พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 200

วันที่ 28 เดือน 10 ปี 2023

ท่าทีที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มวลมนุษย์มีต่อพระองค์

แท้จริงแล้ว พระเจ้ามิได้กำลังทรงเรียกร้องมากมายจากมวลมนุษย์—หรืออย่างน้อย พระองค์มิได้ทรงเรียกร้องมากเท่าที่ผู้คนจินตนาการ หากพระเจ้าไม่ได้ดำรัสพระวจนะใดๆ และหากพระองค์ไม่ทรงแสดงพระอุปนิสัยหรือกิจการใดๆ ของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว การรู้จักพระเจ้าคงจะเป็นความยากลำบากอย่างที่สุดสำหรับพวกเจ้า เพราะผู้คนคงจะต้องอนุมานเจตนารมณ์และน้ำพระทัยของพระองค์ นี่คงจะทำยากมาก อย่างไรก็ตาม ในช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าได้ตรัสพระวจนะมากมาย ได้ทรงทำพระราชกิจจำนวนมาก และได้ทรงมีข้อพึงประสงค์มากมายต่อมนุษย์ ในพระวจนะของพระองค์ และพระราชกิจจำนวนมากของพระองค์นั้น พระองค์ได้ทรงแจ้งข้อมูลแก่ผู้คนเกี่ยวกับสิ่งที่พระองค์โปรด สิ่งที่พระองค์ทรงเกลียด และเกี่ยวกับประเภทของผู้คนที่พวกเขาควรจะเป็น หลังจากได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ผู้คนควรจะมีการกำหนดนิยามที่แม่นยำในหัวใจของพวกเขาเกี่ยวกับข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า เพราะพวกเขาไม่เชื่อในพระเจ้าในความคลุมเครือและไม่เชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครืออีกต่อไป อีกทั้งพวกเขาไม่มีความเชื่อในพระเจ้าท่ามกลางความคลุมเครือหรือความไม่มีสิ่งใด ในทางตรงกันข้าม พวกเขาสามารถได้ยินถ้อยดำรัสของพระองค์ เข้าใจมาตรฐานแห่งข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระองค์ และบรรลุถึงข้อพึงประสงค์เหล่านั้น และพระเจ้าทรงใช้ภาษาของมวลมนุษย์เพื่อบอกพวกเขาถึงทั้งหมดที่พวกเขาควรจะรู้และเข้าใจ วันนี้หากผู้คนยังคงไม่รู้จักว่าพระเจ้าทรงเป็นสิ่งใด และพระองค์ทรงพึงประสงค์สิ่งใดจากพวกเขา หากพวกเขาไม่รู้ว่าเหตุใดคนเราจึงควรเชื่อในพระเจ้า และไม่รู้วิธีที่จะเชื่อในพระองค์หรือปฏิบัติต่อพระองค์—เช่นนั้นแล้วก็จะมีปัญหากับการนี้…ข้อพึงประสงค์ที่ถูกต้องที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์และบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้ามีดังต่อไปนี้ พระองค์ทรงพึงประสงค์ห้าสิ่งจากบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ ได้แก่ การเชื่อที่แท้จริง การติดตามอย่างจงรักภักดี การนบนอบที่สมบูรณ์ ความรู้อันจริงแท้ และความเคารพด้วยน้ำใสใจจริง

ในห้าสิ่งนี้ พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์ไม่ตั้งคำถามกับพระองค์หรือติดตามพระองค์โดยใช้จินตนาการหรือมุมมองที่คลุมเครือและเป็นนามธรรมทั้งหลายของพวกเขาอีกต่อไป พวกเขาต้องไม่ติดตามพระเจ้าบนพื้นฐานของการจินตนาการหรือมโนคติอันหลงผิดใดๆ พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้ทุกคนในบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ทำเช่นนั้นอย่างจงรักภักดี ไม่ใช่อย่างครึ่งใจหรือโดยไม่มีความมุ่งมั่น เมื่อพระเจ้าทรงทำข้อพึงประสงค์ใดๆ ต่อเจ้า ทรงทดสอบเจ้า ทรงพิพากษาเจ้า ทรงจัดการกับเจ้าและทรงตัดแต่งเจ้า หรือทรงบ่มวินัยและทุบตีเจ้า เจ้าควรนบนอบต่อพระองค์อย่างสมบูรณ์ เจ้าไม่ควรถามถึงสาเหตุหรือตั้งเงื่อนไขทั้งหลาย นับประสาอะไรที่เจ้าจะควรพูดถึงเหตุผลทั้งหลาย การเชื่อฟังของเจ้าต้องสมบูรณ์ ความรู้เรื่องพระเจ้าคือความรู้ด้านที่ผู้คนขาดพร่องมากที่สุด พวกเขามักจะกำหนดคติพจน์ ถ้อยคำ และคำพูดที่ไม่เกี่ยวโยงกับพระองค์ให้กับพระเจ้า โดยเชื่อว่าคำพูดเช่นนั้นเป็นการกำหนดนิยามที่เที่ยงตรงมากที่สุดเกี่ยวกับความรู้เรื่องพระเจ้า พวกเขารู้เพียงน้อยนิดว่าคติพจน์เหล่านี้ ที่มาจากการจินตนาการของมนุษย์ การให้เหตุผลของพวกเขาเอง และความรู้ของพวกเขาเองนั้นไม่มีความเกี่ยวโยงกับเนื้อแท้ของพระเจ้าเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยเหตุนี้ เราต้องการที่จะบอกพวกเจ้าว่า เมื่อพูดถึงความรู้ที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้คนมีนั้น พระองค์ไม่เพียงทรงขอให้เจ้าระลึกถึงพระองค์และพระวจนะทั้งหลายของพระองค์ แต่ยังทรงขอให้ความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับพระองค์นั้นถูกต้องด้วยเช่นกัน ถึงแม้ว่าเจ้าสามารถกล่าวเพียงหนึ่งประโยคเท่านั้น หรือตระหนักรู้เพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น แต่ส่วนน้อยนิดของความตระหนักรู้นี้ถูกต้องและแท้จริง และเข้ากันได้กับเนื้อแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง นี่เป็นเพราะพระเจ้าทรงรังเกียจการสรรเสริญหรือการชมเชยใดๆ ต่อพระองค์ที่ไม่สมจริงหรือที่ไม่ได้พิจารณาให้รอบคอบ ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเกลียดชังเมื่อผู้คนปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนอย่างอากาศ พระองค์ทรงเกลียดชังเมื่อผู้คนพูดโดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงในระหว่างการหารือในหัวข้อที่เกี่ยวกับพระเจ้า โดยพูดคุยกันตามอำเภอใจและโดยไม่มีความลังเล กล่าวสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาเห็นว่าเหมาะ ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเกลียดชังบรรดาผู้ที่เชื่อว่าพวกเขารู้จักพระเจ้าและโอ้อวดเกี่ยวกับความรู้เรื่องพระองค์ของพวกเขา โดยหารือในหัวข้อที่เกี่ยวกับพระองค์โดยไม่มีทั้งความยับยั้งชั่งใจหรือข้อสงสัย สิ่งสุดท้ายสำหรับข้อพึงประสงค์ห้าประการที่กล่าวไปข้างต้นเหล่านั้นก็คือความเคารพด้วยน้ำใสใจจริง กล่าวคือ นี่คือข้อพึงประสงค์ข้อสุดท้ายของพระเจ้าที่มีต่อคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ติดตามพระองค์ เมื่อใครบางคนมีความรู้ที่ถูกต้องและแท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า พวกเขาก็สามารถเคารพพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้อย่างแท้จริง ความเคารพนี้มาจากส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา ความเคารพนี้ถูกมอบให้โดยเต็มใจ และไม่ใช่ผลของความกดดันจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงขอให้เจ้ามอบท่าที การประพฤติ หรือพฤติกรรมภายนอกที่ดีงามใดๆ เป็นของขวัญแด่พระเจ้า ในทางตรงกันข้าม พระองค์ทรงขอให้เจ้าเคารพพระองค์และยำเกรงพระองค์ในส่วนลึกของหัวใจของเจ้า การบรรลุถึงความเคารพเช่นนั้นเป็นผลของการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า ของการได้รับความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าและการเข้าใจกิจการทั้งหลายของพระเจ้า ของการได้มาเข้าใจเนื้อแท้ของพระเจ้า และของการที่เจ้ายอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าคือหนึ่งในสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระเจ้า เพราะฉะนั้น จุดมุ่งหมายของเราในการใช้คำว่า "ด้วยน้ำใสใจจริง" เพื่อนิยามความเคารพในที่นี้ก็เพื่อให้มนุษย์ได้เข้าใจว่าความเคารพที่พวกเขามีต่อพระเจ้าควรจะมาจากก้นบึ้งหัวใจของพวกเขา

บัดนี้จงพิจารณาข้อพึงประสงค์ห้าประการเหล่านั้นว่า คนใดบ้างท่ามกลางพวกเจ้าที่สามารถบรรลุสามประการแรกได้? โดยการนี้ เรากำลังอ้างถึงการเชื่อที่แท้จริง การติดตามอย่างจงรักภักดี และการนบนอบอย่างสมบูรณ์ คนใดบ้างท่ามกลางพวกเจ้าที่มีความสามารถในเรื่องเหล่านี้? เรารู้ว่าหากเราได้กล่าวถึงหมดทั้งห้าประการ ก็คงจะไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่มีคนใดเลยท่ามกลางพวกเจ้าที่สามารถ แต่เราได้ลดจำนวนมาเป็นสาม จงคิดดูเถิดว่าพวกเจ้าได้สัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้แล้วหรือยัง "การเชื่อที่แท้จริง" บรรลุถึงง่ายกระนั้นหรือ? ("ไม่ นั่นไม่ง่ายเลย") นั่นไม่ง่ายเลย เพราะผู้คนตั้งคำถามกับพระเจ้าอยู่บ่อยๆ แล้ว "การปฏิบัติตามอย่างจงรักภักดี" เป็นอย่างไรกันเล่า? "อย่างจงรักภักดี" นี้หมายถึงสิ่งใด? (ไม่ใช่โดยครึ่งใจ แต่เป็นไปโดยหมดทั้งใจแทน) ไม่ใช่โดยครึ่งใจ แต่โดยหมดทั้งใจ พวกเจ้าพูดได้ตรงประเด็นทีเดียว! ดังนั้น พวกเจ้าสามารถสัมฤทธิ์ข้อพึงประสงค์นี้ได้หรือไม่? พวกเจ้าต้องพยายามหนักขึ้นใช่หรือไม่? ณ ชั่วขณะนี้ พวกเจ้ายังไม่ประสบความสำเร็จในข้อพึงประสงค์นี้ แล้ว "การนบนอบอย่างสมบูรณ์" เล่า—พวกเจ้าได้สัมฤทธิ์ผลหรือยัง? (ยัง) พวกเจ้ายังไม่ได้สัมฤทธิ์การนั้นด้วยเช่นกัน พวกเจ้ามักจะไม่เชื่อฟังและเป็นกบฏ พวกเจ้าไม่รับฟัง ไม่ปรารถนาที่จะเชื่อฟัง หรือไม่ต้องการที่จะได้ยินอยู่บ่อยครั้ง เหล่านี้คือข้อพึงประสงค์ที่เป็นรากฐานสำคัญมากที่สุดสามประการที่ผู้คนจะพบหลังจากบรรลุการเข้าถึงชีวิต แต่พวกเจ้ายังไม่บรรลุข้อพึงประสงค์เหล่านี้ ด้วยเหตุนี้ ณ ชั่วขณะนี้ พวกเจ้ามีศักยภาพที่ดีเยี่ยมหรือไม่? วันนี้ เมื่อได้ยินเราพูดคำพูดเหล่านี้แล้ว พวกเจ้ารู้สึกกระวนกระวายหรือไม่? (รู้สึก) มันถูกต้องแล้วที่พวกเจ้าควรจะรู้สึกกระวนกระวาย จงอย่าพยายามหลีกเลี่ยงการกระวนกระวาย เรารู้สึกกระวนกระวายแทนพวกเจ้า เราจะไม่พูดต่อไปถึงข้อพึงประสงค์อีกสองข้อนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไม่มีใครสักคนในที่นี้ที่สามารถสัมฤทธิ์ข้อพึงประสงค์เหล่านั้นได้ พวกเจ้ากระวนกระวาย ดังนั้น พวกเจ้าได้กำหนดวัตถุประสงค์ของพวกเจ้าแล้วหรือยัง? พวกเจ้าไล่ตามเสาะหาและอุทิศความพยายามของพวกเจ้าไปกับวัตถุประสงค์ใด และในทิศทางใด? พวกเจ้ามีวัตถุประสงค์หรือไม่? เราขอพูดตรงๆ ว่า ทันทีที่พวกเจ้าสัมฤทธิ์ข้อพึงประสงค์ทั้งห้าข้อนี้ พวกเจ้าจะได้ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยแล้ว ข้อพึงประสงค์แต่ละข้อเป็นตัวบ่งชี้ ตลอดจนเป็นวัตถุประสงค์สุดท้ายแห่งการเติบโตเต็มที่ของการเข้าสู่ชีวิตของบุคคลหนึ่ง ถึงแม้ว่าเราหยิบยกเพียงแค่ข้อเดียวจากข้อพึงประสงค์เหล่านี้มาพูดถึงในรายละเอียด และพึงประสงค์ให้พวกเจ้าทำตามนั้น นั่นก็คงจะสัมฤทธิ์ผลได้ไม่ง่าย พวกเจ้าต้องสู้ทนความยากลำบากในระดับหนึ่ง และใช้ความพยายามในระดับหนึ่ง พวกเจ้าควรมีวิธีการคิดแบบใด? นั่นควรจะเป็นแบบเดียวกันกับผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังรอไปขึ้นเตียงผ่าตัด เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้? หากเจ้าปรารถนาที่จะเชื่อในพระเจ้า และหากเจ้าปรารถนาที่จะได้รับพระเจ้าและได้รับความพึงพอพระทัยของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ได้เว้นแต่เจ้าจะสู้ทนความเจ็บปวดในระดับหนึ่งและใช้ความพยายามในระดับหนึ่ง พวกเจ้าได้ฟังการเทศนามามากแล้ว แต่เพียงแค่การได้ฟังนั้นไม่ได้หมายความว่าคำเทศนานี้เป็นของเจ้า เจ้าต้องซึมซับคำเทศนานี้และแปลงรูปคำเทศนาให้เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เป็นของเจ้า เจ้าต้องดูดซึมคำเทศนาเข้าไปในชีวิตของเจ้าและนำคำเทศนามาสู่การดำรงอยู่ของเจ้า โดยยอมให้วจนะและการเทศนาเหล่านี้ชี้นำหนทางที่เจ้าดำรงชีวิตและนำคุณค่าและความหมายแห่งการดำรงอยู่มาสู่ชีวิตของเจ้า เมื่อการนั้นเกิดขึ้น นั่นจึงจะคุ้มค่าแก่การที่เจ้าได้ฟังวจนะเหล่านี้ หากวจนะที่เราพูดไม่นำการเปลี่ยนแปลงที่ดีใดๆ มาสู่ชีวิตของเจ้าหรือเพิ่มคุณค่าใดๆ ให้แก่การดำรงอยู่ของเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีประโยชน์อันใดในการที่เจ้ารับฟังวจนะเหล่านี้ พวกเจ้าเข้าใจการนี้ใช่หรือไม่? เมื่อเข้าใจแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้า พวกเจ้าต้องเริ่มทำงาน! พวกเจ้าต้องจริงจังจริงใจในทุกสรรพสิ่ง! จงอย่าระหองระแหงกัน เวลากำลังผ่านพ้นไป! ส่วนใหญ่ในหมู่พวกเจ้าได้เชื่อในพระเจ้ามานานกว่าทศวรรษแล้ว จงมองย้อนกลับไปในสิบปีที่ผ่านมานี้ว่า พวกเจ้าได้รับมามากเพียงใดแล้ว? และพวกเจ้ายังเหลือเวลาที่จะดำรงชีวิตอยู่ในชีวิตนี้อีกกี่ทศวรรษ? เจ้ามีเวลาไม่มากแล้ว จงลืมไปได้เลยว่าพระราชกิจของพระเจ้ารอเจ้าอยู่หรือไม่ พระองค์ได้ทรงทิ้งโอกาสไว้ให้เจ้าหรือไม่ หรือพระองค์จะทรงพระราชกิจเดิมอีกครั้งหรือไม่—จงอย่าพูดถึงสิ่งเหล่านี้ เจ้าสามารถย้อนช่วงเวลาสิบปีที่ผ่านไปในชีวิตของเจ้ากลับมาได้หรือไม่? กับทุกวันที่ผ่านพ้นไป และกับทุกย่างก้าวที่เจ้าเดินนั้น เจ้ามีเวลาน้อยลงหนึ่งวัน เวลาไม่รอผู้ใด! เจ้ามีแต่จะได้รับจากความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเท่านั้นหากเจ้าเข้าหาความเชื่อนั้นในฐานะสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้า ที่สำคัญยิ่งกว่าแม้กระทั่งอาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือสิ่งอื่นใด! หากเจ้าเพียงแต่เชื่อเมื่อเจ้ามีเวลา และไม่สามารถอุทิศความสนใจทั้งหมดของเจ้าให้แก่ความเชื่อของเจ้า และหากเจ้าจมปลักอยู่ในความสับสนอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับสิ่งใดเลย

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger