ความแตกต่างระหว่างชีวิตคริสตจักรในยุคพระคุณกับยุคแห่งราชอาณาจักร
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
ในยุคพระคุณนั้น เมื่อพระเจ้ากลับสู่สวรรค์ชั้นที่สาม พระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงของพระเจ้าได้เคลื่อนเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของมันแล้วอย่างแท้จริง ทั้งหมดที่ยังคงเหลือบนแผ่นดินโลกก็คือกางเขนที่พระเยซูทรงแบกไว้บนพระปฤษฎางค์ของพระองค์ ผ้าลินินเนื้อดีที่เคยห่อพระเยซูไว้ และมงกุฎหนามและเสื้อคลุมสีเลือดหมูที่พระเยซูทรงสวม (เหล่านี้คือสิ่งที่คนยิวใช้เพื่อเยาะเย้ยพระองค์) กล่าวคือ หลังจากที่พระราชกิจแห่งการตรึงกางเขนพระเยซูได้ก่อให้เกิดการสำนึกรับรู้ที่ยิ่งใหญ่แล้วนั้น สิ่งต่างๆ ก็คลี่คลายลงอีกครั้ง จากนั้นเป็นต้นมา บรรดาสาวกของพระเยซูก็ได้เริ่มดำเนินพระราชกิจของพระองค์ ทำการเป็นผู้เลี้ยงและให้น้ำในคริสตจักรทุกแห่ง เนื้อหาของงานของพวกเขามีดังต่อไปนี้ กล่าวคือ พวกเขาได้ขอให้ผู้คนทั้งปวงกลับใจ สารภาพบาปของพวกเขา และรับบัพติศมา และอัครทูตทั้งหมดได้ออกไปเผยแผ่เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลัง เหตุการณ์ที่ไม่เลือนหายไป เกี่ยวกับการตรึงกางเขนพระเยซู และดังนั้น จึงช่วยไม่ได้ที่ทุกคนจะเพียงแต่ทรุดลงกราบเฉพาะพระพักตร์ของพระเยซูเพื่อสารภาพบาปของพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น บรรดาอัครทูตได้ไปทุกหนแห่งเพื่อถ่ายทอดพระวจนะที่พระเยซูได้ตรัสไว้ จากจุดนั้นก็ได้เริ่มมีการสร้างคริสตจักรขึ้นในยุคพระคุณ
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (6)
ในอดีต ในช่วงระหว่างการชุมนุมพิเศษหรือการชุมนุมใหญ่ที่จัดขึ้นตามสถานที่ต่างๆ มีการพูดถึงเส้นทางการปฏิบัติเพียงแง่มุมเดียวเท่านั้น วิธีปฏิบัติเช่นนั้นคือสิ่งที่ต้องนำมาปฏิบัติในช่วงระหว่างยุคพระคุณ และแทบจะไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ กับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าเลย เพราะนิมิตของยุคพระคุณเป็นเพียงนิมิตเกี่ยวกับการตรึงกางเขนของพระเยซู และย่อมไม่มีนิมิตทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่กว่า มนุษย์ไม่ได้ควรต้องรู้มากไปกว่าพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์โดยผ่านทางการตรึงกางเขนของพระองค์ และดังนั้น ย่อมไม่มีนิมิตอื่นใดในช่วงระหว่างยุคพระคุณให้มนุษย์ล่วงรู้ ในหนทางนี้ มนุษย์จึงเพียงมีความรู้อันจำกัดเกี่ยวกับพระเจ้าเท่านั้น และนอกเหนือจากความรู้เกี่ยวกับความรักและความกรุณาของพระเยซูแล้ว ก็มีเพียงสิ่งที่เรียบง่ายและน่าสงสารไม่กี่อย่างให้มนุษย์นำไปปฏิบัติ ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากวันนี้อย่างมาก ในอดีต ไม่ว่าสมัชชาของมนุษย์จะจัดขึ้นในรูปแบบใดก็ตาม มนุษย์ก็ไม่ได้สามารถพูดถึงความรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้า นับประสาอะไรที่ใครบางคนจะมีความสามารถที่จะพูดได้อย่างชัดเจนว่าเส้นทางการปฏิบัติใดเป็นเส้นทางที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้มนุษย์เข้าสู่ มนุษย์เพียงเพิ่มรายละเอียดง่ายๆ ไม่กี่อย่างลงในรากฐานของการอดกลั้นและความอดทน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเนื้อแท้ของการปฏิบัติของเขาเลย เพราะภายในยุคเดียวกันนั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจใดที่ใหม่กว่า และข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อมนุษย์ก็มีเพียงการอดกลั้นและความอดทน หรือการแบกกางเขนเท่านั้น นอกเหนือจากการปฏิบัติเช่นนั้นแล้ว ก็ไม่มีนิมิตใดที่สูงกว่าการตรึงกางเขนของพระเยซูอีก
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์
ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติไม่ได้จำกัดแค่การปฏิบัติสิ่งทั้งหลาย อย่างเช่นการอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ การมีส่วนร่วมในชีวิตของคริสตจักร และการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันถึงการใช้ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ใหม่และสว่างไสวด้วย สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ว่าเจ้าปฏิบัติอย่างไร แต่เป็นดอกผลที่มาจากการปฏิบัติของเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติจำเป็นต้องเกี่ยวพันกับการอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือการไตร่ตรองเกี่ยวกับพระวจนะของพระองค์ ไม่ว่าการปฏิบัติเช่นนั้นจริงๆ แล้วจะมีผลลัพธ์ใดๆ หรือนำไปสู่ความเข้าใจที่แท้จริงหรือไม่ก็ตาม ผู้คนเหล่านี้มุ่งเน้นที่การปฏิบัติตามขั้นตอนที่ผิวเผิน โดยไม่มีความคิดใดๆ ถึงผลลัพธ์ของพวกมัน พวกเขาคือผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในพิธีกรรมของศาสนา ไม่ใช่ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในคริสตจักร และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะเป็นประชากรของราชอาณาจักร การอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ และการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของพวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ทำไปเพราะความจำต้องทำและเพื่อให้ตามสมัยนิยมได้ทัน ไม่ใช่ทำเพราะความเต็มใจหรือทำจากหัวใจ ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะอธิษฐานหรือร้องเพลงมากเพียงใดก็ตาม ความพยายามของพวกเขาจะไม่ผลิดอกออกผล เพราะสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติเป็นเพียงกฎเกณฑ์และพิธีกรรมของศาสนา พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ พวกเขามุ่งเน้นแค่การเอะอะโวยวายว่าพวกเขาปฏิบัติอย่างไรเท่านั้น และพวกเขาปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าเหมือนเป็นกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตาม ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้กำลังนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ พวกเขาเพียงกำลังสนองความต้องการของเนื้อหนัง และปฏิบัติเพื่อให้คนอื่นมองเห็น กฎเกณฑ์และพิธีกรรมทางศาสนาเหล่านี้ต่างมีต้นกำเนิดจากมนุษย์ และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ อีกทั้งพระองค์ยังไม่ทรงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายใดๆ แต่พระองค์ทรงกระทำสิ่งใหม่ๆ ทุกวัน และสำเร็จลุล่วงพระราชกิจภาคปฏิบัติ เช่นเดียวกับผู้คนในคริสตจักรหลักการพึ่งตนเองสามด้านที่จำกัดตัวเองแค่การปฏิบัติ เช่น การเข้าร่วมนมัสการตอนเช้าทุกวัน การถวายคำอธิษฐานตอนเย็นและการอธิษฐานขอบคุณก่อนมื้ออาหาร และการขอบคุณในทุกสรรพสิ่ง—ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติมากเพียงใดและไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติยาวนานเพียงใดก็ตาม พวกเขาจะไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกฎเกณฑ์และมีหัวใจที่ยึดติดกับวิธีการปฏิบัติ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจได้ เพราะหัวใจของพวกเขาถูกกฎเกณฑ์และมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์จับจองอยู่ ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงไร้ความสามารถที่จะเข้ามาแทรกแซงและปฏิบัติพระราชกิจกับพวกเขาได้ และพวกเขาสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายเท่านั้น ผู้คนเช่นนั้นไม่สามารถรับคำสรรเสริญจากพระเจ้าได้ตลอดกาล
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ
ในช่วงระหว่างครรลองแห่งการเข้าสู่ของมนุษย์ ชีวิตนั้นน่าเบื่ออยู่เสมอ โดยเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่ซ้ำซากของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ เช่น การอธิษฐาน การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือการจัดการชุมนุม และดังนั้นผู้คนจึงรู้สึกเสมอว่าการที่เชื่อในพระเจ้าไม่นำความชื่นชมยินดีที่ยิ่งใหญ่ใดๆ มาให้ กิจกรรมฝ่ายจิตวิญญาณเช่นนั้นมักจะได้รับการดำเนินการจนเสร็จสิ้นบนพื้นฐานของอุปนิสัยแต่ดั้งเดิมของมนุษยชาติ ซึ่งได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้ว ถึงแม้ว่าในบางครั้งผู้คนจะสามารถรับความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้ แต่การคิด อุปนิสัย รูปแบบการใช้ชีวิต และนิสัยแต่ดั้งเดิมยังคงหยั่งรากอยู่ภายใน และดังนั้นธรรมชาติของพวกเขาจึงยังคงไม่เปลี่ยนแปลง…อันที่จริงแล้ว เมื่องานช่วงระยะหนึ่งของพระเจ้าแล้วเสร็จ พระองค์ได้ทรงทำลายเครื่องมือและลักษณะแนวแบบของช่วงเวลานั้นโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ แล้ว อย่างไรก็ตาม “ผู้เชื่อที่เคร่งครัด” ยังเคารพบูชาวัตถุทางกายที่จับต้องได้เหล่านั้นต่อไป ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ส่งสิ่งที่พระเจ้าทรงมีไปไว้ข้างหลัง ไม่ศึกษาสิ่งนั้นเพิ่มเติมแต่อย่างใด และดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความรักพระเจ้าทั้งที่จริงแล้วพวกเขาได้ผลักพระองค์ออกไปนอกบ้านมานานแล้ว และวางซาตานไว้บนหิ้งเพื่อเคารพบูชา ภาพวาดของพระเยซู กางเขน นางมารีย์ การบัพติศมาของพระเยซู และอาหารค่ำมื้อสุดท้าย—ผู้คนเคารพสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้า ในขณะเดียวกันก็กู่ร้องซ้ำๆ ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระบิดาแห่งสวรรค์” ทั้งหมดนี่ไม่ใช่เรื่องตลกหรือ? จนถึงวันนี้ คำกล่าวและการปฏิบัติที่คล้ายกันมากมายที่ได้รับการส่งต่อมาท่ามกลางมนุษยชาตินั้นเป็นที่น่าชังสำหรับพระเจ้า สิ่งเหล่านั้นขัดขวางหนทางข้างหน้าสำหรับพระเจ้าอย่างร้ายแรง และยิ่งไปกว่านั้น ยังทำให้เกิดการเสื่อมถอยอย่างมากต่อการเข้าสู่ของมนุษยชาติ เมื่อลองไม่มองขอบเขตที่ซาตานได้ทำให้มนุษยชาติเสื่อมทรามแล้ว ภายในของผู้คนก็เต็มไปด้วยสิ่งต่างๆ เช่นกฎของวิทเนส ลี ประสบการณ์ของลอว์เรนซ์ การสำรวจโดยวอทช์แมน นี และงานของเปาโลอย่างครบบริบูรณ์ ไม่มีทางที่พระเจ้าจะทรงพระราชกิจต่อมนุษย์ได้เลย เพราะภายในพวกเขานั้น พวกเขามีปัจเจกนิยม กฎหมาย กฎเกณฑ์ ข้อบังคับ ระบบ และสิ่งในทำนองนั้นมากเกินไป นอกเหนือจากแนวโน้มการเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติแบบระบอบศักดินาของผู้คนแล้ว สิ่งเหล่านี้ได้จับกุมและล้างผลาญมนุษยชาติแล้ว เสมือนว่าความคิดของผู้คนเป็นภาพยนตร์น่าสนใจที่เล่าเทพนิยายแบบสี่สี ซึ่งมีสิ่งมีชีวิตน่ามหัศจรรย์ขี่ก้อนเมฆ ช่างจินตนาการจนพวกมันทำให้ผู้คนประหลาดใจ ทิ้งไว้ให้พวกเขารู้สึกตกตะลึงและพูดไม่ออก หากให้พูดความจริง พระราชกิจที่พระเจ้าเสด็จมาทำในวันนี้โดยหลักแล้วคือการจัดการและขับไล่คุณลักษณะที่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติของพวกมนุษย์ และแปลงรูปทัศนะทางจิตใจของพวกเขาอย่างครบบริบูรณ์ งานของพระเจ้าไม่ได้คงอยู่มาถึงวันนี้เพราะการรับมรดกตกทอดที่มนุษยชาติได้ส่งต่อมาโดยผ่านทางรุ่นต่อรุ่น แต่เป็นเพราะงานที่พระองค์ทรงริเริ่มและทำให้เสร็จสิ้นด้วยพระองค์เอง โดยไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ต้องมีการรับช่วงต่อสิ่งสืบทอดจากมนุษย์ที่มีจิตวิญญาณยิ่งใหญ่บางคน หรือรับมรดกตกทอดจากงานใดๆ ที่มีธรรมชาติเป็นสิ่งแทนซึ่งพระเจ้าทรงปฏิบัติในยุคอื่นๆ บางยุค มนุษย์ไม่จำเป็นต้องสนใจที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องใดๆ เหล่านี้ วันนี้พระเจ้าทรงมีลักษณะการตรัสและการทรงงานอีกแบบหนึ่ง ดังนั้นแล้ว เหตุใดมนุษย์ถึงสร้างปัญหาให้ตัวเองเล่า? หากมนุษย์เดินบนเส้นทางของวันนี้ภายในกระแสทางเดินปัจจุบันในขณะเดียวกันก็ดำเนินตามสิ่งสืบทอดของ “บรรพบุรุษ” ของพวกเขาต่อไปแล้ว พวกเขาจะไม่ไปถึงบั้นปลายของพวกเขา พระเจ้าทรงรู้สึกแขยงพฤติกรรมรูปแบบเฉพาะนี้ของมนุษย์อย่างมาก เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงชังช่วงเวลาหลายปี หลายเดือน และหลายวันของโลกมนุษย์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (3)
คำสรรเสริญได้มาสู่ศิโยน และสถานที่ประทับของพระเจ้าได้ปรากฏขึ้น พระนามบริสุทธิ์อันรุ่งโรจน์ซึ่งได้รับการถวายสาธุการโดยบรรดาผู้คนทั้งปวงแพร่ไปทั่ว โอ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! พระเศียรแห่งจักรวาล พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย—พระองค์ทรงเป็นองค์ตะวันอันทรงแสงที่ขึ้นบนภูเขาศิโยน ซึ่งตั้งตระหง่านเหนือจักรวาลทั้งมวลด้วยพระบารมีและความโอ่อ่าตระการ…
ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์! พวกข้าพระองค์ร้องเรียกไปยังพระองค์ด้วยความยินดีปรีดา พวกข้าพระองค์เต้นรำและขับร้อง พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของพวกข้าพระองค์อย่างแท้จริง ทรงเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งจักรวาล! พระองค์ได้ทรงจัดกลุ่มของผู้ชนะขึ้นและทำให้แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าลุล่วง ผู้คนทั้งปวงจะหลั่งไหลมายังภูเขาแห่งนี้ ผู้คนทั้งปวงจะคุกเข่าลงต่อหน้าพระบัลลังก์! พระองค์คือพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์นั้นแต่ผู้เดียว พระองค์ทรงสมควรแก่พระสิริและพระเกียรติ ขอพระสิริ คำสรรเสริญ และสิทธิอำนาจทั้งปวงจงมีแด่พระบัลลังก์! ฤดูใบไม้ผลิแห่งชีวิตไหลออกจากพระบัลลังก์ ให้น้ำและหล่อเลี้ยงมวลชนซึ่งเป็นประชากรของพระเจ้า ชีวิตเปลี่ยนแปลงในแต่ละวัน ความสว่างใหม่และวิวรณ์ใหม่ติดตามพวกเราไป ให้ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกใหม่ๆ เกี่ยวกับพระเจ้าแก่เราอยู่เนืองนิตย์ ท่ามกลางประสบการณ์มากหลาย พวกเรามาถึงความมั่นใจที่ครบบริบูรณ์เกี่ยวกับพระเจ้า พระวจนะของพระองค์ได้รับการสำแดงอยู่เนืองนิตย์ พระวจนะของพระองค์ได้รับการสำแดงภายในผู้คนที่ถูกต้องเหล่านั้น พวกเราช่างได้รับการอวยพรมากมายเสียจริง! ทั้งการพบพระเจ้าแบบเผชิญกันในแต่ละวัน การพูดคุยกับพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง และการให้อำนาจอธิปไตยของพระเจ้าเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง ขอให้พวกเราจงใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าอย่างรอบคอบ หัวใจของพวกเราพักผ่อนอย่างสงบเงียบในพระเจ้า และด้วยเหตุนี้เอง พวกเราจึงได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ในที่ซึ่งพวกเราได้รับความสว่างของพระองค์ ทุกวันในชีวิตของพวกเรา ในการกระทำของพวกเรา ในคำพูดของพวกเรา ในความคิดของพวกเราและในแนวคิดของพวกเรา พวกเราใช้ชีวิตภายในพระวจนะของพระเจ้า พวกเรามีความสามารถที่จะแยกแยะได้ตลอดเวลา พระวจนะของพระเจ้าทรงนำเส้นด้ายทะลุผ่านรูเข็ม สิ่งต่างๆ สิ่งแล้วสิ่งเล่าที่ซ่อนเร้นภายในตัวพวกเราได้เข้ามาสู่ความสว่างอย่างไม่ได้คาดหมาย การสามัคคีธรรมกับพระเจ้าไม่อนุญาตให้ล่าช้า ความคิดและแนวคิดของพวกเราถูกแผ่วางโดยพระเจ้า พวกเรากำลังใช้ชีวิตต่อหน้าพระบัลลังก์ของพระคริสต์ทุกชั่วขณะ ที่ซึ่งพวกเราก้าวผ่านการพิพากษา ทุกส่วนภายในร่างกายของพวกเรายังคงถูกจับจองโดยซาตาน ในวันนี้ เพื่อที่จะฟื้นฟูอำนาจอธิปไตยของพระเจ้า วิหารของพระองค์ต้องได้รับการชำระให้สะอาด การที่จะให้พระเจ้าทรงครองอย่างครบบริบูรณ์นั้น พวกเราต้องมีส่วนร่วมกับการต่อสู้ดิ้นรนที่เป็นเรื่องของความเป็นความตาย เมื่อตัวตนเก่าของพวกเราได้ถูกตรึงกางเขนแล้วเท่านั้น ชีวิตที่ทรงคืนพระชนม์ของพระคริสต์จึงสามารถปกครองสูงสุดได้
ในตอนนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเริ่มปฏิบัติการในทุกๆ มุมของพวกเราเพื่อทำการสู้รบสำหรับการเรียกคืนของพวกเรา! ตราบเท่าที่พวกเราพร้อมที่จะปฏิเสธตัวเอง และเต็มใจร่วมมือกับพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงมอบความกระจ่างแก่พวกเรา และชำระพวกเราให้บริสุทธิ์จากภายในตลอดเวลาอย่างแน่นอน และเรียกคืนสิ่งที่ซาตานได้จับจองกลับมาใหม่อีกครั้ง เพื่อที่พวกเราอาจกลายเป็นครบบริบูรณ์โดยพระเจ้าโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จงอย่าเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์—จงใช้ชีวิตทุกชั่วขณะภายในพระวจนะของพระเจ้า จงเสริมสร้างร่วมกับเหล่าธรรมิกชน จงได้รับการนำไปสู่ราชอาณาจักร และจงเข้าสู่พระสิริร่วมกับพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 1
วันนี้ พระองค์ได้ทรงทำให้คริสตจักรทั้งมวลครบบริบูรณ์—คริสตจักรแห่งฟีลาเดลเฟีย—และเช่นนั้นจึงเป็นการทำให้แผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระองค์ลุล่วงไป เหล่าธรรมิกชนสามารถนบนอบตนเองเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้อย่างถ่อมใจ ได้รับการเชื่อมโยงในจิตวิญญาณ และกำลังติดตามไปด้วยความรัก ร่วมกันไปยังแหล่งกำเนิดแห่งน้ำพุ น้ำแห่งชีวิตซึ่งมีชีวิตนั้นดำเนินไปโดยไม่หยุดยั้ง ทำการซักล้างและชำระล้างโคลนตมและน้ำโสโครกทั้งหมดในคริสตจักรออกไป และชำระพระวิหารของพระองค์ให้บริสุทธิ์อีกครั้ง พวกเราได้มารู้จักพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง ได้เดินอยู่ภายในพระวจนะของพระองค์ ได้ระลึกรู้ถึงหน้าที่รับผิดชอบและหน้าที่ของพวกเราเอง และได้ทำทุกอย่างที่พวกเราทำได้เพื่อสละตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อคริสตจักร ด้วยการนิ่งสงบเฉพาะพระพักตร์พระองค์อยู่เสมอ พวกเราต้องใส่ใจพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มิฉะนั้นอาจเสี่ยงต่อการที่น้ำพระทัยของพระองค์จะถูกขัดขวางในตัวพวกเรา ท่ามกลางธรรมิกชนทั้งหลายนั้นมีความรักซึ่งกันและกัน และความแข็งแกร่งของบางคนจะทดแทนให้กับการล้มเหลวของคนอื่นๆ พวกเขามีความสามารถที่จะเดินไปในจิตวิญญาณได้ตลอดเวลา โดยได้รับการให้ความรู้แจ้งและการให้ความกระจ่างโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขานำความจริงมาฝึกฝนปฏิบัติทันทีที่เข้าใจความจริงนั้น พวกเขาก้าวทันความสว่างใหม่ และติดตามก้าวพระบาทของพระเจ้า
จงร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแข็งขัน การปล่อยให้พระองค์เข้าควบคุมก็คือการเดินไปกับพระองค์ แนวความคิด มโนคติที่หลงผิด ความคิดเห็นและความยุ่งเหยิงทางโลกวิสัยทั้งปวงของพวกเราอันตรธานไปเป็นอากาศธาตุบางเบาเสมือนควัน พวกเราปล่อยให้พระเจ้าทรงครองราชย์สูงสุดในจิตวิญญาณของพวกเรา เดินไปกับพระองค์ และดังนั้นจึงได้รับอุตรภาพ อันเป็นการเอาชนะโลก และจิตวิญญาณของพวกเราก็ย่อมโบยบินอย่างเป็นอิสระ และบรรลุการปลดปล่อย นี่คือบทอวสานเมื่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงกลายเป็นองค์กษัตริย์ พวกเราสามารถที่จะไม่เต้นรำและขับร้องเพื่อเป็นการสรรเสริญ ถวายคำสรรเสริญของพวกเรา ถวายบทเพลงสรรเสริญใหม่ๆ ได้อย่างไรเล่า?
แท้จริงแล้วมีหนทางมากมายที่จะสรรเสริญพระเจ้า ได้แก่ การเรียกขานพระนามของพระองค์ การเข้าใกล้ชิดพระองค์ การคิดถึงพระองค์ การอ่านบทอธิษฐาน การเข้าร่วมในสามัคคีธรรม การใคร่ครวญและไตร่ตรอง การอธิษฐาน และบทเพลงแห่งการสรรเสริญ ในการสรรเสริญประเภทเหล่านี้มีความชื่นชมยินดี และมีการเจิมตั้ง มีพลังอำนาจอยู่ในการสรรเสริญ และก็มีภาระด้วยเช่นกัน ในการสรรเสริญมีความเชื่อ และมีความเข้าใจเชิงลึกใหม่
จงร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแข็งขัน ประสานงานในการปรนนิบัติและกลายเป็นหนึ่งเดียว ทำให้เจตนารมณ์ทั้งหลายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ลุล่วงไป เร่งรุดที่จะกลายเป็นกายจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ เหยียบย่ำซาตาน และทำให้ชะตากรรมซาตานมาถึงบทอวสาน คริสตจักรฟิลาเดลเฟียได้ถูกรับขึ้นไปอยู่ในการสถิตของพระเจ้าแล้วและได้รับการสำแดงอยู่ในพระสิริของพระองค์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 2
ชนชาติทั้งมวลกำลังเปล่งเสียงร้องแสดงความยินดี กลุ่มชนทั้งปวงกำลังร้องเพลง ภูเขาศิโยนกำลังหัวเราะอย่างเปรมปรีดิ์ และพระสิริของพระเจ้าได้เกิดขึ้นแล้ว! เราไม่เคยฝันว่าเราจะได้เห็นพระพักตร์ของพระเจ้า แต่แล้ววันนี้เราก็ได้เห็นแล้ว ได้อยู่กับพระองค์แบบต่อหน้าทุกวัน เราวางแผ่หัวใจของเราต่อพระองค์ พระองค์ทรงจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่มอย่างมากมาย ชีวิต ถ้อยคำ การกระทำ ความนึกคิด แนวความคิดต่างๆ—ความสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้าให้ความกระจ่างแก่สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด พระองค์ทรงนำทุกย่างก้าวตลอดวิถีทาง และการพิพากษาของพระองค์เกิดขึ้นโดยทันทีต่อหัวใจที่เป็นกบฏ
การกิน การอยู่ร่วมกันและการใช้ชีวิตร่วมกันกับพระเจ้า การอยู่ร่วมกันกับพระองค์ การดำเนินร่วมกัน การเปรมปรีดิ์ร่วมกัน การได้รับพระสิริและพระพรร่วมกัน การแบ่งปันความเป็นกษัตริย์กับพระองค์ และการดำรงอยู่ร่วมกันในราชอาณาจักร—โอ ช่างเป็นความหรรษายินดีโดยแท้! โอ มันช่างอ่อนหวานเสียจริง! เราได้อยู่กับพระองค์แบบต่อหน้าทุกวัน ได้พูดกับพระองค์ทุกวันและคุยกันเป็นเนืองนิตย์ และได้รับความรู้แจ้งใหม่และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกใหม่ๆ ทุกวัน ดวงตาฝ่ายวิญญาณของพวกเราเปิดขึ้น และพวกเรามองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง บรรดาความลึกลับทั้งหมดของจิตวิญญาณได้ถูกเปิดเผยแก่พวกเรา ชีวิตบริสุทธิ์นั้นไร้ความกังวลอย่างแท้จริง จงวิ่งไปอย่างรวดเร็วและอย่าหยุด จงมุ่งไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง—มีชีวิตที่น่าอัศจรรย์กว่าอยู่เบื้องหน้า จงอย่ารู้สึกพึงพอใจกับเพียงรสหวาน จงแสวงหาอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะเข้าสู่พระเจ้า พระองค์ทรงครอบคลุมทั้งหมดและทรงโอบอ้อมอารี ทรงมีสรรพสิ่งทุกชนิดที่พวกเราขาดแคลน จงร่วมมือกันอย่างมั่นใจและเข้าสู่พระองค์ และจะไม่มีสิ่งใดเป็นเหมือนเดิมอีกเลย ชีวิตของพวกเราจะหลุดพ้น และจะไม่มีบุคคล เรื่อง หรือสิ่งใดที่จะสามารถก่อกวนเราได้
การหลุดพ้น! การหลุดพ้น! การหลุดพ้นที่แท้จริง! ชีวิตที่หลุดพ้นของพระเจ้าอยู่ภายใน และสรรพสิ่งทั้งหมดได้กลายเป็นผ่อนคลายอย่างแท้จริง! พวกเราหลุดพ้นโลกนี้และสิ่งต่างๆ ทางโลก โดยไม่รู้สึกถึงการผูกพันกับบรรดาสามีหรือบุตรหลาน พวกเราหลุดพ้นการควบคุมของความเจ็บป่วยและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซาตานไม่กล้ารบกวนเรา เราหลุดพ้นความวิบัติทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง นี่จะเป็นการยอมให้พระเจ้าได้รับเอาความเป็นกษัตริย์! พวกเราเหยียบย่ำซาตานให้สยบอยู่ใต้ฝ่าเท้า จงยืนหยัดเป็นพยานให้แก่คริสตจักร และเปิดโปงหน้าตาอันอัปลักษณ์ของซาตานอย่างถ้วนทั่ว การก่อสร้างคริสตจักรอยู่ในพระคริสต์ และพระกายอันรุ่งโรจน์ได้เกิดขึ้นแล้ว—นี่คือการใช้ชีวิตในความปลาบปลื้มยินดี!
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 15
การเข้าสู่การฝึกฝนของราชอาณาจักรหมายถึงการเริ่มต้นชีวิตของประชากรของพระเจ้า—เจ้าเต็มใจยอมรับการฝึกฝนเช่นนั้นหรือไม่? เจ้าเต็มใจที่จะรู้สึกถึงสำนึกรับรู้ของความเร่งด่วนหรือไม่? เจ้าเต็มใจที่จะใช้ชีวิตภายใต้การบ่มวินัยของพระเจ้าหรือไม่? เจ้าเต็มใจที่จะใช้ชีวิตภายใต้การตีสอนของพระเจ้าหรือไม่? เมื่อพระวจนะของพระเจ้ามาถึงเจ้าและทดสอบเจ้า เจ้าจะกระทำการอย่างไร? และเจ้าจะทำสิ่งใดเมื่อเผชิญกับข้อเท็จจริงทุกอย่าง? ในอดีต การมุ่งเน้นของเจ้าไม่ได้อยู่ที่ชีวิต วันนี้ เจ้าต้องมุ่งเน้นไปที่การเข้าสู่ชีวิตความเป็นจริง และไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า นี่คือสิ่งที่ต้องสัมฤทธิ์ผลโดยประชากรของราชอาณาจักร บรรดาผู้ที่เป็นประชากรของพระเจ้าต้องครอบครองชีวิต พวกเขาต้องยอมรับการฝึกฝนของราชอาณาจักร และไล่ตามเสาะหาการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยชีวิตของพวกเขา นี่คือสิ่งที่พระเจ้าพึงประสงค์จากประชากรของราชอาณาจักร
ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าสำหรับประชากรของราชอาณาจักรมีดังต่อไปนี้
1. พวกเขาต้องยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า กล่าวคือ พวกเขาต้องยอมรับพระวจนะทุกคำที่ตรัสไว้ในพระราชกิจยุคสุดท้ายของพระเจ้า
2. พวกเขาต้องเข้าสู่การฝึกฝนของราชอาณาจักร
3. พวกเขาต้องไล่ตามเสาะหาการทำให้หัวใจของพวกเขาได้รับการสัมผัสโดยพระเจ้า เมื่อหัวใจของเจ้าหันเข้าหาพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แล้ว และเจ้ามีชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณปกติ เจ้าก็จะอาศัยอยู่ในอาณาจักรแห่งอิสรภาพ ซึ่งหมายถึงเจ้าจะมีชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลและการคุ้มครองปกป้องของความรักของพระเจ้า เฉพาะเมื่อเจ้ามีชีวิตอยู่ภายใต้การดูแลและการคุ้มครองปกป้องของพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้เจ้าเป็นของพระเจ้า
4. พวกเขาต้องได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า
5. พวกเขาต้องกลายเป็นการสำแดงพระสิริของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก
ห้าประเด็นนี้คือบัญชาของเราสำหรับพวกเจ้า วจนะของเรากล่าวแก่ประชากรของพระเจ้า และหากเจ้าไม่เต็มใจยอมรับบัญชาเหล่านี้ เราจะไม่บังคับเจ้า—แต่หากเจ้ายอมรับบัญชาเหล่านั้นอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า วันนี้ พวกเจ้าเริ่มยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า และไล่ตามเสาะหาที่จะกลายเป็นประชากรของราชอาณาจักรและบรรลุมาตรฐานที่พึงประสงค์ต่อการเป็นประชากรของราชอาณาจักร นี่คือก้าวแรกของการเข้าสู่ หากเจ้าปรารถนาที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างเต็มที่ เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องยอมรับพระบัญชาทั้งห้าประการนี้ และหากเจ้ามีความสามารถที่จะสัมฤทธิ์พระบัญชาเหล่านั้นได้ เจ้าก็จะเป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้า และแน่นอนว่าพระเจ้าจะทรงใช้เจ้าให้เป็นประโยชน์ได้เป็นอย่างมาก สิ่งที่สำคัญยิ่งยวดในวันนี้คือการเข้าสู่การฝึกฝนของราชอาณาจักร การเข้าสู่การฝึกฝนของราชอาณาจักรเกี่ยวข้องกับชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ ก่อนหน้านี้ ไม่มีการพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ แต่วันนี้ ขณะที่เจ้าเริ่มการเข้าสู่การฝึกฝนของราชอาณาจักร เจ้าก็เข้าสู่ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณอย่างเป็นทางการ
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์
บัดนี้เป็นยุคแห่งราชอาณาจักร การที่เจ้าจะได้เข้าสู่ยุคใหม่นี้แล้วหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้วหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าพระวจนะของพระองค์นั้นได้กลายเป็นชีวิตความเป็นจริงของเจ้าแล้วหรือไม่ พระวจนะของพระเจ้านั้นได้รับการทำให้รู้กันทั่วทุกคนก็เพื่อที่ ในท้ายที่สุด ผู้คนทั้งหมดจะใช้ชีวิตในโลกแห่งพระวจนะของพระเจ้า และพระวจนะของพระองค์จะให้ความรู้แจ้งและให้ความกระจ่างกับแต่ละบุคคลจากภายใน หากในช่วงระหว่างเวลานี้ เจ้าไม่ใส่ใจในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า และไม่มีความสนใจในพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วนี่ก็แสดงให้เห็นว่าสภาวะของเจ้านั้นผิดปกติ หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะเข้าสู่ยุคพระวจนะ เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจในตัวเจ้า หากเจ้าได้เข้าสู่ยุคนี้แล้ว พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ อะไรหรือที่เจ้าสามารถทำได้เมื่อเริ่มต้นยุคพระวจนะเพื่อที่จะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์? ในยุคนี้และท่ามกลางพวกเจ้า พระเจ้าจะทรงทำให้ข้อเท็จจริงต่อไปนี้สำเร็จลุล่วง: ที่ว่าทุกคนจะใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ และจะรักพระเจ้าอย่างจริงจังจริงใจ ที่ว่าผู้คนทั้งหมดจะใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นรากฐานและเป็นความเป็นจริงของตนและจะมีหัวใจที่เคารพพระเจ้า และที่ว่าโดยอาศัยการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า มนุษย์จะใช้อำนาจขัตติยะพร้อมไปกับพระเจ้า นี่คืองานที่จะต้องสัมฤทธิ์ผลโดยพระเจ้า เจ้าสามารถอยู่โดยที่ไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่? วันนี้ มีผู้คนมากมายที่รู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถอยู่ได้แม้แต่วันเดียวหรือสองวันโดยที่ไม่ได้อ่านพระวจนะของพระองค์ พวกเขาต้องอ่านพระวจนะของพระองค์ทุกวัน และหากไม่มีเวลา การฟังพระวจนะเหล่านี้ก็จะเพียงพอ นี่คือความรู้สึกที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้แก่ผู้คน และมันเป็นหนทางที่พระองค์ทรงเริ่มที่จะขับเคลื่อนพวกเขา นั่นคือ พระองค์ทรงปกครองผู้คนผ่านพระวจนะ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้าได้ หากหลังจากผ่านไปเพียงแค่หนึ่งวันโดยที่ไม่ได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้ารู้สึกถึงความมืดมิดและความกระหาย และไม่สามารถทนต่อสภาวะเช่นนั้นได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าได้ถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว และแสดงให้เห็นว่าพระองค์ไม่ได้หันหนีไปจากเจ้า เจ้าก็จะเป็นหนึ่งในผู้ซึ่งอยู่ในกระแสนี้ อย่างไรก็ตาม หากหลังจากผ่านไปหนึ่งวันหรือสองวันโดยไม่ได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าไม่ได้รู้สึกอะไรสักอย่าง หากเจ้าไม่มีความกระหาย และไม่ได้ถูกขับเคลื่อนเลยทั้งสิ้น นี่แสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หันหนีไปจากเจ้าแล้ว เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมหมายความว่า มีบางอย่างผิดปกติกับสภาวะภายในตัวเจ้า เจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ยุคพระวจนะ และเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาพวกที่ล้าหลัง พระเจ้าทรงใช้พระวจนะปกครองผู้คน เจ้ารู้สึกดีหากเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และหากเจ้าไม่ได้กินและดื่ม เจ้าย่อมไร้เส้นทางให้ติดตาม พระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นอาหารของผู้คน และเป็นพละกำลังซึ่งขับเคลื่อนพวกเขา พระคัมภีร์กล่าวว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” วันนี้ พระเจ้าจะทรงนำพาพระราชกิจนี้ไปสู่ความครบถ้วนบริบูรณ์ และพระองค์จะทรงทำให้ข้อเท็จจริงนี้สำเร็จลุล่วงในตัวพวกเจ้า เป็นไปได้อย่างไรกันที่ในอดีตนั้น ผู้คนสามารถอยู่ได้หลายวันโดยไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า และกระนั้นก็ยังสามารถกินอาหารและทำงานได้ตามปกติ แต่นี่ไม่ใช่กรณีในวันนี้ใช่ไหม? ในยุคนี้ พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเป็นหลักในการปกครองทุกคน โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า มนุษย์จึงได้รับการพิพากษาและทำให้มีความเพียบพร้อม จากนั้นในที่สุดจึงถูกนำตัวไปยังราชอาณาจักร มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถจัดหาให้แก่ชีวิตของมนุษย์ได้ และมีเพียงแค่พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถให้ความสว่างและเส้นทางสำหรับการปฏิบัติแก่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคแห่งราชอาณาจักร ตราบเท่าที่เจ้าไม่ไถลห่างจากความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้า การกินและการดื่มพระวจนะของพระองค์ในแต่ละวัน พระเจ้าก็จะทรงสามารถทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมได้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ยุคแห่งราชอาณาจักรคือยุคพระวจนะ
บัดนี้ การเชื่อในพระเจ้าได้เข้าสู่ยุคพระวจนะของพระเจ้าแล้ว หากพูดในเชิงเปรียบเทียบแล้ว ผู้คนไม่ได้อธิษฐานมากเท่าที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยทำ พระวจนะของพระเจ้าได้สื่อถึงทุกๆ แง่มุมของความจริงและหนทางการปฏิบัติอย่างชัดแจ้ง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่ผู้คนจะแสวงหาและคลำสะเปะสะปะอีกต่อไป ในชีวิตของยุคแห่งราชอาณาจักร พระวจนะของพระเจ้านำทางผู้คนไปข้างหน้า และนั่นเป็นชีวิตซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างถูกทำให้ชัดเจนเพื่อพวกเขาจะได้เห็น—เพราะพระเจ้าได้ทรงวางผังทุกสิ่งทุกอย่างไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว และมนุษย์ก็ไม่ได้ถูกทิ้งให้ต้องคลำหาหนทางของพวกเขาอย่างช้าและระมัดระวังผ่านชีวิตอีกต่อไป ในส่วนที่เกี่ยวกับการแต่งงาน กิจธุระทางโลกย์ ชีวิต อาหาร เสื้อผ้า และที่พักพิง สัมพันธภาพระหว่างบุคคล วิธีการที่คนเราสามารถรับใช้ในแบบที่ตอบสนองน้ำพระทัยพระเจ้า วิธีการที่เราควรละทิ้งเนื้อหนัง เป็นต้น เรื่องใดในบรรดาสิ่งเหล่านี้ที่พระเจ้าไม่ได้ทรงอธิบายให้พวกเจ้ารับรู้บ้าง? เจ้ายังคงจำเป็นต้องไปอธิษฐานและแสวงหาหรือไม่? ไม่มีความจำเป็นอย่างแท้จริง! หากเจ้ายังคงทำสิ่งเหล่านี้อยู่ เจ้าก็แค่กำลังกระทำการอย่างผิวเผินเท่านั้น นั่นเป็นเรื่องที่ไม่รู้เท่าทันและโง่เขลา และไม่จำเป็นโดยสิ้นเชิง!…พระวจนะของพระเจ้านั้นชัดเจนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระวจนะที่ดำรัสเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์ และวิธีการที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อบุคคลต่างประเภทกัน หากเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าควรอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้น—ผลลัพธ์ของการทำเช่นนี้ดีกว่าการอธิษฐานและการแสวงหาอย่างหูหนวกตาบอดมากนัก มีหลายตัวอย่างที่การแสวงหาและการอธิษฐานควรถูกแทนที่โดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นและการร่วมสามัคคีธรรมบนความจริง ในคำอธิษฐานตามกิจวัตรของเจ้านั้น เจ้าควรทบทวนตัวเจ้าเองและพยายามที่จะรู้จักตัวเจ้าเองให้มากขึ้นจากภายในพระวจนะของพระเจ้า นี่จะเป็นประโยชน์มากขึ้นต่อความก้าวหน้าในชีวิตของเจ้า หากว่าบัดนี้ เจ้ายังคงแสวงหาโดยการช้อนตามองไปยังสวรรค์ นั่นไม่ได้เป็นการแสดงว่าเจ้ายังคงเชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครืออยู่หรอกหรือ? ก่อนหน้านั้น เจ้าได้เห็นผลลัพธ์จากการแสวงหาและการอธิษฐานของเจ้า และพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงขับเคลื่อนจิตวิญญาณของเจ้าบางส่วนเพราะนั่นเป็นเวลาของยุคพระคุณ เจ้าไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าได้ ดังนั้นเจ้าจึงไม่มีตัวเลือกนอกจากจะคลำหาหนทางของเจ้าอย่างช้าและระมัดระวังต่อไปและแสวงหาในหนทางนั้น บัดนี้พระเจ้าได้เสด็จมาท่ามกลางมนุษย์ พระวจนะได้ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ และเจ้าได้เห็นพระเจ้าแล้ว ด้วยเหตุนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจอย่างที่พระองค์ทรงเคยปฏิบัติก่อนหน้านั้นอีกต่อไป ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้วและดังนั้นวิธีซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ปฏิบัติพระราชกิจก็ได้เปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน แม้ผู้คนอาจไม่ได้อธิษฐานมากเท่ากับที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยทำ แต่เพราะพระเจ้าสถิตอยู่บนแผ่นดินโลก มนุษย์ในขณะนี้มีโอกาสเหมาะที่จะรักพระเจ้า มวลมนุษย์ได้เข้าสู่ยุคแห่งพระเจ้าผู้ทรงรักและสามารถเข้าไปใกล้ชิดพระเจ้าภายในตัวพวกเขาเองได้มากขึ้นอย่างเป็นปกติ: “โอ้พระเจ้า! พระองค์ทรงดีงามยิ่งนักจริงๆ และข้าพระองค์ก็ปรารถนาที่จะรักพระองค์!” เพียงแค่คำพูดที่ชัดเจนและเรียบง่ายไม่กี่คำก็แสดงออกถึงความรักที่มีต่อพระเจ้าภายในหัวใจของผู้คน คำอธิษฐานนี้พูดออกมาก็เพื่อทำให้ความรักระหว่างมนุษย์และพระเจ้าลึกซึ้งขึ้นเท่านั้น บางครั้งเจ้าอาจเห็นตัวเจ้าเองสำแดงการเป็นกบฏบางอย่าง และกล่าวว่า “โอ้พระเจ้า! เหตุใดข้าพระองค์จึงเสื่อมทรามยิ่งนัก” เจ้ารู้สึกถึงแรงกระตุ้นอันแรงกล้าที่เกิดขึ้นกับตัวเจ้าเองเป็นบางครั้ง และน้ำตาเอ่อท้นในดวงตาของเจ้า ในเวลาเช่นนั้น เจ้ารู้สึกถึงความเสียใจและความทุกข์โศกในหัวใจของเจ้า แต่เจ้าไม่มีทางที่จะแสดงออกถึงความรู้สึกเหล่านี้ นี่คือพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เฉพาะพวกที่ไล่ตามเสาะหาชีวิตเท่านั้นที่สามารถได้มาซึ่งพระราชกิจนี้ เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าทรงมีความรักอันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเจ้า และเจ้าก็มีความรู้สึกชนิดพิเศษ แม้ว่าเจ้าไม่มีคำพูดที่จะกล่าวอธิษฐานได้อย่างชัดเจนเจ้าก็รู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าความรักของพระเจ้านั้นลึกดั่งมหาสมุทร ไม่มีถ้อยคำเหมาะสมที่จะแสดงถึงสภาวะของการดำรงอยู่นี้ และนี่เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นภายในจิตวิญญาณอยู่บ่อยครั้ง คำอธิษฐานและการสามัคคีธรรมประเภทนี้ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะดึงเราให้เข้าใกล้พระเจ้าในหัวใจของเรามากขึ้น เป็นเรื่องปกติธรรมดา
แม้ว่าเมื่อผู้คนต้องงุ่มง่ามค้นหาการใช้ชีวิตและการแสวงหาจะเป็นเรื่องของอดีตไปแล้วในขณะนี้ นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องอธิษฐานและแสวงหาอีกเลย อีกทั้งไม่ใช่กรณีที่ผู้คนไม่จำเป็นต้องรอให้น้ำพระทัยของพระเจ้าเผยตัวเองก่อนที่จะปฏิบัติพระราชกิจต่อไป เหล่านี้เป็นเพียงแค่ความเข้าใจผิดของมนุษย์เท่านั้น พระเจ้าได้เสด็จมาท่ามกลางมนุษย์เพื่อใช้ชีวิตกับพวกเขา เพื่อทรงเป็นความสว่างของพวกเขา เพื่อทรงเป็นชีวิตของพวกเขา และเพื่อทรงเป็นหนทางของพวกเขา กล่าวคือ นี่คือข้อเท็จจริง แน่นอนว่า ในการเสด็จมาสู่โลกของพระเจ้า พระองค์ทรงนำหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและชีวิตที่เหมาะสมกับวุฒิภาวะของพวกเขามาสู่มวลมนุษย์โดยแน่แท้เพื่อให้พวกเขาได้ชื่นชม—พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อทำลายวิธีการปฏิบัติของมนุษย์ทุกอย่าง มนุษย์ไม่ได้ใช้ชีวิตโดยการควานหาและการแสวงหาอีกต่อไป เพราะสิ่งเหล่านี้ได้ถูกแทนที่ด้วยการเสด็จมาสู่แผ่นดินโลกของพระเจ้าเพื่อทรงพระราชกิจและเพื่อตรัสพระวจนะของพระองค์ พระองค์เสด็จมาเพื่อปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระจากชีวิตแห่งความมืดมิดและความเลือนรางที่พวกเขาได้นำทางไปและทำให้พวกเขาสามารถมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสว่างได้ พระราชกิจในปัจจุบันคือการชี้ให้เห็นถึงสิ่งทั้งหลายอย่างชัดเจน การตรัสอย่างชัดเจน การแจ้งให้ทราบโดยตรง และการกำหนดสิ่งทั้งหลายอย่างชัดแจ้ง เพื่อที่ผู้คนจะสามารถนำสิ่งเหล่านี้ไปปฏิบัติ เช่นเดียวกันกับที่พระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงนำทางผู้คนของอิสราเอล โดยตรัสบอกพวกเขาถึงวิธีถวายเครื่องบูชาและวิธีสร้างพระวิหาร ดังนั้น พวกเจ้าจึงไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตของการแสวงหาที่จริงจังจริงใจอีกต่อไปอย่างที่เจ้าเคยทำหลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จจากไป พวกเจ้าควรต้องคลำหาหนทางของเจ้าอย่างช้าและระมัดระวังต่อไปโดยผ่านทางพระราชกิจในการเผยแผ่พระกิตติคุณในอนาคตหรือไม่? พวกเจ้าควรต้องงุ่มง่ามพยายามค้นหาหนทางที่ถูกต้องเหมาะสมที่จะใช้ชีวิตหรือไม่? พวกเจ้าจำต้องคลำสะเปะสะปะเพื่อที่จะหยั่งรู้ว่าพวกเจ้าควรปฏิบัติหน้าที่ของพวกเจ้าเองอย่างไรหรือไม่? จำเป็นหรือไม่ที่พวกเจ้าจะต้องหมอบราบกับพื้น ขณะแสวงหา เพื่อที่จะรู้ว่าพวกเจ้าควรเป็นพยานอย่างไร? จำเป็นหรือไม่ที่พวกเจ้าจะต้องอดอาหารและอธิษฐานเพื่อจะได้รู้ว่าพวกเจ้าควรแต่งกายหรือใช้ชีวิตอย่างไร? จำเป็นหรือไม่ที่พวกเจ้าจะต้องอธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนต่อพระเจ้าในสวรรค์เพื่อที่จะรู้ว่าพวกเจ้าควรยอมรับการถูกพิชิตโดยพระเจ้าอย่างไร? จำเป็นหรือไม่ที่พวกเจ้าจะต้องอธิษฐานอยู่ตลอดเวลา ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อที่จะรู้ว่าพวกเจ้าควรเชื่อฟังพระเจ้าอย่างไร? มีผู้คนจำนวนท่ามกลางพวกเจ้าที่กล่าวว่าเจ้าไม่สามารถปฏิบัติได้ เพราะเจ้าไม่เข้าใจ ผู้คนเพียงแค่ไม่ใส่ใจต่อพระราชกิจของพระเจ้าในสมัยปัจจุบัน! เราได้กล่าววจนะหลายคำไว้นานมาแล้ว แต่พวกเจ้าไม่เคยใส่ใจแม้แต่น้อยที่จะอ่านวจนะเหล่านั้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเจ้าไม่รู้ว่าจะปฏิบัติอย่างไร แน่นอนว่า ในยุคของวันนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงทรงขับเคลื่อนผู้คนเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเขารู้สึกถึงความชื่นชมยินดี และพระองค์ดำรงพระชนม์ชีพร่วมกับมนุษย์ นี่คือแหล่งที่มาของความรู้สึกที่พิเศษและให้ความยินดีเหล่านั้น[ก]ที่มักจะเกิดขึ้นในชีวิตของเจ้า นานๆ ครั้ง วันหนึ่งจะมาถึงเมื่อเจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าทรงน่ารักชื่นชมยิ่งนักและช่วยไม่ได้ที่เจ้าจะทำได้เพียงแค่อธิษฐานต่อพระองค์ว่า “โอ้พระเจ้า! ความรักของพระองค์ช่างงดงามยิ่งนักและพระฉายาของพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ยิ่งนัก ข้าพระองค์ปรารถนาจะรักพระองค์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ข้าพระองค์ปรารถนาจะอุทิศทั้งหมดของตัวข้าพระองค์เองเพื่อสละชีวิตทั้งชีวิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะมอบอุทิศทุกสิ่งทุกอย่างแด่พระองค์ ตราบเท่าที่มันเป็นไปเพื่อพระองค์ ตราบเท่าที่ในการทำเช่นนี้ข้าพระองค์สามารถรักพระองค์ได้…” นี่คือความรู้สึกของความยินดีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมอบให้เจ้า นั่นไม่ใช่ความรู้แจ้ง อีกทั้งนั่นไม่ใช่ความกระจ่าง นั่นเป็นประสบการณ์ของการถูกขับเคลื่อน ประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้จะเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว กล่าวคือ บางครั้งเมื่อเจ้าอยู่ระหว่างทางไปทำงาน เจ้าจะอธิษฐานและเข้ามาใกล้ชิดพระเจ้า และเจ้าจะถูกขับเคลื่อนจนถึงจุดที่ว่าน้ำตาจะนองหน้าของเจ้า และเจ้าจะสูญเสียการควบคุมตัวเองทั้งหมด และเจ้าจะกระวนกระวายใจที่จะค้นหาสถานที่ที่เหมาะสมที่ซึ่งเจ้าสามารถแสดงออกถึงความรู้สึกท่วมท้นทั้งหมดภายในหัวใจของเจ้าได้…จะมีบางเวลาที่เจ้าอยู่ในสถานที่สาธารณะบางแห่ง และเจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าชื่นชมกับความรักของพระเจ้าอย่างมาก รู้สึกว่าโชคชะตาของเจ้านั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากจะเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ และยิ่งไปกว่านั้นก็คือรู้สึกว่าเจ้ากำลังใช้ชีวิตของเจ้าโดยมีความหมายมากกว่าใครอื่นทั้งสิ้น เจ้าจะรู้อย่างลึกซึ้งว่าพระเจ้าได้ทรงยกย่องเจ้า และรู้ว่านี่คือความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าสำหรับเจ้า ในซอกหลืบส่วนลึกที่สุดในหัวใจของเจ้า เจ้าจะรู้สึกว่ามีความรักชนิดหนึ่งในพระเจ้าที่ไม่สามารถแสดงออกได้และยากหยั่งถึงสำหรับมนุษย์ ราวกับว่าเจ้ารู้จักสิ่งนั้นแต่ไม่มีทางที่จะอธิบายสิ่งนั้นได้ ทำให้เจ้าหยุดเพื่อคิดอยู่เสมอ แต่ทิ้งให้เจ้าอยู่ในสภาพที่ไม่สามารถจะแสดงออกถึงสิ่งนั้นได้อย่างสมบูรณ์ ในเวลาเช่นนี้ เจ้าจะถึงกับลืมว่าเจ้าอยู่ที่ไหน และเจ้าจะร้องเรียกออกมาว่า “โอ้พระเจ้า! พระองค์ทรงยากหยั่งถึงยิ่งนักและทรงเป็นที่รักยิ่งนัก!” การนี้จะทิ้งให้ผู้คนพิศวง แต่สิ่งต่างๆ ทั้งหมดเช่นนี้เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งพอควร พวกเจ้าได้รับประสบการณ์ในเรื่องเช่นนี้มากมายหลายครั้ง นี่คือชีวิตที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงมอบให้เจ้าในวันนี้และชีวิตที่เจ้าควรดำเนินไป ณ ตอนนี้ มันไม่ได้เป็นไปเพื่อหยุดยั้งเจ้าไม่ให้ใช้ชีวิต แต่ตรงกันข้ามเพื่อเปลี่ยนวิถีการใช้ชีวิตของเจ้า นั่นคือความรู้สึกที่ไม่สามารถบรรยายหรือแสดงออกได้ นั่นยังเป็นความรู้สึกแท้จริงของมนุษย์อีกด้วย และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ นั่นเป็นพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าอาจเข้าใจสิ่งนั้นในหัวใจของเจ้า แต่เจ้าไม่มีทางที่จะบรรยายออกมาได้อย่างชัดเจนไม่ว่าจะกับใครก็ตาม นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าพูดช้าหรือเพราะเจ้าพูดตะกุกตะกัก แต่เป็นเพราะนั่นเป็นความรู้สึกชนิดที่ไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เจ้าได้รับอนุญาตให้ชื่นชมไปกับสิ่งเหล่านี้ในวันนี้ และนี่คือชีวิตที่เจ้าควรดำเนินไป แน่นอนว่า แง่มุมอื่นๆ ของชีวิตของเจ้านั้นไม่ได้ว่างเปล่า เป็นเพียงว่าประสบการณ์ของการถูกขับเคลื่อนนี้กลายเป็นความชื่นบานชนิดหนึ่งในชีวิตของเจ้าที่ทำให้เจ้าเต็มใจเสมอที่จะชื่นชมไปกับประสบการณ์เช่นนั้นจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เจ้าควรรู้ว่าการถูกขับเคลื่อนเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อที่เจ้าอาจได้รับพลังที่อยู่เหนือเนื้อหนังและขึ้นสู่สวรรค์ชั้นที่สามหรือเดินทางไปทั่วโลก ในทางตรงกันข้าม นั่นเป็นดังนั้นเพื่อที่เจ้าอาจรู้สึกและลิ้มรสชาติความรักของพระเจ้าที่เจ้าชื่นชมในวันนี้ อาจได้รับประสบการณ์กับนัยสำคัญแห่งพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้ และทำให้ตัวเจ้าเองคุ้นเคยกับความเอาพระทัยใส่และการปกป้องจากพระเจ้าอีกครั้ง สิ่งต่างๆ ทั้งหมดนี้เป็นไปเพื่อที่เจ้าอาจได้มีความรู้มากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจที่พระเจ้าทรงปฏิบัติในวันนี้—นี่คือเป้าหมายของพระเจ้าในการปฏิบัติพระราชกิจนี้
การแสวงหาและการคลำสะเปะสะปะคือแบบวิธีของชีวิตก่อนการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ในเวลานั้นผู้คนไม่สามารถเห็นพระเจ้าได้และดังนั้นจึงไม่มีตัวเลือกนอกจากจะแสวงหาและคลำสะเปะสะปะ วันนี้เจ้าได้เห็นพระเจ้าแล้วและพระองค์ตรัสบอกเจ้าโดยตรงว่าเจ้าควรปฏิบัติอย่างไร นี่คือเหตุผลที่เจ้าไม่จำเป็นต้องคลำสะเปะสะปะหรือแสวงหาอีกต่อไป เส้นทางที่พระองค์ทรงนำทางมนุษย์คือเส้นทางของความจริง และสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ตรัสบอกแก่มนุษย์และสิ่งที่มนุษย์ได้รับคือชีวิตและความจริง เจ้ามีหนทางและชีวิตความจริง ดังนั้นมีความจำเป็นใดเล่าที่จะต้องแสวงหาไปทุกหนแห่ง? พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจสองช่วงระยะในเวลาเดียวกัน หากว่า เมื่อเราได้พูดวจนะของเราจบแล้ว ผู้คนไม่ได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างระมัดระวังและไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างถูกต้องเหมาะสม ยังคงกระทำการอย่างที่พวกเขาเคยทำในยุคพระคุณ คลำสะเปะสะปะราวกับว่าพวกเขาตาบอด อธิษฐานและแสวงหาอยู่เนืองนิตย์ นั่นคงจะไม่หมายความว่างานของเราช่วงระยะนี้—คืองานแห่งวจนะ—กำลังกระทำไปโดยไร้ซึ่งประโยชน์หรอกหรือ? แม้เราอาจได้พูดวจนะของเราจบแล้ว ผู้คนยังคงไม่เข้าใจอย่างครบถ้วน และนี่เป็นเพราะพวกเขาขาดพร่องขีดความสามารถ ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้โดยการใช้ชีวิตของคริสตจักรและโดยผ่านทางการสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน ก่อนหน้านั้น ในยุคพระคุณ แม้ว่าพระเจ้าจะทรงจุติเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งพระวจนะ ซึ่งเป็นเหตุผลที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจวิธีนั้น ณ เวลานั้น เพื่อที่จะทรงรักษาพระราชกิจไว้ ในเวลานั้นเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเองที่ทรงปฏิบัติพระราชกิจเป็นหลัก แต่บัดนี้เป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์พระองค์เองที่กำลังทรงปฏิบัติพระราชกิจ หลังจากที่ได้ทรงเข้ารับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แทน ก่อนหน้านั้น ตราบเท่าที่ผู้คนอธิษฐานบ่อยๆ พวกเขาได้รับประสบการณ์กับสันติสุขและความชื่นบาน มีการตำหนิและการลงโทษ นี่คือพระราชกิจทั้งหมดของพระวิญญาณบริสุทธิ์ บัดนี้สภาวะเหล่านี้มีน้อยมาก พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจได้ประเภทเดียวเท่านั้นในยุคใดยุคหนึ่ง หากพระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจสองประเภทในเวลาเดียวกัน โดยที่เนื้อหนังปฏิบัติงานประเภทหนึ่งและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติพระราชกิจอีกประเภทหนึ่งภายในผู้คน และหากสิ่งที่เนื้อหนังได้กล่าวไม่ถือว่าสำคัญ และสิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงปฏิบัติเท่านั้นที่ถือว่าสำคัญ เช่นนั้นแล้วพระคริสต์คงจะไม่มีความจริง หนทาง หรือชีวิตใดๆ ที่จะตรัสถึง นี่คงจะเป็นความขัดแย้งในตัวเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์น่าจะทรงพระราชกิจเช่นนี้หรือไม่? พระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์และทรงพระปรีชาญาณ ทรงบริสุทธิ์และชอบธรรม และพระองค์ไม่ทรงทำความผิดพลาดประการใดเลย
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (1)
ในยุคแห่งการเชื่อในพระเยซู ผู้คนได้ทำหลายอย่างที่พระเจ้าไม่ทรงรัก เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง แต่ทว่าพระเจ้าทรงมีความรักและความปรานี และพระองค์ได้ทรงนำมนุษย์มาไกลถึงเพียงนี้ และถึงแม้ว่ามนุษย์จะไม่เข้าใจสิ่งใดเลย พระเจ้าก็ยังคงทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์ติดตามพระองค์ และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ได้ทรงนำทางมนุษย์มาจนถึงวันนี้ นี่มิใช่ความรักของพระเจ้าหรอกหรือ? สิ่งที่ถูกสำแดงในพระอุปนิสัยของพระเจ้าคือความรักของพระเจ้า—การนี้ถูกต้องที่สุด! เมื่อการสร้างคริสตจักรได้มาถึงจุดสูงสุดของมันแล้ว พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจในขั้นตอนของคนปรนนิบัติ และโยนมนุษย์ลงไปในบาดาลลึก พระวจนะในยุคของคนปรนนิบัติล้วนเป็นคำสาปแช่งทั้งหมด ได้แก่ คำสาปแช่งเนื้อหนังของเจ้า คำสาปแช่งอุปนิสัยเยี่ยงซาตานที่เสื่อมทรามของเจ้า และคำสาปแช่งสิ่งทั้งหลายเกี่ยวกับเจ้าที่ไม่ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า พระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในขั้นตอนนั้นถูกสำแดงออกมาในฐานะพระบารมี ทันทีหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงดำเนินขั้นตอนพระราชกิจแห่งการตีสอน และการทดสอบแห่งความตายก็มาถึง ในพระราชกิจเช่นนั้น มนุษย์ได้เห็นพระพิโรธ พระบารมี การพิพากษา และการตีสอนของพระเจ้า แต่ทว่าเขายังได้เห็นพระสิริของพระเจ้า ความรักของพระองค์ และความปรานีของพระองค์อีกด้วย ทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำ และทั้งหมดที่ได้ถูกสำแดงออกมาเป็นพระอุปนิสัยของพระองค์ ล้วนเป็นความรักต่อมนุษย์ของพระเจ้า และทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำล้วนมีความสามารถที่จะทำให้ความจำเป็นของมนุษย์ลุล่วงได้ พระองค์ทรงทำไปเพื่อที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และพระองค์ได้ทรงจัดเตรียมเพื่อมนุษย์ตามวุฒิภาวะของเขา หากพระเจ้ามิได้ทรงทำการนี้ มนุษย์ก็คงจะไม่สามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ และคงจะไม่มีหนทางที่จะรู้จักพระพักตร์แท้จริงของพระเจ้าได้ จากเวลาที่มนุษย์ได้เริ่มเชื่อในพระเจ้าเป็นครั้งแรกจนกระทั่งถึงวันนี้ พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้แก่มนุษย์โดยสอดคล้องกับวุฒิภาวะของมนุษย์ทีละน้อย เพื่อที่มนุษย์จะได้มารู้จักพระองค์ทีละน้อยภายใน ด้วยการได้มาถึงวันนี้เท่านั้นมนุษย์จึงระลึกได้ว่าการพิพากษาของพระเจ้านั้นน่าอัศจรรย์เพียงใด ขั้นตอนของพระราชกิจแห่งคนปรนนิบัติคือการบังเกิดขึ้นครั้งแรกของพระราชกิจแห่งการสาปแช่งตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างจนถึงวันนี้ มนุษย์ถูกสาปแช่งให้ลงไปสู่บาดาลลึก หากพระเจ้ามิได้ทรงทำเช่นนั้น วันนี้มนุษย์ก็คงจะไม่มีความรู้แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า มีเพียงโดยผ่านทางการสาปแช่งของพระเจ้าเท่านั้นมนุษย์จึงจะเผชิญกับพระอุปนิสัยของพระองค์อย่างเป็นทางการ มนุษย์ถูกเปิดเผยโดยผ่านทางบททดสอบของพวกคนปรนนิบัติ เขามองเห็นว่าความจงรักภักดีของเขาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้ ว่าวุฒิภาวะของเขาต่ำเกินไป ว่าเขาไม่มีความสามารถในการทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ และว่าคำอ้างของเขาเกี่ยวกับการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยตลอดเวลานั้นมิใช่สิ่งใดที่มากไปกว่าคำพูด ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงสาปแช่งมนุษย์ในขั้นตอนของพระราชกิจแห่งคนปรนนิบัติ เมื่อมองย้อนกลับไป ณ ตอนนี้ ขั้นตอนนั้นของพระราชกิจของพระเจ้าช่างน่าอัศจรรย์ กล่าวคือ พระราชกิจขั้นตอนนั้นได้นำมาซึ่งจุดเปลี่ยนอันยิ่งใหญ่สำหรับมนุษย์ และได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในอุปนิสัยชีวิตของเขา ก่อนหน้าเวลาแห่งคนปรนนิบัตินั้น มนุษย์ไม่มีความเข้าใจใดเลยเกี่ยวกับการไล่ตามเสาะหาชีวิต ไม่เข้าใจว่าการเชื่อในพระเจ้าหมายถึงสิ่งใด หรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับพระปรีชาญาณแห่งพระราชกิจของพระเจ้า และเขาไม่เข้าใจว่าพระราชกิจของพระเจ้าสามารถทดสอบมนุษย์ได้ จากเวลาแห่งคนปรนนิบัติตลอดมาจนถึงวันนี้ มนุษย์มองเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าน่าอัศจรรย์เพียงใด—มันเป็นสิ่งที่มนุษย์มิอาจหยั่งรู้ได้—มนุษย์ไร้ความสามารถที่จะคิดฝันได้ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจโดยการใช้สมองของเขาได้อย่างไร และเขายังมองเห็นว่าวุฒิภาวะของเขาต่ำเพียงใดและเห็นว่าเขานั้นไม่เชื่อฟังมากเกินไป เมื่อพระเจ้าทรงสาปแช่งมนุษย์ ก็เป็นไปเพื่อให้สัมฤทธิ์ประสิทธิผล และพระองค์มิได้ทรงทำให้มนุษย์ถึงแก่ความตาย แม้ว่าพระองค์ได้ทรงสาปแช่งมนุษย์ พระองค์ก็ทรงทำเช่นนั้นโดยผ่านทางพระวจนะ และคำสาปแช่งทั้งหลายของพระองค์มิได้บังเกิดกับมนุษย์อย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงสาปแช่งคือความไม่เชื่อฟังของมนุษย์ และดังนั้น พระวจนะแห่งการสาปแช่งของพระองค์จึงได้ถูกตรัสไปเพื่อที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมด้วยเช่นกัน ไม่ว่าพระเจ้าทรงพิพากษามนุษย์หรือทรงสาปแช่งเขา ทั้งสองสิ่งนั้นทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม กล่าวคือ ทั้งสองถูกกระทำไปเพื่อที่จะทำให้สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ภายในมนุษย์มีความเพียบพร้อม มนุษย์ได้รับการถลุงโดยผ่านทางวิถีทางนี้ และเป็นวิธีซึ่งทำให้สิ่งที่ขาดหายไปภายในมนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยผ่านทางพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจของพระเจ้าทุกขั้นตอน—ไม่ว่าจะเป็นพระวจนะที่เกรี้ยวกราด หรือการพิพากษา หรือการตีสอน—ทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และถูกต้องเหมาะสมอย่างแน่นอน ตลอดยุคทั้งหลายพระเจ้ามิเคยได้ทรงพระราชกิจเหมือนเช่นนี้เลย วันนี้ พระองค์ทรงพระราชกิจภายในตัวพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะซึ้งคุณค่าในพระปรีชาญาณของพระองค์ ถึงแม้ว่าพวกเจ้าได้ทนทุกข์กับความเจ็บปวดบางอย่างภายในตัวพวกเจ้า แต่หัวใจของพวกเจ้ารู้สึกมั่นคงและอยู่อย่างสงบ มันเป็นพรของพวกเจ้าที่มีความสามารถชื่นชมกับพระราชกิจช่วงระยะนี้ของพระเจ้าได้ ไม่ว่าสิ่งที่พวกเจ้ามีความสามารถที่จะได้รับในอนาคตจะเป็นอะไร แต่ทั้งหมดที่พวกเจ้ามองเห็นจากพระราชกิจของพระเจ้าในตัวพวกเจ้าวันนี้คือความรัก หากมนุษย์ไม่ได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาและกระบวนการถลุงของพระเจ้า การกระทำทั้งหลายและความเร่าร้อนของเขาก็จะคงอยู่ในระดับผิวเผินตลอดเวลา และอุปนิสัยของเขาก็จะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้นับว่าเป็นการได้ถูกพระเจ้ารับไว้กระนั้นหรือ? วันนี้ ถึงแม้ว่าภายในมนุษย์ยังคงโอหังและทะนงตนอยู่มาก แต่อุปนิสัยของมนุษย์ก็มั่นคงมากกว่าแต่ก่อนมากนัก การจัดการกับเจ้าของพระเจ้ากระทำไปเพื่อที่จะช่วยเจ้าให้รอด และถึงแม้ว่าเจ้าอาจจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดบ้าง ณ เวลานั้น แต่วันที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในอุปนิสัยของเจ้าจะมาถึง ณ เวลานั้น เจ้าจะมองกลับไปและเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าชาญฉลาดเพียงใด และ ณ เวลานั้น เจ้าจะมีความสามารถที่จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น
ที่มนุษย์มีความสามารถที่จะทนทุกข์เพื่อพระเจ้า และมีความสามารถที่จะมาได้ไกลถึงเพียงนี้นั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความรักของพระเจ้า และอีกส่วนหนึ่งก็เพราะความรอดของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเพราะการพิพากษาและพระราชกิจแห่งการตีสอนที่พระเจ้าได้ทรงดำเนินการในมนุษย์ หากเจ้าปราศจากการพิพากษา การตีสอน และการทดสอบของพระเจ้า และหากพระเจ้ามิได้ทรงทำให้พวกเจ้าทนทุกข์แล้วไซร้ เช่นนั้นแล้ว พูดตรงๆ ก็คือ พวกเจ้าก็มิได้รักพระเจ้าอย่างแท้จริงเลย ยิ่งพระราชกิจของพระเจ้าในมนุษย์ยิ่งใหญ่ขึ้นเท่าใด และยิ่งความทุกข์ของมนุษย์ใหญ่หลวงมากขึ้นเท่าใด ก็จะยิ่งเห็นได้ชัดขึ้นเท่านั้นว่าพระราชกิจของพระเจ้ามีความหมายมากเพียงใด และหัวใจของมนุษย์ผู้นั้นก็จะยิ่งมีความสามารถที่จะรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริงมากขึ้นเท่านั้น เจ้าเรียนรู้วิธีรักพระเจ้าอย่างไร? เมื่อปราศจากความทรมานและกระบวนการถลุง ปราศจากการทดสอบอันแสนเจ็บปวด—และยิ่งกว่านั้น หากทั้งหมดที่พระเจ้าทรงให้แก่มนุษย์คือพระคุณ ความรัก และความปรานี—เจ้าจะสามารถไปถึงจุดแห่งการรักพระเจ้าอย่างแท้จริงได้หรือไม่? ในด้านหนึ่ง ในระหว่างการทดสอบของพระเจ้า มนุษย์ได้มารู้ความขาดตกบกพร่องของเขาและได้มาเห็นว่าเขานั้นไม่สำคัญ น่าเหยียดหยาม และต่ำต้อย ว่าเขาไม่มีสิ่งใดและไม่ใช่สิ่งใดเลย ในอีกด้านหนึ่ง ในระหว่างการทดสอบของพระองค์ พระเจ้าทรงสร้างสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันสำหรับมนุษย์ที่ทำให้มนุษย์มีความสามารถที่จะรับประสบการณ์กับความดีงามของพระเจ้าได้มากขึ้น แม้ว่าความเจ็บปวดนั้นจะใหญ่หลวง และบางครั้งไม่สามารถผ่านพ้นไปได้—กระทั่งถึงระดับของความโศกเศร้าแสนสาหัส—ด้วยการรับประสบการณ์กับมัน มนุษย์มองเห็นว่าพระราชกิจของพระเจ้าในตัวเขาดีงามเพียงใด และบนรากฐานนี้เท่านั้นที่จะมีความรักแท้จริงสำหรับพระเจ้าเกิดขึ้นในมนุษย์ วันนี้ มนุษย์เห็นว่า ด้วยพระคุณ ความรัก และความปรานีของพระเจ้าอย่างเดียวนั้น เขาไม่สามารถพอที่จะรู้จักตัวเขาเองได้อย่างแท้จริง และนับประสาอะไรที่เขาจะมีความสามารถที่จะรู้จักแก่นแท้ของมนุษย์ได้ โดยผ่านทั้งทางกระบวนการถลุงและการพิพากษาของพระเจ้า และในระหว่างกระบวนการถลุงในตัวมันเองนี้เท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถรู้ความขาดตกบกพร่องของเขา และรู้ว่าเขาไม่มีสิ่งใดเลย ด้วยเหตุนี้ ความรักต่อพระเจ้าของมนุษย์จึงถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของกระบวนการถลุงและการพิพากษาของพระเจ้า หากเจ้าเพียงแค่ชื่นชมกับพระคุณของพระเจ้า ด้วยการมีชีวิตครอบครัวที่สงบสุขหรือพระพรทางวัตถุต่างๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับพระเจ้า และความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าจะไม่สามารถถือว่าประสบผลสำเร็จได้ พระเจ้าได้ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งพระคุณในเนื้อหนังไปช่วงระยะหนึ่งแล้ว และได้ประทานพระพรทางวัตถุต่างๆ แก่มนุษย์แล้ว แต่มนุษย์นั้นไม่สามารถถูกทำให้มีความเพียบพร้อมได้ด้วยพระคุณ ความรัก และความเมตตาเพียงอย่างเดียว ในประสบการณ์ทั้งหลายของมนุษย์นั้น เขาเผชิญกับความรักบางส่วนของพระเจ้า และมองเห็นความรักและความปรานีของพระเจ้า แต่ถึงกระนั้น ด้วยการได้รับประสบการณ์มาเป็นเวลาช่วงหนึ่ง เขามองเห็นว่าพระคุณของพระเจ้าและความรักกับความปรานีของพระองค์นั้นไม่สามารถพอที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ ไม่สามารถพอที่จะเปิดเผยถึงสิ่งที่เสื่อมทรามภายในมนุษย์ได้ และไม่สามารถขจัดอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษย์ไปจากเขาได้ หรือทำให้ความรักและความเชื่อของเขามีความเพียบพร้อมได้ พระราชกิจแห่งพระคุณของพระเจ้าคือพระราชกิจในช่วงเวลาหนึ่ง และมนุษย์ไม่สามารถอาศัยการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้าได้
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น
เชิงอรรถ:
ก. ข้อความเดิมคือ “เหล่านี้คือบางส่วน”
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ