การให้การยอมรับข่าวลือต่างๆ หมายถึงการสูญเสียความรอดในยุคสุดท้ายของพระเจ้า
พี่น้องชายหญิงหลายคนไร้ความสามารถที่จะใส่ใจเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาได้ยินใครบางคนพูดเกี่ยวกับพระกิตติคุณแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และไม่กล้ายอมรับสิ่งที่ได้รับการประกาศทั้งนี้เพราะพวกเขาตกใจกลัวกับข่าวลืออันครึกโครมต่างๆ ที่ถูกกุขึ้นมาอย่างไม่เป็นความจริงภายในแวดวงศาสนา พวกเขาอาจได้ยินใครบางคนพูดว่า “พวกที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นี่น่าดูจริงๆ—คุณจะถูกพาตัวเข้าไปทันทีที่คุณได้ติดต่อกับพวกเขา มีผู้เชื่อที่แท้จริงมากมายหลายคนจากทุกนิกายซึ่งเป็นแกะที่ดีและถึงกับเป็นจ่าฝูงที่มีขีดความสามารถที่ดี แต่พวกเขาก็ถูกขโมยตัวไปโดยพวกผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์…” หรือไม่บางคนก็ได้พูดว่า “พวกผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กระตือรือร้นจริงๆ เกี่ยวกับการเผยแพร่พระกิตติคุณ หากพวกเขาทำให้ผู้เชื่อคนหนึ่งกลับใจ พวกเขาก็จะได้รับเงินรางวัลจำนวน 2,000 หยวน หากพวกเขาทำให้ผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งกลับใจ พวกเขาก็สามารถรับเงินรางวัล 10,000 ถึง 20,000 หยวน…” และคนอื่นๆ ยังได้พูดว่า “พวกเขาไม่รักษาขอบเขตอันเหมาะสมระหว่างชายหญิง—พวกเขาทุกคนมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศเป็นอย่างมาก…” บางคนได้ถึงกับพูดว่า “ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกคือองค์กรอาชญากรรมนอกกฎหมาย ถ้าคุณเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกเขา คุณก็จะไม่มีวันหลีกหนีได้เลย ถ้าคุณพยายาม พวกเขาก็จะควักลูกตาของคุณออกและตัดหูของคุณเสีย หรือไม่พวกเขาก็จะหักขาของคุณ…” และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นเพราะข่าวลือต่างๆ แบบนี้ที่หยุดยั้งพี่น้องชายหญิงบางคนผู้ซึ่งไม่ชัดเจนกับข้อเท็จจริงต่างๆ จากการแสวงหาและการศึกษาพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พี่น้องชายหญิงที่เชื่อข่าวลือทั้งหลาย พวกเจ้าพิจารณาหรือเจาะลึกอย่างจริงจังจริงใจแล้วหรือว่ามีพื้นฐานใดๆ สำหรับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไหม และว่าข่าวลือเหล่านี้เป็นไปตามข้อเท็จจริงไหม? เจ้าได้เคยไตร่ตรองหรือยังว่าจะมีผลสืบเนื่องที่เลวร้ายหรือไม่ หากเจ้าเชื่อข่าวลือทั้งหมดที่เจ้าได้ยินอย่างมืดบอดและพลาดโอกาสที่จะได้ต้อนรับการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า? สำหรับตอนนี้ พวกเราจะมีการสามัคคีธรรมกันก่อนในเรื่องของข่าวลือต่างๆ เหล่านี้ เพื่อที่พี่น้องชายหญิงของพวกเราจะได้สามารถมองเห็นเนื้อแท้ของข่าวลือเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน และมีวิจารณญาณที่ชัดเจนในเรื่องที่ว่าใครที่กำลังเผยแพร่ข่าวลือเหล่านี้จริงๆ แรงจูงใจอะไรที่อยู่เบื้องหลังการสร้างข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงของพวกเขา และพวกเขาต้องการสัมฤทธิ์เป้าหมายอะไร
ข่าวลือยังมีอีกว่า “พวกที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นี่น่าดูจริงๆ—คุณจะถูกพาตัวเข้าไปทันทีที่คุณได้ติดต่อกับพวกเขา มีผู้เชื่อที่แท้จริงมากมายหลายคนจากทุกนิกายซึ่งเป็นแกะที่ดีและถึงกับเป็นจ่าฝูงที่มีขีดความสามารถที่ดี แต่พวกเขาก็ถูกขโมยตัวไปโดยพวกผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์…” ในวันนี้ บรรดาผู้เชื่อส่วนมากในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แท้จริงแล้วมาจากนิกายต่างๆ หลายนิกายและท่ามกลางพวกเขา คนเหล่านั้นหลายคนจากนิกายของพวกเขาเป็นผู้ที่มีขีดความสามารถ มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และเป็นผู้แสวงหาที่มอบอุทิศ แต่การกล่าวว่าพวกเขาล้วนถูกพาตัวเข้ามาเป็นการใส่ร้ายป้ายสีที่มุ่งร้าย นั้นชัดเจนมากจริงๆ ลองคิดดูสิว่า ผู้คนที่เปี่ยมศรัทธาจำนวนมากมายที่มาจากนิกายต่างๆ ล้วนถูกหลอกให้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กันหมดได้ไหม? มีเหตุผลไหมที่พวกเขาซึ่งเป็นผู้เชื่อมาหลายปีมากและรู้พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นอย่างดีจะไม่มีวิจารณญาณบ้างเลยหรือ? ถึงแม้ว่าผู้คนจะถูกหลอก พวกเขาก็คงจะเป็นเพียงพวกที่ไม่ใช่ผู้แสวงหา พวกที่กินขนมปังและอิ่มหนำ และพวกที่สับสนปนเปในความเชื่อของพวกเขาเท่านั้น มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันที่ผู้แสวงหาจำนวนมากและหลายคนมากที่มีความเชื่อที่จริงใจในพระเจ้าจะถูกหลอก? ตามที่ทุกคนทราบดีว่าได้มีคำเผยพระวจนะเอ่ยไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์นานมาแล้วว่าพระเจ้าคงจะเสด็จมาในยุคสุดท้าย “อย่างขโมย” เพื่อ “ขโมย” ทรัพย์สมบัติ ว่าพระองค์คงจะ “ขโมย” บรรดาผู้ที่เป็น “ทรัพย์สมบัติ” นี่หมายความว่าบรรดาผู้ที่ถูก “ขโมย” คือผู้มีขีดความสามารถที่ดี พวกเขาสามารถเข้าใจและยอมรับความจริงได้ และรู้จักพระสุรเสียงของพระเจ้า บรรดาผู้ที่ถูก “ขโมย” ล้วนเป็นแกะที่ดีและการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือการช่วยพวกเขาให้รอดและทำให้พวกเขาเพียบพร้อม เป็นการชัดเจนว่าการ “ขโมย” คือการถูกรับขึ้นไปเพื่อพบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง คนเหล่านั้นที่มีความเชื่อแท้จริงในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาจากนิกายต่างๆ ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และเห็นว่าพระองค์ได้ทรงเปิดเผยความล้ำลึกต่างๆ ของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักร (พระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะ) ความจริงและเรื่องราวเบื้องหน้าเบื้องหลังของพระคริสตธรรมคัมภีร์ นัยสำคัญของพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า การที่พระเจ้าทรงจัดกลุ่มผู้คนตามประเภทของพวกเขา และกำหนดพิจารณาบทอวสานของพวกเขา และในที่สุดการที่พระเจ้าจะทรงนำยุคมาสู่ปลายทางและการที่ราชอาณาจักรของพระคริสต์จะได้รับการตระหนักถึง เมื่อได้เห็นการเหล่านี้ พวกเขาสามารถยืนยันในหัวใจของพวกเขาได้ว่านี่คือพระสุรเสียงของพระเจ้า และว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือสิ่งที่ได้รับการเผยพระวจนะไว้หลายครั้งในวิวรณ์ว่า “ข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” มันคือความจริงทั้งหมด และพวกเขาได้ระลึกรู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้เสด็จกลับมาและคนมากหลายได้หันไปหาพระองค์ ทีละคน หากไม่ใช่เพราะการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าแล้วไซร้ ใครผู้ใดที่น่าจะมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพที่จะพิชิตพี่น้องชายหญิงจากทุกนิกายและให้ทุกความเชื่อได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันได้? นั่นก็เพราะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้า ผู้ได้เสด็จกลับมาและผู้ได้ทรงปรากฏและทรงพระราชกิจในยุคสุดท้าย ว่าบรรดาผู้แสวงหาของพระเจ้าที่แท้จริงเหล่านั้นได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและได้เห็นการทรงปรากฏของพระเจ้า และดังนั้นเอง พวกเขาจึงยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ใครเล่าที่ไม่ต้องการเป็นหญิงพหรมจารีผู้มีปัญญาผู้หนึ่งและติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดก? นี่คือเหตุผลที่ผู้แสวงหาหลายคนจากต่างนิกายหลายนิกายได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แนวคิดที่ว่าผู้คนที่ได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ถูกหลอกนั้นเป็นการโกหกที่โจ่งแจ้งอย่างเห็นได้ชัด มันเป็นการทำลายชื่อเสียงและหมิ่นประมาทต่อพระเจ้า
ผู้คนบางคนได้พูดว่า “พวกผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กระตือรือร้นจริงๆ เกี่ยวกับการเผยแพร่พระกิตติคุณ หากพวกเขาทำให้ผู้เชื่อคนหนึ่งกลับใจ พวกเขาก็จะได้รับเงินรางวัลจำนวน 2,000 หยวน หากพวกเขาทำให้ผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งกลับใจ พวกเขาก็สามารถรับเงินรางวัล 10,000 ถึง 20,000 หยวน…” ภายในคำโกหกนี้ ถูกเอ่ยไว้ว่าบรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กระตือรือร้นมากเรื่องการเผยแพร่พระกิตติคุณของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ขณะที่ส่วนนี้เป็นข้อเท็จจริงโดยแท้ ส่วนที่เหลือเกี่ยวกับการได้รับการติดสินบนด้วยเงินเพื่อเผยแพร่พระกิตติคุณของพระองค์และเกี่ยวกับความกระตือรือร้นของพวกเขาที่ถูกผลักดันโดยผลประโยชน์ส่วนตัว เป็นเรื่องไร้สาระที่มีข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงและเป็นข่าวลือที่กล่าวให้ร้ายเพื่อทำลายชื่อเสียงอย่างสิ้นเชิง ข้อเท็จจริงมีว่า บรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ซึ่งเผยแพร่พระกิตติคุณของพระองค์ไม่ได้รับบำเหน็จรางวัลประเภทใดเลย ตรงกันข้าม พวกเขาใช้เงินเก็บของพวกเขาในการทำเช่นนั้น และบางครั้งก็ใช้เงินทั้งหมดที่พวกเขามี เหตุผลที่พวกเขากระตือรือร้นยิ่งนักไม่ใช่เพราะพวกเขาถูกติดสินบนด้วยเงิน ตรงกันข้าม มันเป็นเพราะพวกเขาได้เข้าใจความจริงจากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้เห็นการทรงปรากฏที่ของพระเจ้าอย่างแท้จริง ได้รับความรอดที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ ได้รับประสบการณ์ความรักของพระเจ้า และได้รู้สึกถึงความใคร่กระหายของพระเจ้าที่จะช่วยผู้คนให้รอด ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงเต็มใจใช้เงินทั้งหมดที่พวกเขามีและทนฝ่าความยากลำบากหรือการถูกเหยียดหยามใดๆ เพื่อเผยแพร่พระกิตติคุณแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า พวกเขาเป็นเหมือนบรรดาสาวกดั้งเดิมขององค์พระเยซูคริสต์เจ้านั่นเอง ผู้ที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าผ่านพระราชกิจและพระวจนะของพระเยซู ระลึกรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเมสสิยาห์ที่พวกเขาได้รอคอย และได้เห็นว่าพระองค์ทรงเต็มใจพลีอุทิศพระองค์เองเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ทรงเต็มใจถูกตรึงกางเขน ความรักของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่นัก เป็นจริงยิ่งนัก! เมื่อได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้รับการกระตุ้นโดยความรักของพระเจ้า พวกเขาก็เต็มใจสละบ้านและอาชีพการงาน และทนทานต่อการบีบคั้นและความลำบากยากเย็นสารพัดชนิดเพื่อเผยแพร่ข่าว เพื่อเป็นพยานให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า มันเป็นจริงเช่นนั้น! บางทีพี่น้องชายหญิงบางคนอาจได้เห็นและได้ยินว่า “ค่าตอบแทน” ชนิดใดที่เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้รับเมื่อพวกเขาเผยแพร่พระกิตติคุณ นั่นคือ บางคนถูกเหยียดหยาม ส่วนคนอื่นๆ ถูกโบยตีด้วยไม้ตะบอง บางคนก็ถูกไล่ล่า และคนอื่นๆ ถึงกับถูกตัดสินโทษและถูกจำคุกด้วยน้ำมือของพวกที่อยู่ในอำนาจปกครอง พวกเขาทนทุกข์การข่มเหงทุกรูปแบบ… เราขอกระตุ้นทุกคนให้พิจารณาการนี้ว่า ใครเล่าที่จะเต็มใจนบนอบตัวเองต่อคำสาปแช่ง การโบยตี และการเหยียดหยามเพื่อเผยแพร่พระกิตติคุณแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ถ้านั่นไม่ใช่เพราะความรักอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์? ใครเล่าจะเสี่ยงอันตรายของการถูกจำคุกและแม้แต่ชีวิตของเขาเพื่อเผยแพร่พระกิตติคุณแห่งความรอดในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ถ้านั่นไม่ใช่เพราะพระราชกิจของพระเจ้า? เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว “หากพวกเขาทำให้ผู้เชื่อคนหนึ่งกลับใจ พวกเขาก็จะได้รับเงินรางวัลจำนวน 2,000 หยวน หากพวกเขาทำให้ผู้นำคริสตจักรคนหนึ่งกลับใจ พวกเขาก็สามารถรับเงินรางวัล 10,000 ถึง 20,000 หยวน” เป็นเพียงคำโกหก เป็นเรื่องที่กุขึ้นมาอย่างไม่มีความจริงล้วนๆ
ยังมีคนอื่นๆอีกที่ได้พูดว่า “พวกเขาไม่รักษาขอบเขตอันเหมาะสมระหว่างชายหญิง—พวกเขาทุกคนมีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศเป็นอย่างมาก…” เกี่ยวกับจุดนี้ ขอให้เรามาดูกันที่พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ว่า “เราคือพระเจ้าผู้พิสุทธิ์พระองค์เอง เราไม่สามารถถูกทำให้แปดเปื้อน อีกทั้งเราไม่สามารถมีวิหารที่มีมลทินได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 109) และกฎระเบียบก็ชัดเจนมากใน “ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการที่ต้องเชื่อฟังโดยประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักร” คือ “มนุษย์มีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม และยิ่งไปกว่านั้น ยังถูกครอบงำด้วยอารมณ์ เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้สมาชิกสองคนซึ่งเป็นเพศตรงกันข้ามทำงานร่วมกันโดยไม่มีผู้อื่นอยู่ด้วยเมื่อรับใช้พระเจ้า ใครก็ตามที่ถูกพบว่าทำเช่นนั้นจะถูกขับไล่ โดยไม่มีข้อยกเว้น” พวกเราสามารถมองเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์และชอบธรรม และไม่ทรงผ่อนปรนให้กับการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ จากมวลมนุษย์ พระองค์ไม่ทรงสถิตอยู่ในวิหารที่ไม่สะอาด พระเจ้าไม่ทรงพึงประสงค์การกระทำใดแม้เพียงการเดียวที่มีส่วนร่วมในพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ ผู้ติดตามทุกคนของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต้องยึดมั่นต่อประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าอย่างเคร่งครัด หาไม่แล้วพวกเขาจะถูกขับไล่จากคริสตจักร—โดยไม่มีข้อยกเว้น นอกจากนี้ พี่น้องชายหญิงที่เป็นผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้ที่มาจากบรรดาผู้แสวงหาที่จริงแท้ซึ่งมาจากนิกายต่างๆ พวกเขาบางคนเป็นผู้นำและผู้ร่วมงานจากต่างนิกาย พวกเขารู้จากยุคพระคุณว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้หวงแหนและทรงรังเกียจชิงชังพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ พวกเขาได้ยึดมั่นในพระบัญญัติขององค์พระเยซูเจ้าเสมอ บางสิ่งบางอย่างซึ่งผู้คนที่มีความเคารพอย่างแท้จริงได้กระทำมาตลอดในอดีต ใครบางคนเช่นนี้จะฝ่าฝืนประกาศกฤษฎีบริหารแห่งยุคราชอาณาจักรอย่างจงใจในวันนี้ไหม? ดังนั้นเจ้าก็คงสามารถเห็นได้แล้วว่า รากเหง้าของข่าวลือนี้ไร้สาระโดยแท้และตั้งใจให้เป็นการรณรงค์ที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงอย่างสิ้นเชิง
บางคนได้พูดว่า “ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกคือองค์กรอาชญากรรมนอกกฎหมาย ถ้าคุณเข้าไปเกี่ยวข้องกับพวกเขา คุณก็จะไม่มีวันหลีกหนีได้เลย ถ้าคุณพยายาม พวกเขาก็จะควักลูกตาของคุณออกและตัดหูของคุณเสีย หรือไม่พวกเขาก็จะหักขาของคุณ…” เมื่อพวกเขาหยิบยกเรื่ององค์กรนอกกฎหมายขึ้นมาพูด พวกเราทุกคนต่างก็รู้ว่าพวกที่ยุ่งเกี่ยวกับพวกฆาตกร พวกลอบวางเพลิง พวกขโมยและพวกโจรกระทำสิ่งชั่วช้าทุกรูปแบบ ไม่มีใครต้องการยั่วยุพวกผู้คนชนิดนี้ แม้แต่รัฐบาลประเทศจีนและตำรวจของรัฐบาลจะไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับคนพวกนี้บางพวก นั่นถูกหรือไม่? ดังนั้นขอให้เรามาดูพี่น้องชายหญิงผู้ซึ่งเผยแพร่พระกิตติคุณแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กัน เมื่อพวกเขาออกไปเพื่อนำพาผู้คนมาสู่พระเจ้า พวกเขาทนฝ่าการถูกจับโยนออกไป ถูกดูแคลน ถูกโบยตี ถูกจู่โจมโดยสุนัข ถูกจับกุม ถูกคุมขัง และถึงกับถูกทรมาน พวกเขาทนทุกข์การปฏิบัติที่โหดร้ายสารพัดชนิด หากพี่น้องชายหญิงเหล่านี้เป็นสมาชิกขององค์กรนอกกฎหมายจริงๆ จะมีใครกล้าปฏิบัติต่อพวกเขาแบบนั้นจริงๆ หรือ? พวกเขาจะทนฝ่าการล่วงเกินทางคำพูดและไม่โต้ตอบอย่างนั้นหรือ? พวกเขาจะถูกโบยตีและไม่สู้กลับอย่างนั้นหรือ? เจ้ารู้จักพวกแก๊งมิจฉาชีพแก๊งไหนที่เป็นแบบนั้นบ้าง? ใครผู้ใดที่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องแบบนั้นจะสามารถเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ไหม? หากพวกเขาเชื่อในพระเจ้าจริง พวกเขาจะสามารถมีงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ไหม? พวกเขาจะประกาศพระกิตติคุณให้แก่บรรดาผู้แสวงหาที่มอบอุทิศอยู่บ้างได้ไหม? ยิ่งไปกว่านั้น มีพี่น้องชายหญิงมากมายจากนิกายต่างๆ ผู้ซึ่งได้ยินพระกิตติคุณแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาได้ยอมรับพระกิตติคุณและแล้วก็ได้ถอนตัวออกจากคริสตจักรด้วยเหตุผลใดก็ตาม หรือพวกเขาไม่เคยยอมรับพระกิตติคุณไว้แต่แรก มีใครในท่ามกลางพวกเขาบ้างที่ได้ถูกควักลูกตา ถูกตัดหู หรือหักขา? หากเป็นตามที่ได้กล่าวมา ก็จะต้องมีผู้คนจำนวนหนึ่งที่ถูกควักลูกตา ถูกหักขา คุณได้เคยเห็นสักคนแล้วไหม? หากมีว่ามีสักคนจริงๆ รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนก็คงจะได้นำการนี้ขึ้นพิจารณาคดีในศาล และตัดสินลงโทษ และหลังจากนั้นก็จะระดมสื่อต่างๆ ทั้งหมดให้กระจายข่าวไปทั่วโลกไม่ใช่หรอกหรือ? มีพื้นฐานอันเป็นข้อเท็จจริงใดๆ สำหรับสิ่งต่างๆ ที่พวกชอบกระพือข่าวลือได้พูดไปแล้วบ้างไหม? อีกทั้งยังไม่มีพื้นฐานที่เป็นข้อเท็จจริงใดๆ เมื่อพวกเขาพูดอะไรในทำนองนี้ว่า “หากคุณเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เมื่อคุณเข้าไปแล้ว คุณจะไม่มีวันได้กลับออกมา” มีกล่าวไว้ใน “ประกาศกฤษฎีกาบริหารสิบประการที่ต้องเชื่อฟังโดยประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในยุคแห่งราชอาณาจักร” ว่า “ญาติผู้ที่ไม่มีความเชื่อ (ลูกหลานของเจ้า สามีหรือภรรยาของเจ้า บรรดาพี่น้องหญิงของเจ้าหรือบิดามารดาของเจ้า เป็นต้น) ไม่ควรถูกบังคับให้เข้าสู่คริสตจักร ครัวเรือนของพระเจ้าไม่ขาดแคลนสมาชิก และไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องชดเชยจำนวนสมาชิกของครอบครัวของพระเจ้าด้วยผู้คนที่ไม่มีประโยชน์ ทุกคนที่ไม่เชื่ออย่างเปรมปรีดิ์ต้องไม่ถูกนำทางเข้าสู่คริสตจักร” คริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่มีความจำเป็นต้องมีพวกที่ไม่ยินดีเชื่อในพระเจ้าเพียงเพื่อที่จะเพิ่มจำนวนสมาชิก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อทำการประกาศพระกิตติคุณ ผู้คนก็ไม่สามารถลากใครให้มาหรือบังคับให้พวกเขาเชื่อในพระเจ้าได้ นี่คือประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้าและทุกบุคคลต้องยึดมั่นอย่างเคร่งครัดต่อข้อนี้—ไม่สามารถฝ่าฝืนได้ ความจริงก็คือว่าประตูของคริสตจักรเปิดอยู่ และบรรดาผู้คนที่ต้องการออกจากคริสตจักรและละทิ้งความเชื่อของพวกเขา สามารถออกไปได้ทุกเวลา ไม่มีใครที่จะมาบีบบังคับพวกเขา คริสตจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้อิสรภาพแก่แต่ละบุคคลที่จะทำการเลือกของพวกเขาเอง อันที่จริงแล้ว ไม่ใช่ว่าบรรดาผู้ที่ยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าจะไม่สามารถออกมาได้ แต่พวกเขาเองต่างหากที่ไม่ต้องการออกมา เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “การจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าได้ส่งคลื่นกระแทกไปทั่วทุกศาสนาและทุกวงการ ได้ทำให้ระเบียบดั้งเดิมของแวดวงศาสนาทั้งหลาย ‘ถูกโยนเข้าสู่ความสับสนวุ่นวาย’ และได้เขย่าหัวใจของคนเหล่านั้นทั้งหมดที่โหยหาการทรงปรากฏของพระเจ้า ผู้ใดเล่าไม่ชื่นชมบูชา? ผู้ใดไม่ถวิลหาที่จะเห็นพระเจ้า? พระเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์ด้วยพระองค์เองมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ถึงกระนั้นมนุษย์ก็ยังไม่เคยได้ตระหนักถึงการนั้น วันนี้ พระเจ้าพระองค์เองได้ทรงปรากฏแล้ว และได้ทรงแสดงพระอัตลักษณ์ของพระองค์ออกไปให้หมู่ชนได้เห็น—การนี้จะไม่สามารถนำความปีติยินดีมาสู่หัวใจของมนุษย์ได้อย่างไร?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (10)) “ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งและด้วยการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ พระองค์ได้ทรงสิ้นสุดยุคพระคุณและนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร บรรดาผู้คนที่สามารถยอมรับการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าจะถูกนำทางเข้าสู่ยุคแห่งราชอาณาจักรและยิ่งไปกว่านั้นจะกลายเป็นสามารถยอมรับการทรงนำของพระเจ้าด้วยตนเอง…บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายได้ส่งคลื่นกระแทกออกไปทั่วศาสนาและนิกายทั้งหมดอย่างแท้จริง และได้ทำหัวใจของบรรดาผู้ที่กระหายการทรงปรากฏของพระเจ้าสั่นคลอน เหตุผลที่บรรดาพี่น้องชายหญิงจากนิกายต่างๆ ได้กลับมาหาพระเจ้าเป็นเพราะพวกเขาได้เห็นการทรงปรากฏของพระเจ้า ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ ได้เข้าใจว่าพระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายคือความจริง คือหนทาง และคือชีวิต และว่าการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้นที่จะเปิดโอกาสให้พวกเขาสัมฤทธิ์ความรอดและเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ ใครล่ะที่อยากจะออกไปหลังจากที่ได้รับความรอดเช่นนี้แล้ว? ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นการง่ายที่จะเห็นว่าข่าวลือเกี่ยวกับผู้คนที่ไม่ต้องการออกไปเพราะกลัวว่าจะถูกควักลูกตา ถูกตัดหู หรือหักขาของพวกเขาเป็นเพียงการแต่งเรื่องที่ไม่เป็นความจริงโดยผู้คนที่มีแรงจูงใจแอบแฝงอยู่
จากสิ่งที่พวกเราได้สามัคคีธรรมมาข้างต้น พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่าความเห็นที่ให้ร้ายเกี่ยวกับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าเป็นเพียงคำโกหกล้วนๆ ที่เป็นเรื่องกุขึ้นอย่างไม่มีพื้นฐานในความจริงโดยสิ้นเชิง หากพวกเราใช้วิจารณญาณสักเล็กน้อยในที่นี้ ข่าวลือต่างๆ เหล่านี้ก็จะเริ่มคลายออกอย่างแท้จริง ผู้เชื่อคนหนึ่งที่กุเรื่องโกหกต่างๆ นานาขึ้นมาและเป็นพยานเท็จเป็นพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงชิงชังมากที่สุด เป็นพฤติกรรมที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษ ตามที่พระคริสตธรรมคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “พยานเท็จกล่าวคำหลอกลวง” (สุภาษิต 12:17) “พระยาห์เวห์ทรงเกลียดชังปากที่พูดมุสา” (สุภาษิต 12:22) องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา” (ยอห์น 8:44) การได้ทราบว่า การกุเรื่องโกหกและการเป็นพยานเท็จคือสิ่งที่พระเจ้าทรงชิงชัง ก็แล้วเหตุใดพวกเขาจะคงยืนกรานที่จะกระทำสิ่งนี้อยู่เล่า? ยอห์นบทที่ 11 ข้อที่ 47-48 กล่าวว่า “ฉะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วพูดกันว่า ‘เราจะทำอย่างไรกันดี เพราะว่าชายคนนี้ทำหมายสำคัญมากมาย? ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา’” มัทธิวบทที่ 28 บันทึกข้อเท็จจริงนี้ไว้ว่า หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูเจ้า พวกหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีชาวยิวกลัวว่าทุกคนจะเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าและกลัวว่าหลังจากนั้นพวกเขาจะสูญเสียสถานภาพและรายได้ของพวกเขา พวกเขาจึงได้สมรู้ร่วมคิดกันปกปิดข้อเท็จจริงที่ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงฟื้นคืนพระชนม์ พวกเขาติดสินบนพวกทหารด้วยเงินเหรียญและได้กุเรื่องโกหกขึ้นเพื่อโน้มน้าวให้ผู้คนเชื่อว่าองค์พระเยซูเจ้าไม่เคยฟื้นคืนพระชนม์ โดยพูดว่าพวกสาวกของพระองค์เราร่างของพระองค์ไปตอนที่พวกทหารกำลังหลับอยู่ พวกเรามองเห็นได้จากการนี้ว่าผู้คนสามารถจงใจแต่งเรื่องโกหกขึ้น และตัดสินและพูดให้ร้ายพระราชกิจของพระเจ้า รวมทั้งพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า พวกเขากระทำการนี้เพื่อปกป้องชื่อเสียง สถานภาพและผลประโยชน์ของพวกเขาเอง การนี้แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติอันชั่วช้าของเขา ว่าพวกเขาเกลียดชังความจริงและเป็นศัตรูของพระเจ้า ตอนนี้ก็เป็นเหมือนกันในยุคสุดท้ายนั่นเอง ขณะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแผ่ขยายพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ออกไปในจีนแผ่นดินใหญ่ เหล่าผู้เชื่อจำนวนมากมายมหาศาลจากนิกายศาสนาที่แตกต่างหลายนิกายได้มายอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า เมื่อพวกผู้นำของนิกายเหล่านี้บางคนมองเห็นว่าผู้คนเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่พวกผู้เชื่อภายใต้พวกเขาลดน้อยลง พวกเขาก็กุเรื่องโกหกสารพัดเรื่องและพูดให้ร้ายเพื่อกล่าวโทษพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถปกป้องสถานภาพและรายได้ของพวกเขาเองได้ นี่คือวิธีที่พวกเขาหลอกลวงและทำให้พี่น้องชายหญิงหวาดผวา เพื่อทำให้พวกเขากลัวที่จะแสวงหา เจาะลึกและยอมรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้า จุดประสงค์ของพวกเขาก็เพื่อที่จะดักจับและควบคุมกลุ่มของคริสตชนในคริสตจักรไว้ตลอดกาล จากการนี้พวกเราสามารถมองเห็นได้ว่าพวกผู้นำจากนิกายต่างๆ คือพวกฟาริสีสมัยใหม่ที่ถูกเปิดเผยโดยพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า พวกเขากุข่าวลือขึ้นเพื่อปกป้องสถานภาพและรายได้ของพวกเขาเอง—พวกเขามีแรงจูงใจของเขา เป้าหมายของเขาเองในการนี้
หากพวกเราไร้ความสามารถที่จะแยกแยะเรื่องโกหกที่กุขึ้นมาโดยแวดวงทางศาสนาเหล่านี้และติดตามพวกเขาอย่างมืดบอด เช่นนั้นแล้วเราก็ยืนอยู่ฝ่ายพวกที่พูดใส่ร้าย ต่อต้านและทำให้พระราชกิจของพระเจ้าหยุดชะงัก การนี้ไม่เพียงแต่เป็นเหตุให้คนเราสูญเสียความรอดในยุคสุดท้ายของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังทำให้คนๆ หนึ่งกลายเป็นเป้าของความเกลียดชัง การปฏิเสธและการลงโทษของพระเจ้าอีกด้วย นี่เป็นเหมือนพระราชกิจท่ามกลางคนยิวขององค์พระเยซูเจ้าเลยทีเดียว เมื่อพวกฟาริสีกุเรื่องโกหกสารพัดและพูดให้ร้ายพระองค์ เช่น พูดว่าความสามารถในการขับไล่พวกมารขององค์พระเยซูเป็นเพราะพระองค์ทรงร่ายเวทมนตร์ของเบเอลเซบูล ผู้เป็นนายผี โดยพูดว่าพระองค์ถูกพวกมารเข้าสิง รวมไปถึงสิ่งอื่นๆ ต่างๆ ที่ลบหลู่ศาสนา เพราะคำโกหกและข่าวลือต่างๆ ของพวกฟาริสี เพราะพวกเขาขาดวิจารณญาณ และเพราะพวกเขาไม่ศึกษาพระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าอย่างรอบคอบ คนยิวหลายคนได้รับเอาเส้นทางอันชั่วช้าของการต่อต้านพระเจ้า ยอมรับเรื่องโกหกของพวกฟาริสีอย่างมืดบอดและเข้าร่วมกับพวกเขาในการทอดทิ้งและการสังหารองค์พระเยซูเจ้าเสีย พวกฟาริสีเผยแพร่การเท็จและพูดให้ร้ายและกล่าวหมิ่นประมาทพระเจ้า และพวกเราทุกคนต่างก็สามารถเดาได้ว่าพวกเขาพบกับจุดจบอะไร ทว่าแล้วพวกคนยิวเหล่านั้นที่รับเอาเรื่องโกหกและคำให้ร้ายไว้ว่าเป็นความจริง—จุดจบของพวกเขาก็ไม่ใช่โศกนาฏกรรมเหมือนกันหรอกหรือ? พวกเขาทนทุกข์การทำลายล้างระดับชาติอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและคนยิวได้กระจัดกระจายไปในทุกทิศทุกทาง พวกเขาไม่มีบ้านให้กลับไปมาเป็นเวลา 2,000 ปีแล้ว เหล่านี้ไม่ใช่ผลสืบเนื่องของการรับเอาคำโกหกของพวกฟาริสีไว้ว่าเป็นความจริงและเป็นการต่อต้านพระเจ้าหรอกหรือ? พวกเราสามารถมองเห็นได้ ว่าพวกที่เชื่อในพระเจ้าโดยปราศจากหัวใจที่เคารพยำเกรง พวกที่ไม่แสวงหาหรือเจาะลึกถึงพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า และพวกที่เชื่อคำโกหกอย่างง่ายดายได้กลายเป็นผู้ร่วมกระทำผิดกับซาตานและพวกกระทำการชั่วช้าทั้งหลายที่ต่อต้านพระเจ้า ในท้ายที่สุด พวกเขาก็จมลงสู่การทำลายล้างเพราะการต่อต้านพระเจ้านี้ การนี้ทำให้สิ่งที่เขียนไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ลุล่วง “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้” (โฮเซยา 4:6) “แต่คนโง่ตายเพราะขาดสามัญสำนึก” (สุภาษิต 10:21)
มีกล่าวไว้ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ว่าพวกมารโกหกมาตั้งแต่แรกเริ่ม การโกหกและการพูดให้ร้ายคือเล่ห์เพทุบายธรรมดาสองข้อที่ซาตานใช้เพื่อต่อต้านพระเจ้าและหลอกลวงผู้คน และเจตนาอันชั่วช้ากับความเจ้าเล่ห์ของมันถูกแอบซ่อนไว้ภายใน อย่างไรก็ตาม พระปรีชาญาณของพระเจ้าล้ำหน้าเล่ห์เพทุบายของซาตานหนึ่งก้าวเสมอ ซาตานไม่เพียงไม่สามารถทำลายพระราชกิจของพระเจ้าได้เท่านั้น แต่ตรงกันข้ามคือมันยังให้การรับใช้ของมันแก่พระราชกิจของพระเจ้าด้วย เฉกเช่นเดียวกับตอนที่พวกหัวหน้าปุโรหิต พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีชาวยิวได้พยายามอย่างหนักมากที่จะต่อต้านและกล่าวโทษพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า พวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับโรมันให้องค์พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน โดยคิดว่าพวกเขากำลังประสบความสำเร็จกับแผนร้ายของพวกเขา และพวกเขาก็คงจะกำจัดพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า แต่พวกเขาก็ต้องประหลาดใจครั้งใหญ่ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” การนี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงใช้เล่ห์เพทุบายของซาตานสัมฤทธิ์แผนการบริหารจัดการของพระองค์และทำให้การไถ่มวลมนุษย์ของพระองค์เสร็จสิ้น วันนี้ก็ไม่แตกต่างเลย ถึงแม้ว่ามีผู้นำในนิกายต่างๆ ที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งการสร้างเรื่องโกหกและข่าวลือต่างๆ เพื่อต่อต้านพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ไม่เพียงแต่การทั้งหมดนี้ไม่สามารถทำอันตรายพระราชกิจของพระเจ้าได้ ทว่าอันที่จริงแล้ว พวกเขายังช่วยในการทำให้พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์สำเร็จลุล่วง ได้แก่ พระราชกิจแห่งการเก็บเกี่ยวและการฝัดข้าว การแยกข้าวสาลีออกจากข้าวละมาน แยกแกะออกจากแพะ การจัดกลุ่มมนุษย์ตามประเภทของพวกเขา และมอบบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว โดยผ่านทางประสบการณ์ที่แท้จริงของเรา พวกเราได้เห็นว่าคำโกหกของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนและโลกศาสนาได้หลอกลวงพี่น้องชายหญิงบางคนที่ไม่เข้าใจสถานการณ์ที่แท้จริง อย่างไรก็ตาม โดยผ่านทางการแสวงหาและการเจาะลึกในพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงแท้และรักความจริงมองเห็นข้อเท็จจริงได้อย่างชัดเจนว่าหนทางที่แท้จริงได้ตกอยู่ภายใต้การบีบคั้นนานมาแล้วตั้งแต่โบราณกาล พวกเขาเข้าใจว่ายิ่งรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนและโลกศาสนาต่อต้านและกล่าวโทษพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ามากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเป็นหนทางที่แท้จริงมากขึ้นเท่านั้น—ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงหันกลับมาหาพระเจ้า แต่พวกที่ชิงชังและเกลียดความจริง รับฟังเรื่องโกหกและข่าวลือต่างๆ และติดตามคนอื่นๆ ไปอย่างไร้เหตุผล เพราะพวกเขารักความชั่วร้ายและรักบูชาอำนาจ ผลก็คือ พวกเขาติดอยู่ในใยแห่งการโกหกและติดอยู่ภายนอกประตูของราชอาณาจักร นั่นไม่ใช่พระปรีชาญาณและมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าหรอกหรือ? คำโกหกอาจมัดแน่นรวมไว้กับ “ข้าวละมาน” แต่คำโกหกไม่ส่งผลเดียวกันต่อ “เมล็ดข้าวสาลี” ลมพัดแกลบกระจายไปขณะที่เมล็ดที่สมบูรณ์ จะถูกรวบรวมไว้ในยุ้งฉางในท้ายที่สุด ด้วยวิธีนี้ เล่ห์เพทุบายของซาตานจึงลงเอยด้วยการเป็นเครื่องมือ วัตถุที่ใช้ปรนนิบัติเพื่อให้พระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าเสร็จสิ้น คือพระราชกิจการจัดกลุ่มมนุษย์ตามประเภทของพวกเขา การมอบบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว พระราชกิจของพระเจ้าน่าอัศจรรย์และยากหยั่งถึงยิ่งนัก
เมื่อเราพูดมาถึงจุดนี้ เราวางใจว่าเจ้าได้รับความรู้บ้างเกี่ยวกับเหตุของข่าวลือ แก่นแท้ของมันและอันตรายของมัน! และในตอนนี้ พระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้มาถึงจุดสูงสุดใหม่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน—พระราชกิจนี้เข้าหาการสรุปปิดตัวอันรุ่งโรจน์และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะทรงเผยพระองค์เองต่อทุกประชาชาติและผู้คนทั้งปวงจะได้เห็นพระองค์ ในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งยวดเช่นนี้ เจ้าเต็มใจที่สูญเสียชีวิตของเจ้าเพียงเพราะโดนข่าวลือบางข่าวหลอกอย่างนั้นหรือ? เจ้าเต็มใจที่พลาดความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าไปเพียงนิดเดียวเพราะการนั้นไหม? เราเชื่อว่าบุคคลผู้มีปัญญาทุกคนจะทำการเลือกที่ชาญฉลาดอย่างแน่นอน
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ