ขณะนี้ ปรากฏว่าหลากหลายนิกายทางศาสนายึดปฏิบัติตามพิธีทางศาสนาอย่างเป็นหน้าที่ แต่พวกศิษยาภิบาลกลับมุ่งเน้นเพียงการประกาศพระวจนะและวลีทั้งหลายจากพระคัมภีร์และทฤษฎีทางเทววิทยาเท่านั้น และความรู้แจ้งกับความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นก็หายไปโดยสิ้นเชิง ชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลายดำเนินไปโดยไม่ได้รับการจัดเตรียมให้โดยสิ้นเชิง พวกเขามีความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปีแต่ก็ไม่รู้เท่าทันความจริงและไร้ความสามารถที่จะนำพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าไปสู่การฝึกฝนปฏิบัติ ความเชื่อของพวกเขาในองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้กลายเป็นอะไรเลยนอกจากการเชื่อทางศาสนา ฉันไม่เข้าใจว่า ทำไมคริสตจักรทั้งหลายในทุกวันนี้ได้ลดต่ำลงไปเป็นศาสนา
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
ในแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระเจ้ายังมีข้อพึงประสงค์ต่อมนุษย์ที่สอดคล้องกับช่วงระยะนั้นๆ ด้วยเช่นกัน ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ภายในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกครองโดยการสถิตและการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกที่ไม่อยู่ภายในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมอยู่ภายใต้คำสั่งของซาตาน และปราศจากพระราชกิจใดๆ แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนที่อยู่ในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์คือบรรดาผู้ที่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า กับผู้ที่ร่วมมือในพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า หากบรรดาผู้ที่อยู่ภายในกระแสนี้ไม่สามารถร่วมมือ และไร้ความสามารถที่จะนำความจริงที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ในช่วงระหว่างยุคนี้ไปปฏิบัติได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะถูกบ่มวินัย และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดพวกเขาก็จะถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงละทิ้ง บรรดาผู้ที่ยอมรับพระราชกิจใหม่แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะใช้ชีวิตภายในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกเขาจะได้รับการดูแลและการคุ้มครองปกป้องของพระวิญญาณบริสุทธิ์ บรรดาผู้ที่เต็มใจที่จะนำความจริงไปปฏิบัติย่อมได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกที่ไม่เต็มใจจะนำความจริงไปปฏิบัติย่อมถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงบ่มวินัย และอาจแม้กระทั่งถูกลงโทษ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุคคลประเภทใดก็ตาม พระเจ้าจะทรงรับผิดชอบทุกผู้คนที่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระองค์เพื่อประโยชน์แห่งพระนามของพระองค์ภายใต้เงื่อนไขว่าพวกเขานั้นอยู่ภายในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ บรรดาผู้ที่ถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระองค์และเต็มใจที่จะนำพระวจนะของพระองค์ไปปฏิบัติจะได้รับพระพรของพระองค์ ส่วนพวกที่ไม่เชื่อฟังพระองค์และไม่นำพระวจนะของพระองค์ไปปฏิบัติย่อมจะได้รับการลงโทษของพระองค์ ผู้คนที่อยู่ในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์คือบรรดาผู้ที่ยอมรับพระราชกิจใหม่ และเนื่องจากพวกเขาได้ยอมรับพระราชกิจใหม่แล้ว พวกเขาจึงควรร่วมมือกับพระเจ้าอย่างเหมาะสม และไม่ควรปฏิบัติตนเป็นกบฏที่ไม่ปฏิบัติหน้าที่ของตน นี่คือข้อพึงประสงค์เพียงข้อเดียวที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ สำหรับผู้คนที่ไม่ยอมรับพระราชกิจใหม่ การย่อมไม่เป็นดังนั้น กล่าวคือ พวกเขาอยู่นอกกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการบ่มวินัยกับการตำหนิของพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่ได้ใช้กับพวกเขา ตลอดทั้งวัน ผู้คนเหล่านี้ใช้ชีวิตภายในเนื้อหนัง พวกเขาใช้ชีวิตภายในจิตใจของพวกเขา และทั้งหมดที่พวกเขาทำก็สอดคล้องกับหลักข้อเชื่อที่เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์และการค้นคว้าวิจัยของสมองของพวกเขาเอง นี่ไม่ใช่สิ่งที่พระราชกิจใหม่แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์พึงประสงค์ และยิ่งไม่ใช่การร่วมมือกับพระเจ้าเข้าไปใหญ่ พวกที่ไม่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าจึงสูญสิ้นการสถิตของพระเจ้า และนอกจากนั้น พวกเขาย่อมปราศจากพระพรและการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้า คำพูดและการกระทำส่วนใหญ่ของพวกเขาจึงยึดมั่นอยู่กับข้อพึงประสงค์ในอดีตของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านั้นคือหลักข้อเชื่อ ไม่ใช่ความจริง หลักข้อเชื่อและระเบียบข้อบังคับเช่นนั้นเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าการชุมนุมกันของผู้คนเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากศาสนา พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่ได้รับการเลือกสรรหรือเป้าหมายของพระราชกิจของพระเจ้า สมัชชาของผู้คนทั้งหมดท่ามกลางพวกเขาสามารถเรียกได้ว่าเป็นการประชุมใหญ่ของศาสนา และย่อมไม่สามารถเรียกว่าคริสตจักร นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ พวกเขาไม่มีพระราชกิจใหม่แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งที่พวกเขาทำดูเหมือนชวนให้นึกถึงศาสนา สิ่งที่พวกเขาทำในชีวิตดูเหมือนเต็มแน่นไปด้วยศาสนา พวกเขาไม่มีการสถิตและพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะมีคุณสมบัติที่จะได้รับการบ่มวินัยหรือความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นซากศพที่ไร้ชีวิต และเป็นหนอนแมลงวันที่ไร้ความเข้าใจเกี่ยวกับจิตวิญญาณ พวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับการกบฏและการต่อต้านของมนุษย์ ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการทำชั่วทั้งหมดของมนุษย์ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะรู้พระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าและน้ำพระทัยในปัจจุบันของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นผู้คนต่ำช้าที่ไม่รู้เท่าทัน และพวกเขาเป็นคนทรามที่ไม่สมควรจะเรียกว่าผู้เชื่อ! ไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาทำส่งผลถึงการบริหารจัดการของพระเจ้า และมันยิ่งไม่สามารถทำให้แผนการของพระเจ้าด้อยคุณค่าลงได้ คำพูดและการกระทำของพวกเขาน่าขยะแขยงเกินไป น่าสมเพชเกินไป และไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงเลย สิ่งที่กระทำโดยพวกที่ไม่อยู่ในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระราชกิจใหม่แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะเหตุนี้ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดก็ตาม พวกเขาย่อมปราศจากวินัยแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนอกจากนั้นย่อมปราศจากความรู้แจ้งแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นผู้ที่ไม่มีความรักให้กับความจริง และเป็นผู้ที่ได้ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงรังเกียจและปฏิเสธ พวกเขาถูกเรียกว่าคนทำชั่ว เพราะพวกเขาเดินในเนื้อหนังและทำสิ่งใดๆ ก็ตามที่ทำให้พวกเขาพอใจภายใต้แผ่นป้ายโฆษณาถึงพระเจ้า ขณะที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ พวกเขาก็จงใจเป็นศัตรูกับพระองค์ และวิ่งไปคนละทิศทางกับพระองค์ ความล้มเหลวของมนุษย์ในการร่วมมือกับพระเจ้าจึงเป็นกบฏอย่างสูงสุดในตัวมันเอง ดังนั้น ผู้คนเหล่านั้นที่จงใจวิ่งในทางตรงข้ามกับพระเจ้าจะไม่ได้รับการลงทัณฑ์ที่ยุติธรรมของพวกเขาโดยเฉพาะหรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์
“แต่เราบอกท่านว่าที่เป็นใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่ ถ้าพวกท่านเข้าใจความหมายของพระคัมภีร์ ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ พวกท่านก็คงจะไม่ตัดสินลงโทษพวกที่ไม่มีความผิด เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต” (มัทธิว 12:6-8) คำว่า “พระวิหาร” อ้างอิงถึงสิ่งใดในที่นี้? กล่าวอย่างง่ายๆ คือ คำนี้หมายถึงอาคารที่สูงส่งสง่างาม และในยุคธรรมบัญญัติ พระวิหารคือสถานที่ที่นักบวชมานมัสการพระเจ้า เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ที่เป็นใหญ่กว่าพระวิหารอยู่ที่นี่” คำว่า “ที่” อ้างอิงถึงผู้ใด? คำว่า “ที่” นี้หมายถึงองค์พระเยซูเจ้าในเนื้อหนังอย่างชัดเจน เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ยิ่งใหญ่กว่าพระวิหาร พระวจนะเหล่านั้นบอกผู้คนว่าอย่างไร? พระวจนะเหล่านั้นบอกผู้คนให้ออกมาจากพระวิหาร—พระเจ้าทรงออกมาจากพระวิหารแล้วและไม่ได้ทรงพระราชกิจในนั้นอีกต่อไป ดังนั้น ผู้คนจึงควรแสวงหาย่างพระบาทของพระเจ้านอกพระวิหาร และติดตามย่างก้าวของพระองค์ในพระราชกิจใหม่ของพระองค์ มีข้อสนับสนุนที่อยู่เบื้องหลังพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ นั่นคือ ภายใต้ธรรมบัญญัติ ผู้คนได้มามองเห็นพระวิหารว่าเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้าพระองค์เอง นั่นคือ ผู้คนนมัสการพระวิหารแทนที่จะนมัสการพระเจ้า ดังนั้นองค์พระเยซูเจ้าจึงทรงเตือนพวกเขาให้อย่านมัสการรูปเคารพ แต่นมัสการพระเจ้าแทน เพราะพระองค์ทรงอำนาจสูงสุด ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงตรัสว่า “เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา” เห็นได้ชัดเจนว่าในพระเนตรขององค์พระเยซูเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่ที่ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติไม่ได้นมัสการพระยาห์เวห์อีกต่อไป แต่เพียงแค่พลีอุทิศไปอย่างพอเป็นพิธี และองค์พระเยซูเจ้าตกลงพระทัยว่านี่ถือเป็นการนมัสการรูปเคารพ ผู้นมัสการรูปเคารพเหล่านี้เห็นว่าพระวิหารเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ยิ่งใหญ่และสูงส่งกว่าพระเจ้า ในหัวใจของพวกเขามีเพียงพระวิหาร ไม่ใช่พระเจ้า และหากพวกเขาสูญเสียพระวิหารไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะสูญเสียที่อาศัยของพวกเขา หากปราศจากพระวิหาร พวกเขาก็ไม่มีที่ใดให้นมัสการ และไม่สามารถทำการพลีอุทิศของพวกเขาได้ สิ่งที่เรียกว่า “ที่อาศัย” ของพวกเขานั้นคือสถานที่ที่พวกเขาใช้การกล่าวอ้างเท็จถึงการนมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าเพื่อให้อยู่ในพระวิหารต่อไปและทำกิจการงานต่างๆ ของพวกเขาเอง สิ่งที่เรียกว่า “การพลีอุทิศ” ของพวกเขานั้นเป็นแค่การที่พวกเขากระทำการอันน่าอับอายส่วนตัวของตนเองภายใต้การแสร้งทำเป็นปรนนิบัติในพระวิหาร นี่คือเหตุผลที่ผู้คน ณ ขณะนั้นมองเห็นว่าพระวิหารยิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า องค์พระเยซูเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้เพื่อเป็นคำเตือนให้กับผู้คน เพราะพวกเขากำลังใช้พระวิหารเป็นฉากหน้า และใช้การพลีอุทิศเป็นฉากบังการคดโกงผู้คนและการคดโกงพระเจ้า หากเจ้านำพระวจนะเหล่านี้มาปฏิบัติกับปัจจุบัน พระวจนะเหล่านี้ยังคงใช้ได้เท่าเดิมและตรงประเด็นเท่าเดิม ถึงแม้ว่าผู้คนในวันนี้จะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าที่แตกต่างจากที่ผู้คนในยุคธรรมบัญญัติได้รับประสบการณ์ แต่เนื้อแท้ของธรรมชาติของพระราชกิจเหล่านั้นเหมือนกัน
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3
ในการที่เชื่อในพระเจ้านั้น หากผู้คนปฏิบัติต่อความจริงเสมือนเป็นกฎข้อบังคับชุดหนึ่งที่ต้องยึดมั่น เช่นนั้นแล้วการเชื่อของพวกเขาก็จะไม่หมิ่นเหม่ที่จะแปรไปเป็นเพียงพิธีกรรมทางศาสนากลุ่มหนึ่งหรอกหรือ? และสิ่งใดเล่าคือความแตกต่างระหว่างพิธีกรรมทางศาสนาเช่นนั้นกับศาสนาคริสต์? ผู้คนเหล่านี้อาจมีความลึกซึ้งและก้าวหน้ามากขึ้นในวิธีที่พวกเขาพูดสิ่งทั้งหลาย แต่หากความเชื่อของพวกเขาได้ลดลงมาเป็นเพียงกฎข้อบังคับชุดหนึ่งและพิธีกรรมชนิดหนึ่ง เช่นนั้นแล้วนั่นไม่ได้หมายความว่าความเชื่อของพวกเขาได้แปรไปเป็นศาสนาคริสต์แล้วหรอกหรือ? (ใช่ มันหมายความเช่นนั้น) มีความแตกต่างระหว่างคำสอนเก่าๆ และคำสอนใหม่ๆ แต่หากคำสอนทั้งหลายไม่เป็นสิ่งใดมากไปกว่าทฤษฎีประเภทหนึ่ง และได้กลายเป็นเพียงพิธีกรรมหรือกฎข้อบังคับรูปแบบหนึ่งสำหรับผู้คน—และในทำนองเดียวกัน หากผู้คนไม่สามารถทั้งได้รับความจริงจากการนั้นและใช้การนั้นเพื่อเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง—เช่นนั้นแล้วความเชื่อของพวกเขาจะไม่กลายเป็นเช่นเดียวกันกับศาสนาคริสต์อย่างไม่ผิดเพี้ยนหรอกหรือ? โดยแก่นแท้แล้ว นี่ไม่ใช่ศาสนาคริสต์หรอกหรือ? (ใช่ นี่เป็นศาสนาคริสต์) เช่นนั้นแล้วในพฤติกรรมของพวกเจ้า และในเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้า พวกเจ้ามีทรรศนะและสภาวะที่เป็นเช่นเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันกับทรรศนะและสภาวะของผู้เชื่อในศาสนาคริสต์ในสิ่งใดบ้าง? (ในการยึดมั่นกับกฎข้อบังคับต่างๆ และในการเตรียมตัวพวกเราเองให้พร้อมด้วยตัวอักษรและคำสอนทั้งหลาย) (ในการมุ่งเน้นที่รูปลักษณ์ของการเป็นฝ่ายจิตวิญญาณและการจัดแสดงพฤติกรรมที่ดี และการเปี่ยมศรัทธาและถ่อมใจ) เจ้าพยายามที่จะจัดแสดงพฤติกรรมที่ดีภายนอก โดยทำสุดความสามารถของเจ้าเพื่อตกแต่งตัวพวกเจ้าเองในรูปลักษณ์ฝ่ายจิตวิญญาณประเภทหนึ่ง และเจ้าทำบางสิ่งที่ค่อนข้างได้รับการรับรองว่ามีอยู่ภายในมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์ โดยแสร้งทำเป็นมีคุณธรรม เจ้ายืนอยู่บนแท่นสูงประกาศตัวอักษรและคำสอน โดยสอนให้ผู้คนทำดี มีคุณธรรม และเข้าใจความจริง เจ้าประกาศคำสอนฝ่ายจิตวิญญาณ โดยพูดสิ่งต่างๆ ฝ่ายจิตวิญญาณที่ถูกต้อง เจ้าวางท่าใหญ่โตว่าเป็นฝ่ายจิตวิญญาณ และระบายความเชื่อฝ่ายจิตวิญญาณที่ผิวเผินในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูดและทำ แต่ทว่าในทางปฏิบัติ และในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าไม่เคยแสวงหาความจริง ทันทีที่เจ้าเผชิญปัญหา เจ้าก็กระทำการโดยสอดคล้องกับเจตจำนงของมนุษย์ทั้งสิ้น โดยโยนพระเจ้าทิ้งไป เจ้าไม่เคยได้กระทำการโดยสอดคล้องกับความจริงหลักธรรม อีกทั้งเจ้าไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าความจริงคือสิ่งใด เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือสิ่งใด หรือมาตรฐานที่พระองค์ทรงพึงประสงค์จากมนุษย์คือสิ่งใด เจ้าไม่เคยได้ถือจริงจังกับเรื่องเหล่านี้ หรือแม้แต่กังวลสนใจเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวพวกเจ้าเอง การกระทำภายนอก และสภาวะภายในเช่นนี้ของผู้คน—กล่าวคือ ความเชื่อประเภทนี้—ประกอบด้วยความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่? หากไม่มีความเชื่อมโยงระหว่างความเชื่อของผู้คนกับการไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาเชื่อหรือพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้ากันแน่? ไม่ว่าผู้คนที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับการไล่ตามเสาะหาความจริงอาจจะเชื่อในพระองค์มานานกี่ปีแล้วก็ตาม แต่พวกเขาจะสามารถหรือพวกเขาไม่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วอย่างแท้จริงได้กันแน่? (พวกเขาไม่สามารถทำได้) เช่นนั้นแล้วพฤติกรรมภายนอกของผู้คนเช่นนี้คือสิ่งใด? พวกเขาสามารถเดินไปในเส้นทางประเภทใด? (เส้นทางของพวกฟาริสี) พวกเขาใช้วันเวลาของพวกเขาเตรียมตัวพวกเขาเองให้พร้อมด้วยสิ่งใด? ไม่ใช่ด้วยตัวอักษรและคำสอนหรอกหรือ? พวกเขาไม่ได้ใช้วันเวลาของพวกเขาติดอาวุธให้ตัวพวกเขาเอง แต่งตัวพวกเขาเองด้วยตัวอักษรและคำสอนเพื่อทำให้ตัวพวกเขาเองเป็นเหมือนพวกฟาริสีมากขึ้น เป็นฝ่ายจิตวิญญาณมากขึ้น และเหมือนผู้คนที่คาดว่าจะรับใช้พระเจ้ามากขึ้นหรอกหรือ? สิ่งใดกันแน่ที่เป็นธรรมชาติของความประพฤติเหล่านี้ทั้งหมด? นั่นเป็นการนมัสการพระเจ้าหรือ? นั่นเป็นความเชื่อแท้จริงในพระองค์หรือ? (ไม่ นั่นไม่ใช่) ดังนั้นแล้ว พวกเขากำลังทำอะไร? พวกเขากำลังหลอกลวงพระเจ้า พวกเขาเพียงแค่กำลังก้าวผ่านขั้นตอนต่างๆ ของกระบวนการหนึ่ง และเข้าร่วมในพิธีกรรมทางศาสนา พวกเขากำลังโบกธงแห่งความเชื่อและปฏิบัติพิธีกรรมทางศาสนา โดยพยายามหลอกลวงพระเจ้าเพื่อที่จะสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการได้รับพระพร ผู้คนเหล่านี้ไม่นมัสการพระเจ้าเลย ในท้ายที่สุด ผู้คนกลุ่มที่ว่านี้จะไม่ลงเอยเหมือนกับพวกที่อยู่ในคริสตจักรซึ่งคาดว่าจะรับใช้พระเจ้า และซึ่งคาดว่าจะเชื่อและติดตามพระเจ้าอย่างไม่ผิดเพี้ยนหรอกหรือ?
ตัดตอนมาจาก “โดยการดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นนิตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถเดินบนเส้นทางสู่ความรอดได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
พระเจ้าทรงให้นามใดแก่ศาสนาของบรรดาผู้ที่ได้เชื่อในพระยาห์เวห์? ศาสนายิว พวกเขาได้กลายเป็นกลุ่มศาสนาประเภทหนึ่ง และพระเจ้าทรงตั้งชื่อศาสนาของบรรดาผู้ที่เชื่อในพระเยซูว่าอย่างไร? (ศาสนาคริสต์) ในสายพระเนตรของพระเจ้า ศาสนายิวและศาสนาคริสต์เป็นตัวแทนของกลุ่มศาสนา เหตุใดพระเจ้าจึงทรงนิยามสองศาสนานั้นเช่นนี้เล่า? ท่ามกลางบรรดาผู้ที่เป็นสมาชิกทั้งหมดของกลุ่มศาสนาทั้งสองนี้ที่พระเจ้าทรงนิยามไว้ มีผู้ใดบ้างหรือไม่ที่ยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว ทำตามน้ำพระทัยของพระองค์ และติดตามหนทางของพระองค์? (ไม่มี) การนี้ทำให้เห็นได้ชัด ในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกที่ติดตามพระองค์เพียงในนามทั้งหมดสามารถเป็นบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงยอมรับรู้ว่าเป็นผู้เชื่อได้หรือไม่? พวกเขาทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับพระเจ้าหรือไม่? พวกเขาทั้งหมดจะสามารถเป็นเป้าสำหรับความรอดของพระองค์ได้หรือไม่? (ไม่) ดังนั้นแล้ว วันที่พวกเจ้าถูกลดทอนเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมองว่าเป็นกลุ่มศาสนาหนึ่งจะมาถึงหรือไม่? (ก็เป็นไปได้) การถูกลดทอนเป็นกลุ่มศาสนาหนึ่ง—นั่นดูเหมือนเรื่องที่มิอาจนึกภาพได้เลย หากผู้คนกลายเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มศาสนาหนึ่งในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระองค์หรือไม่? พวกเขาเป็นของพระนิเวศของพระองค์หรือไม่? (ไม่ พวกเขาไม่เป็น) ดังนั้นแล้ว พวกเรามาลองสรุปดูว่า ผู้คนเหล่านี้ที่เชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้เพียงในนาม แต่เป็นพวกที่พระองค์ทรงเชื่อว่าเป็นของกลุ่มศาสนาต่างๆ—พวกเขาเดินบนเส้นทางใด? จะสามารถพูดได้หรือไม่ว่าผู้คนเช่นนี้เดินบนเส้นทางของการโบกธงแห่งความเชื่อโดยไม่เคยติดตามหนทางของพระเจ้าเลย และเส้นทางของการที่เชื่อในพระองค์ แต่ทว่าไม่เคยนมัสการพระองค์เลย แต่กลับละทิ้งพระองค์แทน? กล่าวคือ พวกเขาเดินบนเส้นทางของการที่เชื่อในพระเจ้า แต่ละทิ้งพระองค์ และไม่ติดตามหนทางของพระองค์ หนทางของพวกเขาเป็นหนทางที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า แต่นมัสการซาตาน พวกเขานมัสการมาร พวกเขาพยายามดำเนินการบริหารจัดการของพวกเขาเองจนเสร็จสิ้น และพยายามจัดตั้งราชอาณาจักรของพวกเขาเอง นี่ไม่ใช่แก่นแท้ของการนี้หรอกหรือ? ผู้คนเยี่ยงนี้มีความเชื่อมโยงกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อความรอดของมนุษยชาติหรือไม่? (ไม่) ไม่สำคัญว่ามีผู้คนเชื่อในพระเจ้ามากเพียงใด แต่ทันทีที่การเชื่อของพวกเขาถูกพระองค์ทรงนิยามว่าเป็นการเชื่อของศาสนาหนึ่งหรือกลุ่มหนึ่ง พระองค์ก็ได้ทรงกำหนดไว้แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? ในผู้คนแก๊งหนึ่งหรือฝูงหนึ่งที่ปราศจากพระราชกิจและการทรงนำของพระเจ้า และที่ไม่นมัสการพระองค์เลย พวกเขานมัสการผู้ใด? พวกเขาติดตามผู้ใด? ในรูปแบบและในนาม พวกเขาติดตามบุคคลหนึ่ง แต่จริงๆ แล้วพวกเขาติดตามผู้ใด? ลึกลงไปพวกเขายอมรับรู้พระเจ้า แต่อันที่จริง พวกเขาอยู่ภายใต้การบงการ การจัดการเตรียมการ และการควบคุมของมนุษย์ พวกเขาติดตามมารซาตาน พวกเขาติดตามกำลังบังคับที่ไม่เป็นมิตรกับพระเจ้า และที่เป็นศัตรูของพระองค์ พระเจ้าจะทรงช่วยผู้คนหมู่หนึ่งเช่นผู้คนพวกนี้ให้รอดหรือไม่? (ไม่) เพราะเหตุใด? พวกเขาสามารถกลับใจใหม่ได้หรือไม่? (ไม่) พวกเขาไม่สามารถกลับใจใหม่ได้ พวกเขาโบกธงแห่งความเชื่อ ดำเนินอุตสาหกิจของมนุษย์จนเสร็จสิ้น และกระทำการบริหารจัดการของพวกเขาเอง และพวกเขาวิ่งสวนทางกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมวลมนุษย์ บทอวสานขั้นสุดท้ายของพวกเขาคือบทอวสานของการถูกพระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธ พระองค์ไม่สามารถช่วยผู้คนเหล่านี้ให้รอดได้ พวกเขาไม่อาจสามารถกลับใจได้ พวกเขาได้ถูกซาตานจับเป็นเชลยแล้ว—พวกเขาอยู่ในกำมือของซาตานโดยสิ้นเชิง ในความเชื่อของเจ้า จำนวนปีที่เจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามีความสำคัญหรือไม่ต่อการที่เจ้าจะได้รับการยกย่องโดยพระองค์หรือไม่? พิธีกรรมและกฎข้อบังคับทั้งหลายที่เจ้ายึดปฏิบัติตามสำคัญหรือไม่? พระเจ้าทรงมองวิธีการปฏิบัติของผู้คนหรือไม่? พระองค์ทรงมองว่ามีผู้คนมากมายเท่าใดหรือไม่? พระองค์ได้ทรงเลือกมวลมนุษย์ไว้ส่วนหนึ่งแล้ว พระองค์ทรงวัดอย่างไรว่าพวกเขาสามารถและควรได้รับการช่วยให้รอดหรือไม่? พระองค์ทรงวางการตัดสินใจนี้บนพื้นฐานของเส้นทางต่างๆ ที่ผู้คนเหล่านี้เดิน…ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินคำเทศนามาแล้วกี่ครั้ง หรือเจ้าได้เข้าใจความจริงมากเพียงใด หากในที่สุดเจ้ายังคงติดตามพวกมนุษย์และซาตาน และในท้ายที่สุด หากเจ้ายังคงไม่สามารถติดตามหนทางของพระเจ้าได้ และไร้ความสามารถที่จะยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่ว เช่นนั้นแล้วผู้คนเช่นนี้ก็จะถูกพระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธ เห็นได้ชัดเจนว่าผู้คนเช่นนี้ที่พระเจ้าทรงรังเกียจและปฏิเสธสามารถพูดได้มากมายเกี่ยวกับตัวอักษรและคำสอนทั้งหลาย และอาจได้มาเข้าใจความจริงมากมายแล้ว แต่ทว่าพวกเขาก็ไม่สามารถนมัสการพระเจ้าได้ พวกเขาไม่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และไม่สามารถนบนอบอย่างเต็มเปี่ยมต่อพระองค์ ในสายพระเนตรของพระเจ้า พระองค์ทรงนิยามพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาหนึ่ง เป็นเพียงพวกมนุษย์กลุ่มหนึ่ง—พวกมนุษย์แก๊งหนึ่ง—และเป็นที่พักชั่วคราวสำหรับซาตาน โดยรวมแล้วพวกเขาถูกอ้างอิงว่าเป็นแก๊งของซาตาน และผู้คนเหล่านี้ถูกพระเจ้าทรงดูหมิ่นอย่างถึงที่สุด
ตัดตอนมาจาก “โดยการดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเป็นนิตย์เท่านั้น คนเราจึงจะสามารถเดินบนเส้นทางสู่ความรอดได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ