และได้ถูกทำให้ลุล่วงและสะท้อนอยู่ในทุกๆ ผู้คนอีกด้วย โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าได้รู้สึกถึงมันมาก่อนหรือไม่ พระเจ้ากำลังใส่พระทัยในบุคคลทุกคนในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ โดยใช้พระทัยที่จริงใจ พระปรีชาญาณ และวิธีการทั้งหลาย ของพระองค์ เพื่อทำให้หัวใจของแต่ละบุคคลอบอุ่น และปลุกวิญญาณของแต่ละบุคคลให้ตื่น นี่คือข้อเท็จจริงที่เถียงไม่ได้ ไม่สำคัญว่ามีผู้คนกำลังนั่งอยู่ที่นี่กี่คน แต่ละบุคคลก็ได้มีประสบการณ์และความรู้สึกที่แตกต่างกันไปในเรื่องความผ่อนปรน ความอดทน และความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้า ประสบการณ์เหล่านี้ของพระเจ้าและความรู้สึกเหล่านี้หรือการล่วงรู้เรื่องพระองค์—พูดสั้นๆ ก็คือสิ่งด้านบวกเหล่านี้ทั้งหมดมาจากพระเจ้า ดังนั้นโดยการบูรณาการประสบการณ์และความรู้เรื่องพระเจ้าของทุกคน และผสานเข้ากับการอ่านบทตอนพระคัมภีร์เหล่านี้ของพวกเราในวันนี้ บัดนี้พวกเจ้ามีความเข้าใจพระเจ้าที่เป็นจริงและถูกต้องเหมาะสมมากขึ้นหรือไม่?

…………

พวกเจ้าได้สังเกตเห็นบางสิ่งจากข้อเขียนในพระคัมภีร์ทั้งหมด รวมถึงเรื่องราวในพระคัมภีร์ทั้งหมดที่เราได้สามัคคีธรรมในวันนี้แล้วหรือยัง? พระเจ้าเคยทรงใช้ภาษาของพระองค์เองเพื่อแสดงพระดำริของพระองค์เองหรืออธิบายความรักและความใส่พระทัยต่อมนุษยชาติของพระองค์แล้วหรือยัง? มีบันทึกเกี่ยวกับการที่พระองค์ทรงใช้ภาษาธรรมดาเพื่อระบุว่าพระองค์ทรงห่วงใยหรือรักมวลมนุษย์มากเพียงใดหรือไม่? ไม่มี! นั่นไม่ถูกต้องหรอกหรือ? มีหลายคนเหลือเกินท่ามกลางพวกเจ้าที่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือหนังสืออื่นๆ นอกเหนือจากพระคัมภีร์ พวกเจ้าคนใดบ้างได้เคยเห็นพระวจนะเช่นนี้? คำตอบคือไม่อย่างแน่นอน! นั่นคือในบันทึกของพระคัมภีร์ รวมถึงพระวจนะของพระเจ้าหรือการบันทึกข้อมูลพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าไม่เคยทรงใช้วิธีการของพระองค์เองในการบรรยายความรู้สึกของพระองค์หรือแสดงความรักและความใส่ใจของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ และพระเจ้าไม่เคยทรงใช้พระดำรัสหรือการกระทำอันใดเพื่อสื่อถึงความรู้สึกและพระอารมณ์ของพระองค์ ไม่ว่าจะในยุคสมัยใดหรือช่วงเวลาใด—นั่นไม่ใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ? เหตุใดเราจึงพูดเช่นนั้น? เหตุใดเราจึงพูดถึงการนี้? เป็นเพราะการนี้ยังจำแลงรูปความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระองค์อีกด้วย

พระเจ้าได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามหรือไม่หรือว่าพวกเขาติดตามพระองค์หรือไม่ พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์ในฐานะที่เป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักทรงทะนุถนอมที่สุด—หรืออย่างที่มนุษย์จะพูดว่าผู้คนที่เป็นที่รักที่สุดของพระองค์—และไม่ใช่ของเล่นของพระองค์ แม้ว่าพระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง และว่ามนุษย์คือสิ่งทรงสร้างของพระองค์ ซึ่งอาจฟังคล้ายกับว่ามีความแตกต่างเล็กน้อยในระดับตำแหน่ง แต่ความเป็นจริงก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำเพื่อมวลมนุษย์เหนือล้ำกว่าสัมพันธภาพในลักษณะนี้มากนัก พระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์ ใส่พระทัยมวลมนุษย์ และทรงแสดงความห่วงใยต่อมวลมนุษย์ ตลอดจนการจัดเตรียมให้มนุษย์อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดหย่อน พระองค์ไม่มีวันทรงรู้สึกในพระทัยของพระองค์ว่านี่เป็นพระราชกิจเพิ่มเติม หรือบางสิ่งที่สมควรได้รับความเชื่อถือมากมาย พระองค์ไม่ทรงรู้สึกว่าการช่วยมนุษยชาติให้รอด การหล่อเลี้ยงพวกเขา และการประทานทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเขา เป็นการมีส่วนร่วมสนับสนุนมวลมนุษย์อย่างมหาศาล พระองค์เพียงทรงจัดเตรียมให้มวลมนุษย์อย่างเงียบๆ และสงบ ด้วยวิธีของพระองค์เองและโดยผ่านทางแก่นแท้ของพระองค์เอง และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ไม่สำคัญว่ามวลมนุษย์ได้รับการจัดเตรียมมากเพียงใด และความช่วยเหลือมากเพียงใดจากพระองค์ พระเจ้าก็ไม่มีวันทรงนึกถึงหรือทรงพยายามที่จะได้รับความเชื่อถือ การนี้ถูกกำหนดโดยแก่นแท้ของพระเจ้า และยังเป็นการแสดงออกที่แท้จริงถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างแม่นยำอีกด้วย โดยไม่คำนึงถึงว่าเรื่องนี้อยู่ในพระคัมภีร์หรือหนังสือเล่มอื่นใด นี่คือสาเหตุที่พวกเราไม่มีวันได้พบว่าพระเจ้ากำลังทรงแสดงพระดำริของพระองค์ และพวกเราไม่มีวันได้พบว่าพระเจ้ากำลังทรงบรรยายหรือแถลงต่อพวกมนุษย์ โดยมีจุดมุ่งหมายแห่งการทำให้มวลมนุษย์สำนึกบุญคุณต่อพระองค์ หรือสรรเสริญพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงทำสิ่งเหล่านี้ หรือเหตุใดพระองค์จึงใส่พระทัยในมวลมนุษย์มากถึงเพียงนี้ แม้เมื่อพระองค์ทรงเจ็บปวด เมื่อพระทัยของพระองค์ทรงอยู่ในความเจ็บปวดสุดขีด พระองค์ก็ไม่มีวันทรงลืมความรับผิดชอบของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ หรือความห่วงใยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ ทั้งหมดในขณะที่พระองค์ทรงแบกรับความบาดเจ็บและความเจ็บปวดเพียงลำพังในความเงียบ ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าทรงยังคงจัดเตรียมให้มนุษย์ต่อไปเฉกเช่นที่พระองค์ได้ทรงทำมาตลอด แม้ว่ามวลมนุษย์จะสรรเสริญพระเจ้าหรือเป็นพยานต่อพระองค์บ่อยๆ แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงเรียกร้องพฤติกรรมอันใดเช่นนี้ นี่เป็นเพราะพระเจ้าไม่มีวันทรงเจตนาใช้สิ่งดีๆ สิ่งใดที่พระองค์ทรงทำเพื่อมวลมนุษย์แลกเปลี่ยนกับความกตัญญูรู้คุณหรือการได้รับการตอบแทน ในทางกลับกัน บรรดาผู้ที่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ บรรดาผู้ที่สามารถติดตามพระเจ้า ฟังพระองค์ และจงรักภักดีต่อพระองค์ได้อย่างแท้จริง และบรรดาผู้ที่สามารถเชื่อฟังพระองค์ได้—เหล่านี้คือผู้คนที่จะได้รับพระพรของพระเจ้าบ่อยๆ และพระเจ้าจะประทานพระพรเช่นนี้โดยไม่มีข้อสงสัย ยิ่งไปกว่านั้นพระพรที่ผู้คนได้รับจากพระเจ้านั้นมักจะเกินกว่าจินตนาการของพวกเขา และเกินกว่าสิ่งอันใดที่มนุษย์สามารถทำให้ชอบธรรมได้โดยผ่านทางสิ่งที่พวกเขาได้ทำ หรือราคาที่พวกเขาได้จ่ายไป เมื่อมวลมนุษย์กำลังสุขสำราญกับพระพรของพระเจ้า มีผู้ใดใส่ใจในสิ่งที่พระเจ้ากำลังทรงทำอยู่หรือไม่? มีผู้ใดแสดงความห่วงใยบ้างหรือไม่ว่าพระเจ้ากำลังทรงรู้สึกอย่างไร? มีผู้ใดพยายามซาบซึ้งในความเจ็บปวดของพระเจ้าหรือไม่? คำตอบคือคำว่าไม่อย่างหนักแน่น! มนุษย์ผู้ใดเล่า รวมถึงโนอาห์ด้วย สามารถซาบซึ้งในความเจ็บปวดที่พระเจ้ากำลังทรงรู้สึก ณ ชั่วขณะนั้นได้? มีผู้ใดบ้างสามารถจับใจความได้ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงจะทรงตั้งพันธสัญญาเช่นนี้? พวกเขาไม่สามารถ! มวลมนุษย์ไม่ซาบซึ้งในความเจ็บปวดของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าใจความเจ็บปวดของพระเจ้า และไม่ใช่เพราะช่องว่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ หรือความแตกต่างในสถานะของพวกเขา ตรงกันข้ามเป็นเพราะมวลมนุษย์ไม่ใส่ใจเลยเกี่ยวกับความรู้สึกอันใดของพระเจ้า มวลมนุษย์คิดว่าพระเจ้าทรงเป็นอิสระ—ว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องการให้ผู้คนใส่ใจเกี่ยวกับพระองค์ เข้าใจพระองค์ หรือแสดงความเห็นใจต่อพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงมีความเจ็บปวด ไม่ทรงมีพระอารมณ์ พระองค์จะไม่ทรงโศกเศร้า พระองค์จึงไม่รู้สึกเสียพระทัย พระองค์จึงไม่ทรงแม้แต่กรรแสง พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นพระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องมีการแสดงออกทางอารมณ์อันใด และพระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องมีการปลอบโยนทางอารมณ์อันใด ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมบางอย่าง หากพระองค์ทรงจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ทรงสามารถรับมือได้โดยลำพัง และจะไม่ทรงพึงประสงค์ความช่วยเหลืออันใดจากมวลมนุษย์ ในทางกลับกัน เป็นมนุษย์ที่ อ่อนแอ ยังไม่มีวุฒิภาวะ นั่นเองที่จำเป็นต้องมีการปลอบใจ การจัดเตรียม การให้กำลังใจจากพระเจ้า และแม้กระทั่งให้พระองค์ทรงปลอบประโลมอารมณ์ของพวกเขาตลอดเวลาและในทุกสถานที่ สิ่งทั้งหลายเช่นนี้แฝงตัวลึกอยู่ภายในหัวใจของมวลมนุษย์ กล่าวคือ มนุษย์เป็นผู้อ่อนแอ พวกเขาต้องการให้พระเจ้าทรงดูแลพวกเขาในทุกวิถีทาง พวกเขาสมควรได้รับการดูแลทั้งหมดที่พวกเขาได้รับจากพระเจ้า และพวกเขาควรเรียกร้องสิ่งใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกว่าควรเป็นของพวกเขาจากพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นผู้เข้มแข็ง พระองค์ทรงมีทุกสิ่งทุกอย่าง และพระองค์ควรจะทรงเป็นผู้พิทักษ์และผู้ประทานพระพรของมวลมนุษย์ ในเมื่อพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว พระองค์ก็ทรงฤทธานุภาพสูงสุด และไม่มีวันทรงจำเป็นต้องการสิ่งใดจากมวลมนุษย์

เนื่องจากมนุษย์ไม่ให้ความสนใจกับวิวรณ์อันใดของพระเจ้า เขาจึงไม่เคยรู้สึกถึงความเสียพระทัย ความเจ็บปวด หรือความชื่นบานของพระเจ้า แต่ในทางกลับกัน พระเจ้าทรงรู้จักการแสดงออกต่างๆ ทั้งหมดของมนุษย์เหมือนฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์ พระเจ้าทรงหล่อเลี้ยงความต้องการของทุกคนตลอดเวลาและในทุกสถานที่ ทรงสังเกตการณ์ความคิดที่เปลี่ยนแปลงของแต่ละบุคคลและจึงปลอบประโลมและเตือนสติพวกเขา และนำทางและให้ความกระจ่างแก่พวกเขา ในแง่ของทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำกับมวลมนุษย์ และราคาทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงจ่ายไปเพราะพวกเขา ผู้คนสามารถพบบทตอนในพระคัมภีร์ หรือจากสิ่งใดที่พระเจ้าได้ตรัสไว้จนถึงบัดนี้ที่ระบุอย่างชัดเจนว่าพระเจ้าจะทรงเรียกร้องบางสิ่งจากมนุษย์ได้หรือไม่? ไม่! ในทางตรงกันข้าม ไม่สำคัญว่าผู้คนเพิกเฉยต่อการขบคิดของพระเจ้าอย่างไร พระองค์ก็ยังคงทรงนำทางมวลมนุษย์ซ้ำๆ จัดเตรียมให้มวลมนุษย์และช่วยเหลือพวกเขาซ้ำๆ เพื่อทำให้พวกเขาสามารถทำตามวิถีทางของพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะสามารถบรรลุบั้นปลายอันสวยงามที่พระองค์ได้ทรงตระเตรียมไว้ให้พวกเขาได้ เมื่อพูดถึงพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น พระคุณของพระองค์ ความกรุณาของพระองค์ และบำเหน็จของพระองค์ทั้งหมดจะได้รับการประทานให้โดยปราศจากข้อสงสัยแก่บรรดาผู้ที่รักและติดตามพระองค์ แต่พระองค์ไม่มีวันทรงเปิดเผยความเจ็บปวดที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์ หรือสภาพจิตใจของพระองค์ต่อบุคคลใด และพระองค์ไม่มีวันทรงร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับผู้ใดก็ตามที่ไม่เห็นอกเห็นใจต่อพระองค์ หรือไม่รู้จักน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์เพียงทรงแบกรับทั้งหมดนี้ในความเงียบ รอคอยวันที่มวลมนุษย์จะสามารถเข้าใจได้

เหตุใดเราจึงพูดถึงสิ่งเหล่านี้ที่นี่? พวกเจ้าเห็นอะไรจากสิ่งต่างๆ ที่เราได้พูดไป? มีบางสิ่งในแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าซึ่งง่ายอย่างเหลือเกินต่อการมองข้าม เป็นบางสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นทรงครอบครองและไม่มีบุคคลใดมี รวมถึงพวกที่คนอื่นๆ คิดว่าเป็นผู้คนที่ยิ่งใหญ่ ผู้คนที่ดี หรือพระเจ้าแห่งจินตนาการของพวกเขา สิ่งนี้คืออะไร? คือความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้า เมื่อพูดถึงความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เจ้าก็อาจคิดว่าเจ้าก็ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากเช่นกัน เพราะเมื่อพูดถึงลูกหลานของเจ้า เจ้าไม่มีวันต่อรองราคาหรือต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขา หรือเจ้าคิดว่าเจ้าก็ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากเช่นกันเมื่อพูดถึงบิดามารดาของเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าจะคิดอะไร อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็มีมโนทัศน์เกี่ยวกับคำว่า “ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน” และคิดว่ามันเป็นคำในเชิงบวก และคิดว่าการเป็นบุคคลที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนนั้นสูงศักดิ์มาก เมื่อเจ้าไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เจ้าจะนับถือตัวเจ้าเองอย่างสูงส่ง แต่ไม่มีใครสักคนที่สามารถเห็นความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ท่ามกลางผู้คน เหตุการณ์ และวัตถุต่างๆ และในพระราชกิจของพระองค์ได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เพราะมนุษย์เห็นแก่ตัวเกินไป! เหตุใดเราจึงพูดเช่นนั้น? มวลมนุษย์อาศัยอยู่ในโลกแห่งวัตถุ เจ้าอาจติดตามพระเจ้า แต่เจ้าไม่มีวันเห็นหรือซาบซึ้งในวิธีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เจ้า รักเจ้า และแสดงความห่วงใยต่อเจ้า ดังนั้นเจ้าเห็นอะไร? เจ้าเห็นญาติสายโลหิตที่รักเจ้าหรือหลงใหลในตัวเจ้า เจ้าเห็นสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อเนื้อหนังของเจ้า เจ้าใส่ใจเกี่ยวกับผู้คน และสิ่งต่างๆ ที่เจ้ารัก นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่าความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่ “ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน” เช่นนี้ไม่มีวันห่วงใยเกี่ยวกับพระเจ้าที่ทรงให้ชีวิตแก่พวกเขา ตรงกันข้ามกับของพระเจ้า ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์กลายเป็นเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนที่มนุษย์เชื่อนั้นว่างเปล่าและไม่สมจริง ปลอมปน เข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า และไม่เกี่ยวโยงกับพระเจ้า ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์มีไว้สำหรับตัวเอง ในขณะที่ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าเป็นการเปิดเผยแก่นแท้ของพระองค์ที่แท้จริง เป็นเพราะความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้านั่นเอง มนุษย์จึงได้รับการจัดเตรียมให้โดยพระองค์ตลอดเวลา พวกเจ้าอาจจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างลึกล้ำจากหัวข้อนี้ที่เรากำลังพูดถึงในวันนี้ และเพียงกำลังพยักหน้าด้วยความเห็นชอบ แต่เมื่อเจ้าพยายามซาบซึ้งในพระหทัยของพระเจ้าในหัวใจของเจ้า เจ้าจะค้นพบการนี้โดยไม่รู้ตัวว่า ท่ามกลางผู้คน เรื่องสำคัญและสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เจ้าสามารถสำนึกรับรู้ได้ในโลกนี้ มีเพียงความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นจริงและเป็นรูปธรรม เพราะมีเพียงความรักของพระเจ้าต่อเจ้าเท่านั้นที่ปราศจากเงื่อนไขและไร้ที่ติ นอกเหนือจากพระเจ้าแล้ว ที่เรียกว่าความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของคนอื่นใดนั้นแสร้งทำ ผิวเผิน ไม่แท้จริง มันมีจุดประสงค์ เจตนาบางอย่าง มีการแลกเปลี่ยน และไม่สามารถทนทานต่อการทดสอบได้ เจ้าถึงกับสามารถพูดได้ว่ามันโสมมและน่ารังเกียจ พวกเจ้ามีความเห็นด้วยกับพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?

เรารู้ว่าพวกเจ้าไม่คุ้นเคยอย่างมากกับหัวข้อเหล่านี้ และต้องการเวลาสักครู่เพื่อให้หัวข้อเหล่านี้ซึมลงไปก่อนที่พวกเจ้าจะสามารถเข้าใจได้อย่างแท้จริง ยิ่งพวกเจ้าไม่คุ้นเคยกับประเด็นปัญหาและหัวข้อเหล่านี้มากเท่าใด ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าหัวข้อเหล่านี้หายไปจากในหัวใจของพวกเจ้ามากเท่านั้น หากเราไม่เคยจะต้องพูดถึงหัวข้อเหล่านี้เลย จะมีผู้ใดท่ามกลางพวกเจ้าที่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับหัวข้อเหล่านั้นหรือไม่? เราเชื่อว่าพวกเจ้าจะไม่มีวันทำความรู้จักหัวข้อเหล่านี้ นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอน ไม่สำคัญว่าพวกเจ้าสามารถจับใจความหรือเข้าใจมากเพียงใด โดยสังเขปแล้วหัวข้อที่เราพูดถึงเหล่านี้เป็นสิ่งที่ผู้คนขาดมากที่สุด และเป็นสิ่งที่พวกเขาควรรู้มากที่สุด หัวข้อเหล่านี้มีความสำคัญมากสำหรับทุกคน—หัวข้อเหล่านี้ล้ำค่าและเป็นชีวิต และเป็นสิ่งที่พวกเจ้าต้องมีเพื่อถนนข้างหน้า หากไม่มีพระวจนะเหล่านี้เป็นแนวทาง หากไม่มีความเข้าใจในพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า เจ้าจะมีเครื่องหมายคำถามติดตัวเสมอเมื่อพูดถึงพระเจ้า เจ้าสามารถเชื่อในพระเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสมได้อย่างไร หากเจ้าไม่แม้แต่จะเข้าใจพระองค์? เจ้าไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระอารมณ์ของพระเจ้า น้ำพระทัยของพระองค์ สภาพจิตใจของพระองค์ สิ่งที่พระองค์กำลังทรงขบคิด สิ่งที่ทำให้พระองค์เสียพระทัย และสิ่งที่ทำให้พระองค์ทรงมีความสุข ดังนั้นเจ้าสามารถเห็นอกเห็นใจต่อพระหทัยของพระเจ้าได้อย่างไร?

เมื่อใดก็ตามที่พระเจ้าไม่สบพระทัย พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับมวลมนุษย์ที่ไม่ให้ความสนใจแก่พระองค์เลย เป็นมวลมนุษย์ที่ติดตามพระองค์และอ้างว่ารักพระองค์ แต่ละเลยความรู้สึกของพระองค์อย่างสิ้นเชิง พระหทัยของพระองค์ไม่สามารถเจ็บปวดได้อย่างไร? ในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า พระองค์ทรงดำเนินการพระราชกิจของพระองค์กับแต่ละบุคคล และตรัสกับแต่ละบุคคลอย่างจริงใจ และพระองค์ทรงเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยปราศจากเงื่อนไขหรือการปกปิด แต่ในทางกลับกัน ทุกคนที่ติดตามพระองค์ถูกปกปิดต่อพระองค์ และไม่มีผู้ใดเต็มใจเข้าใกล้ชิดพระองค์มากขึ้น เข้าใจพระหทัยของพระองค์ หรือให้ความสนใจกับความรู้สึกของพระองค์อย่างแข็งขัน แม้แต่บรรดาผู้ที่ต้องการกลายเป็นคนสนิทของพระเจ้าก็ไม่ต้องการที่จะเข้าใกล้ชิดพระองค์ เห็นอกเห็นใจต่อพระหทัยของพระองค์ หรือพยายามเข้าใจพระองค์ เมื่อพระเจ้าทรงยินดีและมีความสุข ไม่มีใครสักคนแบ่งปันความสุขของพระองค์ เมื่อพระเจ้าทรงถูกผู้คนเข้าใจผิด ไม่มีใครสักคนคอยปลอบประโลมพระหทัยที่บาดเจ็บของพระองค์ เมื่อพระหทัยของพระองค์กำลังเจ็บปวด ไม่มีบุคคลใดสักคนเต็มใจให้พระองค์ไว้พระทัยปรับทุกข์กับพวกเขา ตลอดเวลาหลายพันปีแห่งพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้านี้ ไม่ได้มีใครสักคนที่เข้าใจพระอารมณ์ของพระเจ้า ไม่ได้มีใครสักคนที่จับใจความหรือซาบซึ้งในพระอารมณ์ของพระเจ้า ไม่ต้องพูดถึงการที่จะมีใครสักคนที่สามารถยืนเคียงข้างพระเจ้าเพื่อแบ่งปันความยินดีและความเศร้าโศกของพระองค์ พระเจ้าทรงเหงา พระองค์ทรงเหงา! พระเจ้าทรงเหงาไม่ใช่เพียงเพราะมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามต่อต้านพระองค์ แต่เพราะบรรดาผู้ที่พยายามจะเป็นฝ่ายจิตวิญญาณ บรรดาผู้ที่พยายามรู้จักพระเจ้าและเข้าใจพระองค์ และแม้กระทั่งบรรดาผู้ที่เต็มใจจะสละทั้งชีวิตของพวกเขาเพื่อพระองค์ ไม่รู้จักพระดำริของพระองค์ หรือเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์และพระอารมณ์ของพระองค์เช่นกันมากกว่า

ในตอนจบของเรื่องราวของโนอาห์ พวกเราเห็นว่าพระเจ้าได้ทรงใช้วิธีการที่ไม่ธรรมดาเพื่อแสดงความรู้สึกของพระองค์ ณ เวลานั้น เป็นวิธีการที่พิเศษมาก นั่นคือ การทำพันธสัญญากับมนุษย์ซึ่งได้ประกาศบทอวสานแห่งการทำลายโลกด้วยน้ำท่วมของพระเจ้า โดยผิวเผินแล้วการทำพันธสัญญาอาจดูเหมือนเป็นสิ่งธรรมดามาก ไม่มีอะไรมากไปกว่าการใช้คำพูดเพื่อผูกมัดสองฝ่าย และป้องกันไม่ให้พวกเขาละเมิดข้อตกลงของพวกเขา เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาทั้งคู่ ในด้านรูปแบบมันเป็นสิ่งธรรมดามาก แต่จากสิ่งจูงใจเบื้องหลังและเจตนารมณ์ของพระเจ้าในการทำสิ่งนี้ มันเป็นการเปิดเผยที่แท้จริงถึงพระอุปนิสัยและสภาพจิตใจของพระเจ้า หากเจ้าเพียงวางพระวจนะเหล่านี้ไว้ก่อนและเพิกเฉยต่อพระวจนะเหล่านี้ หากเราไม่มีวันบอกพวกเจ้าถึงความจริงของสิ่งต่างๆ เช่นนั้นแล้วมนุษยชาติก็จะไม่มีวันรู้จักการขบคิดของพระเจ้าจริงๆ บางทีในจินตนาการของเจ้า พระเจ้ากำลังทรงแย้มพระโอษฐ์เมื่อพระองค์ได้ทรงทำพันธสัญญานี้ หรือบางทีการแสดงออกของพระองค์นั้นจริงจัง แต่ไม่ว่าผู้คนจะจินตนาการว่าพระเจ้าได้ทรงมีการแสดงออกใดที่ธรรมดามากที่สุด แต่คงจะไม่มีใครสามารถเห็นพระทัยของพระเจ้าหรือความเจ็บปวดของพระองค์ได้ นับประสาอะไรกับความเหงาของพระองค์ ไม่มีใครสามารถทำให้พระเจ้าไว้วางพระทัยพวกเขาหรือมีค่าคู่ควรต่อความไว้วางพระทัยของพระเจ้า หรือเป็นใครสักคนที่พระองค์ทรงสามารถแสดงความคิดของพระองค์ หรือไว้พระทัยปรับทุกข์ในความเจ็บปวดของพระองค์ได้ นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าไม่ทรงมีทางเลือกใดนอกจากทำสิ่งเช่นนี้ มองโดยผิวเผินแล้ว พระเจ้าได้ทรงทำสิ่งง่ายๆ ในการกล่าวคำอำลาต่อมนุษยชาติอย่างที่เคยเป็น โดยแก้ไขประเด็นปัญหาแห่งอดีตและนำการทำลายล้างโลกด้วยน้ำท่วมของพระองค์ไปสู่บทอวสานที่มีความเพียบพร้อม อย่างไรก็ตามพระเจ้าได้ทรงฝังความเจ็บปวดจากชั่วขณะนี้ลึกลงไปในพระทัยของพระองค์ ณ เวลาที่พระเจ้าไม่ได้ทรงมีใครให้ไว้พระทัยปรับทุกข์ด้วย พระองค์ได้ทรงทำพันธสัญญากับมวลมนุษย์ โดยตรัสบอกพวกเขาว่าพระองค์จะไม่ทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วมอีก เมื่อสายรุ้งได้ปรากฏขึ้น ก็เพื่อเตือนความจำผู้คนว่าสิ่งเช่นนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว และเพื่อตักเตือนพวกเขาให้ละเว้นจากความชั่ว แม้ในสภาวะที่เจ็บปวดเช่นนี้ พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงลืมเกี่ยวกับมวลมนุษย์ และยังคงได้ทรงแสดงความห่วงใยอย่างมากต่อพวกเขา นี่ไม่ใช่ความรักและความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าหรอกหรือ? แต่ผู้คนนึกถึงอะไรเล่าเมื่อพวกเขากำลังทนทุกข์? นี่ไม่ใช่เวลาที่พวกเขาต้องการพระเจ้ามากที่สุดหรอกหรือ? ในเวลาเช่นนี้ผู้คนมักจะลากพระเจ้าเข้าหาเสมอเพื่อให้พระองค์ทรงสามารถปลอบประโลมพวกเขาได้ ไม่สำคัญว่าเมื่อใด พระเจ้าจะไม่มีวันทรงทำให้ผู้คนผิดหวัง และพระองค์จะทรงทำให้ผู้คนสามารถหลุดพ้นจากสภาวะลำบากใจและมีชีวิตในความสว่างได้เสมอ แม้ว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมให้มวลมนุษย์เช่นนี้ แต่ในหัวใจของมนุษย์พระเจ้าไม่ทรงเป็นอะไรมากไปกว่ายาเม็ดบรรเทาทุกข์ น้ำยาปลอบประโลม เมื่อพระเจ้ากำลังทรงทนทุกข์ เมื่อพระหทัยของพระองค์ได้รับบาดเจ็บ การมีสิ่งมีชีวิตที่ทรงสร้างหรือบุคคลใดก็ตามมาอยู่เป็นเพื่อนกับพระองค์หรือปลอบประโลมพระองค์ย่อมเป็นเพียงความปรารถนาฟุ้งเฟ้อสำหรับพระเจ้าอย่างไม่ต้องสงสัย มนุษย์ไม่มีวันให้ความสนใจกับความรู้สึกของพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่มีวันทรงถามหาหรือคาดหวังว่าจะมีใครสักคนที่สามารถปลอบประโลมพระองค์ได้ พระองค์เพียงทรงใช้วิธีการทั้งหลายของพระองค์เองเพื่อแสดงออกถึงพระอารมณ์ของพระองค์ ผู้คนไม่คิดว่าเป็นความยากลำบากอย่างยิ่งที่พระเจ้าจะต้องทรงฟันฝ่าความทุกข์ แต่เมื่อเจ้าพยายามเข้าใจพระเจ้าอย่างแท้จริง เมื่อเจ้าสามารถซาบซึ้งในเจตนารมณ์อันแรงกล้าของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระองค์ได้ แม้ว่าพระเจ้าได้ทรงทำพันธสัญญากับมวลมนุษย์โดยใช้สายรุ้ง แต่พระองค์ไม่เคยได้ทรงบอกผู้ใดว่าเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงทำเช่นนี้—เหตุใดพระองค์จึงได้ทรงตั้งพันธสัญญานี้—หมายความว่าพระองค์ไม่เคยได้ตรัสบอกพระดำริที่แท้จริงของพระองค์กับผู้ใด นี่เป็นเพราะไม่มีใครที่สามารถจับใจความความลึกของความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เองได้ และไม่มีใครที่สามารถซาบซึ้งว่าพระหทัยของพระองค์ได้ทนทุกข์มากเพียงใดเมื่อพระองค์ทรงทำลายมนุษยชาติได้อีกด้วย เพราะฉะนั้น แม้ว่าพระองค์จะต้องตรัสบอกผู้คนว่าพระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร พวกเขาก็คงจะไม่สามารถรับภาระความเชื่อใจนี้ไว้ได้ แม้จะทรงอยู่ในความเจ็บปวด แต่พระองค์ก็ยังคงทรงทำพระราชกิจของพระองค์ต่อไปในขั้นตอนถัดไป พระเจ้าทรงให้ด้านที่ดีที่สุดของพระองค์และสิ่งที่ดีที่สุดแก่มวลมนุษย์เสมอ ในขณะที่ทรงแบกรับความทุกข์ทั้งหมดด้วยพระองค์เองอย่างเงียบๆ นั้น พระเจ้าไม่มีวันทรงเปิดเผยความทุกข์เหล่านี้อย่างโจ่งแจ้ง พระองค์ทรงทนฝ่าความทุกข์เหล่านี้และทรงรอคอยในความเงียบแทน ความทนฝ่าของพระเจ้านั้นไม่เย็นชา มึนงง หรือหมดหนทาง และไม่ได้เป็นสัญญาณของความอ่อนแอ ตรงกันข้าม ความรักและแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเสมอมา นี่คือการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระองค์ และเป็นร่างสถิตที่แท้จริงของพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้างที่แท้จริง

เมื่อได้พูดเช่นนั้นแล้ว บางคนอาจตีความสิ่งที่เราหมายถึงผิดไป “การบรรยายความรู้สึกของพระเจ้าอย่างละเอียดเช่นนี้ ด้วยวิธีการที่ให้ความรู้สึกตื่นเต้นมากมายเหลือเกิน มีเจตนาที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารพระเจ้าหรือไม่?” นั่นคือเจตนารมณ์ ณ ตรงนี้หรือไม่? (ไม่) จุดประสงค์เพียงอย่างเดียวของเราที่พูดสิ่งเหล่านี้คือการทำให้พวกเจ้ารู้จักพระเจ้าดีขึ้น เข้าใจด้านต่างๆ มากมายมหาศาลของพระองค์ เข้าใจพระอารมณ์ของพระองค์ ซาบซึ้งว่าแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นได้รับการแสดงออกโดยผ่านทางพระราชกิจของพระองค์อย่างเป็นรูปธรรมและทีละเล็กทีละน้อย โดยตรงกันข้ามกับการถูกสร้างภาพพรรณนาโดยผ่านทางคำพูดที่ไร้แก่นสารของมนุษย์ ความหมายตามตัวอักษรและคำสอนของพวกเขา หรือจินตนาการทั้งหลายของพวกเขา กล่าวคือ พระเจ้าและแก่นแท้ของพระเจ้าทรงดำรงอยู่จริง—ทั้งสองสิ่งนี้ไม่ใช่ภาพวาด ไม่ใช่จินตนาการ ไม่ได้ถูกมนุษย์สร้างขึ้น และไม่ได้ถูกมนุษย์ประดิษฐ์อย่างแน่นอน บัดนี้พวกเจ้าระลึกถึงการนี้ได้หรือไม่? หากพวกเจ้าระลึกได้จริง เช่นนั้นแล้ววจนะของเราในวันนี้ก็ได้สัมฤทธิ์ผลเป้าหมายที่ต้องการแล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะทำลายโลกด้วยน้ำท่วม และทรงสั่งให้โนอาห์สร้างเรือ

ปฐมกาล 6:9-14 ต่อไปนี้คือลำดับพงศ์พันธุ์ของโนอาห์ โนอาห์เป็นคนชอบธรรมดีพร้อมในสมัยของเขา โนอาห์ดำเนินกับพระเจ้า โนอาห์มีบุตรสามคน ชื่อเชม...

ติดต่อเราผ่าน Messenger