พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 31

วันที่ 17 เดือน 02 ปี 2024

เพียงหลังจากที่พระองค์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์แล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงเริ่มมีส่วนร่วมกับมนุษย์และทรงสนทนากับมนุษย์ และพระอุปนิสัยของพระองค์ก็ได้เริ่มถูกแสดงออกต่อมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตั้งแต่เมื่อครั้งที่พระเจ้าได้ทรงมีส่วนร่วมกับมวลมนุษย์เป็นครั้งแรกนั้นพระองค์ก็ได้ทรงเริ่มทำการเปิดเผยเนื้อแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นต่อมนุษย์โดยไม่มีการหยุดชะงัก ไม่ว่าผู้คนยุครุ่นก่อนๆ หรือผู้คนในปัจจุบันจะสามารถมองเห็นหรือเข้าใจมันหรือไม่ก็ตาม พระเจ้าตรัสกับมนุษย์และทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ ทรงเผยพระอุปนิสัยของพระองค์และทรงแสดงออกถึงเนื้อแท้ของพระองค์—นี่คือข้อเท็จจริง และไม่มีบุคคลใดสามารถปฏิเสธได้ นี่ยังหมายความอีกด้วยว่า พระอุปนิสัยของพระเจ้า เนื้อแท้ของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้นได้ถูกส่งออกไปและเปิดเผยอย่างสม่ำเสมอในขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจและมีส่วนร่วมกับมนุษย์ พระองค์ไม่เคยทรงปกปิดหรือซ่อนเร้นสิ่งใดจากมนุษย์ แต่กลับทรงทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์เองเป็นที่เปิดเผยและทรงปลดปล่อยพระอุปนิสัยของพระองค์เองออกไปโดยไม่ทรงระงับสิ่งใดไว้ ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าทรงหวังว่ามนุษย์จะสามารถรู้จักพระองค์และเข้าใจพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ได้ พระองค์ไม่ทรงปรารถนาให้มนุษย์ปฏิบัติต่อพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ว่าเป็นความล้ำลึกนิรันดร์ อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงต้องประสงค์ให้มวลมนุษย์ถือว่าพระเจ้าทรงเป็นปริศนาที่ไม่มีวันสามารถไขได้ มีเพียงเมื่อมวลมนุษย์รู้จักพระเจ้าเท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถรู้จักหนทางไปข้างหน้าและยอมรับการทรงนำของพระเจ้าได้ และมีเพียงมวลมนุษย์เช่นนี้เท่านั้นที่สามารถดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า และดำรงชีวิตอยู่ในความสว่าง ท่ามกลางพระพรของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง

พระวจนะและพระอุปนิสัยที่พระเจ้าได้ทรงส่งออกไปและทรงเปิดเผยไปนั้นเป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระองค์ และสิ่งเหล่านั้นยังเป็นตัวแทนเนื้อแท้ของพระองค์อีกด้วย เมื่อพระเจ้าทรงมีส่วนร่วมกับมนุษย์ ไม่ว่าพระองค์จะตรัสหรือทรงทำสิ่งใด หรือพระองค์จะทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยใดก็ตาม และไม่ว่ามนุษย์จะมองเห็นสิ่งใดจากเนื้อแท้ของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นก็ตาม สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ ไม่ว่ามนุษย์จะสามารถตระหนัก จับใจความ หรือเข้าใจได้มากเพียงใดก็ตาม ทั้งหมดนั้นเป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระเจ้า—น้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ การนี้ไม่ต้องสงสัยใดๆ เลย! น้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์คือการที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนเป็นอย่างไร พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาทำสิ่งใด พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาดำรงชีวิตอย่างไร และพระองค์ทรงพึงประสงค์ให้พวกเขามีความสามารถในการทำให้การปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จลุล่วงไปอย่างไร สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกจากเนื้อแท้ของพระเจ้าได้ใช่หรือไม่? กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงส่งพระอุปนิสัยของพระองค์และทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นออกไปในเวลาเดียวกันกับที่พระองค์ทรงตั้งข้อเรียกร้องต่อมนุษย์ ไม่มีความเท็จ ไม่มีการเสแสร้ง ไม่มีการปกปิด และไม่มีการแต่งเติมใดๆ แต่ทว่าเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถรู้จัก และเหตุใดมนุษย์จึงไม่เคยมีความสามารถที่จะล่วงรู้ถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างชัดเจน? เหตุใดมนุษย์จึงไม่เคยตระหนักถึงน้ำพระทัยของพระเจ้า? สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยและส่งออกไปนั้นคือสิ่งที่พระเจ้าพระองค์เองทรงมีและทรงเป็น นั่นคือทุกเศษเสี้ยวและทุกเหลี่ยมมุมจากพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระองค์—แล้วเหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถมองเห็นได้เล่า? เหตุใดมนุษย์จึงไม่สามารถมีความรู้ที่ครบถ้วนได้เล่า? มีเหตุผลสำคัญข้อหนึ่งสำหรับการนี้ แล้วเหตุผลนั้นคืออะไรเล่า? นับตั้งแต่ยุคแห่งการทรงสร้าง มนุษย์ไม่เคยปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะพระเจ้า ในยุคแรกเริ่มสุดนั้น ไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะได้ทรงทำสิ่งใดเกี่ยวกับมนุษย์—มนุษย์ผู้ซึ่งเพิ่งได้ถูกสร้างขึ้นมาเท่านั้น—มนุษย์ก็ได้ปฏิบัติต่อพระเจ้าเสมือนไม่ใช่สิ่งใดนอกจากสหายผู้หนึ่ง เป็นใครบางคนที่มีไว้ให้พึ่งพา และมนุษย์ไม่มีความรู้หรือความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าเลย กล่าวคือ มนุษย์ไม่รู้ว่าสิ่งที่ได้ถูกส่งออกมาโดยองค์ผู้ทรงเป็นนี้—องค์ผู้ทรงเป็นซึ่งเขาพึ่งพาและมองเห็นว่าเป็นสหายของเขาองค์นี้นั้น—คือเนื้อแท้ของพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่รู้ว่าองค์ผู้ทรงเป็นนี้ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง กล่าวง่ายๆ ได้ว่า ผู้คนในเวลานั้นจำพระเจ้าไม่ได้เลย พวกเขาไม่รู้ว่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์ และพวกเขาไม่รู้เท่าทันว่าพระองค์ทรงมาจากที่ใด และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่รู้เท่าทันว่าพระองค์ทรงเป็นสิ่งใด แน่นอนว่าเมื่อย้อนกลับไป ณ ตอนนั้น พระเจ้าไม่ได้ทรงพึงประสงค์ให้มนุษย์รู้จักหรือจับใจความพระองค์ หรือให้เข้าใจทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงทำ หรือให้มีความรู้เกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระองค์ เพราะเหล่านี้คือยุคแรกเริ่มสุดหลังจากการทรงสร้างมวลมนุษย์ เมื่อพระเจ้าได้ทรงเริ่มการตระเตรียมเพื่อพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ พระเจ้าได้ทรงทำบางสิ่งบางอย่างแก่มนุษย์ และยังได้ทรงเริ่มตั้งข้อเรียกร้องบางอย่างจากมนุษย์ โดยตรัสบอกมนุษย์ถึงวิธีที่จะถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าและนมัสการพระเจ้า เมื่อนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงได้รับแนวคิดเรียบง่ายบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า และเมื่อนั้นเท่านั้นเขาจึงได้รู้จักความแตกต่างระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า และได้รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ เมื่อมนุษย์ได้รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าและมนุษย์เป็นมนุษย์ ก็ได้เกิดระยะห่างที่แน่นอนขึ้นระหว่างเขากับพระเจ้า ถึงกระนั้นพระเจ้าก็ยังไม่ได้ทรงขอให้มนุษย์มีความรู้ยิ่งใหญ่หรือความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับพระองค์ ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงตั้งข้อพึงประสงค์ที่แตกต่างกันต่อมนุษย์บนพื้นฐานของช่วงระยะและรูปการณ์แวดล้อมของพระราชกิจของพระองค์ พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในการนี้? พวกเจ้าล่วงรู้พระอุปนิสัยของพระเจ้าในแง่มุมใด? พระเจ้าทรงเป็นจริงหรือไม่? ข้อพึงประสงค์ต่อมนุษย์ของพระเจ้าเหมาะสมหรือไม่? ในระหว่างยุคแรกเริ่มสุดหลังจากการทรงสร้างมวลมนุษย์ของพระเจ้า เมื่อพระเจ้ายังไม่ได้ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยและการทำให้มีความเพียบพร้อมกับมนุษย์ และยังไม่ได้ตรัสพระวจนะกับมนุษย์มากมายหลายคำนักนั้น พระองค์ได้ทรงขอจากมนุษย์เพียงเล็กน้อย ไม่ว่ามนุษย์จะได้ทำสิ่งใดหรือเขาจะได้ประพฤติตนอย่างไร—ถึงแม้ว่าเขาจะได้ทำบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคือง—พระเจ้าก็ได้ประทานอภัยและมองข้ามมันไปทั้งหมด นี่เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงรู้ถึงสิ่งที่พระองค์ได้ทรงมอบให้มนุษย์และสิ่งที่อยู่ภายในตัวมนุษย์ และด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงได้ทรงรู้มาตรฐานของข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ควรจะตั้งกับมนุษย์ ถึงแม้ว่ามาตรฐานของข้อพึงประสงค์ของพระองค์นั้นจะต่ำมากในเวลานั้น แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าพระอุปนิสัยของพระองค์จะไม่ยิ่งใหญ่ หรือว่าพระปรีชาญาณและมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์จะเป็นแค่เพียงพระวจนะที่ว่างเปล่า สำหรับมนุษย์นั้น มีเพียงหนทางหนึ่งเท่านั้นที่จะรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระเจ้าพระองค์เอง นั่นก็คือ โดยการติดตามขั้นตอนต่างๆ ในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์และความรอดของมวลมนุษย์ของพระเจ้า และการยอมรับพระวจนะที่พระเจ้าตรัสกับมวลมนุษย์ ทันทีที่มนุษย์รู้จักสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า เขาจะยังคงขอให้พระเจ้าทรงแสดงตัวตนจริงของพระองค์ให้เขาเห็นอยู่หรือไม่? ไม่ มนุษย์คงจะไม่ขอ และคงจะไม่แม้กระทั่งกล้าขอ เพราะเมื่อได้จับใจความพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นแล้วนั้น มนุษย์ก็จะได้มองเห็นพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง และตัวตนจริงของพระองค์แล้ว นี่คือบทอวสานที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ขณะที่พระราชกิจและแผนของพระเจ้าดำเนินไปอย่างไม่หยุด และหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงตั้งพันธสัญญารุ้งกับมนุษย์ ให้เป็นหมายสำคัญว่าพระองค์จะไม่มีวันทรงทำลายโลกโดยใช้น้ำท่วมอีกแล้วนั้น พระเจ้าก็ได้ทรงมีพระประสงค์ที่เร่งด่วนเพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ได้มาซึ่งบรรดาผู้ที่สามารถมีจิตใจเดียวกันกับพระองค์ ดังนั้น พระองค์จึงได้ทรงมีความพึงปรารถนาที่จำเป็นเร่งด่วนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมด้วยเช่นกันที่จะได้มาซึ่งบรรดาผู้ที่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระองค์บนแผ่นดินโลกได้ และยิ่งไปกว่านั้น ทรงปรารถนามากยิ่งขึ้นที่จะได้มาซึ่งกลุ่มผู้คนที่สามารถเป็นอิสระจากกำลังบังคับของความมืดมิดและไม่ถูกซาตานผูกมัด ซึ่งเป็นกลุ่มที่จะสามารถเป็นคำพยานต่อพระองค์บนแผ่นดินโลกได้ การได้รับกลุ่มผู้คนเช่นนี้เป็นความปรารถนาที่ทรงมีมานานของพระเจ้า มันคือสิ่งที่พระองค์ได้ทรงรอคอยมาตลอดนับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้าง ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าเป็นการที่พระเจ้าทรงใช้น้ำท่วมเพื่อทำลายโลก หรือว่าเป็นพันธสัญญาที่พระองค์ทรงมีกับมนุษย์นั้น น้ำพระทัย กรอบความคิด แผน และความหวังทั้งหมดของพระเจ้ายังคงเป็นเหมือนเดิม สิ่งที่พระองค์ได้ทรงต้องประสงค์ที่จะทำ สิ่งที่พระองค์ได้ทรงโหยหามานานก่อนเวลาแห่งการทรงสร้าง ก็คือการได้รับคนเหล่านั้นท่ามกลางมวลมนุษย์ ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงปรารถนาที่จะได้มา—ที่จะได้มาซึ่งกลุ่มผู้คนที่สามารถจับใจความและรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์และเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ กลุ่มผู้ซึ่งจะสามารถนมัสการพระองค์ได้ กลุ่มผู้คนเช่นนั้นคงจะสามารถเป็นคำพยานต่อพระองค์ได้อย่างแท้จริง และสามารถกล่าวได้ว่า พวกเขาคงจะเป็นคนสนิทของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger