บนพื้นฐานของคำพูดของเปาโลผู้ซึ่งกล่าวไว้ว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า” (2 ทิโมธี 3.16) เหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสแห่งโลกศาสนาเชื่อกันว่า พระวจนะของพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกคุณก็ยังกล่าวว่าไม่ใช่ทุกคำพูดในพระคัมภีร์ที่เป็นพระวจนะแห่งพระเจ้า พวกคุณจะให้นี่หมายความว่าอย่างไร?

วันที่ 17 เดือน 03 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

วันนี้ ผู้คนเชื่อว่าพระคัมภีร์คือพระเจ้า และพระเจ้าคือพระคัมภีร์ ดังนั้น พวกเขาจึงเชื่อเช่นกันว่าข้อความทั้งหมดในพระคัมภีร์เป็นพระวจนะทั้งหมดทั้งสิ้นที่พระเจ้าตรัส และว่าข้อความทั้งหมดนั้นพระเจ้าเป็นผู้ตรัส บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าคิดแม้กระทั่งว่า ถึงแม้ว่าหนังสือพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ทั้งหมดหกสิบหกเล่มได้รับการเขียนขึ้นโดยผู้คน แต่หนังสือทุกเล่มได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นบันทึกถ้อยดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่คือการจับใจความที่ผิดพลาดของมนุษย์ และไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงอย่างครบบริบูรณ์ อันที่จริงแล้ว นอกเหนือจากหนังสือการเผยพระวจนะแล้ว เนื้อหาส่วนใหญ่ของพันธสัญญาเดิมคือบันทึกทางประวัติศาสตร์ จดหมายฝากบางส่วนของพันธสัญญาใหม่มาจากประสบการณ์ของผู้คน และบางส่วนมาจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตัวอย่างเช่น จดหมายฝากของเปาโลเกิดขึ้นจากงานของมนุษย์ จดหมายฝากเหล่านั้นทั้งหมดเป็นผลจากความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และทั้งหมดได้รับการเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักร และเป็นคำพูดเตือนสติและหนุนใจสำหรับพี่น้องชายหญิงของคริสตจักร คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่พระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัส—เปาโลไม่อาจพูดในนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ อีกทั้งท่านก็ไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะเช่นกัน แล้วนับประสาอะไรกับการที่ท่านจะมองเห็นนิมิตที่ยอห์นได้พบเห็น จดหมายฝากของท่านเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักรเอเฟซัส ฟิลาเดลเฟีย กาลาเทีย และคริสตจักรอื่นๆ และด้วยเหตุนี้ จดหมายฝากของเปาโลแห่งพันธสัญญาใหม่จึงเป็นจดหมายฝากที่เปาโลเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักร และไม่ใช่การดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ อีกทั้งไม่ใช่ถ้อยดำรัสโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จดหมายฝากเหล่านี้เป็นเพียงคำพูดเตือนสติ ความชูใจ และการหนุนใจ ซึ่งท่านเขียนขึ้นเพื่อคริสตจักรในช่วงระหว่างที่งานของท่านดำเนินไป ดังนั้น จดหมายฝากเหล่านี้จึงเป็นบันทึกเกี่ยวกับงานของเปาโลส่วนใหญ่ในขณะนั้นด้วยเช่นกัน บันทึกเหล่านี้เขียนขึ้นเพื่อทุกคนที่เป็นพี่น้องชายหญิงทุกคนในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้พี่น้องชายหญิงของคริสตจักรทั้งหลายในเวลานั้นจะได้ติดตามคำแนะนำของท่านและปฏิบัติตามหนทางแห่งการกลับใจขององค์พระเยซูเจ้า เปาโลไม่ได้พูดแต่อย่างใดว่าคริสตจักรทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคริสตจักรในเวลานั้นหรือคริสตจักรในอนาคต ต้องกินและดื่มสิ่งต่างๆ ที่ท่านเขียนขึ้น อีกทั้งท่านไม่ได้พูดว่าคำพูดทั้งหมดของท่านมาจากพระเจ้า ตามรูปการณ์แวดล้อมต่างๆ ของคริสตจักรในเวลานั้น ท่านเพียงเข้าสนิทกับพี่น้องชายหญิง และเตือนสติพวกเขาเหล่านั้น และบันดาลใจให้เกิดการเชื่อในพวกเขา และท่านเพียงเทศนาหรือเตือนจำผู้คนให้ระลึกถึงและเตือนสติพวกเขาเท่านั้น คำพูดของท่านมีพื้นฐานมาจากภาระของท่านเอง และท่านสนับสนุนผู้คนโดยผ่านทางคำพูดเหล่านี้ ท่านทำงานของอัครทูตคนหนึ่งของคริสตจักรในเวลานั้น ท่านเป็นคนงานที่องค์พระเยซูเจ้าทรงใช้งาน และด้วยเหตุนี้ท่านต้องรับหน้าที่ความรับผิดชอบเพื่อคริสตจักร และต้องรับภาระงานของคริสตจักร ท่านต้องเรียนรู้เกี่ยวกับสภาวะของพี่น้องชายหญิง—และเพราะเหตุนี้ ท่านจึงได้เขียนจดหมายฝากให้กับพี่น้องชายหญิงทุกคนในองค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกสิ่งที่ท่านพูดซึ่งเป็นสิ่งที่เสริมสร้างและเป็นบวกสำหรับผู้คนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่นั่นไม่ได้เป็นตัวแทนของพระดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสิ่งที่ท่านพูดไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้ การที่ผู้คนปฏิบัติต่อบันทึกประสบการณ์ของมนุษย์และจดหมายฝากของมนุษย์เสมือนเป็นพระวจนะที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสต่อคริสตจักรทั้งหลายคือความเข้าใจที่ผิดมหันต์และเป็นการหมิ่นประมาทอย่างยิ่ง! ซึ่งข้อนี้เป็นจริงโดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของจดหมายฝากที่เปาโลเขียนให้กับคริสตจักรทั้งหลาย เพราะจดหมายฝากของท่านได้รับการเขียนขึ้นเพื่อพี่น้องชายหญิงตามรูปการณ์แวดล้อมต่างๆ และสถานการณ์ของคริสตจักรแต่ละแห่งในเวลานั้น และเป็นไปเพื่อเตือนสติพี่น้องชายหญิงในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อให้พวกเขาสามารถได้รับพระคุณขององค์พระเยซูเจ้าได้ จดหมายฝากของท่านเป็นไปเพื่อปลุกเร้าพี่น้องชายหญิงในเวลานั้น สามารถกล่าวได้ว่านี่คือภาระของท่านเอง และยังเป็นภาระที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานให้กับท่านด้วย อย่างไรเสีย ท่านก็เป็นอัครทูตผู้นำคริสตจักรในเวลานั้น ผู้เขียนจดหมายฝากให้กับคริสตจักรทั้งหลายและเตือนสติพวกเขา—นั่นคือความรับผิดชอบของท่าน อัตลักษณ์ของท่านเป็นแค่อัตลักษณ์ของอัครทูตที่ทำงานเท่านั้น และท่านเป็นเพียงอัครทูตคนหนึ่งที่พระเจ้าได้ทรงส่งมาเท่านั้น ท่านไม่ใช่ผู้เผยพระวจนะ อีกทั้งไม่ใช่ผู้พยากรณ์ สำหรับท่านแล้ว งานของท่านเองและชีวิตของพี่น้องชายหญิงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุด ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงไม่สามารถพูดในนามของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ คำพูดของท่านไม่ใช่พระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นับประสาอะไรที่จะสามารถพูดได้ว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นพระวจนะของพระเจ้า เพราะเปาโลไม่ได้เป็นอื่นใดมากไปกว่าสิ่งทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า และแน่นอนว่าท่านไม่ใช่การจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า อัตลักษณ์ของท่านไม่ได้เหมือนกับพระอัตลักษณ์ของพระเยซู พระวจนะของพระเยซูคือพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวจนะของพระองค์คือพระวจนะของพระเจ้า เพราะพระอัตลักษณ์ของพระองค์คือพระอัตลักษณ์ของพระคริสต์—พระบุตรของพระเจ้า เปาโลจะสามารถเทียบเท่ากับพระองค์ได้อย่างไร? หากผู้คนเห็นว่าจดหมายฝากหรือคำพูดเช่นของเปาโลเป็นถ้อยดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนมัสการคำพูดเหล่านั้นเป็นพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็สามารถพูดได้เพียงว่าพวกเขาช่างขาดการพิจารณาจนเกินไปเท่านั้น หากพูดอย่างกระด้างขึ้นก็คือ นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่การหมิ่นประมาทหรอกหรือ? มนุษย์จะสามารถพูดในนามของพระเจ้าได้อย่างไร? แล้วผู้คนจะสามารถกราบไหว้ต่อหน้าบันทึกของจดหมายฝากของท่าน และคำพูดที่ท่านพูดเสมือนเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์หรือหนังสือจากสวรรค์ได้อย่างไร? มนุษย์คนหนึ่งสามารถเปล่งพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไม่ต้องคิดมากหรือ? มนุษย์จะสามารถพูดในนามของพระเจ้าได้อย่างไร? ดังนั้นแล้ว เจ้าจะพูดว่าอย่างไร—จดหมายฝากที่ท่านเขียนเพื่อคริสตจักรไม่สามารถด่างพร้อยไปด้วยแนวคิดของท่านเองได้อย่างนั้นหรือ? สิ่งเหล่านั้นจะไม่ด่างพร้อยไปด้วยแนวคิดของมนุษย์ได้อย่างไร? ท่านได้เขียนจดหมายฝากสำหรับคริสตจักรโดยมีพื้นฐานอยู่ที่ประสบการณ์ส่วนตัวของท่าน และความรู้ของท่านเอง ตัวอย่างเช่น เปาโลได้เขียนจดหมายฝากถึงคริสตจักรกาลาเทีย ซึ่งประกอบด้วยความคิดเห็นบางประการ และเปโตรได้เขียนจดหมายฝากอีกฉบับซึ่งมีอีกทรรศนะหนึ่ง ความคิดเห็นใดที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์? ไม่มีใครสามารถพูดได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถพูดได้เพียงว่าท่านทั้งสองแบกภาระสำหรับคริสตจักรเท่านั้น แต่จดหมายของพวกท่านเป็นตัวแทนของวุฒิภาวะของพวกท่าน จดหมายของท่านเป็นตัวแทนของการจัดเตรียมและการสนับสนุนเพื่อพี่น้องชายหญิง และภาระของพวกท่านต่อคริสตจักรทั้งหลาย และจดหมายของพวกท่านเป็นตัวแทนของงานของมนุษย์เท่านั้น—จดหมายเหล่านั้นไม่ได้เป็นของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง หากเจ้าพูดว่าจดหมายฝากของท่านเป็นพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไร้สาระ และเจ้ากำลังกระทำการหมิ่นประมาท! จดหมายฝากของเปาโลและจดหมายฝากอื่นๆ ของพันธสัญญาใหม่เทียบเท่ากับชีวประวัติของบุคคลสำคัญด้านจิตวิญญาณเมื่อไม่นานมานี้ นั่นคือ จดหมายเหล่านั้นอยู่ระดับเดียวกับหนังสือของวอทช์แมน นี หรือประสบการณ์ของลอว์เรนซ์ เป็นต้น เป็นเพียงแค่ว่าหนังสือของบุคคลสำคัญด้านจิตวิญญาณเมื่อไม่นานมานี้ไม่ได้รับการรวบรวมลงในพันธสัญญาใหม่ แต่เนื้อแท้ของผู้คนเหล่านี้นั้นเหมือนกัน นั่นคือ ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งานในช่วงระหว่างช่วงเวลาหนึ่งๆ และผู้คนเหล่านี้ไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้โดยตรง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (3)

ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิมนั้น บรรดาผู้เผยพระวจนะจำนวนมากที่พระยาห์เวห์ทรงให้มีขึ้นได้พูดคำเผยพระวจนะเพื่อพระองค์ พวกเขาได้ให้คำแนะนำกับชนเผ่าและชนชาติต่างๆ และพยากรณ์พระราชกิจที่พระยาห์เวห์จะทรงปฏิบัติ ผู้คนที่พระองค์ทรงให้มีขึ้นเหล่านี้ทั้งหมดได้รับมอบพระวิญญาณแห่งการเผยพระวจนะจากพระยาห์เวห์ นั่นคือ พวกเขามีความสามารถที่จะมองเห็นนิมิตต่างๆ จากพระยาห์เวห์และได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และดังนั้นพวกเขาจึงได้รับการดลใจจากพระองค์และได้เขียนคำเผยพระวจนะขึ้น งานที่พวกเขาทำคือการแสดงออกถึงพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์ คือการแสดงออกถึงการเผยพระวจนะของพระยาห์เวห์ และพระราชกิจของพระยาห์เวห์ ณ เวลานั้นเป็นเพียงการนำทางผู้คนโดยใช้พระวิญญาณ พระองค์ไม่ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และผู้คนไม่ได้เห็นพระพักตร์ของพระองค์เลย ดังนั้น พระองค์จึงทรงให้มีผู้เผยพระวจนะมากมายเพื่อทำพระราชกิจของพระองค์ และประทานพระดำรัสที่พวกเขาได้ส่งต่อไปยังทุกเผ่าและทุกวงศ์ตระกูลของอิสราเอล งานของพวกเขาคือการพูดคำเผยพระวจนะ และพวกเขาบางคนได้เขียนคำสอนที่พระยาห์เวห์ทรงมีให้กับพวกเขาเพื่อแสดงต่อผู้อื่น พระยาห์เวห์ทรงให้มีผู้คนเหล่านี้ขึ้นเพื่อพูดคำเผยพระวจนะ เพื่อพยากรณ์พระราชกิจของอนาคตหรือพระราชกิจที่ยังต้องทำในระหว่างเวลานั้น เพื่อให้ผู้คนสามารถมองเห็นความอัศจรรย์และพระปรีชาญาณของพระยาห์เวห์ หนังสือคำเผยพระวจนะเหล่านี้แตกต่างอย่างยิ่งจากหนังสือเล่มอื่นๆ ในพระคัมภีร์ หนังสือเหล่านี้คือถ้อยคำทั้งหลายที่พูดหรือเขียนขึ้นโดยบรรดาผู้ที่เคยได้รับพระวิญญาณแห่งการเผยพระวจนะ—โดยบรรดาผู้ที่เคยได้รับนิมิตต่างๆ หรือพระสุรเสียงจากพระยาห์เวห์ นอกเหนือจากหนังสือเกี่ยวกับคำเผยพระวจนะเหล่านี้แล้ว สิ่งอื่นทุกอย่างในพันธสัญญาเดิมประกอบด้วยบันทึกต่างๆ ที่ผู้คนได้บันทึกหลังจากที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์แล้ว หนังสือเหล่านี้ไม่สามารถแทนที่การพยากรณ์ที่พูดโดยบรรดาผู้เผยพระวจนะที่พระยาห์เวห์ทรงให้มีขึ้น เช่น หนังสือปฐมกาลและอพยพไม่สามารถถูกนำไปเปรียบเทียบกับหนังสืออิสยาห์และหนังสือดาเนียลได้ คำเผยพระวจนะต่างๆ ถูกพูดขึ้นก่อนที่จะมีการดำเนินพระราชกิจ ในขณะที่หนังสืออื่นๆ เขียนขึ้นหลังจากที่พระราชกิจได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถทำได้ บรรดาผู้เผยพระวจนะในเวลานั้นได้รับแรงบันดาลใจจากพระยาห์เวห์และได้พูดคำเผยพระวจนะบางประการ พวกเขาได้พูดคำมากมาย และพวกเขาได้เผยพระวจนะเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ มากมายของยุคพระคุณ ตลอดจนการทำลายล้างของโลกในยุคสุดท้าย—ซึ่งเป็นพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงวางแผนที่จะทำ หนังสือทั้งหมดที่เหลือต่างบันทึกพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงปฏิบัติในอิสราเอล…ด้วยวิธีนี้ สิ่งที่ถูกบันทึกในพันธสัญญาเดิมแห่งพระคัมภีร์จึงเป็นพระราชกิจของพระเจ้าในอิสราเอลในเวลานั้นทั้งหมด คำพูดที่กล่าวโดยบรรดาผู้เผยพระวจนะ โดยอิสยาห์ ดาเนียล เยเรมีย์ และเอเสเคียล…คำพูดทั้งหลายของพวกเขาพยากรณ์พระราชกิจอื่นๆ ของพระองค์บนแผ่นดินโลก คำพูดเหล่านั้นพยากรณ์พระราชกิจของพระยาห์เวห์พระเจ้าพระองค์เอง ทั้งหมดนี้มาจากพระเจ้า ทั้งหมดนี้คือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และนอกเหนือจากหนังสือเหล่านี้ของบรรดาผู้เผยพระวจนะแล้ว สิ่งอื่นๆ ทั้งหมดคือบันทึกประสบการณ์ทั้งหลายของผู้คนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระยาห์เวห์ ณ เวลานั้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1)

สิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นบันทึกพระวจนะที่พระเจ้าตรัสด้วยพระองค์เองเสมอไป พระคัมภีร์เพียงบันทึกพระราชกิจสองช่วงระยะก่อนหน้าของพระเจ้าเท่านั้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นบันทึกการพยากรณ์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะ และส่วนหนึ่งเป็นประสบการณ์และความรู้ที่เขียนขึ้นโดยผู้คนที่พระเจ้าทรงใช้งานตลอดทั้งยุคสมัย ประสบการณ์ของมนุษย์เจือปนไปด้วยความคิดเห็นและความรู้ของมนุษย์ และนี่คือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ในหนังสือหลายเล่มของพระคัมภีร์มีมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ อคติของมนุษย์ และการจับใจความอันไร้สาระของมนุษย์ แน่นอนว่าข้อความส่วนใหญ่เป็นผลจากความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และข้อความเหล่านี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้อง—แต่ก็ยังไม่สามารถพูดได้ว่าข้อความเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความจริงอย่างถูกต้องแม่นยำทั้งหมด ทรรศนะของท่านทั้งหลายเหล่านั้นเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าความรู้ที่ได้จากประสบการณ์ส่วนตัว หรือความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การพยากรณ์ของบรรดาผู้เผยพระวจนะนั้นพระเจ้าเป็นผู้ให้คำแนะนำด้วยพระองค์เอง นั่นคือ การเผยพระวจนะของผู้คนเช่นอิสยาห์ ดาเนียล เอสรา เยเรมีย์ และเอเสเคียลมาจากคำแนะนำโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนเหล่านี้คือผู้มองเห็น ท่านทั้งหลายเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณแห่งการเผยพระวจนะ และท่านทั้งหมดเป็นผู้เผยพระวจนะของพันธสัญญาเดิม ในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนที่ได้รับการดลใจจากพระยาห์เวห์เหล่านี้พูดการเผยพระวจนะมากมายซึ่งได้รับคำแนะนำโดยตรงจากพระยาห์เวห์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (3)

บทตัดตอนจากคำเทศนาและการสามัคคีธรรมสำหรับการอ้างอิง

พระคัมภีร์ก่อรูปขึ้นอย่างไร และพระคัมภีร์เริ่มมีขึ้นเมื่อใด? ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ ชาวยิวอ้างอิงถึงภาคพันธสัญญาเดิมเท่านั้นว่าเป็นองค์คัมภีร์ ต่อมา องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการไถ่ และกว่าสามร้อยปีหลังจากนั้น พวกผู้นำคริสตจักรบางคนได้จัดให้มีการประชุมเพื่อปรึกษาหารือและได้ตัดสินใจที่จะเรียงลำดับจดหมายฝากทั้งหมดที่เขียนขึ้นโดยบรรดาสาวกและอัครทูตขององค์พระเยซูเจ้า ในที่สุด หลังจากการพิจารณาอย่างถี่ถ้วน พวกเขาได้เลือกจดหมายฝาก 27 ฉบับจากบรรดาจดหมายเหล่านั้นเป็นสารบบของภาคพันธสัญญาใหม่ ซึ่งพวกเขาได้รวมเข้ากับภาคพันธสัญญาเดิมเพื่อทำให้เป็นเนื้อหาอันครบถ้วนบริบูรณ์ของพระคัมภีร์ เหล่านี้คือข้อเท็จจริงเกี่ยวกับต้นกำเนิดของภาคพันธสัญญาใหม่และภาคพันธสัญญาเดิม และนี่คือเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของพระคัมภีร์ ผู้คนมากมายเชื่อว่าพระคัมภีร์มาจากพระเจ้า ทั้งนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในจดหมายฝากฉบับที่สองของเปาโลที่เขียนถึงทิโมธี ได้กล่าวไว้ว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า” ในข้อเท็จจริงแล้ว เมื่อเปาโลพูดถึงพระวจนะเหล่านี้ ภาคพันธสัญญาใหม่ยังไม่ได้ถูกจัดทำขึ้นเป็นหนังสือ กล่าวคือ ในบริบทนี้ องค์คัมภีร์ที่เปาโลกำลังอ้างอิงถึงนั้นคือภาคพันธสัญญาเดิม ไม่ใช่ภาคพันธสัญญาใหม่ นี่คือข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง กระนั้นผู้คนในยุคสุดท้ายก็รับเอาองค์คัมภีร์ที่เปาโลพูดถึงเป็นพระคัมภีร์อันครบถ้วนบริบูรณ์—เป็นภาคพันธสัญญาใหม่และภาคพันธสัญญาเดิม นี่ไม่ลงรอยกับข้อเท็จจริงทั้งหลาย นี่คือการตีความผิด เป็นเหตุผลอันวิบัติ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เป็นการสมเหตุสมผลหรือไม่ที่จะอ้างว่าภาคพันธสัญญาเดิมทั้งหมดได้รับโดยการดลใจของพระเจ้า? พระเจ้าทรงดำเนินการพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติโดยใช้โมเสส หนังสือห้าเล่มแรกของภาคพันธสัญญาเดิมก็ได้รับการเขียนขึ้นโดยโมเสสด้วยเช่นกัน เป็นการยุติธรรมที่จะกล่าวว่าไม่มีใครเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติดีไปกว่าเขา ดังนั้นแล้ว ในหนังสือห้าเล่มของโมเสส โมเสสได้กล่าวหรือไม่ว่าพระวจนะที่เขาเขียนขึ้นทั้งหมดได้รับโดยการดลใจของพระเจ้า? ประการแรก เขาไม่ได้กล่าวเช่นนี้ ประการที่สอง ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดที่พระเจ้าทรงใช้ในยุคธรรมบัญญัติ—ผู้เผยพระวจนะอาทิ อิสยาห์ เยเรมีย์ เอเสเคียล ดาเนียล และอื่นๆ—ไม่ผู้เผยพระวจนะคนใดเลยได้กล่าวเช่นนี้เหมือนกัน มีเพียงเปาโลเท่านั้นที่ได้กล่าวว่าองค์คัมภีร์ได้รับการบันดาลใจโดยพระเจ้า หากเปาโลเพียงคนเดียวเท่านั้นได้กล่าวเช่นนี้ คำพูดดังกล่าวก็แทบจะไม่สามารถเรียกได้ว่ามีเหตุผล ดังนั้นแล้ว พวกเราต้องไม่ใช้คำพูดเหล่านี้เป็นพื้นฐานสำหรับสิ่งใดเลย

นอกจากนี้ พี่น้องชายหญิงในคริสตจักรคิดอย่างไรหรือเกี่ยวกับจดหมายฝากที่เขียนขึ้นโดยเปโตร เปาโล และผู้อื่น เมื่อจดหมายฝากเหล่านั้นถูกส่งไปยังคริสตจักร? พวกเขาคงจะได้กล่าวว่า “นี่คือจดหมายของพี่น้องชายเปโตร” “นี่คือจดหมายของพี่น้องชายเปาโล” “นี่คือจดหมายของพี่น้องชายมัทธิว”...จะมีใครหรือไม่ที่ได้ปฏิบัติต่อจดหมายเหล่านี้ของอัครทูตดังเช่นพระวจนะของพระเจ้าในเวลานั้น? ไม่อย่างแน่นอนที่สุด เพราะเปโตร มัทธิว และผู้อื่นไม่เคยได้กล่าวว่าพวกเขาคือพระเจ้าหรือว่าพวกเขาคือการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ทั้งนี้ พวกเขาได้กล่าวว่าพวกเขาเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าและเป็นสาวกขององค์พระเยซูเจ้า ดังนั้นแล้ว พี่น้องชายหญิงแห่งคริสตจักรจึงปฏิบัติต่อพวกเขาดังเช่นพี่น้องชาย และปฏิบัติต่อจดหมายของพวกเขาและคำพูดของพวกเขาดังเช่นการสามัคคีธรรมและคำพยานของพี่น้องชาย นี่ถูกต้องแม่นยำโดยครบถ้วนบริบูรณ์และอยู่ในแนวเดียวกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ แต่ในวันนี้ ผู้คนจากนิกายทั้งหมดปฏิบัติต่อคำพูดของอัครทูตว่าได้รับการบันดาลใจโดยพระเจ้า พวกเขาปฏิบัติต่อคำพูดเหล่านี้ดังเช่นพระวจนะของพระเจ้าและวางคำพูดเหล่านี้ไว้เท่าเทียมกับพระวจนะของพระเจ้า นี่ไม่ลงรอยกับข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์หรอกหรือ? พวกเขาไม่รู้สึกว่ามีอะไรที่ผิดปกติเสียด้วยซ้ำกับการปฏิบัติต่อคำพูดเหล่านี้ของมนุษย์ดังเช่นพระวจนะแห่งพระเจ้า เมื่อผู้คนชี้ชัดถึงความผิดของพวกเขา พวกเขายกคำพูดของเปาโลในพระคัมภีร์ขึ้นเพื่อป้องกันตนเอง—แต่มีหลักพื้นฐานใดต่อคำพูดของเปาโลหรือไม่? ในจดหมายของอัครทูต เปโตรได้กล่าวว่าจดหมายของเปาโลบรรจุคำวิวรณ์และพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เปโตรไม่เคยกล่าวว่าคำพูดของเปาโลได้รับการบันดาลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และว่าต้องปฏิบัติต่อจดหมายเหล่านั้นดังเช่นพระวจนะแห่งพระเจ้า อีกทั้งเปาโลยังไม่กล้ากล่าวว่าคำพูดของเขาได้รับการบันดาลใจโดยพระเจ้า ทั้งเปาโลและเปโตรต่างก็ไม่ได้ให้คำพยานว่าคำพูดของพวกเขาคือพระวจนะแห่งพระเจ้า ดังนั้นแล้ว ผู้เชื่อทั้งหลายในยุคสุดท้ายจะสามารถปฏิบัติต่อคำพูดของเปาโลและเปโตรดังเช่นพระวจนะแห่งพระเจ้าได้อย่างไรกัน? พวกเขากำลังทำความผิดพลาดใดหรือ? การตีความของผู้อธิบายเหล่านี้ถูกต้องกระนั้นหรือ? พวกเขาไม่ตระหนักว่านี่ช่างเป็นความผิดที่ไร้สาระน่าขันเสียจริง พวกเขาไม่สามารถมองเห็นการนั้นได้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาปราศจากความจริง กระนั้นผู้คนก็ยังคงสักการบูชาและเชื่ออย่างหูหนวกตาบอด กล่าวคือ ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไร นั่นก็คือสิ่งที่ผู้คนเชื่อ ในการนี้ ผู้คนไม่ใช่กำลังขาดพร่องการหยั่งรู้อย่างน่าเหลือเชื่อหรอกหรือ? ผู้คนของศาสนามีความเชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตาในพระคัมภีร์ พวกเขานมัสการพระคัมภีร์ พวกเขาคำนึงถึงพระคัมภีร์ว่าสูงส่งกว่าพระเจ้า พวกเขาเชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นตัวแทนพระเจ้า และพวกเขาใช้พระคัมภีร์เป็นพื้นฐานในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เป็นการไร้สาระน่าขันหรอกหรือที่พวกเขานมัสการและมีความเชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตาในพระคัมภีร์จนถึงระดับเช่นนั้น? แล้วความเชื่อแบบไม่ลืมหูลืมตาในพระคัมภีร์ของพวกเขาอยู่ในรูปแบบใดหรือ? พวกเขาไม่สามารถเข้าหาการนั้นได้ตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ และพวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริงและแสวงหาความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาสักการบูชาบุคคลสำคัญที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่างหูหนวกตาบอด โดยไว้วางใจ ยอมรับ และนำเอาสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาคนใดคนหนึ่งพูดไปใช้อย่างเคร่งครัด จะเป็นไปได้หรือที่คำพูดของมนุษย์ไม่เคยผิดเลย? จะเป็นไปได้หรือที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เปาโลพูดนั้นถูกต้อง? เปาโลเป็นมนุษย์—และในฐานะมนุษย์ เขาจะไม่ถูกทำให้แปดเปื้อนไปได้อย่างไร? เพราะฉะนั้น การที่ผู้คนวางจดหมายของอัครทูตไว้เท่ากับพระวจนะแห่งพระเจ้าจึงเป็นความผิดพลาดร้ายแรง ในพระคัมภีร์ พระวจนะแห่งพระเจ้าคือพระวจนะแห่งพระเจ้า และคำพูดของมนุษย์ก็คือคำพูดของมนุษย์ ไม่สามารถปฏิบัติต่อทั้งสองอย่างนี้อย่างเท่าเทียมกันได้ ดังนั้นแล้ว อันไหนหรือคือพระวจนะแห่งพระเจ้าในพระคัมภีร์? พระวจนะทั้งหมดที่ตรัสโดยพระยาห์เวห์พระเจ้าด้วยพระองค์เอง สิ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงให้การแนะนำผู้เผยพระวจนะให้ส่งต่อ และพระวจนะที่ตรัสโดยองค์พระเยซูเจ้าด้วยพระองค์เอง—เฉพาะเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นพระวจนะแห่งพระเจ้า แล้วเจ้าคิดว่าอะไรหรือที่เป็นลักษณะเฉพาะสำหรับคำพูดทั้งหมดที่พูดโดยผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์? พวกเขาล้วนแต่พูดว่า “นี่คือสิ่งที่พระยาห์เวห์ตรัส” และ “พระยาห์เวห์ได้ตรัสดังนั้น” พวกเขาไม่ได้พูดว่า “ฉัน ดาเนียล (หรืออิสยาห์) บอกการนี้กับท่าน” นี่ทำให้เป็นที่ชัดเจนสำหรับผู้คนว่าผู้เผยพระวจนะกำลังส่งต่อพระวจนะดั้งเดิมแห่งพระเจ้า เพราะฉะนั้น มีเพียงพระวจนะดั้งเดิมแห่งพระเจ้าที่ส่งต่อโดยผู้เผยพระวจนะเท่านั้นที่เป็นพระวจนะแห่งพระเจ้า มีเพียงพระวจนะที่ตรัสโดยพระยาห์เวห์พระเจ้าด้วยพระองค์เองเท่านั้นที่เป็นพระวจนะแห่งพระเจ้า และมีเพียงพระวจนะที่ตรัสโดยองค์พระเยซูเจ้าด้วยพระองค์เองเท่านั้นที่เป็นพระวจนะแห่งพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดในพระคัมภีร์นอกจากเหล่านี้ที่เป็นพระวจนะแห่งพระเจ้า กล่าวคือ คำพูดที่พูดโดยอัครทูตและเหตุการณ์ที่บันทึกโดยผู้รับใช้ของพระเจ้าเป็นเพียงแค่คำพยานของมนุษย์

ตัดตอนมาจาก การสามัคคีธรรมจากเบื้องบน

ก่อนหน้า: พระคัมภีร์เป็นคำพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้า โดยผ่านทางพระคัมภีร์นี่เองที่บรรดาผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนรับรู้ว่า ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งได้รับการทรงสร้างโดยพระเจ้า เป็นเพราะพระคัมภีร์นี่เองที่พวกเขาได้มองดูการอัศจรรย์ ความยิ่งใหญ่ และฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดแห่งกิจการทั้งหลายของพระเจ้า สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือ พระคัมภีร์บรรจุพระวจนะแห่งพระเจ้า และคำพยานเชิงประสบการณ์ของมนุษย์เอาไว้มากมาย ที่สามารถจัดเตรียมเพื่อชีวิตของมนุษย์ได้ และให้ความเจริญอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษย์ พวกเราสามารถได้รับชีวิตนิรันดร์จากการอ่านพระคัมภีร์อย่างนั้นหรือ? หรือว่าพระคัมภีร์ไม่บรรจุหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์เอาไว้?
ถัดไป: พวกคุณให้คำพยานว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว ว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และว่าพระองค์กำลังทรงแสดงความจริงเพื่อดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาซึ่งเริ่มต้นจากพระนิเวศของพระเจ้า กระนั้นเหล่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสก็กล่าวว่า พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าทั้งหมดบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ และว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่ถูกครอบคลุมโดยความจริงทั้งหลายของพระคัมภีร์ พวกเขากล่าวว่า ไม่สามารถมีพระวจนะและพระราชกิจโดยพระเจ้าอยู่นอกพระคัมภีร์เลย และว่าสิ่งอันใดที่อยู่นอกพระคัมภีร์นั้น เป็นความเห็นนอกรีต พวกเราควรมองประเด็นปัญหานี้อย่างไรหรือ?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระคัมภีร์เป็นคำพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้า โดยผ่านทางพระคัมภีร์นี่เองที่บรรดาผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนรับรู้ว่า ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งได้รับการทรงสร้างโดยพระเจ้า เป็นเพราะพระคัมภีร์นี่เองที่พวกเขาได้มองดูการอัศจรรย์ ความยิ่งใหญ่ และฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดแห่งกิจการทั้งหลายของพระเจ้า สิ่งที่มากไปกว่านั้นก็คือ พระคัมภีร์บรรจุพระวจนะแห่งพระเจ้า และคำพยานเชิงประสบการณ์ของมนุษย์เอาไว้มากมาย ที่สามารถจัดเตรียมเพื่อชีวิตของมนุษย์ได้ และให้ความเจริญอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษย์ พวกเราสามารถได้รับชีวิตนิรันดร์จากการอ่านพระคัมภีร์อย่างนั้นหรือ? หรือว่าพระคัมภีร์ไม่บรรจุหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์เอาไว้?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง “พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา...

พระคัมภีร์มามีอยู่ได้อย่างไร? อันที่จริงแล้วพระคัมภีร์คืออะไรกันแน่?

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง หลังจากที่พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ พันธสัญญาเดิมก็ได้ถูกเขียนขึ้น...

ติดต่อเราผ่าน Messenger