พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 199

วันที่ 28 เดือน 10 ปี 2023

ท่าทีต่างๆ ที่มวลมนุษย์มีต่อพระเจ้า

วิธีที่ผู้คนประพฤติตนต่อพระเจ้าตัดสินชะตากรรมของพวกเขา รวมทั้งวิธีที่พระเจ้าจะทรงประพฤติองค์ต่อพวกเขาและจัดการกับพวกเขาด้วย ณ จุดนี้เรากำลังจะให้ตัวอย่างบางอย่างเกี่ยวกับวิธีที่ผู้คนประพฤติตนต่อพระเจ้า ขอให้พวกเรารับฟังและมองดูว่าลักษณะและท่าทีที่พวกเขาใช้ประพฤติตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้านั้นถูกต้องหรือไม่ ขอให้พวกเรากำหนดพิจารณาการประพฤติของผู้คนเจ็ดจำพวกดังต่อไปนี้

1) มีบุคคลจำพวกหนึ่งที่ท่าทีของพวกเขาต่อพระเจ้านั้นไร้สาระเป็นพิเศษ ผู้คนเหล่านี้คิดว่าพระเจ้าทรงเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตำนานของมนุษย์ และจำเป็นที่มนุษย์ต้องก้มคำนับสามครั้งเมื่อใดก็ตามที่พวกเขาพบเจอกันและจุดธูปหลังอาหารแต่ละมื้อ ผลก็คือ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้งสำหรับพระคุณของพระองค์และรู้สึกสำนึกรู้คุณต่อพระองค์ พวกเขามักจะมีแรงดลใจชนิดนี้ พวกเขาปรารถนายิ่งนักว่าพระเจ้าที่พวกเขาเชื่อในปัจจุบันสามารถยอมรับวิธีที่พวกเขาก้มคำนับสามครั้งเมื่อพบเจอกันและจุดธูปหลังทุกมื้ออาหาร เหมือนอย่างสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเขาโหยหาในหัวใจของพวกเขา

2) ผู้คนบางคนมองว่าพระเจ้าทรงเป็นดังเช่นพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระชนม์ที่สามารถปลดปล่อยสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจากความทุกข์และช่วยพวกเขาให้รอดได้ พวกเขามองว่าพระองค์ทรงเป็นดั่งเช่นพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระชนม์ที่สามารถนำพาพวกเขาออกไปจากทะเลแห่งความทุกข์ร้อนได้ การเชื่อในพระเจ้าของผู้คนเหล่านี้พ่วงเอาการนมัสการพระองค์ดั่งเช่นพระพุทธเจ้ามาด้วย ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่จุดธูป ไม่หมอบกราบ หรือไม่ถวายเครื่องบูชา แต่ลึกลงไปแล้ว พวกเขารู้สึกว่าพระเจ้าก็ทรงเป็นดั่งเช่นพระพุทธเจ้า ที่ทรงเพียงแค่ขอให้พวกเขามีความกรุณาและใจบุญ ให้พวกเขาไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิต งดเว้นจากการสบถใส่ผู้อื่น ใช้ชีวิตที่ดูว่าซื่อสัตย์ และไม่กระทำสิ่งผิดใดๆ พวกเขาเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงขอจากพวกเขา นี่คือพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา

3) ผู้คนบางคนนมัสการพระเจ้าเสมือนว่าพระองค์ทรงเป็นใครบางคนที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียง ยกตัวอย่างเช่น ไม่ว่าบุคคลที่ยิ่งใหญ่ผู้นี้จะชอบพูดด้วยวิธีการใด ไม่ว่าเขาจะพูดด้วยทำนองเสียงใด ไม่ว่าเขาจะใช้คำพูดและคำศัพท์ใด น้ำเสียงของเขา การแสดงท่าทางด้วยมือของเขา ความคิดเห็นและการกระทำ กิริยาท่าทางของเขา—พวกเขาลอกเลียนแบบสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และเหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาต้องทำให้เกิดอย่างเต็มที่ในครรลองของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา

4) ผู้คนบางคนมองว่าพระเจ้าทรงเป็นดั่งเช่นกษัตริย์ โดยรู้สึกว่าพระองค์นั้นสถิตเหนือสิ่งอื่นใด และรู้สึกว่าไม่มีผู้ใดกล้าที่จะล่วงเกินพระองค์—และรู้สึกว่าหากใครสักคนทำเช่นนั้น บุคคลนั้นจะถูกลงโทษ พวกเขานมัสการกษัตริย์เช่นนั้นเพราะเหล่ากษัตริย์เกาะกุมที่แห่งหนึ่งในหัวใจของพวกเขาเอาไว้ ความคิดทั้งหลาย อากัปกิริยา สิทธิอำนาจ และธรรมชาติของเหล่ากษัตริย์—แม้กระทั่งความสนใจและชีวิตส่วนตัวของพวกเขา—ล้วนกลายเป็นบางสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้รู้สึกว่าพวกเขาต้องเข้าใจ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นประเด็นปัญหาและเรื่องราวที่ผู้คนเหล่านี้เข้าไปเกี่ยวข้อง ผลก็คือ พวกเขานมัสการพระเจ้าดังเช่นกษัตริย์ รูปแบบการเชื่อเช่นนั้นช่างไร้สาระน่าขัน

5) ผู้คนบางคนมีความเชื่อเป็นพิเศษในการมีอยู่จริงของพระเจ้า และความเชื่อนี้ล้ำลึกและไม่สั่นคลอน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความรู้เรื่องพระเจ้าของพวกเขาเหนือธรรมชาติยิ่งนัก และพวกเขาไม่มีประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์มากนัก พวกเขาจึงนมัสการพระองค์ดังเช่นรูปเคารพ รูปเคารพนี้คือพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา เป็นบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาต้องยำเกรงและกราบไหว้ และซึ่งพวกเขาต้องติดตามและเอาอย่าง พวกเขามองว่าพระเจ้าทรงเป็นดังเช่นรูปเคารพที่พวกเขาต้องติดตามไปตลอดชีวิตของพวกเขา พวกเขาลอกเลียนแบบพระกระแสเสียงที่พระเจ้าใช้ตรัส และโดยภายนอกแล้ว พวกเขาเอาอย่างบรรดาผู้ที่พระเจ้าโปรด บ่อยครั้งที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายที่ปรากฏชัดว่าไร้เดียงสา บริสุทธิ์ และซื่อสัตย์ และพวกเขาถึงขั้นติดตามรูปเคารพนี้ราวกับว่าเป็นหุ้นส่วนหรือสหายที่พวกเขาไม่มีวันแยกจากได้ เช่นนั้นเองคือรูปแบบการเชื่อของพวกเขา

6) มีผู้คนจำพวกหนึ่ง ผู้ซึ่งถึงแม้ว่าได้เคยอ่านพระวจนะของพระเจ้ามาแล้วมากมายและเคยได้ยินการประกาศมาแล้วมากมาย แต่รู้สึกลึกๆ ลงไปว่าหลักการเดียวเบื้องหลังพฤติกรรมของพวกเขาต่อพระเจ้าก็คือว่า พวกเขาควรประจบสอพลออยู่เสมอ หรือว่าพวกเขาควรสรรเสริญพระเจ้าและกล่าวชมเชยพระองค์ในหนทางที่ไม่สมจริง พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าซึ่งทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาประพฤติตัวในหนทางเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเชื่อว่าหากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้นแล้วไซร้ พวกเขาอาจยั่วยุพระโทสะของพระองค์หรือพลาดท่าทำบาปต่อพระองค์ได้ทุกเวลา และเชื่อว่าผลของการทำบาปนี้ พระเจ้าจะทรงลงโทษพวกเขา เช่นนั้นคือพระเจ้าที่พวกเขาเก็บไว้ในหัวใจของพวกเขา

7) และแล้วก็มีผู้คนส่วนใหญ่ ผู้ซึ่งพบเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณในพระเจ้า นี่เป็นเพราะพวกเขาอาศัยอยู่ในโลกนี้ พวกเขาไม่มีสันติสุขหรือความสุข และไม่มีที่ใดที่พวกเขาจะพบสิ่งชูใจ ทันทีที่พวกเขาพบพระเจ้า หลังจากที่พวกเขาได้มองเห็นและได้ยินพระวจนะของพระองค์แล้ว พวกเขาก็เริ่มเก็บงำความชื่นบานและความอิ่มเอมใจลับๆ ในหัวใจของพวกเขา นี่เป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่าในที่สุดพวกเขาก็ได้พบสถานที่ที่จะทำให้จิตวิญญาณของพวกเขามีความสุข และเชื่อว่าในที่สุดพวกเขาก็ได้พบพระเจ้าผู้ซึ่งจะทรงมอบเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณให้พวกเขา หลังจากพวกเขาได้ยอมรับพระเจ้าและเริ่มติดตามพระองค์แล้ว พวกเขาก็กลายเป็นมีความสุข และชีวิตของพวกเขาก็สำเร็จลุล่วงแล้ว พวกเขาไม่กระทำการเหมือนอย่างบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อที่นอนละเมอตลอดชีวิตเหมือนอย่างสัตว์ทั้งหลายอีกต่อไป และพวกเขารู้สึกว่าพวกเขามีบางอย่างให้รอคอยในชีวิต ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาคิดว่าพระเจ้าพระองค์นี้ทรงสามารถสนองความต้องการฝ่ายวิญญาณของพวกเขาได้อย่างมหาศาลและทรงนำพาความสุขอันยิ่งใหญ่มาให้พวกเขาทั้งในด้านจิตใจและจิตวิญญาณ โดยไม่ทันรู้ตัวพวกเขาก็กลายเป็นไม่สามารถไปจากพระเจ้าพระองค์นี้ได้ ผู้ซึ่งทรงมอบเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณเช่นนั้นให้แก่พวกเขา และผู้ซึ่งทรงนำพาความสุขมาสู่จิตวิญญาณของพวกเขาและมาสู่สมาชิกทั้งหมดในครอบครัวของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่า การเชื่อในพระเจ้าไม่จำเป็นต้องนำพาสิ่งใดมาให้มากไปกว่าเสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณ

ใครสักคนท่ามกลางพวกเจ้ามีท่าทีต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้นต่อพระเจ้าบ้างหรือไม่? (มี) หากในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา หัวใจของบุคคลหนึ่งเก็บงำท่าทีใดๆ เหล่านั้นไว้ พวกเขาสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้อย่างแท้จริงหรือไม่? หากใครสักคนมีท่าทีใดๆ เหล่านี้ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาเชื่อในพระเจ้าหรือไม่? บุคคลเช่นนั้นเชื่อในพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์หรือไม่? (ไม่) ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อในพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ เจ้าเชื่อในผู้ใด? หากสิ่งที่เจ้าเชื่อไม่ใช่พระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ เช่นนั้นแล้ว ก็เป็นไปได้ว่าเจ้าเชื่อในรูปเคารพ หรือบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ หรือพระโพธิสัตว์ หรือว่าเจ้านมัสการพระพุทธเจ้าที่อยู่ในหัวใจของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น เป็นไปได้ที่เจ้าเชื่อในบุคคลธรรมดาคนหนึ่ง กล่าวสั้นๆ คือ เนื่องจากรูปแบบการเชื่อและท่าทีต่างๆ ที่ผู้คนมีต่อพระเจ้า พวกเขาจึงวางพระเจ้าในความคิดความอ่านของพวกเขาเองไว้ในหัวใจของพวกเขา ยัดเยียดจินตนาการของพวกเขาให้พระเจ้า วางท่าทีและจินตนาการทั้งหลายของพวกเขาเกี่ยวกับพระเจ้าไว้เคียงข้างกับพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ และหลังจากนั้นก็ยกชูสิ่งเหล่านั้นขึ้นสู่การทำให้ศักดิ์สิทธิ์ นั่นหมายความว่าอย่างไรเมื่อผู้คนมีท่าทีที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมเช่นนั้นต่อพระเจ้า? มันหมายความว่าพวกเขาได้ปฏิเสธพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เองไปแล้วและกำลังนมัสการพระเจ้าเทียมเท็จอยู่ นั่นบ่งบอกถึงว่า ในขณะที่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็กำลังปฏิเสธและต่อต้านพระองค์ และว่าพวกเขากำลังปฏิเสธการมีอยู่ของพระเจ้าเที่ยงแท้ หากผู้คนยังยึดถือรูปแบบการเชื่อเช่นนั้นอยู่ต่อไป พวกเขาจะเผชิญหน้ากับผลพวงใดบ้าง? ด้วยรูปแบบการเชื่อเช่นนั้น พวกเขาจะสามารถเข้าใกล้ชิดพระเจ้าได้มากขึ้นไปอีกเพื่อปฏิบัติข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าให้สำเร็จลุล่วงได้กระนั้นหรือ? (ไม่ พวกเขาจะทำไม่ได้) ในทางตรงกันข้าม เนื่องจากมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของพวกเขา พวกเขาจะไถลห่างไปไกลจากหนทางแห่งพระเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก เพราะทิศทางที่พวกเขาแสวงหานั้นตรงกันข้ามกับทิศทางที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาก้าวเดิน พวกเจ้าเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับ "การไปทางใต้โดยการขับเกวียนไปทางเหนือ" หรือไม่? การนี้อาจจะเป็นเพียงกรณีของการไปทางใต้โดยขับเกวียนไปทางเหนือเช่นนั้นก็ได้ หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าในแบบที่น่าขันเช่นนั้นแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วยิ่งเจ้าพยายามหนักมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนั้น เราขอเตือนสอนพวกเจ้าดังนี้ว่า ก่อนที่พวกเจ้าจะออกเดินทาง เจ้าต้องหยั่งรู้เสียก่อนว่า เจ้ากำลังไปในทิศทางที่ถูกต้องอย่างแท้จริงหรือไม่ จงมุ่งเน้นในความพยายามของพวกเจ้า และถามตัวพวกเจ้าเองให้แน่ใจว่า "พระเจ้าที่ฉันเชื่อนั้นทรงเป็นองค์ปกครองของทุกสรรพสิ่งใช่หรือไม่? พระเจ้าที่ฉันเชื่อทรงเป็นแค่ใครสักคนที่ให้เสบียงอาหารฝ่ายวิญญาณแก่ฉันเท่านั้นใช่หรือไม่? พระองค์ทรงเป็นเพียงรูปเคารพของฉันใช่หรือไม่? พระเจ้าที่ฉันเชื่อพระองค์นี้ทรงขอสิ่งใดจากฉัน? พระเจ้าทรงรับรองทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันทำหรือไม่? การกระทำและการไล่ตามเสาะหาของฉันทั้งหมดสอดคล้องกับการพยายามที่จะรู้จักพระเจ้าหรือไม่? สิ่งเหล่านั้นสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อฉันหรือไม่? พระเจ้าทรงระลึกรู้และทรงรับรองเส้นทางที่ฉันเดินหรือไม่? พระองค์พึงพอพระทัยกับความเชื่อของฉันหรือไม่?" เจ้าควรถามตัวพวกเจ้าเองด้วยคำถามเหล่านี้บ่อยๆ และซ้ำๆ หากเจ้าปรารถนาที่จะแสวงหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องมีจิตสำนึกที่ชัดเจนและวัตถุประสงค์ทั้งหลายที่ชัดเจนก่อนที่เจ้าจะสามารถประสบความสำเร็จในการทำให้พระองค์พึงพอพระทัยได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 10

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger