พระเจ้าต้องทำลายเมืองโสโดม

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

ปฐมกาล 18:26 พระยาห์เวห์ตรัสว่า “ที่โสโดมถ้าเราพบคนชอบธรรมในเมืองห้าสิบคน เราจะละเว้นเมืองนั้นทั้งเมืองเพราะเห็นแก่พวกเขา”

ปฐมกาล 18:29 ท่านก็ทูลพระองค์อีกว่า “สมมุติว่าพระองค์ทรงพบสี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำ”

ปฐมกาล 18:30 ท่านจึงทูลว่า… “สมมุติพระองค์ทรงพบเพียงสามสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำ”

ปฐมกาล 18:31 ท่านทูลว่า… “สมมุติว่าทรงพบยี่สิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลาย”

ปฐมกาล 18:32 ท่านทูลว่า… “สมมุติว่า ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะไม่ทำลาย”

นี่คือบทตัดตอนที่เราได้เลือกมาจากพระคัมภีร์ บทตัดตอนเหล่านี้ไม่ใช่ตัวบทเดิมที่ครบบริบูรณ์ หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะเห็นตัวบทเหล่านี้ พวกเจ้าสามารถดูบทตอนเหล่านี้ได้ในพระคัมภีร์ด้วยตัวพวกเจ้าเอง เพื่อเป็นการประหยัดเวลา เราได้ละเว้นบางส่วนของเนื้อหาเดิมไป ในที่นี้เราได้คัดเลือกเพียงบทตอนและประโยคที่สำคัญหลายบทเท่านั้น โดยละอีกหลายประโยคที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสามัคคีธรรมของพวกเราวันนี้ไว้ ในบทตอนและเนื้อหาทั้งหมดที่พวกเราสามัคคีธรรมกันนั้น จุดมุ่งเน้นของพวกเราข้ามรายละเอียดของเรื่องราวต่างๆ และการประพฤติของมนุษย์ในเรื่องราวเหล่านั้น แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเราเพียงพูดถึงว่าพระดำริและแนวคิดของพระเจ้าเป็นอย่างไรในเวลานั้นเท่านั้น ในพระดำริและแนวคิดของพระเจ้านั้น พวกเราจะมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้า และจากทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำนั้น พวกเราจะมองเห็นพระเจ้าพระองค์เองที่แท้จริง—ในการนี้ พวกเราจะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของพวกเรา

พระเจ้าเพียงใส่พระทัยต่อบรรดาผู้ที่สามารถเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์และปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์เท่านั้น

บทตอนข้างต้นเหล่านี้บรรจุด้วยพระวจนะสำคัญหลายคำ นั่นก็คือ จำนวน ครั้งแรก พระยาห์เวห์ได้ตรัสว่าหากพระองค์ได้ทรงพบคนชอบธรรมห้าสิบคนภายในเมืองนั้น เช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จะละเว้นทุกคนในที่นั้น กล่าวคือ พระองค์จะไม่ทรงทำลายเมืองนั้น ดังนั้น ในความเป็นจริงแล้วมีคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองโสโดมหรือไม่? ไม่มี หลังจากนั้นไม่นาน อับราฮัมได้กล่าวสิ่งใดต่อพระเจ้า? เขาได้กล่าวว่า สมมติว่าทรงพบสี่สิบคนที่นั่นเล่า? และพระเจ้าได้ตรัสว่า เราจะไม่ทำลายมัน ต่อมา อับราฮัมได้กล่าวว่า สมมติว่าทรงพบสามสิบคนที่นั่นเล่า? และพระเจ้าได้ตรัสว่า เราจะไม่ทำลายมัน และสมมติว่ายี่สิบคนเล่า? เราก็จะไม่ทำลายมัน สิบคนเล่า? เราก็จะไม่ทำลายมัน ในความเป็นจริงแล้ว มีคนชอบธรรมภายในเมืองนั้นหรือไม่? ไม่มีสิบคน—แต่มีหนึ่งคน และหนึ่งคนนั้นคือใคร? คนนั้นก็คือโลท ณ เวลานั้น มีคนชอบธรรมเพียงหนึ่งคนในโสโดม แต่พระเจ้าทรงเข้มงวดหรือทรงพิถีพิถันอย่างยิ่งเมื่อกล่าวถึงจำนวนนี้หรือไม่? ไม่ พระองค์ไม่ทรงเป็นเช่นนั้นเลย! และดังนั้น เมื่อมนุษย์ถามต่อไปว่า “แล้วสี่สิบคนเล่า?” “แล้วสามสิบคนเล่า?” จนกระทั่งเขาถามไปจนถึง “แล้วสิบคนเล่า?” พระเจ้าตรัสว่า “ถึงแม้ว่าจะมีเพียงสิบคน เราก็จะไม่ทำลายเมืองนั้น เราจะละเว้นมัน และให้อภัยผู้คนอื่นๆ นอกเหนือจากสิบคนนี้” หากมีเพียงสิบคน นั่นก็คงจะน่าเวทนาพออยู่แล้ว แต่มันกลายเป็นว่าในข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนชอบธรรมในโสโดมมีไม่ถึงแม้กระทั่งจำนวนนั้น เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจึงมองเห็นว่าในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น บาปและความชั่วของผู้คนในเมืองนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงมีทางเลือกนอกจากต้องทรงทำลายพวกเขา พระเจ้าทรงหมายความว่าอย่างไรเมื่อพระองค์ได้ตรัสว่าพระองค์จะไม่ทรงทำลายเมืองนี้หากมีคนชอบธรรมห้าสิบคน? จำนวนเหล่านี้ไม่สำคัญต่อพระเจ้า สิ่งที่สำคัญคือเมืองนี้มีคนชอบธรรมที่พระองค์ทรงต้องประสงค์หรือไม่ หากเมืองนี้มีคนชอบธรรมหนึ่งคน พระเจ้าก็คงจะไม่ทรงปล่อยให้พวกเขามาพบกับอันตรายเนื่องจากการทำลายล้างเมืองนี้ของพระองค์ ความหมายของสิ่งนี้ก็คือว่า ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำลายเมืองนี้หรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าจะมีคนชอบธรรมมากเท่าใดภายในเมืองนี้ก็ตาม สำหรับพระเจ้าแล้วเมืองที่เต็มไปด้วยบาปนี้ถูกสาปและเลวทรามมาก และควรจะถูกทำลาย ควรจะหายไปจากสายพระเนตรของพระเจ้า ในขณะที่คนชอบธรรมควรคงเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใดก็ตาม ไม่ว่าการพัฒนาของมวลมนุษย์จะอยู่ช่วงระยะใดก็ตาม ท่าทีของพระเจ้าจะไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวคือ พระองค์ทรงเกลียดชังความชั่ว และใส่พระทัยต่อบรรดาผู้ซึ่งชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์ ท่าทีที่ชัดเจนของพระเจ้านี้ยังเป็นการเปิดเผยที่แท้จริงถึงแก่นแท้ของพระเจ้าอีกด้วย เนื่องจากมีคนชอบธรรมเพียงแค่หนึ่งคนภายในเมืองนี้ พระเจ้าจึงไม่ทรงลังเลอีกต่อไป ผลลัพธ์ในตอนจบก็คือว่าโสโดมจะถูกทำลายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในการนี้? ในยุคนั้น พระเจ้าจะไม่ทรงทำลายเมืองหนึ่งหากมีคนชอบธรรมห้าสิบคนในเมืองนั้น หรือหากมีสิบคน ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าจะตัดสินพระทัยอภัยโทษและทนยอมรับมวลมนุษย์ หรือทรงพระราชกิจแห่งการทรงนำ เพราะผู้คนไม่กี่คนที่สามารถยำเกรงและนมัสการพระองค์ได้ พระเจ้าทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับความประพฤติอันชอบธรรมของมนุษย์ ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับผู้ที่สามารถนมัสการพระองค์ได้ และทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับผู้ที่สามารถทำความดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์

จากยุคแรกเริ่มสุดจนกระทั่งถึงวันนี้ พวกเจ้าเคยอ่านในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงสื่อสารความจริง หรือตรัสเกี่ยวกับหนทางของพระเจ้า กับบุคคลใดหรือไม่? ไม่เคยเลย พระวจนะของพระเจ้าต่อมนุษย์ที่พวกเราได้อ่านมีเพียงได้บอกผู้คนว่าให้ทำสิ่งใดเท่านั้น บางคนได้ทำตามนั้น บางคนไม่ได้ทำตาม บางคนเชื่อ และบางคนไม่เชื่อ ทั้งหมดมีแค่นั้น ด้วยเหตุนี้ คนชอบธรรมในยุคนั้น—บรรดาผู้ที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้า—จึงเป็นเพียงบรรดาผู้ที่สามารถรับฟังพระวจนะของพระเจ้าและปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า พวกเขาคือผู้รับใช้ทั้งหลายที่ดำเนินการตามพระวจนะของพระเจ้าท่ามกลางมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นสามารถเรียกว่าเป็นบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าได้หรือไม่? สามารถเรียกพวกเขาว่าเป็นผู้คนที่พระเจ้าได้ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วได้หรือไม่? ไม่ ไม่สามารถเรียกพวกเขาเช่นนั้นได้ ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะมีจำนวนเท่าใด ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้คนชอบธรรมเหล่านี้มีค่าคู่ควรจะถูกเรียกว่าคนสนิทของพระเจ้าหรือไม่? สามารถเรียกพวกเขาว่าประจักษ์พยานของพระเจ้าได้หรือไม่? ไม่ได้อย่างแน่นอน! พวกเขาไม่มีค่าคู่ควรแก่การถูกเรียกว่าคนสนิทหรือประจักษ์พยานของพระเจ้าอย่างแน่นอน ดังนั้น พระเจ้าทรงเรียกผู้คนเช่นนั้นว่าอย่างไร? ในภาคพันธสัญญาเดิมของพระคัมภีร์มีตัวอย่างมากมายที่พระเจ้าทรงเรียกพวกเขาว่า “คนรับใช้ของเรา” กล่าวคือ ณ เวลานั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วผู้คนชอบธรรมเหล่านี้คือผู้รับใช้ของพระเจ้า พวกเขาคือผู้คนที่รับใช้พระองค์บนแผ่นดินโลก และพระเจ้าทรงมีพระดำริอย่างไรกับตำแหน่งนี้? เหตุใดพระองค์จึงทรงเรียกพวกเขาเช่นนั้น? พระเจ้าทรงมีมาตรฐานในพระทัยของพระองค์สำหรับตำแหน่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงเรียกผู้คนหรือไม่? พระองค์ทรงมีอย่างแน่นอน พระเจ้าทรงมีมาตรฐาน ไม่ว่าพระองค์จะทรงเรียกผู้คนว่าผู้ที่ชอบธรรม ผู้มีความเพียบพร้อม ผู้ที่ซื่อตรง หรือผู้รับใช้ก็ตาม เมื่อพระองค์ทรงเรียกใครบางคนว่าผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์ทรงมีความเชื่อที่มั่นคงว่าบุคคลนั้นสามารถรับผู้สื่อสารของพระองค์ได้ สามารถปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์ได้ และสามารถดำเนินการตามสิ่งที่บรรดาผู้สื่อสารของพระองค์สั่งการได้ บุคคลนี้ดำเนินการอะไร? พวกเขาดำเนินการในสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาให้มนุษย์ทำและดำเนินการบนแผ่นดินโลก ณ เวลานั้น สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงขอให้มนุษย์ทำและดำเนินการบนแผ่นดินโลกสามารถเรียกว่าเป็นหนทางของพระเจ้าได้หรือไม่? ไม่ ไม่สามารถเรียกได้ เพราะ ณ เวลานั้น พระเจ้าได้ทรงขอเพียงให้มนุษย์ทำสิ่งง่ายๆ ไม่กี่อย่างเท่านั้น พระองค์ได้ดำรัสพระบัญชาง่ายๆ ไม่กี่อย่าง โดยตรัสบอกให้มนุษย์เพียงแค่ทำการนี้หรือการนั้นเท่านั้น และไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านั้น พระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจตามแผนของพระองค์ เพราะ ณ เวลานั้น สภาพเงื่อนไขต่างๆ มากมายยังไม่ปรากฏขึ้น ยังไม่ถึงเวลาอันสุกงอม และมันยากสำหรับมวลมนุษย์ที่จะแบกรับหนทางของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ หนทางของพระเจ้าจึงยังไม่ได้เริ่มถูกส่งออกไปจากพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าทรงมองผู้คนชอบธรรมที่พระองค์ตรัสถึง ผู้ที่พวกเรามองเห็น ณ ที่นี้—ไม่ว่าจะเป็นสามสิบหรือยี่สิบคน—ว่าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ เมื่อบรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้าได้มาหาผู้รับใช้เหล่านี้ พวกเขาจะสามารถต้อนรับพวกท่าน และปฏิบัติตามคำสั่งของพวกท่าน และกระทำการตามคำพูดของพวกท่าน แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ควรจะทำ และควรจะบรรลุถึงโดยบรรดาผู้ที่เป็นผู้รับใช้ในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าทรงสุขุมรอบคอบในการแต่งตั้งผู้คนของพระองค์ พระองค์ทรงเรียกพวกเขาว่าผู้รับใช้ของพระองค์มิใช่เพราะพวกเขาเป็นเหมือนอย่างที่พวกเจ้าเป็นตอนนี้—เพราะพวกเขาได้รับฟังการเทศนามากมาย ได้รู้ว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งใด ได้เข้าใจ เจตนารมณ์ของพระเจ้าเป็นอันมาก และตระหนักรู้แผนการบริหารจัดการของพระองค์—แต่เพราะพวกเขาซื่อสัตย์ในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา และพวกเขาสามารถปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าได้ เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาพวกเขา พวกเขาก็สามารถปล่อยวางสิ่งที่พวกเขากำลังทำไว้ก่อนและดำเนินการสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงบัญชา ดังนั้นสำหรับพระเจ้าแล้ว ความหมายอีกชั้นหนึ่งในตำแหน่งของผู้รับใช้ก็คือว่าพวกเขาได้ร่วมมือกับพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่บรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้า แต่พวกเขาก็เป็นผู้บริหารงานและผู้ปฏิบัติการตามพระวจนะของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้ามองเห็นว่าบรรดาผู้รับใช้หรือผู้คนที่ชอบธรรมเหล่านี้มีน้ำหนักอย่างยิ่งในพระทัยของพระเจ้า พระราชกิจที่พระเจ้าจะทรงเริ่มต้นบนแผ่นดินโลกไม่สามารถเป็นได้โดยปราศจากผู้คนที่จะร่วมมือกับพระองค์ และบทบาทที่บรรดาผู้รับใช้พระเจ้าได้เข้ารับนั้นไม่สามารถแทนที่ได้โดยบรรดาผู้สื่อสารของพระองค์ แต่ละภารกิจที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาแก่ผู้รับใช้เหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพระองค์ และดังนั้นพระองค์จึงไม่สามารถสูญเสียพวกเขาไปได้ หากไม่มีความร่วมมือกับพระเจ้าของผู้รับใช้เหล่านี้ พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์ก็คงจะได้มาถึงภาวะชะงักงันแล้ว ซึ่งผลจากการนั้น แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและความหวังของพระเจ้าคงจะได้มาถึงความล้มเหลวแล้ว

พระเจ้าทรงเปี่ยมปรานีอย่างยิ่งต่อผู้ที่พระองค์ใส่พระทัย และมีความพิโรธอย่างยิ่งต่อผู้ที่พระองค์ทรงรังเกียจเดียดฉันท์

ในเรื่องราวต่างๆ จากพระคัมภีร์นั้น มีผู้รับใช้ของพระเจ้าสิบคนหรือไม่ในโสโดม? ไม่ ไม่มี! เมืองนั้นมีค่าคู่ควรแก่การที่พระเจ้าจะทรงละเว้นหรือไม่? มีเพียงหนึ่งบุคคลเท่านั้นในเมืองนี้—คือโลท—ที่ได้ต้อนรับบรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้า ความนัยของการนี้ก็คือว่า มีผู้รับใช้พระเจ้าเพียงหนึ่งคนเท่านั้นในเมืองนี้ และด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงไม่ทรงมีทางเลือกนอกจากช่วยโลทให้รอดและทำลายเมืองโสโดม การโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้าที่ได้นำมาอ้างถึงข้างต้นนั้นอาจดูเหมือนเรียบง่าย แต่การโต้ตอบเหล่านั้นแสดงให้เห็นบางอย่างที่ล้ำลึกอย่างยิ่ง กล่าวคือ มีหลักการในการกระทำของพระเจ้า และก่อนที่จะทรงทำการตัดสินพระทัยพระองค์จะทรงใช้เวลายาวนานในการเฝ้าสังเกตและพิจารณา พระองค์จะไม่ทรงทำการตัดสินพระทัยใดๆ หรือรีบด่วนกับบทสรุปใดๆ ก่อนจะถึงเวลาที่เหมาะสมเป็นอันขาด การโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้าแสดงให้เราเห็นว่า การตัดสินพระทัยของพระเจ้าที่จะทรงทำลายเมืองโสโดมนั้นไม่มีการผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย เพราะพระเจ้าทรงรู้อยู่แล้วว่าในเมืองนี้ไม่ได้มีคนชอบธรรมสี่สิบคน หรือคนชอบธรรมสามสิบคน หรือยี่สิบคน ไม่มีแม้กระทั่งสิบคน บุคคลที่ชอบธรรมเพียงคนเดียวในเมืองนี้ก็คือโลท พระเจ้าได้ทรงเฝ้าสังเกตทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นในเมืองโสโดมและรูปการณ์แวดล้อมของเมือง และมันเป็นที่คุ้นเคยสำหรับพระเจ้าเช่นเดียวกับหลังพระหัตถ์ของพระองค์เอง ด้วยเหตุนี้ การตัดสินพระทัยของพระองค์จึงไม่อาจผิดพลาดได้ ในทางตรงกันข้าม เมื่อเปรียบเทียบกับมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าแล้วนั้น มนุษย์ช่างมึนงงยิ่งนัก ช่างโง่เขลาและไม่รู้เท่าทันยิ่งนัก ช่างสายตาสั้นยิ่งนัก นี่คือสิ่งที่พวกเรามองเห็นในการโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้า พระเจ้าทรงส่งพระอุปนิสัยของพระองค์ออกมาตลอดเวลาตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งถึงวันนี้ ในทำนองเดียวกันนั้น ณ ที่นี้ก็มีพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่เราควรจะมองเห็นด้วยเช่นกัน จำนวนนั้นเป็นสิ่งธรรมดา—จำนวนไม่ได้แสดงถึงสิ่งใด—แต่ในที่นี้มีการแสดงออกที่สำคัญมากจากพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่ พระเจ้าจะไม่ทรงทำลายเมืองนั้นเพราะคนชอบธรรมห้าสิบคน การนี้เป็นเพราะความกรุณาของพระเจ้าใช่หรือไม่? มันเป็นเพราะความรักและความยอมผ่อนปรนของพระองค์ใช่หรือไม่? พวกเจ้ามองเห็นพระอุปนิสัยด้านนี้ของพระเจ้าแล้วหรือไม่? ถึงแม้ว่าจะมีผู้ชอบธรรมเพียงสิบคนเท่านั้น พระเจ้าก็คงจะไม่ทรงทำลายเมืองนี้ เนื่องจากผู้คนที่ชอบธรรมสิบคนเหล่านี้ นี่ใช่หรือไม่ใช่ความยอมผ่อนปรนและความรักของพระเจ้า? เพราะความกรุณา ความยอมผ่อนปรน และความห่วงใยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้คนที่ชอบธรรมเหล่านั้น พระองค์คงจะไม่ทรงทำลายเมืองนี้ลง นี่คือความยอมผ่อนปรนของพระเจ้า และในที่สุด พวกเรามองเห็นบทอวสานใด? เมื่ออับราฮัมได้กล่าวว่า “สมมุติว่า ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น” พระเจ้าได้ตรัสว่า “เราจะไม่ทำลาย” หลังจากนั้น อับราฮัมก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก—เพราะภายในเมืองโสโดมไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคนที่เขาอ้างถึง และเขาก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก และในเวลานั้น เขาได้เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึง ได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำลายเมืองโสโดม ในการนี้ เจ้าเห็นพระอุปนิสัยใดของพระเจ้า? พระเจ้าได้ทรงตั้งปณิธานประเภทใด? พระเจ้าได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า หากเมืองนี้ไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคน พระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้มันมีอยู่ และจะทรงทำลายมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่ไม่ใช่พระพิโรธของพระเจ้าหรอกหรือ? พระพิโรธนี้เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าใช่หรือไม่? พระอุปนิสัยนี้เป็นการเปิดเผยถึงเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าใช่หรือไม่ มันเป็นการเปิดเผยถึงเนื้อแท้ที่ชอบธรรมของพระเจ้า ที่มนุษย์ต้องไม่ทำให้ขุ่นเคืองใช่หรือไม่? เมื่อได้มีการยืนยันแล้วว่าไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคนในเมืองโสโดม พระเจ้าจึงแน่พระทัยที่จะทำลายเมืองนี้ และจะลงโทษผู้คนภายในเมืองนั้นอย่างรุนแรง เพราะพวกเขาได้ต่อต้านพระเจ้า และเพราะพวกเขาโสมมและเสื่อมทรามยิ่งนัก

เหตุใดพวกเราจึงได้วิเคราะห์บทตอนเหล่านี้ในหนทางนี้? เป็นเพราะประโยคที่เรียบง่ายไม่กี่ประโยคเหล่านี้ให้การแสดงออกอย่างเต็มที่ถึงพระอุปนิสัยที่มีความกรุณาล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึกของพระเจ้า ในเวลาเดียวกันกับที่ทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของคนชอบธรรม และทรงมีความกรุณา ความยอมผ่อนปรน และการใส่พระทัยต่อพวกเขา ในพระทัยของพระเจ้าก็มีความเกลียดชังลึกซึ้งต่อพวกเขาทั้งหมดในเมืองโสโดมที่ได้เสื่อมทรามไปแล้ว นี่ใช่หรือไม่ใช่ความกรุณาอันล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึก? พระเจ้าได้ทรงทำลายเมืองนี้ด้วยวิธีใด? ด้วยไฟ และเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงทำลายมันโดยใช้ไฟ? เมื่อเจ้ามองเห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังถูกเผาไหม้ด้วยไฟ หรือเมื่อเจ้ากำลังจะเผาบางสิ่งบางอย่าง เจ้ารู้สึกอย่างไรกับมัน? เหตุใดเจ้าจึงต้องการที่จะเผามัน? เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องมีมันอีกต่อไปแล้ว ว่าเจ้าไม่ปรารถนาที่จะมองดูมันอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่? เจ้าต้องการละทิ้งมันใช่หรือไม่? การที่พระเจ้าทรงใช้ไฟหมายถึงการละทิ้ง และการเกลียดชัง และหมายความว่าพระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะทอดพระเนตรเห็นเมืองโสโดมอีกต่อไป นี่คืออารมณ์ที่ทำให้พระเจ้าทรงเผาผลาญเมืองโสโดมด้วยไฟ การใช้ไฟเป็นสิ่งแทนแค่ว่าพระเจ้ากริ้วเพียงใด ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระเจ้ามีอยู่จริง แต่ความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ออกมาก็แสดงให้มนุษย์เห็นด้านที่พระเจ้าไม่ทรงยอมทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองด้วยเช่นกัน เมื่อมนุษย์มีความสามารถเต็มที่ในการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าและกระทำการสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยความกรุณาของพระองค์ต่อมนุษย์ เมื่อมนุษย์เต็มไปด้วยความเสื่อมทราม ความเกลียดชังและความเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ พระเจ้าก็กริ้วอย่างล้ำลึก พระองค์กริ้วอย่างล้ำลึกถึงระดับใด? พระพิโรธของพระองค์จะมีอยู่จนกระทั่งพระเจ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นการต้านทานและความประพฤติต่างๆ ที่ชั่วร้ายของมนุษย์อีกต่อไป จนกระทั่งพวกเขาไม่อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์อีกต่อไป เมื่อนั้นเท่านั้นที่ความกริ้วของพระเจ้าจะหายไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร หากหัวใจของพวกเขาออกห่างจากพระเจ้าและหันเหไปจากพระเจ้า ไม่เคยหวนกลับมา เช่นนั้นแล้ว เมื่อมองตามสิ่งที่เห็นภายนอกหรือในแง่ของความปรารถนาที่อยู่ในใจของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะอยากนมัสการ ติดตาม และนบนอบพระเจ้าอยู่ในกายหรือในการนึกคิดของตนเช่นไรก็ตาม ทันทีที่หัวใจของพวกเขาหันเหออกจากพระเจ้า พระเจ้าก็จะปลดปล่อยพระพิโรธออกมาไม่หยุด จนถึงขั้นที่ว่าเมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยความกริ้วของพระองค์ออกมาอย่างรุนแรงหลังจากที่ได้ให้โอกาสอย่างล้นเหลือกับมนุษย์แล้ว ทันทีที่ความกริ้วถูกปลดปล่อยออกมาก็จะไม่มีทางดึงกลับไปได้ และพระองค์จะไม่มีวันทรงกรุณาและยอมผ่อนปรนให้กับมวลมนุษย์เช่นนั้นอีกครั้ง นี่คือด้านหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ยอมผ่อนปรนต่อการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ ณ ที่นี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้คนที่พระเจ้าจะทรงทำลายเมืองหนึ่ง เพราะในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว เมืองหนึ่งที่เต็มไปด้วยบาปจะไม่สามารถดำรงอยู่และคงอยู่ต่อไปได้ และมันสมเหตุสมผลที่มันจะต้องถูกพระเจ้าทรงทำลาย แต่กระนั้นในสิ่งที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้าและหลังจากการทำลายล้างเมืองโสโดมของพระองค์ พวกเราก็มองเห็นความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระอุปนิสัยของพระเจ้า พระองค์ทรงยอมผ่อนปรนและทรงกรุณาต่อสิ่งต่างๆ ที่ใจดีและสวยงามและดี สำหรับสิ่งทั้งหลายที่ชั่วร้าย เต็มไปด้วยบาป และเลวทรามนั้น พระเจ้าทรงพิโรธอย่างล้ำลึก จนถึงขั้นที่พระองค์จะไม่ทรงหยุดพระพิโรธของพระองค์ เหล่านี้คือสองแง่มุมที่เป็นหลักการและเด่นชัดมากที่สุดจากพระอุปนิสัยของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบ นั่นคือ ความกรุณาอันล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึก พวกเจ้าส่วนใหญ่ได้รับประสบการณ์กับบางสิ่งบางอย่างจากความกรุณาของพระเจ้าแล้ว แต่พวกเจ้าน้อยคนนักที่ได้ซึ้งคุณค่ากับพระพิโรธของพระเจ้า ความกรุณาและความรักมั่นคงของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้ในทุกบุคคล กล่าวคือ พระเจ้าทรงกรุณาอย่างล้นเหลือต่อทุกบุคคล แต่กระนั้นก็สามารถกล่าวได้ว่า พระเจ้าแทบจะไม่หรือไม่เคยที่จะกริ้วอย่างล้ำลึกต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือผู้คนส่วนใดๆ ท่ามกลางพวกเจ้า จงผ่อนคลายเถิด! ไม่ช้าก็เร็ว ทุกบุคคลจะได้เห็นและได้รับประสบการณ์กับพระพิโรธของพระเจ้า แต่บัดนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? นี่เป็นเพราะเมื่อพระเจ้ากริ้วใครบางคนอยู่เป็นนิตย์ กล่าวคือ เมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยพระพิโรธอันล้ำลึกของพระองค์ต่อพวกเขา นี่หมายความว่าพระองค์ทรงรังเกียจเดียดฉันท์บุคคลผู้นี้มานานแล้ว ว่าพระองค์ทรงชิงชังการดำรงอยู่ของพวกเขา และว่าพระองค์ไม่ทรงสามารถทนต่อการดำรงอยู่ของพวกเขาได้ ทันทีที่ความกริ้วของพระองค์เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาจะหายไป วันนี้ พระราชกิจของพระเจ้ายังไม่มาถึงจุดนั้น ไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้าจะสามารถแบกรับมันเมื่อพระเจ้าทรงกลับกลายเป็นกริ้วอย่างล้ำลึก เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจึงเห็นว่า ณ เวลานี้ พระเจ้าทรงเพียงแต่กรุณาอย่างล้นเหลือต่อพวกเจ้าทุกคน และพวกเจ้ายังไม่ได้เห็นความกริ้วที่ล้ำลึกของพระองค์ หากยังมีผู้คนที่ยังคงไม่เชื่อ พวกเจ้าสามารถขอให้พระพิโรธของพระเจ้าเกิดขึ้นแก่พวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจจะได้รับประสบการณ์ว่าความกริ้วของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระองค์ที่ไม่ยอมทนให้มนุษย์ทำให้ขุ่นเคืองนั้นมีอยู่จริงๆ หรือไม่ พวกเจ้ากล้าหรือไม่?

ผู้คนในยุคสุดท้ายมองเห็นเพียงพระพิโรธของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ และไม่ได้รับประสบการณ์กับพระพิโรธของพระเจ้าอย่างแท้จริง

พระอุปนิสัยสองด้านของพระเจ้าที่มองเห็นในบทตอนเหล่านี้ของข้อพระคัมภีร์มีค่าควรแก่การสามัคคีธรรมหรือไม่? เมื่อได้ยินเรื่องราวนี้แล้ว พวกเจ้ามีความเข้าใจที่เกิดขึ้นใหม่เกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่? เจ้ามีความเข้าใจประเภทใด? สามารถกล่าวได้ว่าจากเวลาแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งถึงวันนี้ ไม่มีกลุ่มใดได้ชื่นชมกับพระคุณหรือความกรุณาและความรักมั่นคงของพระเจ้ามากเท่ากับกลุ่มสุดท้ายนี้ ถึงแม้ว่าในช่วงระยะสุดท้ายพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอน และได้ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ด้วยพระบารมีและพระพิโรธ แต่ส่วนใหญ่แล้วพระเจ้าทรงใช้เพียงพระวจนะเท่านั้นในการทำให้พระราชกิจของพระองค์สำเร็จลุล่วง พระองค์ทรงใช้พระวจนะเพื่อสอนและรดน้ำ เพื่อจัดเตรียมและให้อาหาร ในขณะเดียวกัน พระพิโรธของพระเจ้าได้ถูกเก็บซ่อนไว้อยู่เสมอ และนอกจากการรับประสบการณ์กับพระอุปนิสัยที่เต็มไปด้วยพระพิโรธของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์แล้ว มีผู้คนน้อยมากที่ได้รับประสบการณ์กับความกริ้วของพระองค์แบบต่อหน้าต่อตา กล่าวคือ ในช่วงระหว่างพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า ถึงแม้ว่าพระพิโรธที่เปิดเผยอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าจะเปิดโอกาสให้ผู้คนได้รับประสบการณ์กับพระบารมีของพระเจ้าและความไม่ยอมผ่อนปรนกับการทำให้ขุ่นเคืองของพระองค์ พระพิโรธนี้ไม่ได้เกินไปกว่าพระวจนะของพระองค์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อตำหนิมนุษย์ เปิดโปงมนุษย์ พิพากษามนุษย์ ตีสอนมนุษย์ และแม้กระทั่งประณามมนุษย์—แต่พระเจ้ายังไม่ได้กริ้วมนุษย์อย่างล้ำลึก และแทบจะไม่ถึงขั้นได้ทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ต่อมนุษย์เว้นแต่ด้วยพระวจนะของพระองค์ ด้วยเหตุนี้ ความกรุณาและความรักมั่นคงของพระเจ้าที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์ในยุคนี้จึงเป็นการเปิดเผยพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า ในขณะที่พระพิโรธของพระเจ้าที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์นั้นก็เป็นแค่ผลของพระกระแสเสียงและความรู้สึกจากพระดำรัสของพระองค์ ผู้คนจำนวนมากถือเอาอย่างผิดๆ ว่าผลนี้คือการได้รับประสบการณ์ที่แท้จริงและความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระพิโรธของพระเจ้า ดังนั้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงเชื่อว่าพวกเขาได้เห็นความกรุณาและความรักมั่นคงของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ ว่าพวกเขาได้เห็นความยอมผ่อนปรนของพระองค์ต่อการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์ด้วยเช่นกัน และพวกเขาส่วนใหญ่ถึงขั้นได้มาซึ้งคุณค่าต่อความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ แต่ไม่สำคัญว่าพฤติกรรมของมนุษย์จะไม่ดีเพียงใด หรืออุปนิสัยของเขาจะเสื่อมทรามเพียงใด พระเจ้าก็ทรงทนฝ่าเสมอ ในการทนฝ่านั้น จุดมุ่งหมายของพระองค์คือการรอคอยให้พระวจนะที่พระองค์ได้ตรัสไป ความพากเพียรที่พระองค์ได้ทรงทำไป และราคาที่พระองค์ได้ทรงจ่ายไปสัมฤทธิ์ผลในบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะได้รับ การรอคอยบทอวสานเช่นนี้ต้องใช้เวลา และพึงประสงค์การทรงสร้างสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันเพื่อมนุษย์ ในวิธีเดียวกันกับที่ผู้คนไม่กลายเป็นผู้ใหญ่ทันทีที่พวกเขาเกิด ต้องใช้เวลาสิบแปดหรือสิบเก้าปี และบางคนถึงขั้นจำเป็นต้องใช้เวลายี่สิบหรือสามสิบปีก่อนที่พวกเขาจะเติบโตเต็มที่เป็นผู้ใหญ่จริงๆ พระเจ้าทรงรอการครบบริบูรณ์ของกระบวนการนี้ พระองค์ทรงรอการมาถึงของเวลาเช่นนั้น และพระองค์ทรงรอการมาถึงของบทอวสานนี้ ตลอดเวลาที่พระองค์ทรงรอนั้น พระเจ้าทรงเปี่ยมกรุณาอย่างล้นเหลือ อย่างไรก็ตาม ในระหว่างช่วงเวลานั้นของพระราชกิจของพระองค์ ผู้คนจำนวนน้อยอย่างยิ่งที่ถูกบดขยี้ลง และบางคนถูกลงโทษเนื่องจากการต่อต้านพระเจ้าอย่างร้ายแรงของพวกเขา ตัวอย่างเช่นนี้เป็นข้อพิสูจน์ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ยอมทนการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์ และยืนยันอย่างเต็มที่ถึงการมีอยู่จริงของความยอมผ่อนปรนและความทรหดอดทนของพระเจ้าที่มีต่อบรรดาผู้ที่ได้รับเลือกสรร แน่นอนว่าในตัวอย่างตามแบบฉบับเหล่านี้ การเปิดเผยพระอุปนิสัยบางส่วนของพระเจ้าในผู้คนเหล่านี้ไม่ได้กระทบกับแผนการบริหารจัดการโดยรวมของพระเจ้า ในข้อเท็จจริงนั้น ช่วงระยะสุดท้ายแห่งพระราชกิจของพระเจ้านี้ พระเจ้าทรงทนฝ่าตลอดช่วงเวลาที่พระองค์กำลังทรงรอคอย และพระองค์ได้ทรงแลกเปลี่ยนความทรหดอดทนของพระองค์กับพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อความรอดของบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ พวกเจ้ามองเห็นสิ่งนี้หรือไม่? พระเจ้าไม่ทรงล้มเลิกแผนของพระองค์โดยไม่มีเหตุผล พระองค์ทรงสามารถปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ และพระองค์ทรงสามารถเปี่ยมกรุณาด้วยเช่นกัน นี่คือการเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระเจ้าสองส่วนหลักๆ สิ่งนี้ชัดเจนอย่างยิ่งหรือไม่ใช่? กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อกล่าวถึงพระเจ้า ถูกและผิด ยุติธรรมและอยุติธรรม เป็นเชิงบวกและเป็นเชิงลบ—ทั้งหมดนี้แสดงให้มนุษย์เห็นอย่างชัดเจน สิ่งที่พระองค์จะทรงทำ สิ่งที่พระองค์ถูกพระทัย สิ่งที่พระองค์ทรงเกลียดชัง—ทั้งหมดนี้สามารถสะท้อนให้เห็นได้โดยตรงในพระอุปนิสัยของพระองค์ สิ่งต่างๆ เช่นนี้ยังสามารถมองเห็นได้อย่างแจ่มแจ้งและอย่างชัดเจนอย่างยิ่งในพระราชกิจของพระเจ้าด้วยเช่นกัน และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้คลุมเครือหรือธรรมดาสามัญ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น สิ่งเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้คนทั้งหมดมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นในลักษณะที่เป็นรูปธรรม เที่ยงแท้ และสัมพันธ์กับชีวิตจริง นี่คือพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง

พระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่เคยถูกซ่อนเร้นจากมนุษย์—หัวใจของมนุษย์ได้ไถลห่างไปจากพระเจ้าแล้ว

หากเราไม่ได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้ พวกเจ้าก็คงจะไม่มีใครสักคนที่สามารถมองเห็นพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้าในเรื่องราวจากพระคัมภีร์ นี่คือข้อเท็จจริง นั่นก็เป็นเพราะว่า ถึงแม้เรื่องราวจากพระคัมภีร์เหล่านี้จะได้บันทึกบางสิ่งบางอย่างที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ แต่พระเจ้าก็ได้ตรัสพระวจนะเพียงแค่ไม่กี่คำ และไม่ได้แนะนำพระอุปนิสัยของพระองค์โดยตรงหรือแสดงเจตนารมณ์ของพระองค์แก่มนุษย์อย่างเปิดเผย คนรุ่นหลังถือว่าบันทึกเหล่านี้ไม่ใช่อื่นใดนอกจากเรื่องเล่า และดังนั้น สำหรับผู้คนแล้วจึงดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงซ่อนเร้นพระองค์เองจากมนุษย์ ว่าสิ่งที่ถูกซ่อนเร้นจากมนุษย์นั้นไม่ใช่สภาวะบุคคลของพระเจ้า แต่เป็นพระอุปนิสัยและเจตนารมณ์ของพระองค์ หลังจากสามัคคีธรรมของเราในวันนี้ พวกเจ้ายังคงรู้สึกว่าพระเจ้าทรงซ่อนองค์จากมนุษย์โดยสิ้นเชิงหรือไม่? พวกเจ้ายังคงเชื่อหรือไม่ว่ามีการซ่อนเร้นพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากมนุษย์?

นับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้าง พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นเข้ากันได้กับพระราชกิจของพระองค์ มันไม่เคยถูกซ่อนเร้นไปจากมนุษย์ แต่ได้เป็นที่เปิดเผยและถูกทำให้ชัดเจนต่อมนุษย์อย่างเต็มที่ แต่ทว่าด้วยเวลาที่ผ่านไป หัวใจของมนุษย์ก็เริ่มห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และขณะที่ความเสื่อมทรามของมนุษย์กลายเป็นลุ่มลึกยิ่งขึ้น มนุษย์กับพระเจ้าก็ได้กลายเป็นแยกห่างจากกันไกลยิ่งขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ได้หายไปจากสายพระเนตรของพระเจ้าอย่างช้าๆ แต่แน่นอน มนุษย์ได้กลายเป็นไร้ความสามารถที่จะ “มองเห็น” พระเจ้า ซึ่งได้ทรงทิ้งเขาไปโดยไม่มี “ข่าวคราว” ใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือไม่ และแม้กระทั่งไปไกลจนถึงขั้นปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ดังนั้น การที่มนุษย์ไม่มีการจับใจความพระอุปนิสัยของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้น ไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงซ่อนเร้นจากมนุษย์ แต่เพราะหัวใจของเขาได้หันไปจากพระเจ้าแล้ว ถึงแม้ว่ามนุษย์จะเชื่อในพระเจ้า แต่หัวใจของมนุษย์ก็ปราศจากพระเจ้า และเขาไม่รู้เท่าทันว่าจะรักพระเจ้าอย่างไร อีกทั้งเขาไม่ต้องการที่จะรักพระเจ้า เพราะหัวใจของเขานั้นไม่เคยมาใกล้ชิดกับพระเจ้าและเขาหลีกเลี่ยงพระเจ้าอยู่เสมอ ผลก็คือ หัวใจของมนุษย์อยู่ห่างไกลจากพระเจ้า ดังนั้น หัวใจของเขาอยู่ที่ใด? แท้ที่จริงแล้ว หัวใจของมนุษย์ไม่ได้ไปที่ใด กล่าวคือ แทนที่จะมอบมันให้แก่พระเจ้าหรือเปิดเผยมันเพื่อให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็น เขากลับเก็บมันไว้เพื่อตัวเขาเอง นั่นคือ ถึงแม้จะมีข้อเท็จจริงที่ว่าผู้คนบางคนมักจะอธิษฐานต่อพระเจ้าและกล่าวบ่อยครั้งว่า “โอ้พระเจ้า โปรดทอดพระเนตรหัวใจของข้าพระองค์—พระองค์ทรงรู้ทุกสิ่งที่ข้าพระองค์คิด” และบางคนถึงขั้นปฏิญาณที่จะให้พระเจ้าทอดพระเนตรพวกเขา ว่าพวกเขาอาจจะถูกลงโทษหากพวกเขาผิดคำสาบาน ถึงแม้ว่ามนุษย์จะยอมให้พระเจ้ามองเข้าไปในหัวใจของเขา แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์สามารถนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้ อีกทั้งไม่ได้หมายความว่าเขาได้ปล่อยให้ชะตากรรมและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเขาและทั้งหมดของเขาอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเจ้าจะทำการสาบานกับพระเจ้าอย่างไรหรือเจ้าจะประกาศกับพระองค์อย่างไร ในสายพระเนตรของพระเจ้าหัวใจของเจ้าก็ยังคงปิดต่อพระองค์ เพราะเจ้าเพียงยอมให้พระเจ้าทอดพระเนตรหัวใจของเจ้าเท่านั้นแต่ไม่ได้อนุญาตให้พระองค์ทรงควบคุมมัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เจ้าไม่เคยมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้าเลย และเพียงแค่พูดคำพูดที่ฟังดูดีให้พระเจ้าทรงได้ยิน ในขณะเดียวกัน เจ้าก็ซ่อนเร้นเจตนาที่หลอกลวงต่างๆ จากพระเจ้า รวมทั้งเล่ห์เพทุบาย การวางแผนร้าย และแผนของเจ้า และเจ้าจับยึดความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้และชะตากรรมของเจ้าไว้ในมือเจ้า กลัวอยู่ลึกๆ ว่าพระเจ้าจะทรงเอาสิ่งเหล่านั้นไป ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงไม่เคยทรงมองเห็นความจริงใจต่อพระองค์ของมนุษย์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงเฝ้าสังเกตส่วนลึกในหัวใจของมนุษย์ และสามารถมองเห็นสิ่งที่มนุษย์กำลังคิดและความปรารถนาที่จะทำในหัวใจของเขา และสามารถมองเห็นว่าสิ่งใดที่ถูกเก็บอยู่ภายในหัวใจของเขา แต่หัวใจของมนุษย์ก็ไม่ได้เป็นของพระเจ้า และเขาไม่เคยมอบมันให้อยู่ในการควบคุมของพระเจ้า กล่าวคือ พระเจ้าทรงมีสิทธิ์ที่จะเฝ้าสังเกต แต่พระองค์ไม่ทรงมีสิทธิ์ที่จะควบคุม ในจิตสำนึกภายในตัวมนุษย์นั้น มนุษย์ไม่ต้องการหรือมีเจตนาที่จะยอมให้พระเจ้าจัดวางเรียบเรียงตัวเขา มนุษย์ไม่เพียงปิดกั้นตนเองจากพระเจ้าเท่านั้น แต่มีแม้กระทั่งผู้คนที่คิดถึงวิธีที่จะห่อหุ้มหัวใจของพวกเขา โดยใช้คำพูดที่ระรื่นหูและการประจบสอพลอเพื่อสร้างความประทับใจเท็จขึ้นมาแล้วได้รับความไว้วางพระทัยจากพระเจ้า และปกปิดโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาไม่ให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็น จุดมุ่งหมายของพวกเขาที่จะไม่ยอมให้พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นก็คือเพื่อที่จะไม่ยอมให้พระเจ้าทรงล่วงรู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาเป็นอย่างไร พวกเขาไม่ต้องการที่จะมอบหัวใจของพวกเขาแด่พระเจ้า แต่ต้องการที่จะเก็บมันไว้เพื่อตัวพวกเขาเอง เนื้อหาย่อยของการนี้ก็คือว่า สิ่งที่มนุษย์ทำและสิ่งที่เขาต้องการทั้งหมดนั้นได้ถูกวางแผน คิดคำนวณ และตัดสินใจโดยมนุษย์ด้วยตัวเขาเอง เขาไม่พึงประสงค์การมีส่วนร่วมหรือการแทรกแซงของพระเจ้า นับประสาอะไรที่เขาจะต้องการการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของพระบัญญัติของพระเจ้า พระบัญชาของพระองค์ หรือข้อพึงประสงค์ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงกำหนดจากมนุษย์ การตัดสินใจของมนุษย์ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเจตนาและความสนใจของเขาเอง บนพื้นฐานของสภาวะและรูปการณ์แวดล้อม ณ เวลานั้นของเขาเอง มนุษย์มักใช้ความรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่เขาคุ้นเคย และสติปัญญาของเขาเอง เพื่อตัดสินและเลือกเส้นทางที่เขาควรจะเดินอยู่เสมอ และไม่ยอมให้มีการแทรกแซงหรือการควบคุมจากพระเจ้า นี่คือหัวใจของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงมองเห็น

จากปฐมกาลจนกระทั่งถึงวันนี้ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถสนทนากับพระเจ้าได้ กล่าวคือ ท่ามกลางสรรพสิ่งที่มีชีวิตและสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงของพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากมนุษย์ที่สามารถสนทนากับพระเจ้าได้ มนุษย์มีหูที่ทำให้เขาสามารถรับฟังได้ และตาที่ทำให้เขามองเห็น เขามีภาษา และมีแนวคิดของเขาเอง และมีเจตจำนงเสรี เขามีทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต้องมีในการฟังพระเจ้าตรัส ทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า และยอมรับพระบัญชาจากพระเจ้า และดังนั้นพระเจ้าจึงทรงประสาทความปรารถนาทั้งหมดของพระเจ้าให้กับมนุษย์ โดยทรงต้องประสงค์ที่จะทำให้มนุษย์เป็นสหายผู้มีจิตใจเดียวกันกับพระองค์และผู้ที่สามารถเดินไปกับพระองค์ได้ นับตั้งแต่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นบริหารจัดการ พระเจ้ากำลังทรงรอคอยอยู่ตลอดเวลาที่จะให้มนุษย์มอบหัวใจของเขาแก่พระองค์ ยอมให้พระองค์ชำระมันให้บริสุทธิ์และสวมใส่มัน เพื่อทำให้เขาเป็นที่พึงพอพระทัยของพระเจ้าและเป็นที่รักของพระเจ้า เพื่อทำให้เขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว พระเจ้าทอดพระเนตรไปข้างหน้าและรอคอยบทอวสานนี้มาตลอด

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระพิโรธของพระเจ้าคือการพิทักษ์กำลังบังคับแห่งความยุติธรรมทั้งหมดและสิ่งที่เป็นบวกทั้งหมด

โดยการทำความเข้าใจกับตัวอย่างเหล่านี้ของพระดำรัส พระดำริ และการกระทำของพระเจ้า เจ้าจะสามารถเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า...

ถึงแม้ซาตานจะดูมีมนุษยธรรม ยุติธรรม และมีคุณธรรม แต่เนื้อแท้ของซาตานนั้นโหดร้ายและเลว

ซาตานสร้างชื่อเสียงของมันผ่านทางการหลอกลวงผู้คน และมักจะสถาปนาตัวเองเป็นผู้นำและแบบอย่างของความยุติธรรม...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger