สิ่งที่ประชากรพระเจ้าเป็น และสิ่งที่คนปรนนิบัติเป็น

วันที่ 26 เดือน 10 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็น และงานของเราได้เข้าสู่จุดเริ่มต้นใหม่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมจะมีแนวทางใหม่ กล่าวคือ บรรดาผู้ที่เห็นวจนะของเราและยอมรับวจนะว่าเป็นชีวิตของพวกเขาโดยแท้ คือประชากรในราชอาณาจักรของเราทั้งหมด และเมื่ออยู่ในราชอาณาจักรของเรา พวกเขาก็คือประชากรของราชอาณาจักรของเรา เพราะพวกเขายอมรับการนำของวจนะของเรา แม้ว่าพวกเขาได้รับการบ่งถึงว่าเป็นประชากรของเรา สมญานี้ก็ไม่มีทางเป็นรองการได้รับเรียกว่า “บุตร” ของเรา เมื่อได้รับการทำให้เป็นประชากรของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วทุกคนต้องปรนนิบัติด้วยการอุทิศตนสูงสุดในราชอาณาจักรของเรา และทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วงในราชอาณาจักรของเรา ผู้ใดก็ตามที่กระทำการฝ่าฝืนประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราต้องได้รับการลงโทษของเรา นี่คือคำแนะนำของเราถึงทุกคน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 1

เนื่องจากเจ้านั้นได้ชื่อว่าเป็นประชากรของเรา เจ้าควรมีความสามารถที่จะมอบเกียรตินามของเรา กล่าวคือ ยืนหยัดเป็นคำพยานในท่ามกลางการทดสอบ หากใครก็ตามพยายามที่จะป้อยอเราและปกปิดความจริงจากเรา หรือดำเนินการตกลงต่างๆ อันเสียชื่อเสียงลับหลังเรา ผู้คนเยี่ยงนี้จะถูกไล่ออกไปและถูกย้ายออกจากบ้านของเราเพื่อรอให้เราจัดการกับพวกเขา โดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้ที่ไม่สัตย์ซื่อและอกตัญญูต่อเราในอดีต และผู้ที่ลุกขึ้นมาอีกครั้งวันนี้เพื่อตัดสินเราอย่างเปิดเผย—พวกเขาจะถูกขับไล่ออกจากบ้านของเราเช่นกัน พวกที่เป็นประชากรของเราจะต้องคิดพิจารณาภาระต่างๆ ของเราอยู่ตลอดเวลา ตลอดจนพยายามที่จะรู้จักวจนะของเรา มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่เราจะทำให้รู้แจ้ง และพวกเขาจะใช้ชีวิตภายใต้การนำและความรู้แจ้งของเราอย่างแน่นอน จะไม่มีวันเผชิญกับการตีสอน พวกที่จดจ่อกับการวางแผนสำหรับอนาคตของพวกเขาเอง ก็ล้มเหลวในการคิดพิจารณาภาระต่างๆ ของเรา—กล่าวคือ พวกที่ไม่ได้มีจุดมุ่งหมายด้วยการกระทำต่างๆ ของพวกเขาเพื่อทำให้เราพึงพอใจ แต่ตรงกันข้ามกลับเป็นผู้ที่มองหาของให้ทาน—เราปฏิเสธที่จะใช้สรรพสิ่งสร้างเหมือนขอทานเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง เพราะตั้งแต่เวลาที่พวกเขาถือกำเนิด พวกเขาไม่ได้รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความหมายของการคิดพิจารณาภาระต่างๆ ของเรา พวกเขาคือผู้คนซึ่งขาดสำนึกรับรู้ที่ปกติ ผู้คนดังกล่าวกำลังทนทุกข์จาก “ภาวะทุพโภชนาการ” ของสมอง และจำเป็นต้องกลับบ้านไปเพื่อรับ “การบำรุงเลี้ยง” บางอย่าง ผู้คนเช่นนั้นไม่มีประโยชน์ต่อเรา ท่ามกลางประชากรของเรา สิ่งที่จะพึงประสงค์จากทุกคนก็คือ การคำนึงถึงการรู้จักเราในฐานะหน้าที่ซึ่งเป็นภาระผูกพันอย่างหนึ่งที่จะต้องเข้าใจทะลุปรุโปร่งจนถึงปลายทาง เช่น การกิน การแต่งตัว และการนอน บางสิ่งที่คนผู้หนึ่งไม่มีวันลืมแม้สักชั่วขณะ เพื่อที่ในท้ายที่สุด การรู้จักเรานั้นจะกลายเป็นคุ้นเคยเหมือนกับการกิน—บางอย่างที่เจ้าทำโดยที่ไม่ต้องพยายาม ด้วยมือที่ผ่านการฝึกฝนปฏิบัติ ในส่วนของวจนะที่เราพูด ทุกๆ วจนะจะต้องรับไว้ด้วยความเชื่อจนถึงที่สุดและซึมซับอย่างเต็มที่ ไม่สามารถมีการทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ อย่างพอเป็นพิธีได้ ผู้ใดที่ไม่ให้ความสนใจต่อวจนะของเราจะถือว่าต้านทานเราโดยตรง ผู้ใดที่ไม่กินวจนะของเรา หรือไม่พยายามที่จะรู้จักวจนะเหล่านั้น จะถือว่าไม่ให้ความสนใจต่อเรา และจะถูกกวาดออกนอกประตูบ้านของเราโดยตรง นี่เป็นเพราะ อย่างที่เราได้พูดแล้วในอดีต สิ่งที่เราต้องการนั้นไม่ใช่จำนวนที่มากมายของผู้คน แต่เป็นความดีเลิศ จากผู้คนหนึ่งร้อยคน หากเพียงคนเดียวมีความสามารถที่จะรู้จักเราได้โดยผ่านทางวจนะของเรา เช่นนั้นแล้วเราก็ย่อมจะขว้างคนอื่นๆ ทั้งหมดทิ้งอย่างเต็มใจเพื่อมุ่งเน้นไปที่การให้ความรู้แจ้งและการให้ความกระจ่างแก่คนคนเดียวผู้นี้ จากการนี้เจ้าสามารถเห็นได้ว่า ไม่จำเป็นต้องเป็นจริงว่า จำนวนคนที่มากกว่าเพียงอย่างเดียวนั้นสามารถสำแดงเราให้ประจักษ์และใช้ชีวิตตามแบบอย่างเราได้ สิ่งที่เราต้องการคือข้าวสาลี (แม้ว่าเมล็ดอาจไม่เต็มก็ตาม) และไม่ใช่ข้าวละมาน (แม้ในคราที่เมล็ดนั้นเต็มพอที่จะมองดูด้วยความชื่นชอบได้) ในส่วนของพวกที่ไม่ให้การคำนึงถึงที่จะแสวงหา แต่กลับเป็นผู้ที่ประพฤติตัวในลักษณะเกียจคร้าน พวกเขาควรจากไปโดยสมัครใจ เราไม่ปรารถนาที่จะเห็นพวกเขาอีกต่อไป ด้วยเกรงว่าพวกเขายังคงนำความเสื่อมเสียมาสู่ชื่อของเราต่อไป ในส่วนของสิ่งที่เราพึงประสงค์จากประชากรของเรานั้น เราจะหยุดที่เรื่องคำสอนเหล่านี้สำหรับตอนนี้ และจะรอที่จะทำการลงโทษ ขึ้นอยู่กับว่ารูปการณ์แวดล้อมเปลี่ยนแปลงอย่างไร

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 5

บุคคลที่สามารถสงบใจในการสถิตของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงจะมีความสามารถที่จะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการผูกมัดทางโลกได้ทุกอย่าง และจะได้บรรลุการครอบครองโดยพระเจ้า ทุกคนที่ไม่สามารถสงบใจอยู่ในการสถิตของพระเจ้าได้ เป็นพวกที่ไร้ศีลธรรมและทำทุกอย่างไปตามอำเภอใจอย่างแน่นอน ทุกคนที่สามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ คือผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้าต่อพระเจ้า และเป็นผู้ที่โหยหาพระเจ้า มีเพียงผู้ที่สงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเท่านั้นที่เห็นคุณค่าของชีวิต เห็นคุณค่าของการสามัคคีธรรมในจิตวิญญาณ กระหายในพระวจนะของพระเจ้า และไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้ใดก็ตามที่ไม่เห็นคุณค่าของการสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและไม่ได้ฝึกฝนปฏิบัติการสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เป็นคนที่ผิวเผินและไร้ประโยชน์ ผูกติดอยู่กับทางโลกและปราศจากชีวิต ต่อให้พวกเขาพูดว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็แค่พูดพล่อยเพียงลมปากที่ขาดความจริงใจเท่านั้น ผู้ที่ท้ายที่สุดแล้วได้ถูกพระเจ้าทำให้มีความเพียบพร้อมและครบบริบูรณ์ คือคนที่สามารถทำใจให้สงบในการสถิตของพระองค์ได้ ดังนั้น ผู้ที่มีใจสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าจึงจะได้รับพระคุณเป็นพระพรอันยิ่งใหญ่ ผู้คนที่แทบจะไม่ค่อยใช้เวลาในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าจนตลอดวัน ผู้ที่หมกมุ่นวุ่นวายอยู่กับกิจการต่างๆ ภายนอกและให้คุณค่าต่อการเข้าสู่ชีวิตเพียงน้อยนิด—คนเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นพวกคนหน้าซื่อใจคด ไร้ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของการเติบโตในอนาคต ผู้ที่สามารถสงบใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและผู้ที่สามารถเข้าสนิทกับพระเจ้าได้อย่างแท้จริงต่างหากที่เป็นคนของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องการสงบจิตใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

สมาชิกแห่งพระนิเวศและราชอาณาจักรของพระเจ้า—ฉายานามนี้มาจากที่ใด? ผู้คนได้ฉายานามนี้มาอย่างไร? ฉายานามนั้นมาจากการที่ได้จ่ายราคาไปแล้ว และเจ้าได้ไล่ตามเสาะหาความจริงและได้มาถึงการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าที่ระดับเฉพาะหนึ่งแล้วโดยผ่านทางการเข้าใจความจริง นั่นคือ บัดนี้เจ้าสามารถนบนอบต่อพระเจ้าและเคารพพระองค์ได้ และเจ้าได้กลายมาเป็นสมาชิกแห่งพระนิเวศของพระองค์ เจ้าก็เป็นเช่นเดียวกับโยบและเปโตรที่ไม่ต้องก้าวผ่านการข่มเหงและการทำให้เสื่อมทรามของซาตานอีกต่อไป เจ้ามีความสามารถที่จะดำรงชีวิตอย่างอิสระในพระนิเวศของพระเจ้าและในราชอาณาจักรของพระองค์ และเจ้าไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าอีกต่อไป ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น เจ้าเป็นวัตถุเป้าหมายที่แท้จริงแห่งการทรงสร้างและเป็นมนุษย์ที่จริงแท้ นี่หมายความว่า วันเวลาแห่งความยากลำบากที่ทนทุกข์มาโดยบุคคลหนึ่งผู้ซึ่งถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามได้จบสิ้นลงแล้วอย่างครบบริบูรณ์ บัดนี้คือเวลาแห่งสันติสุข ความชื่นบานยินดี และความสุข ซึ่งบุคคลหนึ่งสามารถดำรงชีวิตอยู่ในความสว่างแห่งโฉมพระพักตร์ของพระผู้สร้าง และดำรงชีวิตเคียงข้างพระเจ้า

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองมีชื่อเสียงและป้อนให้กับผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นออกจนหมดเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (9)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

มนุษย์จะได้รับการดำเนินการให้ครบบริบูรณ์อย่างเต็มที่ในยุคแห่งราชอาณาจักร หลังจากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย มนุษย์จะอยู่ภายใต้การถลุงและความทุกข์ลำบาก บรรดาผู้ที่สามารถเอาชนะและยืนหยัดคำพยานในช่วงระหว่างความทุกข์ลำบากนี้คือผู้ที่ในท้ายที่สุดแล้วจะได้รับการดำเนินการให้ครบบริบูรณ์ พวกเขาคือผู้ชนะ ในช่วงระหว่างความทุกข์ลำบากนี้ มนุษย์พึงต้องยอมรับกระบวนการถลุงนี้ และกระบวนการถลุงนี้คือเหตุการณ์สุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระเจ้า เหตุการณ์นี้คือครั้งสุดท้ายที่มนุษย์จะได้รับการถลุงก่อนการสรุปปิดตัวของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้า และบรรดาผู้คนทั้งหมดที่ติดตามพระเจ้าต้องยอมรับการทดสอบครั้งสุดท้ายนี้ และพวกเขาต้องยอมรับกระบวนการถลุงครั้งสุดท้ายนี้ พวกที่ถูกความทุกข์ลำบากรุมล้อมย่อมปราศจากพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงนำของพระเจ้า แต่ในท้ายที่สุดแล้ว บรรดาผู้ที่ได้รับการพิชิตอย่างแท้จริงแล้วและบรรดาผู้ที่แสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริงจะตั้งมั่น พวกเขาคือผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์และผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใดก็ตาม ผู้ที่มีชัยเหล่านี้จะไม่สูญสิ้นนิมิต และจะนำความจริงไปปฏิบัติโดยไม่ล้มเหลวในคำพยานของพวกเขา พวกเขาคือผู้ที่จะอุบัติขึ้นจากความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่ในที่สุด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์

หากเรามองวลี “พวกคนปรนนิบัติ” จากมุมมองตามตัวอักษร เพื่อจับใจความวลีนี้ไปตามคำศัพท์เฉพาะทางภาษามนุษย์ วลีนี้หมายถึงพวกคนทำงานชั่วคราวที่จัดเตรียมงานปรนนิบัติชั่วคราวทั้งหลายในอุตสาหกรรรมหรือการงานอย่างใดอย่างหนึ่ง และผู้ซึ่งเป็นที่ต้องการจำเป็นบนพื้นฐานของจุดประสงค์ที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า ในพระนิเวศของพระเจ้า ในแผนการบริหารจัดการของพระองค์และในพระราชกิจของพระองค์นั้น ผู้คนกลุ่มที่ถูกอ้างอิงถึงว่าเป็นพวกคนปรนนิบัตินั้นจะขาดไปเสียไม่ได้โดยเด็ดขาด เมื่อผู้คนดังกล่าวมาถึงที่พระนิเวศของพระเจ้า และมายังที่ทำงานของพระเจ้า พวกเขาไม่รู้สิ่งใดเลยเกี่ยวกับพระเจ้าหรือเกี่ยวกับความเชื่อ อีกทั้งพวกเขาไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์หรือแผนการบริหารจัดการของพระองค์เลย พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งใดเลย พวกเขาเป็นแค่ผู้คนธรรมดา ผู้คนธรรมดาในพระนิเวศของพระเจ้าเรียกว่าอะไร? พวกผู้ไม่เชื่อ เมื่อผู้คนซึ่งเป็นพวกผู้ไม่เชื่อในสายพระเนตรของพระเจ้ามาสู่พระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาสามารถทำสิ่งใดได้หรือ? สิ่งใดกันแน่ที่พระเจ้าทรงจำเป็นต้องได้จากพวกเขา? เป็นเพราะผู้คนมีอุปนิสัยที่เสื่อมทราม และเนื่องจากแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือทำตามที่พวกเขาถูกบอกให้ทำ ดำเนินการตามที่พระเจ้าทรงให้การแนะนำแก่พวกเขา ไปยังที่ใดก็ตามที่พระราชกิจของพระองค์พาพวกเขาไป และรู้สิ่งใดก็ตามที่พระวจนะของพระเจ้าเปิดโอกาสให้พวกเขารู้ ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือรู้ พวกเขาไม่สามารถบรรลุถึงการจับใจความได้ ในพระราชกิจของพระเจ้าทุกส่วนที่พระองค์ทรงพึงประสงค์นั้น ผู้คนเพียงแค่ร่วมมืออย่างตั้งรับเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ทำการริเริ่มอันใด หากเจ้าทำการริเริ่มบ้างจริงๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็คงจะได้เข้าใจความจริงและน้ำพระทัยของพระเจ้าไปแล้ว! “อย่างตั้งรับ” ในที่นี้หมายถึงเจ้าไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์จะทำสิ่งใด เจ้าไม่รู้ความหมายของสิ่งที่พระองค์ทรงให้เจ้าทำ หรือรู้ว่าคุณค่าของสิ่งนั้นมีอยู่ตรงไหน และเจ้าไม่รู้ว่าเส้นทางจำพวกใดที่เจ้าควรใช้ เมื่อเจ้ามาสู่พระนิเวศของพระเจ้า เจ้าเป็นเหมือนเครื่องจักรชิ้นหนึ่ง หนทางใดก็ตามที่พระเจ้าทรงให้เจ้าปฏิบัติงานคือหนทางที่เจ้าทำหน้าที่รับผิดชอบ พระเจ้าทรงจำเป็นต้องการเจ้าไปเพื่ออะไรหรือ? (เพื่อเป็นวัตถุเป้าหมายสำหรับการที่พระเจ้าทรงแสดงออกถึงความจริงเพื่อพิพากษามนุษยชาติ) ถูกต้อง เจ้าเป็นวัตถุเป้าหมายให้พระเจ้าตรัสพระวจนะของพระองค์ด้วย อะไรอีก? พรสวรรค์ของเจ้า ถูกไหม? การคิดแบบมนุษย์ปกตินับหรือไม่? พระเจ้าจะทรงใช้เจ้าก็ต่อเมื่อเจ้าครองการคิดแบบมนุษย์ปกติเท่านั้น หากสภาวะทางจิตใจของเจ้าผิดปกติ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไม่มีคุณสมบัติแม้แต่จะเป็นคนปรนนิบัติ อะไรอีก? (ทักษะและจุดแข็งของคนเรา) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทักษะนานาสารพันทั้งหมดที่ผู้คนครอง อะไรอีก? (ความแน่วแน่ที่จะร่วมมือกับพระเจ้า) นี่ก็คือบางสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ นี่คือความใฝ่สูงประเภทหนึ่งในผู้คนที่จะรับฟังและนบนอบ และยังสามารถกล่าวได้อีกด้วยว่า คือความพึงปรารถนาที่จะรักสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกและความสว่าง หากพวกเราเรียกสิ่งนี้ว่าปณิธาน เช่นนั้นแล้ว นั่นก็อาจจะแคบเกินไปสักหน่อยที่จะครอบคลุมสิ่งนี้ ความใฝ่สูงปกคลุมแนวเขตที่กว้างกว่า และความใฝ่สูงก็เล็กน้อยกว่าปณิธานในแง่ของขอบเขตที่ไปถึง กล่าวคือ เจ้าเริ่มต้นด้วยความใฝ่สูง และหลังจากเจ้ามีความใฝ่สูงแล้วเท่านั้นเจ้าจึงจะค่อยๆ พัฒนาปณิธานนานาสารพันขึ้นมา ปณิธานเป็นรูปธรรมมากกว่า ในขณะที่ความใฝ่สูงปกคลุมแนวเขตที่กว้างกว่า ในแง่ของเหล่ามนุษย์ที่เสื่อมทราม จากมุมมองของพระผู้สร้างนั้น เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่ทำให้พระเจ้าทรงจำเป็นต้องมีเจ้า กล่าวคือ เมื่อคนธรรมดาที่ไม่มีความรู้แต่อย่างใดเลยเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับการบริหารจัดการของพระองค์ เกี่ยวกับแก่นแท้ของพระองค์ เกี่ยวกับถ้อยดำรัสของพระองค์ หรือเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระองค์มาสู่พระนิเวศของพระองค์ บุคคลนั้นก็เป็นเสมือนเครื่องจักรชิ้นหนึ่ง สิ่งที่บุคคลนั้นสามารถทำเพื่อพระเจ้าได้ และวิธีที่พวกเขาสามารถร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้าได้นั้น โดยพื้นฐานแล้วไม่มีความสัมพันธ์ใดเลยกับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ (ความจริง) สิ่งทั้งหลายของบุคคลผู้หนึ่งที่พระเจ้าทรงสามารถใช้สอยได้คือสิ่งเหล่านั้นที่เพิ่งถูกกล่าวถึงไป กล่าวคือ ประการแรก คนเรากลายเป็นวัตถุเป้าหมายให้พระเจ้าตรัสด้วย ประการที่สอง พรสวรรค์นานาสารพันที่คนเราครอง ประการที่สาม การครองการคิดแบบมนุษย์ปกติ ประการที่สี่ ทักษะนานาสารพันที่บุคคลครอง และประการที่ห้า—ซึ่งสำคัญมากที่สุด—คือการมีความใฝ่สูงที่จะรับฟังและนบนอบต่อพระวจนะของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้คือกุญแจสำคัญ เมื่อใครบางคนครองคุณภาพเหล่านี้ พวกเขาก็เริ่มที่จะทำงานด้วยการปรนนิบัติพระราชกิจของพระเจ้าและแผนการบริหารจัดการของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงเริ่มออกเดินทางบนร่องครรลองที่ถูกต้องอย่างเป็นกิจลักษณะ กล่าวคือ พวกเขาได้กลายเป็นคนปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้าอย่างเป็นทางการแล้ว

ก่อนหน้าที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ความจริง และน้ำพระทัยของพระเจ้า และก่อนหน้าที่จะพัฒนาเศษเสี้ยวหนึ่งของความเคารพต่อพระเจ้าด้วยซ้ำ บทบาทที่ทุกคนเล่นสามารถเป็นได้เพียงบทบาทของคนปรนนิบัติเท่านั้น และไม่มีสิ่งใดอื่น กล่าวคือ เจ้าคือคนหนึ่งไม่ว่าเจ้าต้องการจะเป็นคนหนึ่งหรือไม่ก็ตาม เจ้าไม่สามารถหนีพ้นการสมญานามนี้ได้ ผู้คนบางคนกล่าวว่า “แต่ฉันได้เชื่อในพระเจ้ามาทั้งชีวิตของฉัน เป็นเวลาหลายทศวรรษแล้วตั้งแต่ฉันเริ่มเชื่อในพระเยซู ฉันยังคงเป็นแค่คนปรนนิบัติจริงๆ นะหรือ?” เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับคำถามนี้? เจ้ากำลังถามผู้ใด? เจ้าจำเป็นต้องถามตัวเจ้าเองดังนี้ว่า เจ้าเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือยัง? ปัจจุบันนี้เจ้าแค่กำลังทุ่มเทความพยายามอยู่บ้าง หรือเจ้ากำลังปฏิบัติความจริง? เจ้าได้ก้าวเท้าไปบนเส้นทางสู่การไล่ตามเสาะหาและการเข้าใจความจริงแล้วหรือยัง? เจ้าได้เข้าสู่ความจริงความเป็นจริงแล้วหรือยัง? เจ้าเคารพพระเจ้าในหัวใจของเจ้าหรือไม่? หากเจ้าครองคุณภาพเหล่านี้ สามารถตั้งมั่นเมื่อเผชิญบททดสอบของพระเจ้า และมีความสามารถที่จะยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว เช่นนั้นแล้ว แน่นอนว่าเจ้าไม่ใช่คนปรนนิบัติอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่ได้ครองคุณภาพเหล่านี้ เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่มีข้อกังขาเลยว่าเจ้ายังคงเป็นคนปรนนิบัติอยู่ นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจหนีพ้น และไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ด้วยเช่นกัน

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองมีชื่อเสียงและป้อนให้กับผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นออกจนหมดเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (9)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

เมื่อผู้คนเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้าและพวกเขาไม่เข้าใจความจริง แต่กลับมีเพียงความใฝ่สูงนานาสารพัน หรือพัฒนาความแน่วแน่ขึ้นมาบ้างในการที่จะให้ความร่วมมือ บทบาทที่พวกเขาสามารถลุล่วงได้ในระหว่างช่วงเวลานี้สามารถเป็นได้เพียงบทบาทของพวกคนปรนนิบัติ “การให้การปรนนิบัติ” ไม่ใช่วลีที่ฟังดูดีนักอยู่แล้ว กล่าวได้อีกอย่างหนึ่งว่า นั่นหมายความว่า ผู้คนรับใช้และตราตรำเพื่อพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ซึ่งหมายความว่า พวกเขาทุ่มเทตัวเองเพื่อการนั้น พวกเขาไม่ได้จับใจความหรือทำความเข้าใจสิ่งใด แต่มีทักษะหรือพรสวรรค์ไม่กี่อย่าง และมีความสามารถที่จะเรียนรู้และส่งต่อสิ่งที่คนอื่นพูดและรับงานบางอย่างในกิจการงานทั่วไป แต่เมื่อเป็นเรื่องของงานที่เฉพาะเจาะจงในแง่มุมนานาสารพันเกี่ยวกับความรอดและการบริหารจัดการมนุษยชาติของพระเจ้า ตลอดจนงานในแง่มุมนานาสารพันที่เกี่ยวพันกับความจริง พวกเขาไม่สามารถทุ่มเทอุทิศความพยายามหรือให้ความร่วมมืออันใดได้เลย พวกเขาแค่ใช้ความพยายามนิดหน่อยและพูดไม่กี่สิ่งในขณะที่ทำงานบางอย่างในกิจการงานทั่วไป และทำงานที่เกี่ยวกับงานปรนนิบัติรอบนอกบางอย่างเท่านั้น หากว่าแก่นแท้ของหน้าที่ของผู้คน หรือแก่นแท้ของบทบาทที่พวกเขาแสดงและงานที่พวกเขาทำในพระนิเวศของพระเจ้าเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเบี่ยงหนีจากฉายานาม “พวกคนปรนนิบัติ” เหตุใดพวกเขาจึงจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการเบี่ยงหนีจากมัน? การนั้นไม่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงให้นิยามความหมายของฉายานามนี้กระนั้นหรือ? ช่างง่ายทีเดียวสำหรับผู้คนที่จะทุ่มความพยายามออกมาบ้าง และทำสิ่งทั้งหลายโดยความสามารถ พรสวรรค์ และสติปัญญาโดยกำเนิดของพวกเขา อย่างไรก็ตาม การดำรงชีวิตโดยความจริง การเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง การปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า—สิ่งเหล่านี้ต้องใช้พละกำลังบากบั่นอย่างมาก สิ่งเหล่านั้นพึงต้องใช้เวลา สิ่งเหล่านั้นพึงต้องมีผู้คนนำทาง สิ่งเหล่านั้นพึงต้องมีความรู้แจ้งจากพระเจ้า และสิ่งเหล่านั้นพึงต้องมีการบ่มวินัยของพระเจ้า ที่มากกว่านั้นคือ สิ่งเหล่านั้นพึงต้องมีการมาของพระวจนะแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ ในช่วงระหว่างเวลาที่ใช้เพื่อไปถึงเป้าหมายนี้ สิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่สามารถทำและจัดเตรียมได้นั้นถูกจำกัดอยู่กับสิ่งทั้งหลายแค่หยิบมือเดียวเหล่านั้น นั่นคือ การลุล่วงบทบาทของวัตถุเป้าหมายสำหรับให้พระเจ้าตรัสด้วย การครองพรสวรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งและการมีประโยชน์อยู่บ้างในพระนิเวศของพระเจ้า การคิดในหนทางที่สภาวะมนุษย์ที่เป็นปกติคิด และการมีความสามารถที่จะจับความเข้าใจและดำเนินการการงานใดก็ตามที่ถูกจัดสรรให้แก่เจ้า การมีทักษะอย่างใดอย่างหนึ่งติดตัวไว้พร้อมสรรพและมีความสามารถที่จะแสดงจุดแข็งของเจ้าในการงานใดก็ตามที่เจ้าได้รับมอบให้ทำในพระนิเวศของพระเจ้า และที่สำคัญมากที่สุดคือ การมีความใฝ่สูงในการรับฟังและนบนอบ ยามที่ทำงานปรนนิบัติในพระนิเวศของพระเจ้า และยามที่ทุ่มเทความพยายามเพื่อพระราชกิจของพระเจ้า หากเจ้ามีความโน้มเอียงเพียงเล็กน้อยนั่นในการที่จะรับฟังและนบนอบ เจ้าก็จะไร้ความสามารถที่จะวิ่งหนีหรือก่อกวนให้เกิดความเดือดร้อน ตรงกันข้าม เจ้ากลับจะทำสุดความสามารถของเจ้าเพื่อยับยั้งชั่งใจตัวเองและทำความประพฤติที่ไม่ดีให้น้อยลงและทำความประพฤติที่ดีให้มากขึ้น นี่คือสภาวะและภาวะของผู้คนส่วนใหญ่มิใช่หรือ?

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองมีชื่อเสียงและป้อนให้กับผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นออกจนหมดเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (9)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

“การปรนนิบัติ” ไม่ใช่คำที่ฟังดูสง่างามมากนักและไม่สอดคล้องกับความปรารถนาของทุกคน แต่พวกเราควรดูว่ามันมุ่งไปที่ใคร การมีอยู่ของบรรดาคนปรนนิบัติของพระเจ้ามีนัยสำคัญพิเศษอย่างหนึ่ง ไม่มีใครอื่นที่สามารถแสดงบทบาทของพวกเขาได้ เพราะพระเจ้าทรงเลือกสรรพวกเขามา และบทบาทของคนปรนนิบัติเหล่านี้คืออะไร? นั่นคือการรับใช้บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร โดยส่วนใหญ่แล้ว บทบาทของพวกเขาคือการให้การปรนนิบัติแก่พระราชกิจของพระเจ้า การให้ความร่วมมือกับพระราชกิจ และการอำนวยความสะดวกแก่พระเจ้าในการทำให้บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรรมีความครบบริบูรณ์ ไม่ว่าพวกเขาจะกำลังทำงานหนัก กำลังดำเนินงานในบางแง่มุม หรือกำลังรับหน้าที่ทำภารกิจบางอย่างอยู่หรือไม่ก็ตาม อะไรคือข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเกี่ยวกับบรรดาคนปรนนิบัติเหล่านี้? พระองค์ทรงเรียกร้องอย่างมากในข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อพวกเขาหรือไม่? (ไม่ พระองค์ทรงขอเพียงว่าให้พวกเขาจงรักภักดี) บรรดาคนปรนนิบัติก็ต้องจงรักภักดีด้วยเช่นกัน ไม่ว่าต้นกำเนิดของเจ้าเป็นอย่างไรหรือเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงเลือกเจ้า เจ้าต้องจงรักภักดีต่อพระเจ้า ต่อพระบัญชาใดๆ ที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้า และต่องานที่เจ้ารับผิดชอบ และหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ สำหรับคนปรนนิบัติที่สามารถจงรักภักดีและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้นั้น บทอวสานของพวกเขาจะเป็นอย่างไร? พวกเขาจะสามารถคงอยู่ได้ การได้เป็นคนปรนนิบัติผู้ซึ่งยังคงอยู่นับเป็นพระพรใช่หรือไม่? การยังคงอยู่หมายความถึงสิ่งใด? อะไรคือนัยสำคัญของพระพรนี้? ในด้านสถานะ พวกเขาดูไม่เหมือนกับบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาดูแตกต่างไป แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว สิ่งที่พวกเขาชื่นชมในชีวิตนี้มิใช่เป็นแบบเดียวกันกับของบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรอกหรือ? อย่างน้อยที่สุด มันเป็นแบบเดียวกันในชั่วชีวิตนี้ พวกเจ้าไม่ปฏิเสธการนี้ใช่หรือไม่? ถ้อยดำรัสของพระเจ้า พระคุณของพระเจ้า การจัดเตรียมของพระเจ้า พระพรของพระเจ้า—ใครเล่าไม่ชื่นชมกับสิ่งเหล่านี้? ทุกคนชื่นชมกับความอุดมเช่นนั้น อัตลักษณ์ของคนปรนนิบัติคือผู้ซึ่งทำการปรนนิบัติ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว พวกเขาเป็นเพียงหนึ่งในท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น เพียงแต่ว่าบทบาทของพวกเขาคือการเป็นคนปรนนิบัติ ในฐานะที่ทั้งสองเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า มีความแตกต่างอันใดระหว่างคนปรนนิบัติกับผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรหรือไม่? ในด้านผลกระทบแล้วไม่มี เมื่อกล่าวถึงในนามแล้ว มีความแตกต่างอย่างหนึ่ง ในเนื้อแท้และในแง่ของบทบาทที่พวกเขาแสดงก็มีความแตกต่างอย่างหนึ่ง—แต่พระเจ้ามิได้ทรงปฏิบัติต่อผู้คนกลุ่มนี้อย่างไม่ยุติธรรม ดังนั้นเหตุใดผู้คนเหล่านี้จึงได้รับการนิยามว่าเป็นคนปรนนิบัติ? พวกเจ้าต้องมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับการนี้! คนปรนนิบัติมาจากท่ามกลางบรรดาผู้ไม่เชื่อ ทันทีที่เราระบุว่าพวกเขามาจากท่ามกลางผู้ไม่เชื่อ มันปรากฏชัดว่าพวกเขามีภูมิหลังที่ไม่ดีเหมือนๆ กัน กล่าวคือ พวกเขาล้วนเป็นพวกอเทวนิยม และเคยเป็นเช่นนั้นในอดีตด้วยเช่นกัน พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้า และเป็นปรปักษ์กับพระองค์ กับความจริง และกับทุกสรรพสิ่งที่เป็นเชิงบวก พวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าหรือในการมีอยู่ของพระองค์ เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาสามารถที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าได้หรือ? มันสมควรแล้วที่จะกล่าวว่า พวกเขาจำนวนมากไม่สามารถ เช่นเดียวกับที่สัตว์ทั้งหลายไม่สามารถที่จะเข้าใจคำพูดแบบมนุษย์ได้ บรรดาคนปรนนิบัติก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่พระเจ้ากำลังตรัส สิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ หรือเหตุผลที่ทำให้พระองค์ทรงทำข้อเรียกร้องเช่นนั้นได้ พวกเขาไม่เข้าใจ สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจจับใจความได้ และพวกเขายังคงไม่ได้รับความรู้แจ้ง ด้วยเหตุผลนี้เอง ผู้คนเหล่านี้จึงไม่มีชีวิตอย่างที่พวกเราได้กล่าวถึงไปแล้ว หากไม่มีชีวิตนั้น ผู้คนจะสามารถเข้าใจความจริงได้หรือ? พวกเขาจะมีความจริงกระนั้นหรือ? พวกเขามีประสบการณ์และความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่? (ไม่มี) เช่นนั้นเองคือต้นกำเนิดของบรรดาคนปรนนิบัติ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

“พวกคนปรนนิบัติ” เป็นหนทางแบบเลือกปฏิบัติที่พระเจ้าทรงใช้เรียกขานพวกมนุษย์กระนั้นหรือ? พระเจ้าได้ทรงจงใจใช้สมญานามนี้เพื่อดูแคลนผู้คนหรือเพื่อเปิดโปงผู้คนและให้พวกเขาก้าวผ่านบททดสอบกระนั้นหรือ? (ไม่) ดังนั้น นั่นเป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะใช้ฉายานามนี้เพื่อทำให้ผู้คนเข้าใจว่าพวกเขาเป็นอะไรใช่หรือไม่? พระเจ้าทรงมีแม้แต่การบอกใบ้ถึงเจตนารมณ์นี้หรือไม่? อันที่จริงแล้ว พระเจ้าไม่ทรงมีเจตนารมณ์เช่นนั้น ไม่ใช่เจตนารมณ์ของพระองค์ที่จะเปิดโปงผู้คนหรือดูเบาพวกเขาหรือให้ข้อคิดที่เชือดเฉือนเกี่ยวกับพวกเขา อีกทั้งไม่ใช่เจตนารมณ์ของพระองค์ที่จะใช้คำศัพท์นี้เพื่อทำให้ผู้คนก้าวผ่านบททดสอบ ความหมายเดียวก็คือดังนี้ กล่าวคือ ฉายานามนี้เกิดขึ้นและถูกกำหนดพิจารณาโดยพระเจ้าบนพื้นฐานของพฤติกรรมและแก่นแท้ของมนุษยชาติ ตลอดจนบนพื้นฐานของบทบาทที่พวกมนุษย์กำลังทำให้ลุล่วงในพระราชกิจของพระองค์ระยะนี้ สิ่งที่พวกเขามีความสามารถ และวิธีที่พวกเขาสามารถให้ความร่วมมือ เมื่อมองการนี้จากความหมายนี้ สมาชิกทุกคนแห่งพระนิเวศของพระเจ้าทำงานปรนนิบัติเพื่อแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า และก่อนหน้านี้ก็ได้ทำให้บทบาทประเภทนี้ลุล่วงไปแล้ว การนี้สามารถพูดในหนทางนี้ได้หรือไม่? (ได้) ได้แน่นอน! พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์ที่จะใช้สมญานามนี้เพื่อโจมตีความคิดบวกของผู้ใด หรือเพื่อที่จะนำความเชื่อของเจ้าหรือการเชื่อที่แท้จริงของเจ้าในพระเจ้ามาสู่การทดสอบ นับประสาอะไรที่จะดูเบาเจ้า ทำให้เจ้าประพฤติตนดียิ่งขึ้น ทำให้เจ้าเชื่อฟังมากขึ้น หรือทำให้เจ้าตระหนักรู้ถึงอัตลักษณ์และสถานะของเจ้า ยิ่งแทบไม่ใช่การที่พระองค์จะทรงมีเจตนารมณ์อันใดที่จะใช้ฉายานาม “พวกคนปรนนิบัติ” เพื่อตัดขาดผู้คนจากสิทธิ์ของพวกเขาในการทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วงในฐานะวัตถุเป้าหมายแห่งการทรงสร้าง ฉายานามนี้เป็นผลลัพธ์จากสภาวะและแก่นแท้ของมนุษย์โดยครบบริบูรณ์ และเป็นภาวะจำพวกที่พวกเขาเป็นอยู่ระหว่างก้าวผ่านกระบวนการแห่งพระราชกิจของพระเจ้าในขณะที่พวกเขาติดตามพระเจ้า เพราะฉะนั้น สมญานามนี้จึงไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องโดยสิ้นเชิงกับอัตลักษณ์ จุดยืน ตำแหน่ง หรือบั้นปลายจำพวกที่ผู้คนจะมีหลังจากพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว ต้นกำเนิดของฉายานามนี้อยู่ในข้อพึงประสงค์แห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ทั้งสิ้น และนั่นเป็นภาวะจำพวกที่ผู้คนเป็นกันอยู่ในขณะที่พระราชกิจนี้กำลังดำเนินไป ส่วนการที่ภาวะนี้—ซึ่งบุคคลที่อยู่ในภาวะนี้คือคนปรนนิบัติที่จัดเตรียมงานปรนนิบัติเพื่อพระนิเวศของพระเจ้าและถูกใช้เสมือนเครื่องจักรเครื่องหนึ่ง—จะดำเนินต่อไปจนถึงปลายทางสุดท้ายหรือสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้ตลอดหนทางหรือไม่นั้น นั่นก็ขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาของผู้คน หากใครคนหนึ่งไล่ตามเสาะหาความจริง สามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขาได้ และสามารถมาเคารพและนบนอบต่อพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว บุคคลนั้นก็จะได้ขจัดฉายานามว่า “คนปรนนิบัติ” ไปแล้วโดยถ้วนทั่ว หลังจากการขจัดฉายานามนั้นสิ้นไปแล้ว ผู้คนกลายเป็นอะไรหรือ? พวกเขากลายเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของพระเจ้า ประชากรของพระองค์ และประชากรแห่งราชอาณาจักร—กล่าวคือ เป็นผู้คนในราชอาณาจักรของพระเจ้านั่นเอง หากในกระบวนการนี้ เจ้าแค่ตกลงใจที่จะจ่ายราคา ทนทุกข์ และทุ่มความพยายาม แต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงหรือนำความจริงไปสู่การปฏิบัติ และหากอุปนิสัยของเจ้าไม่แปลงสภาพเลยแม้แต่น้อย และเจ้าไม่ปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในสิ่งใดก็ตามที่เจ้าทำ และเจ้าไร้ความสามารถอย่างถึงที่สุดในการสัมฤทธิ์การนบนอบต่อพระเจ้าและการเคารพต่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว สมญานามที่ว่า “คนปรนนิบัติ” นี้—“มงกุฎแห่งเกียรติยศ” นี้—จะคงตั้งตรงอยู่อย่างมั่นคงบนศีรษะของเจ้า และเจ้าจะไร้ความสามารถที่จะสะบัดมันหลุดไปได้ตลอดกาล หากเจ้ายังคงอยู่ในสภาวะจำพวกนี้เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้นลง และอุปนิสัยของเจ้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลงไป เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่มีส่วนร่วมอันใดในฉายานาม “ประชากรแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า” คำพูดเหล่านี้สามารถถูกจับใจความได้ว่าอย่างไร? พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่? ทันทีที่พระราชกิจของพระเจ้าแล้วเสร็จ กล่าวคือ เมื่อทุกคนที่พระองค์กำลังจะทรงช่วยให้รอดได้รับการช่วยให้รอดแล้ว เมื่อพระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำนั้นเสร็จสิ้นลงแล้ว เมื่อพระองค์ไม่ตรัสหรือทรงนำผู้คนหรือทรงพระราชกิจเพิ่มเติมอันใดที่เกี่ยวกับความรอดเพื่อพวกมนุษย์อีกต่อไป เมื่อทั้งหมดนั้นแล้วเสร็จ และในชั่วขณะนั้นเอง พระราชกิจของพระเจ้าจะได้รับการสรุปปิดตัว จงบอกเราทีว่า นั่นหมายความว่าเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าที่ทุกคนกำลังเดินอยู่จะเสร็จสิ้นด้วยเช่นกันหรือไม่? มีอยู่บรรทัดหนึ่งที่มีเนื้อความว่า “จงให้คนอธรรมประพฤติการอธรรมต่อไป จงให้คนโสมมประพฤติการโสมมต่อไป จงให้คนชอบธรรมทำการชอบธรรมต่อไปและจงให้คนบริสุทธิ์เป็นคนบริสุทธิ์ต่อไป” (วิวรณ์ 22:11) พระวจนะเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร? พระวจนะเหล่านั้นหมายความว่า ชั่วขณะที่พระเจ้าตรัสว่าพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้นแล้ว นั่นหมายความว่า พระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจเพิ่มเติมอันใดที่เกี่ยวกับการช่วยผู้คนให้รอด หรือเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษาผู้คนอีกต่อไป พระองค์จะไม่ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า ทรงนำเจ้าอีกต่อไป หรือตรัสพระวจนะที่อุตสาหะพากเพียรเกี่ยวกับการเตือนสติแก่เจ้า หรือพระวจนะซึ่งตัดแต่งเจ้าและจัดการกับเจ้าอีกแล้ว พระองค์จะไม่ทรงทำสิ่งเหล่านี้อีกต่อไป การนี้หมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่า จุดจบของทุกสรรพสิ่งจะได้รับการเปิดเผยแล้ว และปลายทางของมนุษยชาติจะได้รับการสรุปขั้นสุดท้ายแล้ว จะไม่มีบุคคลใดสักคนมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงการนี้ได้ เจ้าจะไม่มีโอกาสเหมาะทั้งหลายอีกต่อไป นั่นคือความหมายของการนี้

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองมีชื่อเสียงและป้อนให้กับผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นออกจนหมดเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (9)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ผู้คนบางคนขาดความรับผิดชอบในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาสามารถระบุแยกแยะปัญหาได้ แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาสำนึกรับรู้ปัญหานั้นในหัวใจของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่เต็มใจทั้งในการล่วงเกินผู้อื่นและในการรับฟังปัญหานั้นอย่างจริงจัง พวกเขารู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องเดือดร้อนมากเกินไป—พวกเขายอมรับว่า “ดีพอแล้ว” แล้วจากนั้นก็ไม่ใส่ใจเรื่องนั้นอีก การนี้สมควรกระนั้นหรือ? หากเจ้าจะต้องปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องเต็มใจที่จะรับความรับผิดชอบ เหตุใดเล่าเจ้าจะไม่ยอมรับฟังเรื่องทั้งหลายอย่างจริงจัง? นี่ไม่ใช่การละทิ้งหน้าที่หรอกหรือ?…เราจะดูทีว่าเราสามารถทำได้น้อยนิดเพียงใด สิ่งใดที่เราสามารถหลบพ้นได้ เมื่อท่าทีของพวกเจ้าที่มีต่อหน้าที่ของพวกเจ้าก็คือ เจ้าเดินลากเท้าโดยไม่คำนึงว่าเจ้าเป็นเหตุให้เกิดความล่าช้าไปนานเท่าใด แต่หากพวกเจ้าได้จริงจังต่อสิ่งทั้งหลาย เจ้าก็คงจะทำมันเสร็จลงไปแล้วโดยไม่ได้ใช้เวลามากมายแต่อย่างใดเลย มีบางสิ่งที่พวกเจ้าไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ดังนั้น เราจึงให้คำแนะนำที่ตรงชัดแก่พวกเจ้า พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคิด เจ้าแค่จำเป็นต้องรับฟังและนำมันไปสานต่อ—แต่ทว่า แม้แต่การนั้นก็ยังเกินไปสำหรับพวกเจ้า ความจงรักภักดีของพวกเจ้าอยู่ที่ใดหรือ? ไม่สามารถพบเห็นมันได้ที่ใดเลย! พวกเจ้าล้วนดีแต่พูดและไม่มีหัวใจ แม้แต่ในยามที่หัวใจของเจ้าเข้าใจ เจ้าก็ไม่ทำอะไรเลย นี่คือใครบางคนผู้ซึ่งไม่รักความจริง! หากเจ้าสามารถมองเห็นมันได้ด้วยสองตาของเจ้าและรู้สึกถึงมันได้ในหัวใจของเจ้าแต่ก็ยังคงไม่ทำอะไรเลย เช่นนั้นแล้ว จะมีหัวใจสักดวงไปไยเล่า? เศษมโนธรรมของเจ้าไม่บริหารปกครองการกระทำของเจ้า มันไม่ชี้นำความคิดทั้งหลายของเจ้า—ดังนั้น มโนธรรมของเจ้ามีประโยชน์อันใดหรือ? มันไม่นับเป็นสิ่งใดเลย มันเป็นแค่สิ่งประดับประดาเท่านั้น ความเชื่อของมนุษย์นั้นช่างน่าสังเวชอย่างแท้จริง! และสิ่งใดหรือที่น่าสังเวชเกี่ยวกับมัน? แม้แต่เมื่อเขาเข้าใจความจริงโดยแท้ เขาก็ไม่นำไปสู่การปฏิบัติ แม้เมื่อเขาเข้าใจปัญหาอย่างถ้วนทั่ว เขาก็ไม่รับผิดชอบต่อปัญหานั้น เขารู้ว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเขา แต่เขาก็ไม่ใส่ใจกับปัญหานั้น หากเจ้าไม่ยอมรับความรับผิดชอบทั้งหลายที่อยู่ภายในกำมือของเจ้า อะไรเล่าคือคุณค่าของความรับผิดชอบอันขาดแคลนเหล่านั้นที่เจ้ารับภาระหน้าที่อยู่? ความรับผิดชอบเหล่านั้นส่งผลอันใดหรือ? เจ้าก็แค่กำลังใช้ความพยายามแบบขอไปที โดยการกล่าวสิ่งทั้งหลายเพื่อประโยชน์แห่งความพยายามนั้น เจ้าไม่ทุ่มหัวใจเข้าไปในความพยายามนั้น แล้วนับประสาอะไรที่เจ้าจะทุ่มกำลังวังชาทั้งหมดเข้าไป นี่ไม่ใช่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไปจนถึงมาตรฐานที่ยอมรับได้ ไม่มีความจงรักภักดีเข้ามาเกี่ยวข้องเลย เจ้าก็แค่กำลังดำรงชีวิตอยู่โดยการอาบเหงื่อต่างน้ำ เอาตัวรอดไปให้ได้ในฐานะผู้ติดตามของพระเจ้า ความเชื่อเช่นนี้มีนัยสำคัญอันใดอยู่บ้างหรือไม่? ความเชื่อเช่นนั้นช่างขี้ปะติ๋วยิ่งนัก—มันมีค่าคู่ควรอันใดหรือ? เมื่อเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องจ่ายราคา เจ้าต้องจริงจังกับมัน การจริงจังต่อการปฏิบัติหน้าที่หมายถึงสิ่งใดหรือ? การจริงจังกับการปฏิบัติหน้าที่มิใช่หมายถึงการใช้ความพยายามเล็กน้อยหรือการทนทุกข์กับความทรมานทางกายบางอย่าง สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญก็คือว่า ในหัวใจของเจ้ามีพระเจ้าและมีภาระหนึ่งอยู่ ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าต้องให้น้ำหนักความสำคัญของหน้าที่ของเจ้า และจากนั้นก็พกพาภาระและความรับผิดชอบนี้ไปในทุกสิ่งที่เจ้าทำและใส่หัวใจเข้าไปในสิ่งนั้น เจ้าต้องทำให้ตัวเองมีค่าคู่ควรต่อภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้า ตลอดจนทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำไปเพื่อเจ้า และความหวังทั้งหลายของพระองค์ที่ทรงมีต่อเจ้า เฉพาะการทำดังนั้นเท่านั้นจึงเป็นการมีความจริงจัง ไม่มีประโยชน์ในการที่เจ้าแสร้งทำท่าขยับเคลื่อนไหวตบตา เจ้าอาจใช้เล่ห์เพทุบายกับผู้คนได้ แต่เจ้าไม่สามารถหลอกพระเจ้าได้ หากไม่มีราคาจริงและไม่มีความจงรักภักดีในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ขึ้นไปไม่ถึงมาตรฐาน หากเจ้าไม่จริงจังกับความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าและการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า หากเจ้าแสร้งทำท่าขยับเคลื่อนไหวตบตาอยู่เสมอและแค่ขอไปทีในการกระทำทั้งหลายของเจ้าอย่างที่ผู้ไม่เชื่อคนหนึ่งกำลังทำงานให้กับนายของพวกเขา นั่นคือ หากเจ้าเพียงใช้ความพยายามพอเป็นพิธี โดยการอาศัยโชคช่วยให้ผ่านไปในแต่ละวันที่มาถึง เพิกเฉยต่อปัญหายุ่งเหยิงทั้งหลายเมื่อเจ้ามองเห็นปัญหาเหล่านั้น เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ และมองผ่านทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของตัวเจ้าเองไปอย่างไม่เลือกหน้า—เช่นนั้นแล้ว นี่มิใช่ความเดือดร้อนหรอกหรือ? ใครบางคนเช่นนี้สามารถเป็นสมาชิกของครัวเรือนของพระเจ้าได้หรือ? ผู้คนเช่นนั้นเป็นพวกคนนอก พวกเขาไม่ใช่เป็นของพระนิเวศของพระเจ้า ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าย่อมชัดเจนเกี่ยวกับการที่ว่าเจ้ากำลังจริงจัง กำลังจริงแท้หรือไม่ในยามที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และพระเจ้าก็ทรงทำบัญชีไว้เช่นกัน ดังนั้นพวกเจ้าเคยจริงจังต่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าบ้างหรือไม่? เจ้าเคยนำมันมาใส่ในหัวใจบ้างหรือไม่? เจ้าได้ปฏิบัติต่อมันอย่างเป็นความรับผิดชอบของเจ้า เป็นภาระผูกพันของเจ้าแล้วหรือยัง? เจ้าได้รับสภาพความเป็นเจ้าของของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าแล้วหรือยัง? เจ้าเคยพูดขึ้นบ้างหรือไม่หลังจากที่เจ้าได้ค้นพบปัญหาในยามที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า? หากเจ้าไม่เคยพูดขึ้นเลยหลังจากที่ค้นพบปัญหา และไม่แม้แต่จะคิดพยายามที่จะทำ หากเจ้าไม่ยอมทำให้ตัวเองเป็นกังวลอยู่กับสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น และคิดว่ายิ่งปัญหาน้อยก็ยิ่งดี—หากนั่นเป็นหลักธรรมที่เจ้าใช้กับสิ่งเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ใช่กำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า นั่นคือ เจ้ากำลังดำรงชีวิตอยู่โดยอาบเหงื่อต่างน้ำ เจ้ากำลังทำงานปรนนิบัติ พวกคนทำงานปรนนิบัติไม่ใช่เป็นของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเป็นลูกจ้าง นั่นคือ หลังเสร็จงานของพวกเขา พวกเขาก็รับเงินของพวกเขาและจากไป แต่ละคนไปตามหนทางของตัวเองและกลายเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน นั่นคือสัมพันธภาพของพวกเขากับพระนิเวศของพระเจ้า สมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้านั้นต่างออกไป กล่าวคือ พวกเขารับความเจ็บปวดเหนือทุกสิ่งทุกอย่างในพระนิเวศแห่งพระเจ้า พวกเขาเข้ารับความรับผิดชอบ สองตาของพวกเขามองเห็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำในพระนิเวศของพระเจ้า และพวกเขาก็เก็บกิจเหล่านั้นไว้ในใจเสมอ พวกเขาจดจำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาคิดและมองเห็น พวกเขามีภาระ พวกเขามีสำนึกแห่งความรับผิดชอบ—เหล่านี้คือสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า พวกเจ้าได้เอื้อมถึงจุดนี้หรือยัง? (ยัง) เช่นนั้นแล้ว หนทางของพวกเจ้าก็ยังอีกยาวไกล ดังนั้นเจ้าจึงต้องคอยไล่ตามเสาะหาต่อไป! หากเจ้าไม่พิจารณาว่าตัวเจ้าเป็นสมาชิกของพระนิเวศของพระเจ้า และกำจัดตัวเจ้าออกไป เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงมองเจ้าอย่างไรหรือ? พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติต่อเจ้าดั่งเป็นคนนอก เป็นตัวเจ้านั่นเองที่วางตัวเจ้าเลยพ้นประตูของพระองค์ไป ดังนั้นพูดตามจริงก็คือ เจ้าเป็นบุคคลประเภทไหนกันแน่? เจ้าไม่อยู่ในพระนิเวศของพระองค์ การนี้มีอันใดเกี่ยวข้องกับสิ่งที่พระเจ้าตรัสหรือกำหนดพิจารณาหรือไม่? เป็นเจ้านั่นเองที่ได้วางปลายทางและตำแหน่งของเจ้าไว้ภายนอกพระนิเวศของพระเจ้า—ตรงนั้นมีใครอื่นให้ตำหนิหรือ?

ตัดตอนมาจาก “การปฏิบัติหน้าที่ให้ดีอย่างน้อยที่สุดพึงต้องมีมโนธรรม” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ในขณะนี้ มนุษย์ส่วนใหญ่ (หมายถึงมนุษย์ทั้งหมดยกเว้นบรรดาบุตรหัวปี) อยู่ในสภาพเงื่อนไขนี้ เราได้ชี้สิ่งเหล่านี้ให้เห็นด้วยความชัดเจนอย่างยิ่ง กระนั้น ผู้คนเหล่านี้ก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ และยังคงใส่ใจความชื่นชมยินดีทางเนื้อหนังของพวกเขา พวกเขากินแล้วพวกเขาก็นอน พวกเขานอนแล้วพวกเขาก็กิน พวกเขาไม่ได้ไตร่ตรองคำพูดของเรา แม้เมื่อพวกเขาฮึกเหิม มันก็เป็นแค่ชั่วขณะเท่านั้น หลังจากนั้น พวกเขายังคงเป็นเหมือนกับที่พวกเขาเคยเป็น ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง เสมือนว่าพวกเขาไม่ได้ฟังเราเลย มนุษย์เหล่านี้คือมนุษย์แบบอย่างที่ไร้ประโยชน์ผู้ไม่มีภาระใด พวกเขาเป็นคนเอารัดเอาเปรียบที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด ในภายหลัง เราจะละทิ้งพวกเขาทีละคน จงอย่ากังวล! เราจะส่งพวกเขากลับไปยังบาดาลลึกทีละคน พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่เคยทรงปฏิบัติพระราชกิจต่อผู้คนเช่นนั้น และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำไหลมาจากของขวัญที่พวกเขาเคยได้รับ เมื่อเราพูดถึงของขวัญ เราหมายถึงว่าเหล่านี้เป็นผู้คนที่ไม่มีชีวิต ผู้เป็นคนปรนนิบัติของเรา เราไม่ต้องการพวกเขาคนใด และเราจะกำจัดพวกเขา (แต่ ณ ขณะนี้ พวกเขายังคงมีประโยชน์อยู่เล็กน้อย) เจ้าผู้เป็นคนปรนนิบัติ จงฟัง! อย่าคิดว่าการที่เราใช้เจ้าหมายถึงว่าเราโปรดเจ้า มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หากเจ้าอยากให้เราโปรดเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องเป็นคนบางคนที่เรารับรอง และที่เราทำให้เพียบพร้อมด้วยตัวเราเอง นี่คือคนประเภทที่เรารัก ต่อให้ผู้คนพูดว่าเราได้ทำผิดพลาด เราก็ไม่มีวันไม่รักษาสัญญา เจ้ารู้การนี้หรือไม่? พวกที่ทำการปรนนิบัติเป็นแต่เพียงวัวควายและม้า พวกเขาจะสามารถเป็นบุตรหัวปีของเราไปได้อย่างไร? นั่นจะไม่เป็นเรื่องไร้สาระหรอกหรือ? นั่นจะไม่เป็นการฝ่าฝืนกฎของธรรมชาติหรือ? ผู้ใดก็ตามที่มีชีวิตของเราและคุณสมบัติของเรา ผู้คนเหล่านั้นคือบรรดาบุตรหัวปีของเรา นี่คือสิ่งที่มีเหตุผล ไม่มีผู้ใดสามารถหักล้างสิ่งนั้นได้ มันต้องเป็นเช่นนั้น มิฉะนั้นแล้ว คงจะไม่มีบุคคลผู้ซึ่งสามารถมีบทบาทนี้ได้ และจะไม่มีบุคคลผู้ซึ่งสามารถแทนที่บทบาทนี้ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องที่ทำตามอารมณ์ เพราะเราเองคือพระเจ้าผู้ชอบธรรม เราเองคือพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ เราเองคือพระเจ้าผู้เปี่ยมบารมีและมิอาจถูกทำให้ขุ่นเคืองได้!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 102

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger