ซาตานทดลองโยบอีกครั้ง (ฝีร้ายผุดขึ้นมาทั่วร่างของโยบ) (ภาคที่ 2)

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

การเข้าใจผิดมากมายของผู้คนเกี่ยวกับโยบ

ความยากลำบากที่โยบได้ทนทุกข์นั้นไม่ใช่งานของผู้สื่อสารที่พระเจ้าทรงส่งมา อีกทั้งไม่ใช่เกิดขึ้นโดยพระหัตถ์ของพระเจ้าเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันเกิดขึ้นโดยซาตาน ศัตรูของพระเจ้า ด้วยตัวมันเอง ดังนั้น ระดับความยากลำบากที่โยบได้ทนทุกข์จึงล้ำลึก แต่ถึงกระนั้น ณ ชั่วขณะนี้โยบได้แสดงให้เห็นถึงความรู้ประจำวันของเขาเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของเขาหลักการแห่งการกระทำประจำวันของเขา และท่าทีของเขาต่อพระเจ้า โดยไม่สงวนไว้—นั่นคือความจริง หากโยบไม่ถูกทดลอง หากพระเจ้าไม่ทรงนำการทดสอบมาสู่โยบ เมื่อโยบได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” เจ้าคงจะกล่าวว่าโยบเป็นคนหน้าซื่อใจคด พระเจ้าได้ประทานสินทรัพย์มากมายยิ่งนักให้กับเขา ดังนั้นเขาจึงสาธุการพระนามของพระยาห์เวห์อย่างแน่นอน หากก่อนหน้าที่เขาจะถูกทดสอบ โยบได้กล่าวว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” เจ้าก็คงจะกล่าวว่าโยบกำลังพูดเกินจริง และว่าเขาคงจะไม่ละทิ้งพระนามของพระเจ้าเนื่องจากเขามักจะได้รับพรจากพระหัตถ์ของพระเจ้าอยู่บ่อยครั้ง เจ้าคงจะพูดว่าหากพระเจ้าได้ทรงนำความวิบัติมาสู่เขา เช่นนั้นแล้วเขาก็คงจะได้ละทิ้งพระนามของพระเจ้าไปแล้วอย่างแน่นอน แต่ทว่าเมื่อโยบพบว่าตัวเขาเองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีผู้ใดจะปรารถนาถึงหรือปรารถนาที่จะเห็น รูปการณ์แวดล้อมที่ไม่มีผู้ใดจะปรารถนาที่จะให้เกิดขึ้นกับพวกเขา ที่พวกเขากลัวว่าจะเกิดขึ้นกับพวกเขา รูปการณ์แวดล้อมที่แม้กระทั่งพระเจ้าก็ไม่ทรงสามารถทนเฝ้ามองได้ โยบยังคงสามารถยึดมั่นกับความซื่อสัตย์ของเขา “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” และ “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” เมื่อเผชิญหน้ากับความประพฤติของโยบ ณ เวลานี้ บรรดาผู้ที่รักการพูดคุยด้วยคำพูดเสียงสูงและผู้ที่รักการกล่าวคำพูดและคำสอนทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่พูดไม่ออก บรรดาผู้ที่สดุดีพระนามของพระเจ้าในวาทะเท่านั้น แต่ทว่าไม่เคยยอมรับการทดสอบของพระเจ้า ถูกกล่าวโทษด้วยความซื่อสัตย์ที่โยบยึดมั่น และพวกที่ไม่เคยเชื่อว่ามนุษย์สามารถยึดมั่นกับหนทางแห่งพระเจ้าได้ก็จะได้รับการพิพากษาด้วยคำพยานของโยบ เมื่อเผชิญหน้ากับการประพฤติของโยบในระหว่างการทดสอบเหล่านี้และคำพูดที่เขาได้กล่าวไป ผู้คนบางคนจะรู้สึกสับสน บางคนจะรู้สึกอิจฉา บางคนจะรู้สึกฉงน และบางคนจะถึงขั้นปรากฏว่าไม่สนใจ กลับเชิดจมูกของพวกเขาเข้าใส่คำพยานของโยบเพราะพวกเขาไม่เพียงแต่มองเห็นความทรมานที่ประสบกับโยบในระหว่างการทดสอบ และอ่านถึงคำพูดที่โยบได้พูดไปเท่านั้น แต่ยังมองเห็น “จุดอ่อน” ของมนุษย์ที่โยบแสดงให้เห็นเมื่อการทดสอบได้มาถึงตัวเขา พวกเขาเชื่อว่า “จุดอ่อน” นี้เป็นความไม่เพียบพร้อมที่ควรจะเป็นในความเพียบพร้อมของโยบ เป็นความด่างพร้อยในมนุษย์ผู้ที่ดีพร้อมในสายพระเนตรของพระเจ้า กล่าวคือ เชื่อกันว่าบรรดาผู้ที่ดีพร้อมนั้นคือไม่มีตำหนิ ไม่มีมลทินหรือแปดเปื้อน ว่าพวกเขาไม่มีจุดอ่อน ไม่รู้จักความเจ็บปวด ว่าพวกเขาไม่เคยรู้สึกไม่มีความสุขหรือเศร้าสลด และไม่มีความเกลียดหรือพฤติกรรมสุดขีดทางภายนอกใดๆ ผลก็คือ ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อว่าโยบมีความเพียบพร้อมอย่างแท้จริง ผู้คนไม่เห็นชอบกับพฤติกรรมหลายอย่างของเขาในระหว่างการทดสอบของเขา ยกตัวอย่างเช่น เมื่อโยบได้สูญเสียทรัพย์สินและลูกๆ ของเขาไปแล้ว เขาไม่ได้หลั่งน้ำตาออกมาเหมือนที่ผู้คนจินตนาการ “การขาดมารยาท” ของเขาทำให้ผู้คนคิดว่าเขาเย็นชา เพราะเขาไม่มีน้ำตาหรือความรักใคร่ต่อครอบครัวของเขา นี่เป็นความประทับใจไม่ดีแรกเริ่มที่ผู้คนมีต่อโยบ พวกเขาพบว่าพฤติกรรมของเขาหลังจากนั้นน่างวยงงมากยิ่งขึ้นไปอีก กล่าวคือ ผู้คนได้ตีความคำว่า “ฉีกเสื้อคลุมของตน” ว่าเป็นการที่เขาไม่เคารพพระเจ้า และเชื่ออย่างผิดๆ ว่า “โกนศีรษะ” หมายถึงการที่โยบหมิ่นประมาทและการต่อต้านพระเจ้า นอกเหนือจากคำพูดของโยบที่ว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” แล้ว ผู้คนก็ไม่หยั่งรู้ถึงความชอบธรรมใดๆ ในตัวโยบที่พระเจ้าได้ทรงสรรเสริญเลย และด้วยเหตุนี้การประเมินโยบโดยพวกเขาส่วนใหญ่จำนวนมากจึงไม่ใช่สิ่งใดมากไปกว่าการไม่จับใจความ การเข้าใจผิด ความสงสัย การกล่าวโทษ และการเห็นชอบทางทฤษฎีเท่านั้น ไม่มีพวกเขาคนใดสามารถเข้าใจและซึ้งคุณค่าอย่างแท้จริงต่อพระวจนะของพระยาห์เวห์พระเจ้าที่ว่า โยบคือคนดีงามและเที่ยงธรรม ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว

บนพื้นฐานความประทับใจในตัวโยบของพวกเขาข้างต้น ผู้คนมีความสงสัยต่อไปเกี่ยวกับความชอบธรรมของเขา เพราะการกระทำต่างๆ ของโยบและการประพฤติของเขาที่บันทึกในข้อพระคัมภีร์ไม่ได้เร้าอารมณ์สะท้านโลกเหมือนอย่างผู้คนจะได้จินตนาการ เขาไม่เพียงแค่ไม่ได้ดำเนินการความดีความชอบที่ยิ่งใหญ่ใดๆ เท่านั้น แต่เขายังเอาชิ้นหม้อแตกมาขูดตัวเขาเองขณะที่นั่งอยู่ท่ามกลางกองขี้เถ้าอีกด้วย การกระทำนี้ยังทำให้ผู้คนประหลาดใจและทำให้พวกเขาสงสัย—และถึงขั้นปฏิเสธ—ความชอบธรรมของโยบอีกด้วย เพราะในขณะที่ขูดตัวเองโยบก็ไม่ได้อธิษฐานหรือทำสัญญากับพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่เห็นว่าเขาจะร่ำไห้หลั่งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด ณ เวลานั้น ผู้คนเพียงแต่มองเห็นความอ่อนแอของโยบและไม่มองเห็นสิ่งอื่นใด และด้วยเหตุนี้ แม้เมื่อพวกเขาได้ยินโยบกล่าวว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” พวกเขาก็ไม่รู้สึกสะเทือนใจโดยสิ้นเชิง หรือไม่ก็ลังเล และยังคงไม่สามารถหยั่งรู้ถึงความชอบธรรมของโยบจากคำพูดของเขา ความประทับใจเบื้องต้นที่โยบให้แก่ผู้คนในระหว่างการทรมานจากการทดสอบของเขาก็คือว่า เขาไม่ประจบประแจงและไม่โอหัง ผู้คนไม่เห็นเรื่องราวเบื้องหลังพฤติกรรมของเขาที่แสดงออกอยู่ในส่วนลึกของหัวใจเขา อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เห็นความยำเกรงพระเจ้าภายในหัวใจของเขาหรือการที่เขายึดมั่นต่อหลักการแห่งหนทางของการหลบเลี่ยงความชั่ว ความใจเย็นของเขาทำให้ผู้คนคิดว่าความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาเป็นแค่คำพูดที่ว่างเปล่า ว่าความยำเกรงพระเจ้าของเขาเป็นแค่คำเล่าขาน ในขณะเดียวกัน “ความอ่อนแอ” ที่เขาได้เปิดเผยออกมาภายนอกได้ทิ้งความประทับใจที่ล้ำลึกไว้กับพวกเขา ให้พวกเขามี “มุมมองใหม่” และแม้กระทั่ง “ความเข้าใจใหม่” ต่อมนุษย์ผู้นี้ที่พระเจ้าทรงกำหนดนิยามว่าดีพร้อมและเที่ยงธรรม “มุมมองใหม่” และ “ความเข้าใจใหม่” เช่นนั้นได้รับการพิสูจน์เมื่อโยบได้เปิดปากของเขาและสาปแช่งวันที่เขาเกิด

ถึงแม้ว่าระดับความทรมานที่เขาทนทุกข์จะไม่มีมนุษย์คนใดสามารถจินตนาการและจับความเข้าใจได้ แต่เขาก็ไม่ได้กล่าวคำพูดใดที่นอกรีต แต่มีเพียงได้ลดความเจ็บปวดในร่างกายของเขาด้วยวิธีการของเขาเอง ดังที่บันทึกไว้ในข้อพระคัมภีร์ เขาได้กล่าวว่า “ขอให้วันที่ข้าเกิดมานั้นพินาศ อีกทั้งคืนที่พูดว่า ‘ตั้งครรภ์เด็กชายคนหนึ่งแล้ว’ นั้นด้วย” (โยบ 3:3) บางที อาจไม่มีผู้ใดเคยพิจารณาว่าคำพูดเหล่านี้สำคัญ และบางทีอาจจะมีผู้คนที่ให้ความสนใจกับคำพูดเหล่านี้ ในทรรศนะของพวกเจ้า คำพูดเหล่านี้หมายความว่าโยบต่อต้านพระเจ้าหรือไม่? คำพูดเหล่านี้เป็นการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้าหรือไม่? เรารู้ว่าพวกเจ้าหลายคนมีแนวคิดที่แน่นอนเกี่ยวกับคำพูดที่โยบได้พูดไปเหล่านี้ และเชื่อว่าหากโยบเป็นคนดีพร้อมและเที่ยงธรรม เขาไม่ควรจะได้แสดงให้เห็นจุดอ่อนหรือความเศร้าโศกใดๆ และควรจะได้เผชิญหน้ากับการโจมตีจากซาตานในเชิงบวกแทน และแม้กระทั่งยิ้มในขณะที่เผชิญหน้ากับการทดลองของซาตาน เขาไม่ควรมีปฏิกิริยาแม้แต่น้อยต่อความทรมานใดๆ ที่ซาตานได้นำมาสู่เนื้อหนังของเขา อีกทั้งเขาไม่ควรจะได้เผยให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ภายในหัวใจของเขา เขาควรจะถึงขั้นขอให้พระเจ้าทำการทดสอบเหล่านี้ให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก นี่คือสิ่งที่ใครบางคนที่ไม่หวั่นไหวและที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริงควรจะแสดงออกหรือครอบครอง ท่ามกลางความทรมานสุดขีดนี้ โยบได้ทำแค่สาปแช่งวันที่เขาเกิด เขาไม่ได้ร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับพระเจ้า นับประสาอะไรที่เขาจะได้มีเจตนาใดๆ ในการต่อต้านพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พูดง่ายกว่าทำมาก เพราะนับตั้งแต่โบราณกาลจนกระทั่งถึงวันนี้ ยังไม่มีผู้ใดเคยได้รับประสบการณ์กับการทดลองเช่นนั้นหรือทนทุกข์กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับโยบ ดังนั้น เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดเคยตกอยู่ใต้การทดลองประเภทเดียวกันกับโยบ? มันเป็นเพราะดังที่พระเจ้าทรงเห็นนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถแบกรับหน้าที่รับผิดชอบหรือพระบัญชาเช่นนั้นได้ ไม่มีผู้ใดสามารถทำอย่างที่โยบทำได้ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีผู้ใดที่นอกเหนือจากสาปแช่งวันที่เขาเกิดแล้วนั้นก็ยังคงสามารถไม่ละทิ้งพระนามของพระเจ้าและสาธุการพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าต่อเนื่องได้ดังเช่นที่โยบทำเมื่อความทรมานเช่นนั้นประสบกับเขา ผู้ใดบ้างที่สามารถทำเยี่ยงนี้ได้? เมื่อพวกเรากล่าวเยี่ยงนี้เกี่ยวกับโยบ พวกเรากำลังชมเชยพฤติกรรมของเขาหรือไม่? เขาเป็นคนชอบธรรม และสามารถเป็นคำพยานเช่นนั้นต่อพระเจ้าได้ และสามารถทำให้ซาตานหนีไปโดยเอามือปิดหน้า จนมันไม่มีวันมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อกล่าวหาเขาอีก—ดังนั้นการชมเชยเขาจะผิดอย่างไร? เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเจ้ามีมาตรฐานสูงกว่าพระเจ้า? เป็นไปได้หรือไม่ว่าพวกเจ้าจะกระทำได้ดีกว่าโยบเมื่อการทดสอบมาเกิดกับพวกเจ้า? โยบได้รับการยกย่องจากพระเจ้า—พวกเจ้าสามารถมีข้อขัดข้องใดได้หรือ?

โยบสาปแช่งวันที่เขาเกิดเพราะเขาไม่ต้องการให้พระเจ้าทรงเจ็บปวดเพราะเขา

เราพูดบ่อยครั้งว่าพระเจ้าทรงมองภายในหัวใจของผู้คน ในขณะที่ผู้คนมองที่ภายนอกของผู้คน เนื่องจากพระเจ้าทอดพระเนตรภายในหัวใจของผู้คน พระองค์จึงเข้าพระทัยเนื้อแท้ของพวกเขา ในขณะที่ผู้คนกำหนดนิยามเนื้อแท้ของผู้คนอื่นๆ บนพื้นฐานภายนอกของพวกเขา เมื่อโยบเปิดปากของเขาและสาปแช่งวันที่เขาเกิด การกระทำนี้ได้ทำให้บุคคลสำคัญฝ่ายวิญญาณทั้งหมดประหลาดใจ รวมทั้งเพื่อนสามคนของโยบ มนุษย์มาจากพระเจ้า และควรจะขอบคุณสำหรับชีวิตและเนื้อหนัง ตลอดจนวันที่เขาเกิด ซึ่งพระเจ้าได้ประทานให้แก่เขา และเขาไม่ควรสาปแช่งสิ่งเหล่านั้น นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนธรรมดาสามารถเข้าใจและคิดฝันได้ สำหรับใครก็ตามที่ติดตามพระเจ้า การเข้าใจนี้ศักดิ์สิทธิ์และไม่อาจฝ่าฝืนได้ และมันเป็นความจริงที่ไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ในทางกลับกันนั้น โยบได้แหกกฎเหล่านี้ กล่าวคือ เขาได้สาปแช่งวันที่เขาเกิด นี่คือการกระทำที่ผู้คนธรรมดาพิจารณาว่าเป็นการข้ามไปสู่ดินแดนต้องห้าม โยบไม่เพียงแค่ไม่ได้รับความเข้าใจและความเห็นอกเห็นใจของผู้คนเท่านั้น เขายังไม่มีสิทธิได้รับการอภัยโทษของพระเจ้าด้วย ในขณะเดียวกัน ผู้คนมากยิ่งขึ้นด้วยซ้ำที่กลายมาสงสัยต่อความชอบธรรมของโยบ เพราะดูเหมือนว่าความโปรดปรานที่พระเจ้าทรงมีต่อโยบนั้นได้ทำให้โยบเป็นคนเห็นแก่ตัว มันทำให้เขาเหิมเกริมและไม่ยั้งคิดจนกระทั่งเขาไม่เพียงไม่ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงอวยพรเขาและใส่พระทัยเขาในระหว่างชั่วชีวิตของเขาเท่านั้น แต่เขายังประณามสาปแช่งวันที่เขาเกิดให้พบกับความย่อยยับ นี่คืออะไร หากว่าไม่ใช่การต่อต้านพระเจ้า? ความฉาบฉวยเช่นนั้นจัดเตรียมหลักฐานให้ผู้คนกล่าวโทษการกระทำนี้ของโยบ แต่ผู้ใดเล่าสามารถรู้สิ่งที่โยบกำลังคิดอย่างแท้จริง ณ เวลานั้นได้? ผู้ใดเล่าสามารถรู้เหตุผลว่าทำไมโยบจึงได้กระทำในลักษณะนั้น? มีเพียงพระเจ้าและตัวโยบเองเท่านั้นที่รู้เรื่องราวภายในและเหตุผลทั้งหลายในที่นี้

เมื่อซาตานได้ยื่นมือของมันออกไปเพื่อทำความเจ็บปวดให้กระดูกของโยบ โยบก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของมัน โดยไม่มีวิธีที่จะหนีรอดหรือเรี่ยวแรงที่จะต้านทาน ร่างกายและวิญญาณของเขาทนทุกข์กับความเจ็บปวดแสนสาหัส และความเจ็บปวดนี้ทำให้เขาตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งถึงความไม่สำคัญ ความอ่อนแอ และความไร้พลังอำนาจของมนุษย์ที่มีชีวิตอยู่ในเนื้อหนัง ในเวลาเดียวกันนั้น เขายังได้รับความซึ้งคุณค่าและความเข้าใจที่ล้ำลึกว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงมีพระทัยที่ห่วงใยและดูแลมวลมนุษย์อีกด้วย ในเงื้อมมือของซาตาน โยบได้ตระหนักว่ามนุษย์ที่มีเลือดเนื้อนั้นแท้ที่จริงแล้วช่างไร้พลังอำนาจและอ่อนแอยิ่งนัก เมื่อเขาคุกเข่าลงและอธิษฐานต่อพระเจ้า เขารู้สึกราวกับว่าพระเจ้ากำลังปิดบังพระพักตร์ของพระองค์และกำลังทรงซ่อนเร้น เพราะพระเจ้าได้ทรงวางเขาไว้ในมือของซาตานโดยสิ้นเชิง ในเวลาเดียวกันนั้น พระเจ้าก็ทรงกรรแสงเพราะเขา และยิ่งไปกว่านั้น ทรงโทมนัสเพราะเขา พระเจ้าทรงปวดร้าวด้วยความปวดร้าวของเขา และทรงเจ็บด้วยความเจ็บของเขา… โยบรู้สึกถึงความเจ็บปวดของพระเจ้า รวมทั้งมันไม่อาจทนได้เพียงใดสำหรับพระเจ้า… โยบไม่ต้องการที่จะนำความเศร้าโศกมาให้พระเจ้ามากขึ้นไปอีก และเขาไม่ต้องการให้พระเจ้าทรงกรรแสงเพราะเขา นับประสาอะไรที่เขาจะต้องการเห็นพระเจ้าทรงเจ็บปวดเพราะเขา ณ ชั่วขณะนั้น โยบเพียงต้องการที่จะพรากตัวเขาเองไปจากเนื้อหนังของเขา ที่จะไม่ทนฝ่าความเจ็บปวดที่เนื้อหนังนี้นำมาให้เขาอีกต่อไป เพราะนี่คงจะหยุดพระเจ้าจากการทรงทรมานด้วยความเจ็บปวดของเขา—ถึงกระนั้นเขาก็ไม่สามารถทำได้ และเขาต้องทนยอมรับไม่เพียงแค่ความเจ็บปวดของเนื้อหนังเท่านั้น แต่เป็นความทรมานของการที่ไม่ปรารถนาจะทำให้พระเจ้ากังวลพระทัยด้วย ความเจ็บปวดสองอย่างนี้—หนึ่งจากเนื้อหนัง และหนึ่งจากจิตวิญญาณ—ได้นำความเจ็บปวดจากหัวใจและบีบเค้นข้างในมาสู่โยบ และทำให้เขารู้สึกว่าขีดจำกัดของมนุษย์ผู้ซึ่งมีเลือดเนื้อสามารถทำให้คนเรารู้สึกผิดหวังและหมดหนทางเพียงใด ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ ความโหยหาพระเจ้าของเขาเริ่มแรงกล้าขึ้น และความเกลียดชังซาตานของเขาก็ได้กลายมาเป็นหนักแน่นยิ่งขึ้น ในเวลานั้น โยบคงจะเลือกที่จะไม่เกิดมาในโลกมนุษย์มากกว่า ยอมให้ตนเองไม่มีอยู่มากกว่าที่จะยอมเห็นพระเจ้าหลั่งน้ำพระเนตรหรือรู้สึกเจ็บปวดเพื่อเขา เขาเริ่มเกลียดชังเนื้อหนังของตนเป็นอย่างยิ่ง รังเกียจตนเอง รังเกียจวันที่ตนเกิดมา และถึงกับรังเกียจทุกสิ่งที่เชื่อมโยงกับเขา เขาไม่ปรารถนาให้มีการกล่าวถึงวันที่เขาเกิดหรือสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวกับมันอีก และดังนั้นเขาจึงได้เปิดปากของเขาและสาปแช่งวันที่เขาเกิดว่า “ขอให้วันที่ข้าเกิดมานั้นพินาศ อีกทั้งคืนที่พูดว่า ‘ตั้งครรภ์เด็กชายคนหนึ่งแล้ว’ นั้นด้วย ขอให้วันนั้นเป็นความมืด ขอพระเจ้าจากเบื้องบนอย่าเอาพระทัยใส่วันนั้น หรืออย่าให้แสงสว่างส่องในวันนั้น” (โยบ 3:3-4) คำพูดของโยบมีความเกลียดชังตัวเองของเขา “ขอให้วันที่ข้าเกิดมานั้นพินาศ อีกทั้งคืนที่พูดว่า ‘ตั้งครรภ์เด็กชายคนหนึ่งแล้ว’ นั้นด้วย” รวมทั้งคำตำหนิที่เขารู้สึกต่อตัวเขาเองและสำนึกรับรู้ของเขาเกี่ยวกับการเป็นหนี้ที่ได้ทำให้เกิดความเจ็บปวดแก่พระเจ้า “ขอให้วันนั้นเป็นความมืด ขอพระเจ้าจากเบื้องบนอย่าเอาพระทัยใส่วันนั้น หรืออย่าให้แสงสว่างส่องในวันนั้น” สองบทตอนนี้คือคำกล่าวที่สำคัญที่สุดว่าโยบรู้สึกอย่างไรในขณะนั้น และแสดงให้ทุกคนเห็นความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาอย่างเต็มที่ ในเวลาเดียวกันนั้น ความเชื่อและการนบนอบพระเจ้าของเขา ตลอดจนความยำเกรงพระเจ้าของเขาก็ได้รับการยกระดับขึ้นอย่างแท้จริง เหมือนที่โยบตั้งความปรารถนาเอาไว้ไม่มีผิด แน่นอนว่าการยกระดับนี้คือผลที่พระเจ้าได้ทรงคาดหวังเอาไว้โดยแท้

โยบเอาชนะซาตานและกลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริงในสายพระเนตรของพระเจ้า

เมื่อโยบประสบกับบททดสอบของเขาครั้งแรก เขาได้ถูกเพิกถอนทรัพย์สินของเขาทั้งหมดและลูกๆ ของเขาทั้งหมดไป แต่เขาไม่ได้ล้มลงหรือกล่าวสิ่งใดที่ล่วงเกินพระเจ้าอันเป็นผลที่ตามมา เขาได้ชนะการทดลองของซาตาน และได้ชนะสินทรัพย์ทางวัตถุของเขา ลูกหลานของเขา และบททดสอบแห่งการสูญเสียสิ่งภายนอกของเขาทั้งหมด กล่าวคือ เขาสามารถนบนอบการที่พระเจ้าทรงเอาคืนไป และเขายังสามารถที่จะถวายการขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าเนื่องจากสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำได้อีกด้วย เช่นนั้นคือพฤติกรรมของโยบในระหว่างการทดลองครั้งแรกของซาตาน และเช่นนั้นคือคำพยานของโยบในระหว่างบททดสอบครั้งแรกของพระเจ้าด้วยเช่นกัน ในบททดสอบครั้งที่สอง ซาตานได้ยื่นมือของมันออกไปเพื่อทำความเจ็บปวดให้กับโยบ และถึงแม้ว่าโยบจะได้รับประสบการณ์กับความเจ็บปวดใหญ่หลวงกว่าที่เขาได้เคยรู้สึกมาก่อน แต่คำพยานของเขาก็ยังคงเพียงพอที่จะทิ้งให้ผู้คนประหลาดใจ เขาได้ใช้ความเข้มแข็ง ความเชื่อ การนบนอบพระเจ้า ตลอดจนความยำเกรงที่เขามีต่อพระเจ้ามาทำให้ซาตานพ่ายแพ้อีกครั้ง และพฤติกรรมของเขาและคำพยานของเขาได้รับความเห็นชอบและการยอมรับจากพระเจ้าอีกครั้ง ในระหว่างการทดลองนี้ โยบได้ใช้พฤติกรรมที่แท้จริงของเขาเพื่อประกาศแก่ซาตานว่าความเจ็บปวดของเนื้อหนังไม่อาจเปลี่ยนความเชื่อและการนบนอบพระเจ้าของเขาได้ หรือเอาความผูกพันที่เขามีต่อพระเจ้าและหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าไปจากเขาได้ เขาจะไม่ละทิ้งพระเจ้าหรือทิ้งความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของตนเพราะเผชิญหน้าความตาย ความมุ่งมั่นอย่างไม่สั่นคลอนของโยบทำให้ซาตานขลาดกลัว ความเชื่อของเขาทำให้ซาตานขยาดและหวาดกลัว การต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างเขากับซาตานนั้นหนักหน่วงเสียจนก่อความเกลียดแค้นในใจมันอย่างลึกล้ำ ความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาทำให้ซาตานไม่เหลือสิ่งใดที่จะทำกับเขาได้มากไปกว่านั้น และด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงเลิกโจมตีเขา และล้มเลิกข้อกล่าวหาที่มันมีต่อโยบที่มันได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระยาห์เวห์พระเจ้า นี่หมายความว่าโยบได้ชนะโลกแล้ว เขาได้ชนะเนื้อหนังแล้ว เขาได้ชนะซาตานแล้ว และเขาได้ชนะความตายแล้ว เขาเป็นมนุษย์ที่เป็นของพระเจ้าโดยครบบริบูรณ์และโดยสิ้นเชิง ในช่วงระหว่างการทดสอบทั้งสองครั้งนี้ โยบได้ตั้งมั่นในคำพยานของเขา ได้ใช้ชีวิตด้วยความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาอย่างแท้จริง และได้ขยายวงเขตแห่งหลักการดำรงชีวิตของเขาในด้านความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่ว เมื่อได้ก้าวผ่านการทดสอบสองครั้งเหล่านี้แล้ว ประสบการณ์ที่มั่งคั่งยิ่งกว่าก็ได้เกิดขึ้นในตัวโยบ และประสบการณ์นี้ได้ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่และช่ำชองมากยิ่งขึ้น มันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และมีความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ขึ้น และมันทำให้เขามั่นใจมากยิ่งขึ้นในความชอบธรรมและความมีคุณค่าของความซื่อสัตย์ที่เขาได้ยึดมั่น การที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทดสอบโยบได้มอบความเข้าใจและสำนึกรับรู้ที่ลึกซึ้งแก่เขาเกี่ยวกับความห่วงใยมนุษย์ของพระเจ้า และเปิดโอกาสให้เขาได้สำนึกรับรู้ถึงความมีค่าของความรักจากพระเจ้า ซึ่งจากจุดนี้การคิดคำนึงและความรักที่มีต่อพระเจ้าได้ถูกเพิ่มเข้าไปในความยำเกรงพระเจ้าของเขา การทดสอบของพระยาห์เวห์พระเจ้าไม่เพียงแค่ไม่ได้แปลกแยกโยบออกจากพระองค์ แต่ยังได้นำพาหัวใจเขาให้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น เมื่อความเจ็บปวดทางเนื้อหนังที่โยบทนฝ่าได้ไปถึงจุดสูงสุดของมัน ความห่วงใยที่เขาได้รู้สึกจากพระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทำให้เขาไม่มีทางเลือกใดนอกจากต้องสาปแช่งวันที่เขาเกิด การประพฤติเช่นนั้นไม่ได้เกิดจากการวางแผนระยะยาว แต่เป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงการคิดคำนึงและความรักต่อพระเจ้าจากภายในหัวใจของเขา เป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติที่มาจากความรักและการที่เขาคำนึงถึงพระเจ้า กล่าวคือ เนื่องจากเขาเกลียดชังตัวเขาเอง และเขาไม่เต็มใจและทนไม่ได้ที่จะทรมานพระเจ้า ด้วยเหตุนี้การคิดคำนึงและความรักของเขาจึงได้มาถึงจุดที่ไม่คำนึงถึงตนเอง ณ เวลานี้ โยบได้ยกระดับการรักใคร่บูชาที่ยืนหยัดมายาวนานและการโหยหาพระเจ้าและการอุทิศตนเพื่อพระเจ้าของเขาให้กลายเป็นการคำนึงถึงพระองค์และการรัก ในเวลาเดียวกัน เขายังได้ยกระดับความเชื่อ การนบนอบพระเจ้า และการยำเกรงพระเจ้าของเขาให้เป็นการรักและคำนึงถึงพระเจ้าเช่นกัน เขาไม่ยอมให้ตัวเขาเองทำสิ่งใดที่อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายกับพระเจ้า เขาไม่อนุญาตให้ตัวเองมีการประพฤติใดๆ ที่จะทำให้พระเจ้าทรงเจ็บปวด และไม่ยอมให้ตัวเขาเองนำความโทมนัส ความคับข้องพระทัย หรือแม้กระทั่งความไม่มีสุขมาสู่พระเจ้าเพราะเหตุผลของเขาเอง ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น ถึงแม้ว่าโยบจะยังคงเป็นโยบคนเดิมเหมือนเมื่อก่อน แต่ความเชื่อ การนบนอบ และความยำเกรงพระเจ้าของโยบนั้นได้นำพาความพึงพอพระทัยและความชื่นชมยินดีอันครบบริบูรณ์มาให้พระเจ้า ในเวลานั้น โยบได้บรรลุถึงความเพียบพร้อมที่พระเจ้าได้ทรงคาดหวังให้เขาบรรลุแล้ว เขาได้กลายเป็นใครบางคนที่มีค่าคู่ควรอย่างแท้จริงแก่การเรียกว่า “ดีพร้อมและเที่ยงธรรม” ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ความประพฤติที่ชอบธรรมของเขาเปิดโอกาสให้เขาชนะซาตานและตั้งมั่นในคำพยานของเขาต่อพระเจ้า ความประพฤติอันชอบธรรมของเขาเองก็ทำให้เขาเพียบพร้อม และอำนวยให้คุณค่าแห่งชีวิตของเขายกระดับขึ้นไปอยู่เหนือโลก และความประพฤติที่ชอบธรรมเหล่านั้นยังได้ทำให้เขาเป็นบุคคลแรกที่ไม่ถูกซาตานโจมตีและทดลองอีกต่อไป เนื่องจากโยบนั้นชอบธรรม เขาจึงถูกซาตานกล่าวหาและทดลอง และเนื่องจากโยบนั้นชอบธรรม เขาจึงถูกส่งมอบให้แก่ซาตาน และเนื่องจากโยบนั้นชอบธรรม เขาจึงชนะซาตานและทำให้ซาตานพ่ายแพ้ และตั้งมั่นในคำพยานของเขา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โยบได้กลายเป็นมนุษย์คนแรกที่จะไม่มีวันถูกส่งมอบให้แก่ซาตานอีก เขาได้มาอยู่หน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง และดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง ภายใต้พรของพระเจ้าโดยไม่มีการสอดแนมหรือการเบียดเบียนของซาตาน… เขาได้กลายเป็นมนุษย์ที่แท้จริงในสายพระเนตรของพระเจ้า และได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระแล้ว…

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ซาตานทดลองโยบอีกครั้ง (ฝีร้ายผุดขึ้นมาทั่วร่างของโยบ) (ภาคที่ 1)

1. พระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ โยบ 2:3 และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า...

โยบหลังจากการทดสอบของเขา

โยบ 42:7-9 หลังจากพระยาห์เวห์ตรัสพระวจนะเหล่านี้แก่โยบแล้ว พระยาห์เวห์ตรัสกับเอลีฟัสชาวเทมานว่า “เราโกรธเจ้าและสหายทั้งสองของเจ้า...

ซาตานทดลองโยบเป็นครั้งแรก (ฝูงสัตว์ของเขาถูกขโมยและหายนะตกมาถึงลูกๆ ของเขา)

1. พระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ โยบ 1:8 และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “เจ้าได้พิจารณาดูโยบผู้รับใช้ของเราหรือไม่ว่า...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger