ผลของการไม่เพียรพยายามในหน้าที่ของฉัน
ค.ศ. 2019 พี่น้องหญิงแอนเดรียกับฉันได้รับมอบหมายให้ดูแลงานออกแบบฝ่ายศิลป์ในคริสตจักร ตอนที่เริ่มทำหน้าที่นี้ มีหลักธรรมมากมายที่ฉันไม่เข้าใจ แอนเดรียจึงอดทนสามัคคีธรรมกับฉัน และทำงานส่วนใหญ่ด้วยตัวเอง ต่อมาฉันได้รู้ว่าเธอทำหน้าที่นี้มาสองปีแล้ว และพอมีประสบการณ์ในงานนี้อยู่บ้าง แล้วตั้งแต่การแก้ปัญหาในที่ชุมนุมไปจนถึงการสรุปงาน วิธีคิดของเธอก็ครอบคลุมกว่าวิธีการคิดของฉันในทุกเรื่อง เวลาพี่น้องชายหญิงมีคำถาม เธอก็มีทางแก้ที่ดีเสมอ เทียบกันแล้ว ฉันรู้สึกว่ายังห่างชั้นจากเธอมาก ฉันคิดว่า “จะต้องทนทุกข์และยอมลำบากสักเพียงไหนถึงจะเป็นได้อย่างแอนเดรีย? ในเมื่อเธอมีประสบการณ์มากกว่าและแบกรับภาระมากกว่า ก็ให้เธอทำงานเยอะกว่าแล้วกัน”
ก่อนที่จะสรุปงาน แอนเดรียได้ขอให้ฉันช่วยคิดล่วงหน้าว่าจะสามัคคีธรรมอย่างไรถึงจะแก้ปัญหาได้ และฉันก็เอาแต่คิดว่า “นั่นยุ่งยากมากเลย นอกจากสรุปปัญหาที่มีในหน้าที่ของพวกเราแล้ว ฉันยังต้องหาพระวจนะของพระเจ้าและหลักธรรมที่เกี่ยวข้องมาสามัคคีธรรมเรื่องการแก้ปัญหาอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาในสายงานซึ่งฉันก็ไม่ได้มีประสบการณ์มากนัก ถ้าจะเสนอทางแก้ปัญหา ฉันก็จะต้องพยายามมากมายเพื่อที่จะหาข้อมูลให้ได้มากๆ และจะต้องแสวงหาการสามัคคีธรรมในสิ่งที่ฉันไม่เข้าใจ นั่นต้องใช้เวลาและความพยายามมากทีเดียว แอนเดรียรู้เรื่องสายงานนี้ ดังนั้นเธอจึงสามารถสรุปได้ ฉันจะปล่อยให้เธอทำก็แล้วกัน” หลังจากนั้นฉันก็ไม่เคยคิดเรื่องการสรุปงานอีกเลย ในระหว่างการสรุปงาน เวลาแอนเดรียถามว่าฉันคิดอย่างไรและมีแนวคิดอะไรบ้าง ฉันก็ตอบว่า “ฉันไม่คุ้นกับสายงานนี้ ให้พี่น้องเป็นคนสรุปจะดีที่สุด” บางครั้งเวลาเธอวางแผนทิศทางการศึกษาของพวกเรา เธอจะถามฉันว่าอยากมีส่วนร่วมไหม ฉันให้คำแนะนำและความช่วยเหลือเพื่อหลบเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้นะ ฉันก็คิดเอาว่า “แอนเดรียเป็นคนรับผิดชอบด้านการศึกษาของพวกเรามาตลอด การจะมีส่วนร่วมนั้น ฉันจะต้องตรึกตรองและศึกษาให้ลึกซึ้งในเรื่องที่ฉันไม่รู้ นั่นใช้ความพยายามมากเกินไป! ลืมไปได้เลย ฉันจะไม่ยุ่งแล้วกัน” ฉันจึงปฏิเสธแอนเดรียไป
ต่อมา พวกเราเรียนเทคนิคการวาดรูปแบบใหม่กัน ระหว่างนั้นพวกเราพบเจอความยากลำบากและปัญหาอยู่ตลอดเวลา แต่แอนเดรียก็หารือและแก้ไขไปพร้อมกับพวกเรา ด้วยความที่ฉันไม่รู้จักเทคนิคนี้ดีนัก แม้จะฟังคำอธิบายสองรอบแล้วก็ยังงงอยู่ดี และคิดว่า “การเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ในสายงานนี้เหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน คราวนี้ฉันไม่เอาด้วยดีกว่า ถึงอย่างไรพวกเราก็มีแอนเดรียคอยช่วยให้พวกเราเรียนรู้ได้อยู่แล้ว” เมื่อเข้าเรียนในเวลาต่อมา ฉันจึงไม่ตั้งใจฟัง บางครั้งฉันก็ไม่พูดอะไรตลอดคาบ บางทีฉันก็เอาเวลาไปทำอย่างอื่น พอแอนเดรียถามความคิดหรือแนวคิดจากฉัน ฉันก็มักจะตอบไปส่งๆ ว่าไม่มี ฉันค่อยๆ แบกรับภาระในหน้าที่น้อยลงทุกที และไม่ได้สังเกตเห็นปัญหาเวลาติดตามดูงานอีก ระหว่างนั้นหัวใจของฉันรู้สึกว่างเปล่าทุกวัน และฉันคิดลบมากขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีขีดความสามารถต่ำ และไม่เก่งพอที่จะทำหน้าที่นี้
วันหนึ่งหลังจากหารือเรื่องงานกับฉันแล้ว แอนเดรียก็บอกว่า “คุณทำหน้าที่นี้มาสักพักแล้ว แต่ยังพูดว่าตัวเองขาดประสบการณ์หรือไม่เข้าใจอยู่เลย คุณแค่ไม่อยากแบกรับภาระหรือลองพยายามดูเท่านั้น สาเหตุที่ฉันมีแนวคิดดีๆ อยู่บ้างก็เป็นเพราะฉันอธิษฐาน พึ่งพาพระเจ้า และแสวงหาหลักธรรมเพื่อให้เข้าใจสิ่งต่างๆ อยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องในสายงานที่พวกเราไม่เข้าใจ พวกเราก็ต้องลงมือศึกษา ไม่อย่างนั้นพวกเราจะทำหน้าที่ให้ดีได้อย่างไร?” จากนั้นเธอก็เล่าให้ฟังว่าเวลาพบเจอเรื่องยากลำบาก เธอจะพึ่งพาพระเจ้าและพยายามหาทางแก้ไขอย่างไรบ้าง อย่างไรก็ดี ในตอนนั้นฉันยังไม่ตระหนักถึงปัญหาของตัวเองแต่อย่างใด ฉันจึงรู้สึกว่าแอนเดรียไม่เข้าใจความยากลำบากของฉัน ฉันก็เลยไม่เอาข้อเสนอแนะของเธอมาใส่ใจหรือคิดทบทวนตัวเอง
ผ่านไปไม่นาน แอนเดรียได้รับมอบหมายให้ไปดูแลงานอื่น ตอนที่เธอไป ฉันเศร้าใจจริงๆ เพราะพอเจองานเยอะๆ ความรู้สึกนึกคิดของฉันก็ว่างเปล่า ฉันคิดขึ้นมาว่า “ฉันรับผิดชอบดูแลงานนี้มาปีกว่าแล้ว ทำไมถึงยังทำงานนี้ไม่ได้อยู่อีก?” ตอนนี้เองที่ฉันนึกถึงสิ่งที่แอนเดรียเคยพูดไว้ ฉันไม่เคยแบกรับภาระในการทำหน้าที่ของตัวเองจริงๆ ละหรือ? ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอพระองค์ทรงนำฉันให้ทบทวนและรู้จักตัวเอง ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนนี้ของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อถูกถามประเด็นปัญหาเรื่องงาน โดยมากแล้วพวกเจ้าไม่สามารถตอบได้ พวกเจ้าบางคนข้องเกี่ยวกับงานนี้ แต่พวกเจ้าไม่เคยถามว่างานดำเนินไปอย่างไรหรือคิดถึงงานนี้โดยถี่ถ้วน ด้วยขีดความสามารถและความรู้ของพวกเจ้า อย่างน้อยพวกเจ้าก็ควรที่จะรู้อะไรบางอย่าง เพราะพวกเจ้าทั้งหมดมีส่วนร่วมในงานนี้ ดังนั้นเหตุใดผู้คนส่วนใหญ่จึงไม่พูดสิ่งใด? เป็นไปได้ว่าพวกเจ้าไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดจริงๆ เป็นไปได้ว่าพวกเจ้าไม่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายกำลังเป็นไปด้วยดีหรือไม่ มีเหตุผลอยู่สองข้อสำหรับการนี้ หนึ่งคือพวกเจ้าไม่แยแสอย่างสิ้นเชิง และไม่เคยใส่ใจในสิ่งเหล่านี้ และเคยแต่ปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านี้เสมือนกิจที่ต้องทำให้เสร็จไปเท่านั้น อีกเหตุผลหนึ่งคือพวกเจ้าไร้ความรับผิดชอบและไม่เต็มใจที่จะเอาใจใส่สิ่งเหล่านี้ หากเจ้าเอาใจใส่อย่างแท้จริง และมีส่วนร่วมจริงๆ เจ้าก็น่าจะมีทรรศนะและมุมมองต่อทุกสิ่งทุกอย่างบ้าง บ่อยครั้งที่การไม่มีมุมมองหรือทรรศนะมักมาจากการไม่แยแสและไม่ยินดียินร้าย และการไม่ยอมรับผิดชอบสิ่งใด เจ้าไม่ขยันขันแข็งในหน้าที่ที่เจ้าปฏิบัติ เจ้าไม่รับผิดชอบใดๆ เจ้าไม่เต็มใจที่จะยอมลำบากหรือมีส่วนเกี่ยวข้อง เจ้าไม่ใช้ความพยายามใดๆ และไม่เต็มใจที่จะทุ่มเทพลังงานให้มากขึ้น เจ้าอยากเป็นเพียงลูกน้อง ซึ่งไม่ต่างจากการที่ผู้ไม่มีความเชื่อทำงานให้นายของพวกเขา การปฏิบัติหน้าที่ในรูปแบบนี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าไม่ทรงโปรดและเป็นสิ่งที่ไม่ทำให้พระองค์พอพระทัย การนี้ไม่อาจได้รับความเห็นชอบจากพระองค์ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงคนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง) พระวจนะของพระเจ้าเปิดเผยสภาวะของฉันโดยแท้ ตอนที่ฉันจับคู่ทำงานและหารือเรื่องงานกับแอนเดรียนั้น ฉันไม่เคยมีมุมมองหรือแนวคิดของตัวเองเลย ฉันมักจะรู้สึกว่านั่นเป็นเพราะฉันไม่รู้เรื่องในสายงานหรือไม่รู้จักงานนี้ดี แต่พอได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันถึงเข้าใจว่านั่นเป็นเพราะความไม่ใส่ใจและไม่รับผิดชอบของฉันต่างหาก เมื่อนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่ทำงานคู่กับแอนเดรีย แต่ละครั้งที่มีปัญหาในสายงาน ฉันไม่เคยห่วงกังวลอะไร ฉันใช้ความไร้ประสบการณ์ในหน้าที่และความไม่ค่อยเข้าใจหลักธรรมมาเป็นข้ออ้างเพื่อที่จะบ่ายเบี่ยงและหลีกเลี่ยงปัญหา เวลาหารือกันเรื่องงาน ฉันก็เป็นแค่ผู้ฟัง ไม่เคยใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน ฉันมักจะพูดต่อหน้าแอนเดรียว่าฉันไม่เข้าใจ ว่าฉันไม่สามารถ และบอกว่าเธอมีประสบการณ์ในการทำงานมากกว่า แต่ที่จริงแล้วทั้งหมดเป็นเพียงข้ออ้าง จุดประสงค์ที่แท้จริงของฉันคือเพื่อทำให้เธอเห็นใจและยอมเข้าใจฉัน เธอจะได้เอางานส่วนใหญ่ไปทำ แล้วฉันก็จะเพลิดเพลินกับเวลาว่างของตัวเองต่อไปได้ ฉันช่างฉลาดแกมโกงและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงจริงๆ! ฉันทำหน้าที่ดูแลงานนี้มาปีกว่าแล้ว แถมมีพื้นฐานในสายงานด้วย ดังนั้นถ้าฉันรับผิดชอบและขยันเรียนรู้ เวลาหารือเรื่องงาน ฉันคงพอมีมุมมองของตัวเองบ้าง ฉันอาจจะรับช่วงงานต่อจากแอนเดรียที่ย้ายไปก็ยังได้ แต่ฉันกลับไม่ทำอะไรเลย เอาแต่ไม่รับผิดชอบในหน้าที่ ราวกับว่าตัวเองแค่ทำงานแลกค่าจ้าง มีชีวิตรอดไปวันๆ ใช้ความพยายามหรือกังวลให้น้อยที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้ ฉันไม่เคยคิดถึงการทำสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้องเหมาะสม ทำให้สุดความสามารถ และลุล่วงความรับผิดชอบของฉัน ฉันแค่ทำหน้าที่พอให้เสร็จไป คิดแค่ว่าจะเลี่ยงความทุกข์ทางเนื้อหนังอย่างไร ฉันไม่ได้คำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าแต่อย่างใด แล้วฉันจะพูดได้อย่างไรว่ามีพื้นที่ให้พระเจ้าอยู่ในหัวใจของฉัน? พระเจ้าจะไม่ทรงรังเกียจฉันเพราะท่าทีที่ฉันมีต่อหน้าที่ได้อย่างไร?
หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งว่า “ครั้งหนึ่ง องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘เพราะว่าใครมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มีนั้น แม้ที่เขามีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา’ (มัทธิว 13:12) ความหมายของพระวจนะเหล่านี้คืออะไร? สิ่งที่พระวจนะหมายถึงก็คือว่า หากเจ้าไม่แม้แต่จะดำเนินการหรือทุ่มเทอุทิศตัวเจ้าให้กับหน้าที่หรืองานของเจ้าเอง พระเจ้าก็จะทรงเอาสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเจ้าไป การ ‘เอาไป’ หมายความว่าอย่างไร? ในฐานะมนุษย์ นั่นทำให้ผู้คนรู้สึกอย่างไร? อาจเป็นไปได้ว่าเจ้าล้มเหลวที่จะบรรลุสิ่งซึ่งขีดความสามารถและพรสวรรค์ของเจ้าน่าจะเปิดโอกาสให้เจ้าบรรลุได้ และเจ้าก็ไม่รู้สึกอะไร และเป็นเหมือนผู้ไม่มีความเชื่อคนหนึ่งเท่านั้น การถูกพระเจ้าทรงเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปเป็นเช่นนั้นนั่นเอง หากเจ้าเผอเรอและไม่ยอมลำบาก และเจ้าไม่จริงใจในหน้าที่ของเจ้า พระเจ้าก็จะทรงเอาสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นของเจ้าไป พระองค์จะทรงเพิกถอนสิทธิ์ของเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าไป พระองค์จะไม่ทรงมอบสิทธิ์นี้แก่เจ้า เนื่องจากพระเจ้าได้ประทานพรสวรรค์และขีดความสามารถแก่เจ้า แต่เจ้ากลับไม่ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม ไม่สละตนพระเจ้าหรือยอมลำบาก และเจ้าไม่ได้ใส่หัวใจของเจ้าลงไปในนั้น ไม่เพียงแต่พระเจ้าจะไม่ทรงอวยพรเจ้าเท่านั้น แต่พระองค์จะยังทรงเอาสิ่งที่ครั้งหนึ่งเจ้าเคยมีไปอีกด้วย พระเจ้าประทานของขวัญแก่ผู้คน ประทานทักษะพิเศษ ตลอดจนเชาวน์กับปัญญาแก่พวกเขา ผู้คนควรใช้สิ่งเหล่านี้อย่างไร? เจ้าต้องมอบอุทิศทักษะพิเศษของเจ้า ของประทานของเจ้า เชาวน์และปัญญาของเจ้าให้แก่หน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องใช้หัวใจของเจ้าและใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้ารู้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเข้าใจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ได้ เจ้าต้องใช้ทั้งหมดนี้ในหน้าที่ของเจ้า โดยการทำดังนี้ เจ้าย่อมจะได้รับพร การได้รับพรจากพระเจ้าหมายความว่าอย่างไร? การนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกอย่างไร? ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำจากพระเจ้า และพวกเขามีเส้นทางในยามพวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของตน สำหรับคนอื่นอาจดูเหมือนว่าขีดความสามารถของเจ้าและสิ่งทั้งหลายที่เจ้าเรียนรู้มาไม่สามารถทำให้เจ้าทำสิ่งทั้งหลายสำเร็จได้—แต่หากพระเจ้าทรงพระราชกิจและให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า ไม่เพียงแต่เจ้าจะสามารถเข้าใจและทำสิ่งเหล่านั้นได้ ทว่าเจ้าจะทำสิ่งเหล่านั้นได้ดีอีกด้วย ในท้ายที่สุดเจ้าจะนึกสงสัยกับตนเองด้วยซ้ำว่า ‘ฉันไม่เคยเป็นคนมีทักษะขนาดนั้น แต่เดี๋ยวนี้มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นมากกว่าเดิมมในตัวฉัน—ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่เป็นบวก ฉันไม่เคยศึกษาสิ่งเหล่านั้นมาก่อน แต่จู่ๆ ตอนนี้ฉันก็เข้าใจสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา ฉันกลายเป็นคนฉลาดมากขึ้นมาทันทีได้อย่างไร? เดี๋ยวนี้ฉันทำอะไรได้มากมายขนาดนี้ได้อย่างไร?’ เจ้าจะไม่สามารถอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นได้ นี่คือความรู้แจ้งและพระพรของพระเจ้า นี่คือวิธีที่พระเจ้าทรงอวยพรผู้คน หากพวกเจ้าไม่รู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ในขณะปฏิบัติหน้าที่หรือทำงานของตน เช่นนั้นแล้วพวกเจ้าก็ยังไม่ได้รับการอวยพรจากพระเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, มีเพียงคนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถใช้ชีวิตตามสภาพเสมือนมนุษย์ที่แท้จริง) หลังจากใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าดูแล้ว ฉันก็เข้าใจว่าพระเจ้าทรงอวยพรคนที่ซื่อสัตย์และคนที่สละตนเพื่อพระองค์อย่างจริงใจ ยิ่งใครขยันและพยายามทำหน้าที่ให้ดีเท่าใด พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะยิ่งประทานความรู้แจ้งแก่พวกเขามากเท่านั้น และพวกเขาก็จะยิ่งทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้นเท่านั้นด้วย ในทางกลับกัน ถ้าใครทำหน้าที่ด้วยความหลอกลวง ไม่ขยันหมั่นเพียร และไม่ยอมลำบาก ก็จะไม่มีวันก้าวหน้าหรือได้ประโยชน์จากหน้าที่ของตน และอาจถึงกับสูญเสียสิ่งที่พอจะทำได้ไปด้วย ถึงตอนนี้ฉันก็หวนนึกถึงประสบการณ์ที่แอนเดรียเคยเล่าให้ฉันฟัง ความจริงก็คือมีงานมากมายที่เธอไม่เข้าใจในตอนแรก แต่เธอหมั่นนำความยากลำบากของตนไปหาพระเจ้า อธิษฐาน แสวงหา และใคร่ครวญปัญหาเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง และยังสามัคคีธรรมและสรุปปัญหาร่วมกับคนอื่น และโดยไม่รู้ตัว เธอก็ได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และมักจะมีแนวคิดใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่เสมอ เธอก้าวหน้ามากขึ้นทุกทีและทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ฉันกลับพยายามรักษาสภาพการณ์ให้คงเดิม ไม่แสวงหาความก้าวหน้า พยายามให้ตัวเองมีเวลาว่าง และไม่เคยอยากทนทุกข์หรือยอมลำบาก ผลก็คือฉันไม่เคยใช้ศักยภาพของตัวเองด้วยซ้ำ เหมือนอย่างที่พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า “คนที่ไม่มีนั้น แม้ที่เขามีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา” (มัทธิว 13:12) พระเจ้าทรงรังเกียจท่าทีเหลาะแหละและไม่รับผิดชอบที่ฉันมีต่อหน้าที่ ฉันตระหนักว่าถ้าไม่กลับใจ ฉันคงถูกพระเจ้าเดียดฉันท์เป็นแน่ และในท้ายที่สุดฉันคงสูญเสียโอกาสที่จะได้ทำหน้าที่ไปด้วย พอคิดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกกลัว ดังนั้นฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าทันที เพื่อสำนึกกลับใจและแสวงหาการทรงนำของพระองค์ในการค้นหาเส้นทางปฏิบัติ
ภายหลังฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เจ้าควรเข้าใจหน้าที่ต่างๆ อย่างไร? เป็นสิ่งที่พระผู้สร้าง—พระเจ้า—ประทานให้ใครบางคนทำ หน้าที่ของผู้คนเกิดขึ้นโดยหนทางนี้ พระบัญชาที่พระเจ้าประทานให้เจ้าคือหน้าที่ของเจ้า และการนี้เป็นไปตามธรรมชาติและสมเหตุสมผลอย่างที่สุดที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าตามที่พระเจ้าพึงประสงค์ หากเจ้าเข้าใจชัดเจนว่าหน้าที่นี้คือพระบัญชาของพระเจ้า และนี่เป็นความรักของพระเจ้าและเป็นพรของพระเจ้าที่เจ้าได้มาโดยไม่คาดฝัน เช่นนั้นเจ้าจะสามารถยอมรับหน้าที่ของเจ้าด้วยหัวใจที่รักพระเจ้า และเจ้าจะสามารถคำนึงถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าในขณะที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของตน และเจ้าจะสามารถเอาชนะความยากลำบากทั้งหมดเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ผู้ที่สละตนเองเพื่อพระเจ้าได้อย่างแท้จริงไม่มีวันสามารถปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้า พวกเขาไม่มีวันสามารถปฏิเสธหน้าที่ใดได้ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายหน้าที่ใดให้เจ้า ไม่ว่าหน้าที่นั้นจะนำความยากลำบากใดมาให้ เจ้าก็ไม่ควรปฏิเสธ แต่ควรยอมรับเอาไว้ นี่คือเส้นทางการปฏิบัติ ซึ่งเป็นการปฏิบัติความจริง และทุ่มเทความจงรักภักดีทั้งหมดของเจ้าให้กับทุกสรรพสิ่งเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย จุดสนใจในที่นี้คืออะไร? จุดสนใจอยู่ตรงคำว่า ‘ให้กับทุกสรรพสิ่ง’ ‘ทุกสรรพสิ่ง’ ไม่จำเป็นต้องหมายถึงสิ่งทั้งหลายที่เจ้าชอบหรือทำได้ดี นับประสาอะไรกับสิ่งทั้งหลายที่เจ้าคุ้นเคย บางครั้งสิ่งเหล่านั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้ดี สิ่งทั้งหลายที่เจ้าจำเป็นต้องเรียนรู้ สิ่งทั้งหลายที่เป็นความยากลำบาก หรือสิ่งทั้งหลายที่เจ้าต้องทนทุกข์ อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้แก่เจ้า เจ้าก็ต้องยอมรับจากพระองค์ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด เจ้าต้องยอมรับมาและปฏิบัติหน้าที่นั้นให้ดี ถวายความจงรักภักดีทั้งหมดของเจ้าและสนองเจตนารมณ์ของพระเจ้า นี่คือเส้นทางปฏิบัติ” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) หลังจากใคร่ครวญพระวจนะเหล่านี้ ฉันก็เกิดแรงบันดาลใจอย่างลึกซึ้ง หน้าที่คือพระบัญชาจากพระเจ้า และไม่ว่าพวกเราจะมีทักษะในหน้าที่นั้นๆ หรือไม่ หรือไม่ว่าหน้าที่จะเรียบง่ายหรือซับซ้อน แต่ก็มาจากพระเจ้า ดังนั้นพวกเราจึงต้องรับผิดชอบและต้องจงรักภักดีเท่าที่จะทำได้ มีเพียงเมื่อพวกเราทำเต็มที่และลุล่วงความรับผิดชอบของตนเองเท่านั้นที่พวกเราจะได้รับการทรงนำจากพระเจ้า ฉันนึกถึงทุกครั้งที่ฉันสาบานกับพระเจ้าว่าฉันจะทำหน้าที่เพื่อตอบแทนความรักของพระองค์อย่างจงรักภักดี แต่พอหน้าที่เกิดซับซ้อนและท้าทายขึ้นมาหน่อย และฉันต้องทนทุกข์และมีสิ่งที่ต้องแลก ฉันกลับทำไปส่งๆ และพยายามหลบเลี่ยง เมื่อตระหนักเช่นนี้ ฉันก็รู้สึกว่าฉันติดค้างพระเจ้า และไม่ควรค่าที่จะได้ชื่นชมความรักของพระองค์ ฉันจะเป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ ฉันต้องปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า ปฏิบัติต่อหน้าที่อย่างจริงใจ และลุล่วงความรับผิดชอบของตนอย่างเต็มที่ จะได้ไม่เสียใจในภายหลัง
ดังนั้นหลังจากนี้ฉันจึงริเริ่มเรียนรู้และทำความคุ้นเคยกับงานที่ครั้งหนึ่งฉันไม่เคยคุ้นด้วย และเมื่อฉันพบเจอปัญหาที่ซับซ้อนบางอย่าง ฉันก็ไม่พยายามหลีกเลี่ยงอีก แต่กลับริเริ่มหารือและแก้ไขปัญหาเหล่านั้นร่วมกับพี่น้องชายหญิง และขอให้พวกเขาสอนฉันเมื่อฉันไม่เข้าใจ ฉันเริ่มเข้าใจรายละเอียดต่างๆ ทีละน้อย และเสนอวิธีแก้ไขที่เหมาะสมได้เวลาที่คนอื่นประสบความยากลำบาก เวลาฉันสรุปงานของพวกเรา ทีแรกฉันไม่มีแนวคิดอันใดและอยากจะหลบเลี่ยงอยู่ดี แต่ฉันก็นึกถึงสิ่งที่ตัวเองอ่านในพระวจนะของพระเจ้าขึ้นมา ฉันจึงตั้งใจละทิ้งเนื้อหนัง ตรึกตรองปัญหาที่พบเจอในหน้าที่ของพวกเรา พยายามแสวงหาหลักธรรมและค้นหาข้อมูล พอปฏิบัติแบบนั้นไปสักพัก ฉันก็รู้สึกถึงการทรงนำของพระเจ้าได้อย่างชัดเจน ฉันเริ่มเข้าใจหลายสิ่งที่ตัวเองเคยสับสนหรือไม่เข้าใจ โดยที่ฉันเองก็ไม่ทันสังเกตด้วยซ้ำ และทุกครั้งที่พวกเราสรุปงาน พวกเราก็บรรลุผล พี่น้องชายหญิงลงมือปฏิบัติตามสิ่งที่พวกเราได้สรุปไว้ให้ แถมยังก้าวหน้าอีกด้วย
ฉันคิดว่าท่าทีที่ฉันมีต่อหน้าที่เปลี่ยนไปบ้างแล้ว แต่พอฉันเผชิญสถานการณ์เดิมอีกครั้ง ฉันก็หวนกลับไปเป็นอย่างเดิม
เดือนกันยายน ปี 2021 ด้วยความจำเป็นเรื่องงาน ฉันจึงได้ทำงานให้น้ำผู้มาใหม่คู่กับพี่น้องหญิงโรซี ฉันคิดว่าหน้าที่นี้ไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาด้านเทคนิคต่างๆ และฉันย่อมจะปวดหัวน้อยลง แต่ในความเป็นจริง พอเริ่มทำงาน ฉันก็พบว่าการให้น้ำผู้มาใหม่ให้ดีนั้นไม่ง่ายเลย ไม่ใช่แค่ฉันต้องสื่อสารเป็นภาษาต่างประเทศเท่านั้น แต่ยังต้องสามัคคีธรรมถึงความจริงเพื่อแก้ไขมโนคติอันหลงผิดและความสับสนของพวกเขาโดยเร็วด้วย ฉันเห็นว่าโรซีเชี่ยวชาญงานในทุกแง่มุมมากๆ เธอสามารถค้นหาความจริงที่เกี่ยวข้องมาแก้ปัญหาของผู้มาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว แต่ฉันกลับมองเห็นว่าตัวเองทำได้ไม่ดีเลย ฉันสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงให้ชัดเจนหรือแก้ไขปัญหาของพวกเขาไม่ได้ เพื่อที่จะทำให้ได้ถึงระดับของโรซี ฉันจำเป็นต้องศึกษาหาความรู้อีกนาน และต้องยอมลำบากอย่างมาก ฉันเลยคิดว่า “ช่างเถอะ ตอนนี้โรซีเป็นคู่ทำงานของฉันแล้ว ฉันไม่ต้องกังวลก็ได้” พอคิดแบบนี้ ฉันก็ไม่กระตือรือร้นที่จะเตรียมตัวให้มีความจริงด้านการให้น้ำเช่นเคยอีก และหลังการชุมนุม ฉันก็ไม่เข้าไปถามผู้มาใหม่ถึงปัญหาและความยากลำบากของพวกเขาในเชิงรุก วันหนึ่งฉันคิดทบทวนว่าฉันทำหน้าที่นี้มาครบสองเดือนแล้ว แต่ยังให้น้ำผู้มาใหม่เองไม่ได้ ฉันมักจะแก้ตัวว่าฉันไม่เข้าใจ แต่ที่จริงแล้วฉันไม่มุ่งมั่นที่จะยอมลำบาก ฉันอดถามตัวเองไม่ได้ว่า “ทำไมเวลาเจอหน้าที่ที่ฉันไม่มีทักษะ ฉันถึงเอาแต่อ้างว่า ‘ไม่เข้าใจ’ และ ‘ทำไม่ได้’ เพื่อที่จะทำหน้าที่แบบมั่วๆ และทำไมฉันถึงไม่อยากมีสิ่งที่ต้องแลก?” ฉันนำสภาวะและความสับสนของตนเองมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และอธิษฐาน
วันหนึ่งในระหว่างที่เฝ้าเดี่ยว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เวลาทำหน้าที่ ผู้คนเลือกงานเบาเสมอ งานที่ไม่เหนื่อย และไม่มีการออกไปผจญสภาพอากาศข้างนอก นี่คือการเลือกงานง่ายและบ่ายเบี่ยงงานหนัก เป็นการสำแดงความละโมบในความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง มีสิ่งใดอีก? (การพร่ำบ่นตลอดเวลาเมื่อหน้าที่ของพวกเขาหนักไปนิด เหน็ดเหนื่อยไปหน่อย เมื่อหน้าที่นั้นเกี่ยวพันกับการต้องยอมลำบาก) (การหมกมุ่นอยู่กับอาหาร เสื้อผ้า และความหรรษาทางเนื้อหนัง) เหล่านี้ล้วนเป็นการสำแดงความละโมบในความสะดวกสบายทางเนื้อหนังทั้งหลาย เมื่อคนแบบนี้เห็นว่างานหนึ่งๆ ตรากตรำหรือเสี่ยงจนเกินไป พวกเขาก็หลอกให้คนอื่นทำแทน ตัวเองทำแต่งานสบาย และพวกเขาก็หาข้ออ้างมากล่าวว่าตนมีขีดความสามารถอ่อนด้อย ไม่มีความสามารถที่จะทำงาน และไม่สามารถรับงานนี้ได้—แม้ว่าที่จริงแล้วนั่นเป็นเพราะพวกเขาละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนังก็ตาม… นอกจากนี้ยังมีผู้คนที่พร่ำบ่นเรื่องความยากลำบากอยู่เสมอขณะทำหน้าที่ของตน พวกเขาไม่อยากทุ่มเทความพยายาม และทันทีที่พวกเขามีช่วงพักสั้นๆ พวกเขาก็จะหยุดพัก พูดคุยไร้สาระ หรือมีส่วนร่วมกับการพักผ่อนและความบันเทิง เมื่อมีงานเข้ามาขัดจังหวะและกิจวัตรในชีวิตของตน พวกเขาก็จะไม่มีความสุขและไม่พอใจ พวกเขาพร่ำบ่นพึมพำ แล้วก็ทำหน้าที่ของตนอย่างสุกเอาเผากิน นี่คือการละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนังมิใช่หรือ?… ผู้คนที่ละโมบความสะดวกสบายทางเนื้อหนังเหมาะที่จะทำหน้าที่หรือไม่? ทันทีที่มีคนหยิบยกเรื่องการทำหน้าที่ของพวกเขาขึ้นมา หรือพูดคุยเรื่องการจ่ายราคาและการทนทุกข์กับความยากลำบาก พวกเขาก็จะเอาแต่ส่ายหน้า พวกเขามีปัญหามากเกินไป เต็มไปด้วยคำพร่ำบ่น และมีแต่การคิดลบ ผู้คนแบบนี้ไร้ประโยชน์ พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะทำหน้าที่ของตน และควรถูกกำจัดออกไป” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (2)) “ผู้นำเทียมเท็จบางคนมีขีดความสามารถต่ำ แต่พวกเขาก็ไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และใฝ่หาความสะดวกสบายทางเนื้อหนัง ผู้คนที่ใฝ่หาความสะดวกสบายทางเนื้อหนังก็ไม่ต่างจากสุกรมากนัก สุกรใช้วันเวลาไปกับการนอนและการกิน พวกมันไม่ทำอะไรเลย อย่างไรก็ดี หลังจากทำงานหนักมาทั้งปีเพื่อขุนเลี้ยงพวกมัน พอทั้งครอบครัวได้กินเนื้อของพวกมันตอนสิ้นปี ก็อาจพูดได้ว่าพวกมันได้ทำการรับใช้แล้ว ถ้าเลี้ยงผู้นำเทียมเท็จไว้อย่างสุกร กินดื่มสามมื้อในแต่ละวันโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายจนอ้วนท้วนและแข็งแรง แต่พวกเขากลับไม่ทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงใดๆ และเป็นคนดีแต่ผลาญ การเก็บพวกเขาเอาไว้ย่อมเปล่าประโยชน์มิใช่หรือ? เคยมีประโยชน์อะไรหรือไม่? พวกเขาดีแต่เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้แก่พระราชกิจของพระเจ้าและควรถูกกำจัดออกไป การเลี้ยงสุกรย่อมดีกว่าการเลี้ยงผู้นำเทียมเท็จจริงๆ ผู้นำเทียมเท็จอาจมีตำแหน่งเป็น ‘ผู้นำ’ พวกเขาอาจดำรงตำแหน่งนี้ และกินดีวันละสามมื้อ และสุขสำราญกับพระคุณอันมากหลายของพระเจ้า และในตอนสิ้นปี พวกเขาก็กินจนตนเองอ้วนท้วน—แต่งานเป็นอย่างไรบ้าง? จงดูทั้งหมดที่ทำสำเร็จลุล่วงในงานของเจ้าในปีนี้ว่าปีนี้เจ้ามองเห็นผลลัพธ์ของงานบางส่วนแล้วหรือยัง? เจ้าทำงานใดบ้างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง? พระนิเวศของพระเจ้าไม่ได้ขอให้เจ้าทำงานทุกชิ้นอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เจ้าต้องทำงานสำคัญให้ดี—ตัวอย่างเช่น งานข่าวประเสริฐ หรืองานโสตทัศน์ งานด้านข้อความ และอื่นๆ ทั้งหมดนี้ต้องเกิดผล ภายใต้รูปการณ์ที่ปกติ ผลที่ได้—ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น—ย่อมสามารถเห็นได้หลังจากผ่านไปสามถึงห้าเดือน ถ้าไม่มีผลให้เห็นหลังผ่านไปหนึ่งปี เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นปัญหาร้ายแรง หลังจากหนึ่งปีผ่านไป จงดูว่างานใดภายในขอบเขตความรับผิดชอบของเจ้าประสบความสำเร็จมากที่สุด เป็นงานที่เจ้ามีสิ่งที่ต้องแลกมากที่สุดและทนทุกข์ที่สุด จงมองความสำเร็จทั้งหลายของเจ้า นั่นคือ ในหัวใจของเจ้า เจ้าควรมีแนวคิดอยู่บ้างว่าเจ้ามีผลสัมฤทธิ์ที่ทรงคุณค่าจากการสุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้ามาครบปีบ้างหรือไม่ ขณะที่เจ้ากินอาหารจากพระนิเวศของพระเจ้าและสุขสำราญกับพระคุณของพระเจ้าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ เจ้าทำสิ่งใดอยู่? เจ้าสัมฤทธิ์สิ่งใดบ้างหรือยัง? หากเจ้ายังไม่ได้สัมฤทธิ์สิ่งใด เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็เอาแต่ได้ เป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างแท้จริง” (พระวจนะฯ เล่ม 5 หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน, หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน (4)) ขณะที่ใคร่ครวญพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า ฉันรู้สึกเหมือนพระวจนะได้ทิ่มแทงหัวใจฉัน ตอนนั้นเองที่ฉันเข้าใจว่าฉันมักจะถอยหนีเวลาเจอความยากลำบากในหน้าที่ ใช้ความ “ไม่เข้าใจ” และ “ไม่สามารถ” มาเป็นข้อแก้ตัว เพราะฉันเกียจคร้านและโหยหาความสุขสบายทางเนื้อหนังมากเกินไป เมื่อก่อนตอนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลร่วมกับแอนเดรีย ฉันมักจะเลือกงานง่ายๆ สบายๆ ให้ตัวเอง แล้วเอางานที่ฉันไม่มีทักษะหรืองานที่ต้องคิดอย่างรอบคอบให้พี่น้องจางทำ มาคราวนี้ในการให้น้ำผู้มาใหม่กับโรซี ฉันก็ยังคงไม่อยากกังวลหรือยอมลำบาก ฉันทบทวนพฤติกรรมของตัวเองและตระหนักว่าสาเหตุหลักเป็นเพราะฉันถูกปรัชญาเยี่ยงซาตานควบคุมอยู่ สำนวนอย่าง “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “ชีวิตนี้สั้น ดังนั้นควรสุขสำราญกับชีวิตเมื่อยังทำได้” และ “จงบำรุงบำเรอตัวเองในยามที่ยังมีชีวิตอยู่” ได้ฝังรากลึกอยู่ในหัวใจของฉันไปแล้ว ฉันรู้สึกอยู่เสมอว่าผู้คนต้องมีชีวิตอยู่เพื่อตัวเอง และเมื่อพวกเราไม่ทุกข์ทนและสุขสบายทางเนื้อหนัง พวกเราก็กำลังใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น ตอนที่ฉันเข้ามาทำหน้าที่ในคริสตจักร ฉันก็ยังยึดมุมมองนี้ พอเจอหน้าที่ทั้งหลายที่ฉันไม่เก่ง พอฉันประสบกับความยากลำบากที่มีสิ่งที่ฉันต้องแลก ฉันก็ถอยหนีเหมือนเต่าหดหัวและให้ความสำคัญกับความสุขสบายทางเนื้อหนังเป็นอันดับแรก หมูไม่คิดหรือทำอะไร รู้จักแต่กิน ดื่ม และนอน ฉันก็เหมือนกัน มัวแต่ห่วงความสุขสบายของตัวเอง ฉันใช้ชีวิตได้หยาบช้าจริงๆ! ฉันนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่ฉันเป็นผู้ดูแล ส่วนตอนนี้ก็เป็นผู้ให้น้ำ พระเจ้าทรงเปี่ยมพระคุณต่อฉัน แต่ฉันก็ไม่พยายามที่จะก้าวหน้าหรือคำนึงถึงความรับผิดชอบและหน้าที่ของตัวเองเลย ฉันไม่รับผิดชอบงานของคริสตจักรและไม่รับผิดชอบชีวิตของพี่น้องชายหญิง ฉันไม่มีมโนธรรมแม้แต่น้อย! ฉันไม่อยากทนทุกข์หรือยอมลำบาก กลับเอาแต่อ้าง “ความไม่เข้าใจ” หรือ “ความไม่สามารถ” เพื่อขอความเห็นใจและเพื่อให้คนอื่นคิดว่าฉันยอมรับข้อเสียของตัวเองได้ พวกเขาจะได้มองว่าฉันมีเหตุผลและซื่อสัตย์ ความจริงก็คือฉันใช้คำพวกนี้มาปกปิดความเกียจคร้านและความไม่รับผิดชอบของตัวเอง ฉันฉลาดแกมโกงและเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง แล้วฉันยังเล่นไม่ซื่อกับพี่น้องชายหญิง! ถึงแม้ฉันจะโกงพวกเขาได้สักระยะ แต่พระเจ้าก็ทรงมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง และพระเจ้าทรงชอบธรรม ฉันพยายามหลอกลวงและเล่นไม่ซื่อกับพระเจ้า แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงรังเกียจฉันได้อย่างไร? นี่คือสาเหตุที่ฉันไม่เคยได้เห็นการทรงนำจากพระเจ้าในการทำหน้าที่ช่วงนั้นเลย การที่ฉันหลงทางเป็นประจำและและไม่ก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัดคือสัญญาณอันตราย!
ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้า ความว่า “หลังจากยอมรับสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขาทำ โนอาห์ก็เริ่มดำเนินการและสำเร็จลุล่วงการสร้างเรือใหญ่ที่พระเจ้าตรัสถึง ราวกับเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ไม่มีวี่แววว่าไม่เอาใจใส่แม้แต่น้อย หลายวันผ่านไป หลายปีผ่านพ้น วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า พระเจ้าไม่ได้ทรงกดดันโนอาห์เลย แต่ตลอดเวลาทั้งหมดนี้ โนอาห์ได้พากเพียรบากบั่นในกิจสำคัญซึ่งพระเจ้าได้ไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขาทำ ทุกวจนะและวลีที่พระเจ้าได้ดำรัสนั้นได้ถูกจารึกอยู่บนหัวใจของโนอาห์เสมือนคำพูดที่สลักอยู่บนแผ่นหิน ตลอดหนทางนั้นเขาได้พากเพียรบากบั่นในสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขาทำ ไม่ท้อแท้สิ้นหวังหรือคิดถึงการเลิกล้มเลย โดยไม่ใส่ใจต่อการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในโลกภายนอก ต่อการเยาะเย้ยถากถางของพวกที่อยู่รอบตัวเขา ต่อความยากลำบากที่เกี่ยวข้อง หรือต่อความลำบากยากเย็นที่เขาได้เผชิญ พระวจนะของพระเจ้าถูกจารึกไว้บนหัวใจของโนอาห์ และพระวจนะเหล่านั้นก็ได้กลายเป็นความเป็นจริงในทุกๆ วันของเขา โนอาห์ตระเตรียมวัสดุแต่ละชนิดที่จำเป็นต้องใช้สร้างเรือใหญ่ รูปทรงและรายละเอียดเฉพาะสำหรับเรือใหญ่ซึ่งพระเจ้าทรงบัญชานั้นค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้นด้วยการกระหน่ำด้วยค้อนและสิ่วของโนอาห์แต่ละครั้งอย่างระมัดระวัง ผ่านลมและฝน และไม่ว่าผู้คนได้เย้ยหยันหรือใส่ร้ายเขาอย่างไร ชีวิตของโนอาห์ได้เดินหน้าไปในลักษณะนี้ ปีแล้วปีเล่า พระเจ้าได้ทรงเฝ้าดูทุกการกระทำของโนอาห์อย่างลับๆ โดยไม่ดำรัสพระวจนะกับเขาอีกเลย และโนอาห์ก็ได้ทำให้พระองค์ซาบซึ้งพระทัย อย่างไรก็ตาม โนอาห์ทั้งไม่รู้และไม่รู้สึกถึงการนี้ ตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ เขาก็เพียงได้สร้างเรือใหญ่ขึ้น และได้รวบรวมสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทุกประเภท ด้วยความภักดีอันไม่หวั่นไหวต่อพระวจนะของพระเจ้า ในหัวใจของโนอาห์ ไม่มีการให้คำแนะนำใดเลยซึ่งสูงส่งกว่านี้ที่เขาควรที่จะติดตามและดำเนินการ กล่าวคือ พระวจนะของพระเจ้าคือทิศทางและเป้าหมายชั่วชีวิตของเขา ดังนั้น ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสสิ่งใดกับเขา ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงเอ่ยขอให้เขาทำสิ่งใด จะทรงบัญชาให้เขาทำสิ่งใด โนอาห์ก็ยอมรับไว้หมด และจดจำขึ้นใจ เขาถือว่านั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต และจัดการเรื่องดังกล่าวเช่นนั้น เขาไม่เพียงไม่ลืมเท่านั้น ไม่เพียงตรึงติดไว้ในจิตใจเท่านั้น แต่ยังทำให้เป็นจริงในชีวิตประจำวันของตนอีกด้วย ใช้ชีวิตของเขามายอมรับและดำเนินการตามพระบัญชาของพระเจ้า และในหนทางนี้ เรือใหญ่จึงได้ถูกสร้างขึ้น ทีละแผ่นกระดาน ทุกความเคลื่อนไหวของโนอาห์ ทุกวันของเขา ถูกทุ่มเทอุทิศให้แก่พระวจนะและพระบัญญัติของพระเจ้า อาจจะไม่ได้ดูเหมือนว่าโนอาห์กำลังปฏิบัติการเข้ารับภาระหน้าที่ซึ่งสำคัญยิ่ง แต่ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่โนอาห์ทำ แม้กระทั่งทุกขั้นตอนที่เขาใช้เพื่อสัมฤทธิ์บางสิ่ง ทุกงานที่มือของเขาออกแรงทำ—สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ล้ำค่า และสมควรกับการรำลึกเป็นอนุสรณ์ และควรค่าแก่การเอาอย่างโดยมวลมนุษย์นี้ โนอาห์ยึดตามสิ่งที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายให้เขาทำ เขาไม่หวั่นไหวในความเชื่อของตนที่ว่าพระวจนะทุกคำที่พระเจ้าตรัสนั้นจริงแท้ เขาไม่มีความสงสัยในการนี้ และผลก็คือ เรือใหญ่ได้มาถึงความครบบริบูรณ์ และสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทุกรูปแบบก็มีความสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่บนเรือใหญ่นั้น” (พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, บทความเสริม สอง: วิธีที่โนอาห์และอับราฮัมเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าและนบนอบพระองค์ (ภาคที่หนึ่ง)) ในระหว่างที่ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า ฉันตื้นตันใจมาก โนอาห์เชื่อฟังและคำนึงถึงพระเจ้า เมื่อพระเจ้าตรัสบอกให้โนอาห์สร้างเรือ โนอาห์ก็จดจำพระบัญชาและเชื่อฟังข้อพึงประสงค์ของพระองค์ ทีแรกเขาไม่รู้ว่าจะสร้างเรือนี้อย่างไร และความลำบากยากเย็นในการสร้างเรือก็แสนจะหนักหนา เขาต้องทนทุกข์และยอมลำบากในทุกขั้นตอน แต่โนอาห์ก็สัตย์ซื่อต่อพระบัญชาของพระเจ้า เพื่อที่จะทำพระบัญชาให้เสร็จสมบูรณ์ เขาเต็มใจที่จะทนทุกข์ ยอมลำบาก และตอกตะปูทีละตัวเพื่อสร้างเรือ โนอาห์พากเพียรอยู่ 120 ปีและในที่สุดก็ทำให้พระบัญชาเสร็จสมบูรณ์ แม้ว่าเขาจะทนทุกข์มากมายเพื่อสร้างเรือนั้น และไม่ได้มีความสุขสบายทางเนื้อหนัง เขาก็ดำเนินการตามพระบัญชาของพระเจ้า ทำให้พระองค์พอพระทัย และได้รับการเห็นชอบจากพระองค์ เทียบกับท่าทีที่โนอาห์มีต่อพระบัญชาของพระเจ้าแล้ว ฉันมองเห็นว่าตัวเองไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์เลย เวลาปฏิบัติหน้าที่ ฉันไม่ได้จงรักภักดี ฉันเกียจคร้านและฉลาดแกมโกง ฉันโหยหาแต่ความสุขสบายทางกาย และไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์แต่อย่างใด ฉันใช้ชีวิตอย่างน่าดูหมิ่นจริงๆ! ถ้าฉันยังเป็นแบบนี้และไม่เปลี่ยนแปลง สุดท้ายฉันก็จะสูญเสียหน้าที่ ซึ่งฉันย่อมจะเสียใจไปตลอดชีวิต
จากนั้นในแต่ละวัน ฉันก็จัดแจงเวลาของตนอย่างเหมาะสม และพากเพียรเตรียมตัวเองให้ถึงพร้อมด้วยความจริงที่พึงต้องมีเพื่อที่จะให้น้ำผู้มาใหม่ ในการชุมนุมวันหนึ่ง พี่น้องชายหญิงหยิบยกปัญหาในงานให้น้ำขึ้นมา พอได้ฟังบางสิ่งที่ไม่เข้าใจ ฉันก็อยากจะเลี่ยง ฉันคิดจะปล่อยให้พวกเขาพูดคุยหาทางออกกันเอาเอง แต่คราวนี้ฉันไหวตัวทันถึงความอยากทำอะไรมั่วๆ และไม่รับผิดชอบของตนเอง ฉันนึกถึงท่าทีจริงจังและรับผิดชอบที่โนอาห์มีต่อพระบัญชา และแล้วฉันก็รีบแก้ไขสภาวะที่ไม่ถูกต้องของตัวเอง ฉันตั้งใจฟังว่าพวกเขาสามัคคีธรรมถึงความจริงเพื่อแก้ปัญหานั้นอย่างไร ในการสรุปงานขั้นสุดท้าย ฉันก็ให้คำแนะนำของฉันไป ฉันประหลาดใจมากที่พวกเขาบอกว่าฉันแนะนำได้ดี ตอนที่ฉันให้น้ำผู้มาใหม่พร้อมกับโรซี ฉันก็ริเริ่มฝึกฝนการแก้ไขความยากลำบากที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของผู้มาใหม่ และถ้ามีปัญหาที่ฉันแก้ไม่ได้ ฉันก็จะขอให้เธอช่วยทันที ผ่านไปสักพัก ฉันก็ให้น้ำผู้มาใหม่ได้เองเช่นกัน แม้ฉันจะยังคงมีข้อเสียและข้อบกพร่องอยู่มาก แต่ฉันก็รู้สึกได้ว่าตัวเองโตขึ้นและก้าวหน้าขึ้นมาก และฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้น ความเข้าใจและประโยชน์ที่ฉันได้รับล้วนเป็นผลจากพระราชกิจของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ