ผลสืบเนื่องของการทำงานอย่างเอาแต่ใจ

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย จ้าว หยาง, ประเทศจีน

ผมได้รับเลือกตั้งเป็นผู้นำคริสตจักรในปี 2016 ตอนผมเข้ามารับหน้าที่ครั้งแรก ผมรู้สึกกดดันอย่างมาก เพราะไม่เข้าใจความจริง และไม่มีความรู้เชิงลึก พอเหล่าพี่น้องเจอปัญหา ผมจึงไม่รู้วิธีสามัคคีธรรมกับพวกเขา ผม ก็ไม่รู้หลักธรรมในการแต่งตั้งคนทำหน้าที่ด้วยซ้ำ ผมจึงเฝ้าอธิษฐานกับพระเจ้า และแสวงหาความจริงเพื่อให้เข้าใจหลักธรรม เวลาไม่เข้าใจอะไร ผมก็เข้าหาเพื่อนร่วมงาน เมื่อเวลาผ่านไป ผมก็สามารถประเมินผู้คนและสถานการณ์ได้ดีขึ้น และผมมอบหมายหน้าที่ที่เหมาะสมให้พี่น้องชายหญิง โดยดูจากจุดเด่นของพวกเขาได้ ครั้งหนึ่ง พี่ชายที่ผมทำงานด้วย พยายามคุยกับผมเรื่อง พี่สาวเซี่ย หัวหน้าทีมข่าวประเสริฐ ที่ทำหน้าที่อย่างขอไปทีและเฉื่อยชา บอกว่าเธอหน่วงงานของทีม เขาเสนอให้หาคนมาเป็นหัวหน้าแทนเธอ ผมคิดว่าความสามารถของเธอยอดเยี่ยม และมีฝีมือในงานที่ทำจริงๆ ถึงเธอจะแสดงความเสื่อมทรามออกมาบ้าง ถ้าหากเธอได้รับความช่วยเหลือบ้าง และเปลี่ยนแปลงบางอย่างได้ เธอก็ทำตำแหน่งนั้นได้ไม่มีปัญหา ผมจึงเปิดโปงชำแหละสภาวะของพี่เซี่ย รวมถึงตัดแต่งและจัดการกับเธอ หลังผ่านสามัคคีธรรมไปหลายครั้ง เห็นได้ว่าท่าทีต่อหน้าที่ของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอมีการริเริ่มทำอะไรมากขึ้น และยังมีมโนธรรมอีกด้วย ผ่านไปสักพัก เธอก็ได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น หลังจากนั้นผมก็รู้สึกยินดีกับตัวเอง แล้วก็คิดว่า “ผมคิดถูกแล้วที่ไม่ได้ปลดเธอ แต่ได้อุปถัมภ์คนมีความสามารถไว้ในพระนิเวศ ดูเหมือนผมจะมีวิจารณญาณที่ดีพอใช้” จากนั้นต่อมา ผมก็หยุดหารือ เรื่องการแต่งตั้งและการปลดคนออกกับพี่ชายคนนั้น โดยคิดว่าผมมีประสบการณ์มากกว่า ผมจึงรับมือกับปัญหาด้วยตัวเองได้ เวลาผ่านไปสองปี ผมจัดการเตรียมการเพื่องานของคริสตจักรได้ชำนาญมากขึ้น พอคิดว่าตัวเองเข้าใจสิ่งต่างๆ ถ่องแท้ ผมก็กลายเป็นโอหังขึ้น

ตอนนั้นผมไม่ตระหนักว่าผมไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ดีนัก แล้ววันหนึ่งก็มีจดหมายจากผู้นำคนหนึ่ง บอกว่าพี่จางจากคริสตจักรเรากลับมาแล้วเพราะถูกปลดจากหน้าที่โดยอีกคริสตจักรหนึ่ง ผมต้องจัดเตรียมให้เธอชุมนุม ผมคิดว่า จากปฏิสัมพันธ์ของผมกับพี่จาง ผมได้เห็นว่าเธอโอหัง เอาแต่ตำหนิคนอื่นอย่างดูหมิ่น และเป็นคนที่อยู่ด้วยยาก ผมจึงคาดว่าเธอไม่ได้เปลี่ยนเลย ผ่านไปสักพัก ผู้มาใหม่หลายคนมาเข้าร่คริสตจักร เราจึงต้องเร่งหาคนมาทำหน้าที่ให้น้ำ พี่ชายหลิวที่ทำงานกับผมบอกว่า เขาเคยมาชุมนุมกับพี่จางแล้ว และตั้งแต่ถูกปลด พี่จางก็ได้รู้จักตัวเองและกลับใจอย่างแท้จริงแล้ว อีกอย่างคือเธอเคยให้น้ำสมาชิกใหม่มาก่อน และก็ทำได้ดี เขาแนะว่า เพื่อไม่ให้งานเราล่าช้า เราควรให้เธอให้น้ำบ้างช่วงกำลังทบทวนตัวเอง ตอนที่ผมได้ยินเขาเสนอชื่อพี่จาง ผมคิดในใจว่า นั่นเป็นความคิดที่แย่มาก เขาช่างไม่รู้เลยว่าเธอไม่ใช่คนไล่ตามเสาะหาความจริง เธอแค่พูดถึงการมีความเข้าใจ เขาก็คิดว่าเธอกลับใจแล้ว ผมรู้สึกว่าเขาขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่มีการหยั่งรู้เลยแม้แต่น้อย ผมพูดกับเขาอย่างชัดเจนว่า “ผมรู้จักพี่จางเป็นอย่างดีนะ เธอเป็นคนโอหังและมักเที่ยวดูหมิ่นคนอื่นไปทั่ว แถมยังเป็นคนที่ทำงานด้วยยาก อีกอย่าง เธอก็ยังไม่ได้เข้าใจตัวเองหรือเปลี่ยนแปลงตัวเองอย่างแท้จริงเลย ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ถูกปลดแต่แรก ผมคิดว่าเธอไม่เหมาะสม เราให้เธอทำหน้าที่นั้นไม่ได้” พี่หลิวจึงพูดว่า “เราไม่ควรเรียกร้องมากเกินไป เธออาจจะโอหังไปบ้าง แต่เธอก็ได้เรียนรู้ตัวเองจริงๆ ผ่านประสบการณ์ในการปล่อยวางนี้ จนเธอสามารถกลับใจในสิ่งที่เคยทำ ตอนนี้การพูดการจาของเธอก็เพลาลง จนเข้ากับคนอื่นได้ ความโอหังของเธอนั้นเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว เราต้องปฏิบัติต่อผู้คนอย่างเหมาะสมสิ” ตอนที่ผมได้ยินเขาพูดแบบนี้ ผมรู้สึกรำคาญ ผมคิดว่า เขายังใหม่ต่อหน้าที่ เจึงไม่รู้ว่าอันที่จริงเขาควรจะคล้อยตามผมมากกว่า ผมจึงตอบเขาไปอย่างเน้นย้ำมากขึ้นว่า “สถานการณ์ของพี่จางยังไม่ชัดเจนเพียงพออีกหรือ? ผมไม่ตัดสินใจเรื่องคนอื่นแบบลอยๆ แต่เธอไม่เหมาะกับหน้าที่นั้น เธอไม่ควรทำการให้น้ำ” พอเห็นว่าผมตั้งมั่นในความเห็นของตัวเอง พี่หลิวก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เวลาผ่านไปอีกสักพัก เพราะเราขาดคนให้น้ำ ผู้มาใหม่บางส่วนจึงไม่มาชุมนุมอีก เพราะพวกเขาไม่ได้รับการสนับสนุนเพียงพอ เมื่อผู้นำเข้ามาเห็นสิ่งที่เป็นอยู่ เธอกับพี่หลิวจึงไปคุยกับพี่จาง แล้วพอพวกเขากลับมา พี่หลิวก็พูดว่า “พระนิเวศต้องการคนให้น้ำโดยด่วน เราเห็นแล้วว่าคุณจางรู้จักตัวเองขึ้นมาบ้างจริงๆ และเต็มใจกลับใจและเปลี่ยนแปลง เธอถูกปลด แต่เธอก็ไม่ได้ทำเลวร้ายอะไรนัก เธอแค่มีความโอหังอยู่บ้าง และยังคงถูกอุปถัมภ์ได้ ตราบเท่าที่เธอยอมรับความจริงและเปลี่ยนแปลงได้ จงให้โอกาสคนได้กลับใจ ไม่ใช่นิยามเขาจากสิ่งที่ทำในเวลาหนึ่ง เราได้หารือกันแล้ว และพี่จางควรรับหน้าที่ให้น้ำ” พอเขาเสนอพี่จางในตำแหน่งนี้อีก ผมก็คิดว่า “ครั้งก่อนผมได้พูดถึงเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว เธอจะเปลี่ยนแปลงไปในเวลาสั้นๆ แค่นี้ได้ยังไง? ผมรับใช้ในฐานะผู้นำมานาน และผมรู้วิธีประเมินคน ทำไมคุณถึงไม่เชื่อผมในเรื่องนี้? ถ้าเชื่อผมมันก็ไม่ผิดอยู่แล้ว!” ผมอธิบายจุดยืนของผมอย่างเน้นย้ำจริงๆ อีกครั้ง เมื่อเห็นผมดื้อแพ่งกับความคิดตัวเอง ผู้นำก็พูดเด็ดขาดว่า “เราเข้าใจพี่จางดีแล้ว เราได้คุยและฟังสามัคคีธรรมของเธอ เธอได้ทบทวนจนรู้จักตัวเอง เและพร้อมกลับใจและเปลี่ยนแปลงแล้ว เราควรให้เธอทำหน้าที่ ให้เธอมีโอกาสกลับใจ เราจะนิยามใครโดยดูจากนิสัยในอดีตไม่ได้ คุณว่าเธอโอหัง แต่ตั้งแต่ตอนไหนที่คนโอหังไม่ได้รับอนุญาตให้มีการปรับปรุงในพระนิเวศ? พี่จางเหมาะกับงานให้น้ำ และเรื่องนี้ก็มีความจำเป็นเร่งด่วนในตอนนี้ คุณยึดมุมมองของตัวเอง ยืนกรานไม่เลือกเธอ แบบนี้ไม่ใช่เผด็จการเอาแต่ใจหรือ? คริสตจักรต้องมอบหมายงานผ่านคุณ คุณไม่เห็นชอบ พวกเขาก็ทำหน้าที่ไม่ได้ คุณโอหังเชื่อตัวเองมากไป คุณทำตามใจตัวเอง คุณไม่เห็นหรือว่าพระราชกิจแห่งพระนิเวศ และการบ่มเพาะผู้คนต้องล่าช้า?” พอได้ยินผู้นำจัดการกับผมแบบนี้ ทำให้ผมว้าวุ่นใจ แต่ผมก็รู้สึกต่อต้านมันเช่นกัน ผมยังคิดว่าผมมีประสบการณ์มาก และผมมองคนออกเสมอ จึงไม่มีทางที่ผมจะมองพี่จางผิด แต่ในเมื่อทุกคนไม่เห็นด้วย ผมก็ดึงดันขัดขวางต่อไม่ได้ ผมจึงฝืนใจพูดไปว่า “เมื่อคุณทั้งสองเห็นเธอมีการเปลี่ยนแปลง ก็ให้โอกาสเธอทำการให้น้ำเถอะ หากไม่ได้ผลเราค่อยเปลี่ยนตัว”

พอกลับมาบ้าน ผมคิดถึงตอนถูกผู้นำว่ากล่าว ผมไม่สบายใจเลยจริงๆ ที่ผู้นำพูดคือผมกำลังทำชั่วและกบฏต่อพระเจ้าใช่ไหมนี่? นั่นเป็นเรื่องร้ายแรงมากเลยนะ แต่แล้วผมก็คิดว่า ผมก็คิดถี่ถ้วนแล้วนะ ที่ตัดสินใจไม่แต่งตั้งพี่จางทำงานนั้น แล้วทำไมพวกเขาถึงพูดแบบนั้นกับผม? ผมทำผิดไปตั้งแต่ตรงไหน? ผมจึงอธิษฐานเพื่อแสวงหาว่า “พระเจ้า ช่างลำบากนักที่ข้าพระองค์จะยอมรับตามการวิจารณ์นี้ ข้าพระองค์ไม่ทราบว่าจะเข้าใจตนเอง หรือเข้าสู่ความจริงในแง่มุมไหนดี ขอทรงแสดงหนทางด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ผมอ่านพระวจนะบทนี้ที่ว่า “การ ‘ทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น’ หมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่า เมื่อเจ้าเผชิญกับประเด็นปัญหาหนึ่ง ก็กระทำการอย่างไรก็ตามที่เจ้าเห็นว่าเหมาะสม โดยไม่คิดถึงกระบวนการ ไม่ใส่ใจต่อสิ่งที่ผู้ใดอื่นกล่าว ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าถึงเจ้าได้ และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนใจเจ้าได้ จนกระทั่งว่าไม่มีผู้ใดสามารถทำให้เจ้าหวั่นไหวได้เลยแม้แต่น้อย เจ้ามีจุดยืนของเจ้า และแม้เมื่อสิ่งที่ผู้อื่นพูดมีเหตุผล เจ้าก็ไม่ฟัง และเชื่อว่าหนทางของเจ้าเป็นหนทางที่ถูกต้อง ต่อให้เป็นเช่นนั้น เจ้าควรจะไม่ให้ความใส่ใจต่อคำแนะนำของผู้อื่นเลยหรือ? กระนั้นเจ้าก็ไม่ใส่ใจ ผู้คนอื่นๆ เรียกเจ้าว่าดื้อรั้น ดื้อรั้นอย่างไร? ดื้อรั้นเสียจนวัวสิบตัวก็ไม่สามารถดึงเจ้ากลับหลังได้—ดื้อรั้นที่สุด โอหัง และเอาแต่ใจจนสุดขีด ชนิดที่ไม่มองความจริงจนกระทั่งมันจ้องมองเจ้าอยู่ตรงหน้า ความดื้อดึงเช่นนั้นมิได้ขึ้นไปถึงระดับของความเอาแต่ใจตัวเองหรอกหรือ? เจ้าทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าต้องการ สิ่งใดก็ตามที่เจ้าคิดจะทำ และเจ้าไม่ฟังผู้ใดเลย หากมีใครบางคนบอกเจ้าว่าบางสิ่งบางอย่างที่เจ้ากำลังทำนั้นไม่สอดคล้องกับความจริง เจ้าก็จะกล่าวว่า ‘ฉันจะทำการนั้นไม่ว่านั่นจะสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ก็ตาม หากนั่นไม่สอดคล้องกับความจริง ฉันจะให้เหตุผลแก่ท่านเช่นนั้นเช่นนี้ หรือการอ้างเหตุผลดังนั้นดังนี้ ฉันจะทำให้ท่านรับฟังฉัน ฉันจะกำหนดการนี้’ คนอื่นๆ อาจจะกล่าวว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำนั้นทำให้ยุ่งยาก ว่าการนั้นจะนำไปสู่ผลสืบเนื่องที่ร้ายแรง ว่าการนั้นมีผลร้ายต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า—ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่ใส่ใจพวกเขา แต่ยังให้เหตุผลของเจ้ามากยิ่งขึ้นไปอีกว่า ‘นี่คือสิ่งที่ฉันกำลังทำ ไม่ว่าท่านจะชอบมันหรือไม่ก็ตาม ฉันต้องการทำสิ่งนั้นในหนทางนี้ ท่านผิดโดยสิ้นเชิง และฉันมีเหตุผลสมควรโดยสมบูรณ์’ บางทีเจ้าอาจจะมีเหตุผลสมควรจริงๆ และสิ่งที่เจ้ากำลังทำจะไม่มีผลสืบเนื่องร้ายแรง—แต่สิ่งที่เจ้ากำลังเปิดเผยคืออุปนิสัยอะไร? (ความโอหัง) ธรรมชาติอันโอหังทำให้เจ้าเอาแต่ใจ เมื่อผู้คนมีอุปนิสัยเอาแต่ใจนี้ พวกเขาไม่โน้มเอียงที่จะทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่นหรอกหรือ?(การสามัคคีธรรมของพระเจ้า)พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อทุกๆ บุคคลอย่างไร? ผู้คนบางคนมีวุฒิภาวะที่ยังไม่เป็นผู้ใหญ่ หรือยังอ่อนเยาว์ หรือได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาสั้นๆ เท่านั้น พระเจ้าอาจทรงมองผู้คนเหล่านี้ว่าทั้งไม่ใช่คนไม่ดีและไม่ใช่คนร้ายกาจโดยธรรมชาติและแก่นแท้ เป็นแค่ว่าพวกเขาค่อนข้างไม่รู้เท่าทันหรือขาดพร่องในขีดความสามารถ หรือว่าพวกเขาตกอยู่ในการหน่วงเหนี่ยวมากเกินไป และยังไม่เข้าใจความจริง ยังไม่เข้าสู่ชีวิต ดังนั้นแล้ว มันจึงยากสำหรับพวกเขาที่จะยับยั้งจากการทำสิ่งที่โง่เขลาบางอย่างหรือกระทำการบางอย่างที่ไม่รู้เท่าทัน แต่พระเจ้าไม่ทรงติดตรึงอยู่กับความโง่เขลาที่ผ่านไปของผู้คน พระองค์ทรงมองที่หัวใจของพวกเขาเท่านั้น หากพวกเขาตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็มุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง และเมื่อนี่คือวัตถุประสงค์ของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็กำลังทรงเฝ้าสังเกตพวกเขา ทรงรอคอยพวกเขา และทรงให้เวลาและโอกาสที่อนุญาตให้พวกเขาเข้าสู่ ไม่ใช่ว่าพระเจ้าทรงทำให้พวกเขาพ่ายแพ้ด้วยหมัดเดียว อีกทั้งไม่ใช่ว่าพระองค์ทรงฉวยเอาการล่วงละเมิดที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยทำไว้และปฏิเสธที่จะปล่อยไป พระองค์ไม่เคยทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนี้ นั่นกล่าวได้ว่า หากผู้คนปฏิบัติต่อกันในลักษณะเช่นนั้นแล้วไซร้ นี่จะไม่แสดงให้เห็นอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาหรอกหรือ? นี่คืออุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาอย่างแน่นอน เจ้าต้องมองไปที่วิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันและโง่เขลา วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเหล่านั้นที่มีวุฒิภาวะยังไม่เป็นผู้ใหญ่ วิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อการสำแดงแบบปกติถึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษยชาติ และวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกที่ร้ายกาจ พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนที่แตกต่างกันในหนทางที่แตกต่างกัน และพระองค์ยังทรงมีสารพัดวิธีในการบริหารจัดการสภาวะเงื่อนไขที่มากมายเหลือคณาของผู้คนที่แตกต่างกัน เจ้าต้องเข้าใจความจริงเหล่านี้ ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงเหล่านี้ เมื่อนั้นเจ้าก็จะรู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์กับความจริงเหล่านั้นและปฏิบัติต่อผู้คนไปตามหลักธรรม(“การที่จะได้รับความจริง เจ้าต้องเรียนรู้จากผู้คน เรื่องทั้งหลาย และสิ่งทั้งหลายรอบตัวเจ้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ผมเริ่มทบทวนตัวเอง จากสิ่งที่พระวจนะได้เปิดเผย ผมคิดว่าผมมีประสบการณ์อยู่บ้างในเรื่องการแต่งตั้งผู้คน และเข้าใจในหลักธรรม โดยเฉพาะเมื่อคนที่ผมเลือกประสบความสำเร็จในหน้าที่ ผมรู้สึกเหมือนผมสามารถหยั่งรู้และล่วงรู้ได้จริงๆ ผมอยากใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ และรู้สึกยินดีกับตัวเองจนไม่ฟังใครเลย พอพี่หลิวเข้าใจสถานการณ์ของพี่จางจริงๆ และบอกว่าตั้งแต่พี่จางถูกปลด เธอก็ได้รู้จักตัวเองขึ้นมาบ้าง ว่าเธอพร้อมกลับใจและเปลี่ยนแปลง แล้วกระตุ้นให้ผมเป็นธรรมกับผู้คน ผมกลับไม่ยอมรับฟังเขา ผมกลับตีกรอบมองเธอในแบบที่ผมเคยเห็นเธอมาก่อน คิดว่าเธอโอหัง ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และไม่เคยเปลี่ยนแปลง เธอไม่ควรทำหน้าที่ให้น้ำ แต่ที่จริงแล้ว พระเจ้าไม่เคยตรัสอะไรแบบนั้นเลย พระนิเวศก็ไม่เคยเตรียมการสิ่งใดแบบนั้น ตราบที่ใครคนนั้นสามารถเข้าใจนิมิตแห่งความจริง และสามารถสัมฤทธิ์ผลในหน้าที่ให้น้ำ ก็ย่อมถูกบ่มเพาะฝึกฝนได้ แม้แต่พวกที่ฝ่าฝืนร้ายแรงมาก พระนิเวศก็ไม่เคยกล่าวโทษพวกเขาทันที ถ้าพวกเขาสามารถยอมรับความจริง และทบทวนตัวเอง กลับใจในสิ่งที่ทำผิดไป เต็มใจจะเปลี่ยนแปลง พระนิเวศก็จะอุปถัมภ์พวกเขาต่อไป ไม่ว่าอุปนิสัยเสื่อมทรามใดถูกแสดงออกมา หรือพวกเขาทำให้พระราชกิจแห่งพระนิเวศต้องหยุดชะงัก หากไม่ใช่คนชั่วหรือศัตรูพระคริสต์ พระเจ้าจะทรงให้โอกาสพวกเขาทำหน้าที่และเรียนรู้ให้มากที่สุด นี่คือความรอดและความรักของพระเจ้า ผมไม่ได้เข้าใจพระอุปนิสัยหรือหลักธรรมแห่งการปฏิบัติต่อผู้คนเลย ผมไม่ได้มองที่จุดเด่นของพี่จาง แต่แค่ไม่ยอมปล่อยความเสื่อมทรามที่เธอเคยแสดงออกมาในอดีตไป กลับนิยามเธอตามอำเภอใจ และไม่ยอมให้เธอทำหน้าที่ให้น้ำ เราจึงให้น้ำผู้เชื่อใหม่ไม่ทันเวลา จนพระราชกิจแห่งพระนิเวศต้องชะงัก นั่นคือการทำชั่วมิใช่หรือ? ผมเสียใจมาก จึงมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า “พระเจ้า ข้าพระองค์ช่างโอหังนัก ข้าพระองค์อยากกลับใจและเปลี่ยนแปลง ไม่อยากทำหน้าที่แบบเอาแต่ใจอีกแล้ว”

ครั้งต่อมาที่ผมได้เข้าร่วมชุมนุมกับพี่จาง ผมได้ยินเธอเสวนาเรื่องการทบทวนตัวเอง ได้เห็นว่าเธอกลับใจอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก ผมเลยยิ่งรู้สึกผิดและอับอาย หลังจากรับหน้าที่ให้น้ำ พี่จางก็รับผิดชอบต่อหน้าที่อย่างจริงจัง พี่น้องชายหญิงที่เธอให้น้ำมีความก้าวหน้า ต่อมาเธอได้เลื่อนตำแหน่งไปบริหารจัดการงานให้น้ำในหลายคริสตจักร การได้เห็นเธอทำหน้าที่ได้ดี ทำให้ผมยิ่งรู้สึกละอายมากขึ้น ผมเกลียดที่ผมเคยโอหัง นิยามเธอตามอำเภอใจ ไม่ยอมให้เธอทำหน้าที่ จนพระราชกิจต้องล่าช้าไป ผมได้รู้ว่าผมไม่ได้ครองความจริง ไม่มีความเข้าใจเชิงลึกอะไร ผมเคยเข้าใจวิธีการและกฎเกณฑ์บางอย่าง แต่งานของคริสตจักรพึ่งพาเพียงสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ หลังเกิดเหตุการณ์นั้น ผมก็ระมัดระวังขึ้นในการมอบหมายหน้าที่ และพอเริ่มรู้สึกเอาแต่ใจอยากเป็นคนชี้ขาด ผมก็จะหมั่นอธิษฐานและ นำความจริงไปสู่การปฏิบัติ และรับฟังสิ่งที่ทุกคนพูด

ผมคิดไปว่าผมได้เข้าสู่การปฏิบัตินี้แล้ว แต่ผมก็ต้องประหลาดใจ เพราะต่อมาผมก็ถูกเปิดโปงอีกครั้ง หกเดือนต่อมา สมาชิกสองคนที่คอยรับมือกิจทั่วไปของคริสตจักรถูกครอบครัวเข้ามาขวาง จนพวกเขามาทำหน้าที่ไม่ได้ เราต้องการคนมาทำแทนอย่างเร่งด่วน ผมมองไปเจอพี่น้องหญิงคู่หนึ่งที่มีความรับผิดชอบรับมือกับสถานการณ์ได้หลากหลาย แต่พวกเธอมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัยอยู่บ้าง แต่ผมคิดว่า ในเมื่อพวกเธอไม่ได้จะทำหน้าที่ในท้องถิ่นของพวกเธอ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรหากให้พวกเธอมารับหน้าที่นี้ เราจำเป็นต้องเพิ่มคนจริงๆ เมื่อไม่เจอตัวเลือกที่ดีกว่า ผมจึงตัดสินใจใช้พวกเธอไปในเวลานั้น และค่อยเปลี่ยนหากเจอคนที่ดีกว่า ตอนบอกพี่หลิวว่าผมอยากให้พี่สาวจ้าวมาร่วมในกิจทั่วไปของคริสตจักร เขาตอบกลับมาว่า “เราต้องคัดเลือกผู้คนไปตามหลักธรรมอย่างเคร่งครัด โดยต้องไม่มีห่วงเรื่องความปลอดภัย ผมคิดว่าพี่จ้าวยังไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีนัก ยังไงเราก็ต้องทำไปตามหลักธรรม” พอเขาเห็นต่าง ผมก็ไม่เห็นด้วยกับเขา จึงพูดไปว่า “แต่เรามีความจำเป็นเร่งด่วนไม่ใช่หรือ? คุณไม่คิดหรือว่า คุณกลัวมากเกินไป? จริงอยู่ที่รู้กันในเมืองเกิดของเธอว่าเธอเป็นผู้เชื่อ แต่มันก็หลายปีแล้วนับจากที่ตำรวจทำการตรวจสอบเธอ อีกอย่าง เธอทั้งกล้าและมีปัญญา เรื่องนี้ผมรู้จักเธอดี ในตอนนี้ผมคิดว่าเราไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่าแล้ว มันเกินสิบวันแล้ว และผมก็ยังไม่เจอใครเลยที่จะมาทำหน้าที่นี้ เราจะหน้ามืดตามัวทำตามแต่กฎเกณฑ์ไม่ได้” เขารับฟังผม แต่ก็ยังยืนกรานว่า “การมอบหน้าที่ให้คนที่มีความเสี่ยงนั้น เป็นการฝ่าฝืนหลักธรรม เราต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอย่างแรก” สิ่งที่เขาพูดมานั้น ไม่อยู่ในความสนใจของผมเลย แล้วผมก็ยืนกรานว่าจะใช้พี่จ้าว หลังจากนั้น ผมก็เตรียมการให้พี่สาวหลิว ที่มีความเสี่ยงเช่นกัน ให้เธอมาทำงานในการรับส่งจดหมาย ไม่นานต่อมา พรรคคอมมิวนิสต์ได้เริ่มสืบหาตัวผู้เชื่อโดยทำทีเป็นตรวจสอบทะเบียนบ้าน เป็นที่รู้กันว่าพี่จ้าวเชื่อในพระเจ้า เธอจึงเป็นผู้ต้องสงสัยที่ถูกตรวจ ช่วงเดินทางไปกลับที่พัก เนื่องจากเธอไม่สามารถแสดงบัตรประจำตัวได้ ต่อมาคนดูแลกิจคริสตจักรที่พี่จ้าวติดต่อด้วยก็มาโดนตรวจไปด้วยอีกคน ส่งผลให้เส้นทางสื่อสารของคริสตจักรหลายที่ได้รับผลกระทบ ทุกคนขาดการติดต่อไปกว่า 20 วัน ทำให้งานด่วนบางส่วนต้องถูกตัดทิ้งไป แม้แต่ควันหลงที่ตามมาก็จัดการไม่สำเร็จ

เมื่อผู้นำได้รู้เรื่องนี้และพบว่าผมเป็นคนยืนกรานเรื่องการมอบหมายให้กับคนที่มีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย เธอก็จัดการกับผมอย่างเด็ดขาดมากว่า “คุณกลับมาทำตัวโอหังและเอาแต่ใจอีกแล้ว คุณทำหน้าที่ตามอำเภอใจตลอด และยังทำขัดกับหลักธรรมอีกด้วย ครั้งนี้มันทำให้พระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าต้องเสียหายอย่างร้ายแรง คุณได้ทำสิ่งที่พญานาคใหญ่สีแดงหวังว่าจะทำ แต่มันทำด้วยตัวเองไม่ได้ นั่นมันคือการรับใช้ในฐานะบริวารของซาตาน บ่อนทำลายและทำให้พระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าต้องหยุดชะงักมิใช่หรือ? จากพฤติกรรมไม่เปลี่ยนแปลงของคุณ เราตัดสินใจแล้วว่าจะถอดคุณออกจากหน้าที่” การได้ยินแบบนี้เหมือนถูกต่อยเข้าที่หน้าจริงๆ ทำให้ผมมึนงงอย่างที่สุด ผมคิดว่า “มันจบแล้ว ผมได้ทำความชั่วอย่างใหญ่หลวง ถ้าเกิดเหล่าพี่น้องชายหญิงที่เข้ามาเกี่ยวข้องถูกจับตัวไปล่ะ? หากเป็นแบบนั้น ผมก็ได้ทำเรื่องที่น่ากลัวลงไปจริงๆ” ยิ่งผมคิดเรื่องนี้ผมก็ยิ่งกลัว ความรู้สึกผิดเฆี่ยนตีผม มันรู้สึกเหมือนถูกมีดแทงเข้าที่หัวใจ และผมไม่มีแรงจูงใจที่จะทำอะไรเลย ผมใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์ระทมนี้ไม่เว้นแต่ละวัน เฝ้าอธิษฐานต่อพระเจ้า และยอมรับการกระทำผิดของผมซ้ำแล้วซ้ำอีก “พระเจ้า ข้าพระองค์ช่างโอหัง ช่างทะนงเกินไป ความเอาแต่ใจของข้าพระองค์ได้สร้างความเสียหายอย่างเหลือเชื่อต่อพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ข้าพระองค์พร้อมที่จะรับการลงโทษใดๆ ก็ตามที่พระองค์จะประทานให้กับข้าพระองค์ ขอเพียงได้โปรดทรงปกป้องพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นจากการจับกุมด้วยเถิด” ผมมารู้ภายหลังว่าสมาชิกคริสตจักรเหล่านั้นถูกย้ายออกไปได้ทันเวลา และหลบหนีการจับกุมได้ ในที่สุดผมก็ถอนหายใจได้อย่างโล่งอก

หลังจากเกิดเรื่อง ผมก็ทบทวนกับตัวเอง ทำไมผมถึงเอาแต่ใจในหน้าที่ของผมอยู่ตลอด? จริงๆ แล้วมันมาจากไหนกันแน่? ผมมาอ่านพระวจนะจากพระเจ้าบทนี้ที่ว่า ใน “โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้” “หากเจ้าครองความจริงภายในเจ้าจริงๆ เส้นทางที่เจ้าเดินนั้นย่อมจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องไปเอง หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น หากความโอหังและความทะนงตนมีอยู่ภายในตัวเจ้า เจ้าก็คงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี่ยงการไม่เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า เจ้าคงจะรู้สึกถูกบีบให้จำยอมเยาะเย้ยท้าทายพระองค์ เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง อวดแสดงตัวเองอยู่เป็นนิตย์ และในที่สุดก็นั่งในที่ของพระเจ้า และให้คำพยานสำหรับตัวเจ้าเอง เจ้าคงจะแปรแนวคิดของเจ้าเอง การคิดของเจ้าเอง และมโนคติที่หลงผิดของตัวเจ้าเองไปเป็นความจริงเพื่อที่จะได้รับการนมัสการ จงดูเถิดว่า ผู้คนทำความชั่วไปมากเพียงใดภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของพวกเขา!(บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ผมได้เห็นจากพระวจนะของพระเจ้า ว่าการกระทำตามอำเภอใจในหน้าที่ของผมซ้ำแล้วซ้ำอีกนั้น มาจากการถูกควบคุมโดยธรรมชาติของความโอหังและการสำคัญตัวผิด ด้วยธรรมชาติจำพวกนั้น ผมจึงทำชั่วและต้านทานพระเจ้าไปโดยไม่อาจห้ามตัวเองได้ มันควบคุมผม ผมจึงคิดถึงตัวเองมากเกินไป และรู้สึกว่าตัวเองดีกว่าคนอื่นๆ ว่าผมถูกต้องกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นผมจึงควรเป็นคนชี้ขาดในเรื่องต่างๆ ใน คริสตจักร เมื่อผมตั้งใจกับอะไรแล้ว ผมก็ไม่ยอมที่จะมองในหนทางอื่นๆ อีก และจะไม่ฟังใครอีกด้วย ผมถึงกับต้องการให้คนอื่นเชื่อฟังในความคิดผม ราวกับว่าพวกมันเป็นความจริงหลักธรรม ผมรู้ว่าพี่น้องหญิงสองคนนั้นมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย และไม่ควรให้ทำหน้าที่เหล่านั้น และผมเองก็หวั่นใจเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ผมก็ยังไม่อาจละวางตัวเองลงและแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ผมจะไม่ฟังคำเตือนของใครคนอื่นเลย และไม่สนใจการตำหนิและการนำทางจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมกลับหัวแข็งมอบหมายงานให้คนสองคนที่ไม่ปลอดภัย ทำอันตรายอย่างร้ายแรงต่อพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า ถ้าเพียงแค่ผมมีความพึงปรารถนาที่จะแสวงหาความจริง ถ้าเพียงแค่ผมเชื่อฟังข้อเสนอแนะจากพี่หลิว ก็ย่อมไม่มีผลสืบเนื่องที่น่ากลัวเช่นนี้ ผมรู้สึกเสียใจและโทษตัวเองอย่างมากเมื่อได้ตระหนักถึงเรื่องทั้งหมดนี้ และผมก็เกลียดความโอหังและความเอาแต่ใจของผม พรรคคอมมิวนิสต์ไม่มีวันหยุดที่จะพยายามบ่อนทำลายพระราชกิจของพระเจ้า ด้วยการใช้กลยุทธ์ทุกรูปแบบเพื่อบีบคั้นและจับกุมประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร และผมก็ล่วงละเมิดหลักธรรมตามอำเภอใจ ตัดสินใจมอบหมายให้คนที่ไม่ปลอดภัยมารับหน้าที่ ซึ่งทำให้สมาชิกคริสตจักรอื่นๆ ต้องมาถูกตรวจตรา นั่นมันคือการทำงานทางอ้อมในนามของซาตาน คือการรับใช้ในฐานะผู้ช่วยของพรรคคอมมิวนิสต์ในการบ่อนทำลายพระราชกิจของพระเจ้ามิใช่หรือ? พี่น้องชายหญิงเหล่านั้นเกือบจะถูกจับและติดคุกโดยไร้การดูแลและการปกป้องจากพระเจ้าแล้ว ถ้าเช่นนั้นผมคงได้ทำความชั่วอย่างใหญ่หลวงจริงๆ ความคิดนี้มันยิ่งทำให้ผมกลัวมากขึ้นอีก คริสตจักรอนุญาตให้ผมรับใช้ในฐานะผู้นำ และน้ำพระทัยของพระเจ้าในเรื่องนี้ก็คือ การให้ผมได้ปฏิบัติความจริง และทำหลายสิ่งที่สอดคล้องกับหลักธรรม ให้ผมจัดเตรียมการให้เหล่าพี่น้องชายหญิงได้รับตำแหน่งที่เหมาะสมกับพวกเขา ด้วยหนทางนั้น พวกเขาก็จะได้ใช้จุดเด่นของพวกเขา และสามารถเตรียมความประพฤติดีของพวกเขาได้ แต่ผมกลับคิดว่า การที่มีประสบการณ์เล็กน้อยในฐานะผู้นำ มันแปลว่าผมได้กลายเป็นสิ่งที่พิเศษ ผมแทบไม่ได้นึกถึงคนอื่น และผมก็ไม่ได้มีพระเจ้าในหัวใจของผม ผมไม่ได้จริงจังกับความจริงหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าด้วยซ้ำ แต่ผมกลับทำตามใจตัวเอง ผมโอหังไปจนถึงจุดที่ผมสูญเสียเหตุผลทุกอย่าง ผมเคยนึกเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์ทั้งหมดเหล่านั้น ที่ถูกขับไล่ออกไปจากคริสตจักร พวกเขาโอหังอย่างไม่น่าเชื่อ ปฏิบัติกับพระเจ้าด้วยการดูหมิ่นเหยียดหยามและไม่สนใจความจริงหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาทำตัวเป็นเผด็จการและทำตามอำเภอใจในหน้าที่ของพวกเขา และทำให้พระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าต้องหยุดชะงักไปอย่างร้ายแรง ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาได้ทำความชั่วไว้อย่างมากจนถูกถอดออกจากคริสตจักร ผมรู้ว่าถ้าอุปนิสัยโอหังของผมยังไม่ถูกแก้ไข ไม่ช้าก็เร็วผมจะก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์แน่ๆ และผมก็จะถูกกำจัดทิ้งโดยพระเจ้า ในตอนนั้น ผมกลัวความคิดที่ว่าต้องใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติอันโอหังของผม ถึงแม้ผมจะก่อความชั่วไว้อย่างใหญ่หลวง พระนิเวศของพระเจ้าก็ยังคงไม่ขับไล่ผม แต่เพียงแค่ถอดผมออกจากหน้าที่เท่านั้น และพระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งและนำทางผมด้วยพระวจนะของพระองค์ ให้โอกาสผมได้ทบทวนและรู้จักตัวเอง ให้ผมกลับใจและเปลี่ยนแปลง ผมรู้สึกได้ถึงความรักของพระเจ้าจริงๆ และผมก็เสียใจอย่างมาก ผมรู้สึกพร้อมที่จะกลับใจและเปลี่ยนแปลงแล้ว หลังจากนั้น ผมก็เริ่มแสวงหาการปฏิบัติอย่างมีจิตสำนึกและวิธีการจะเข้าสู่ เพื่อที่ผมจะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง

ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทนี้ที่ว่า “เช่นนั้นแล้ว เจ้าแก้การทำตามอำเภอใจและความหุนหันพลันแล่นของเจ้าอย่างไร? เมื่อเจ้ามีแนวคิดอย่างหนึ่ง เจ้าบอกมันกับผู้อื่นและพูดสิ่งที่เจ้าคิดและเชื่อเกี่ยวกับเรื่องนี้ และจากนั้นเจ้าก็สื่อสารกับทุกคนเกี่ยวกับสิ่งนั้น ประการแรก เจ้าสามารถฉายส่องความสว่างไปบนทรรศนะของเจ้าและแสวงหาความจริงได้ นี่คือขั้นตอนแรกที่เจ้านำมาปฏิบัติเพื่อที่จะเอาชนะอุปนิสัยแห่งการทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่นนี้ ขั้นตอนที่สองเกิดขึ้นเมื่อผู้คนอื่นๆ ออกเสียงแสดงข้อคิดเห็นที่เห็นต่าง—การปฏิบัติใดหรือ ที่เจ้าสามารถนำมาใช้เพื่อกันไม่ให้เกิดการทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น? ก่อนอื่นเจ้าต้องมีท่าทีของความถ่อมใจ พักวางสิ่งที่เจ้าเชื่อว่าถูกต้องลงไว้ก่อน และปล่อยให้ทุกคนมีการสามัคคีธรรม ต่อให้เจ้าเชื่อว่าหนทางของเจ้านั้นถูกต้อง แต่เจ้าก็ไม่ควรเอาแต่ยืนกรานในการนั้น ก่อนอื่น นั่นเป็นการปรับปรุงประเภทหนึ่ง นั่นแสดงให้เห็นท่าทีของการแสวงหาความจริง ของการปฏิเสธตัวเจ้าเอง และของการทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า ทันทีที่เจ้ามีท่าทีนี้ ในเวลาเดียวกับที่เจ้าไม่ยึดติดกับข้อคิดเห็นของเจ้าเอง เจ้าก็อธิษฐาน ขณะที่เจ้าไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เจ้าจงยอมให้พระเจ้าทรงเปิดเผยและบอกเจ้าว่าสิ่งที่ดีที่สุดและเหมาะสมที่สุดที่จะทำคือสิ่งใด เมื่อทุกคนเข้าร่วมในการสามัคคีธรรม พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำพาความรู้แจ้งทั้งหมดมาสู่เจ้า พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คนไปตามกระบวนการหนึ่ง ซึ่งบางครั้งก็แค่ใช้ท่าทีของเจ้าที่สะสมไว้ หากท่าทีของเจ้าเป็นหนึ่งในการยืนยันความคิดตนเองอย่างดื้อรั้น พระเจ้าจะทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากเจ้าและทรงปิดพระองค์เองต่อเจ้า พระองค์จะทรงเปิดโปงเจ้าและจะทรงทำให้แน่ใจว่าเจ้านั้นชนกำแพง หากในทางกลับกัน ท่าทีของเจ้าถูกต้อง ทั้งไม่ยืนกรานในหนทางของเจ้าเอง หรือไม่คิดว่าตนเองเป็นฝ่ายชอบธรรมเสมอ หรือไม่ทำตามอำเภอใจและหุนหันพลันแล่น แต่เป็นท่าทีของการแสวงหาและการยอมรับความจริง เช่นนั้นแล้ว เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมกับกลุ่ม และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเริ่มต้นทำงานท่ามกลางเจ้า บางทีพระองค์อาจจะทรงนำทางเจ้าให้เข้าใจด้วยคำพูดของใครบางคน บางครั้ง เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่บุคคลหนึ่ง พระองค์ทรงนำทางเจ้าให้เข้าใจเงื่อนปมของเรื่องด้วยคำพูดหรือวลีเพียงไม่กี่คำ เจ้าตระหนักในทันทีนั้นว่า สิ่งใดก็ตามที่เจ้ากำลังยึดติดนั้นผิดพลาด และในทันทีเดียวกันนั้น เจ้าก็เข้าใจหนทางในการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเหมาะสมมากที่สุด เมื่อได้มาถึงระดับเช่นนี้แล้ว คนเราได้หลีกเลี่ยงการทำความชั่ว การเดินในเส้นทางที่ผิด และการแบกรับผลสืบเนื่องจากความผิดพลาดอย่างประสบความสำเร็จแล้วหรือยัง? จะสัมฤทธิ์สิ่งเช่นนั้นอย่างไร? การนั้นสัมฤทธิ์ได้ด้วยหัวใจที่เชื่อฟังและแสวงหา ทันทีที่เจ้าสามารถสัมฤทธิ์การนี้ เช่นนั้นแล้ว ในที่สุด เจ้าก็จะปฏิบัติตัวอย่างถูกต้องเหมาะสม และเจ้าจะได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว(การสามัคคีธรรมของพระเจ้า) หลังจากได้อ่านผมก็เข้าใจ ว่าการจะแก้ไขความโอหังและความเอาแต่ใจนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุด คือต้องมีหัวใจแห่งความยำเกรงต่อพระเจ้า และท่าทีในการแสวงหาความจริง ผมไม่สามารถยืนกรานตามมุมมองของผมเองเวลาเกิดเรื่องขึ้นได้ แต่ผมต้องไปหารือเรื่องต่างๆ กับผู้อื่นด้วย และถ้าหากใครบางคนมีความคิดเห็นที่ต่างออกไป ผมก็ควรจะยอมรับมันก่อน จากนั้นก็อธิษฐานต่อพระเจ้า แสวงหาความจริง และนำหลักธรรมไปสู่การปฏิบัติ ผมควรจะร่วมมือกับเหล่าพี่น้องชายหญิงให้สอดคล้องกัน นี่คือหนทางที่จะได้รับการนำทางจากพระเจ้า หากผมยังคงดื้อรั้นยึดติดกับความคิดของตัวเอง ก็ไม่มีทางที่ผมจะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมคงจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ในสิ่งใดๆ และผมจะทำให้หน้าที่ของผมหยุดชะงัก ผมมาคิดว่าผมได้ทำความชั่วอย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนั้นได้อย่างไร เพราะธรรมชาติอันโอหังของผม และเพราะผมไม่มีที่ให้กับพระเจ้าในหัวใจของผม มันมาจากความต้องการเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในทุกๆ เรื่อง จากการที่ทำงานกับคนอื่นได้ไม่ดี พอรู้แบบนี้ ผมก็ได้แก้ไขอย่างเงียบๆ ที่จะเลิกดื้อดึงเวลามีเรื่องอะไรเข้ามา แต่แสวงหาและสื่อสารกับผู้อื่นให้มากขึ้น ผมจะฟังแนวคิดของใครก็ตามที่อยู่ในแนวเดียวกับความจริงหลักธรรม

หลังจากนั้นคริสตจักรได้มอบหมายให้ผมทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมการให้น้ำ ผมรู้สึกซาบซึ้งจริงๆ และหน้าที่นั้นมีคุณค่ากับผมมาก ผมคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอ ว่าผมจะต้องเรียนรู้บทเรียนจากความล้มเหลวของผมให้ได้ และผมจะให้ธรรมชาติอันโอหังของผมทำให้ผมเอาแต่ใจอีกไม่ได้เด็ดขาด เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นมา ผมจะไปแสวงหาเหล่าพี่น้องชายหญิงเพื่อหารือเรื่องต่างๆ กับพวกเขา มีครั้งหนึ่งผมได้รับจดหมายจากผู้นำ บอกว่าเราจำเป็นต้องหาคนที่เหมาะสมเพื่อทำหน้าที่การให้น้ำ เมื่อลองหาดูแล้ว ผมรู้สึกว่าพี่ซูเหมาะสมดี แต่จากการประเมินของคนอื่นๆ บอกว่า เธอมีธรรมชาติอันโอหัง และไม่ยอมรับคำแนะนำและความช่วยเหลือของเหล่าพี่น้องชายหญิง จุดนี้ ผมคิดว่าเธอคงจะไม่ยอมรับความจริง ดังนั้นเธอจึงไม่ใช่คนที่ควรถูกบ่มเพาะ จากนั้นผมก็ตระหนักว่า ผมนิยามคนอื่นตามอำเภอใจอีกแล้ว และผมก็จำสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้ได้ว่า “การไม่ให้คำตัดสินคือการสำแดงอย่างหนึ่งของการที่ผู้คนไม่คิดว่าตนชอบธรรมเสมอ และการไม่ดึงดันคือการสำแดงอย่างหนึ่งของการที่ผู้คนมีความมีเหตุผล ทั้งนี้ หากหนำซ้ำเจ้ายังมีความสามารถที่จะเชื่อฟังได้ เจ้าก็ย่อมจะมีความสามารถที่จะสัมฤทธิ์การนำความจริงไปสู่การปฏิบัติได้(บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ผมรู้ว่าผมไม่สามารถยืนกรานที่จะเป็นคนชี้ขาดได้อีก แต่ผมต้องคุยเรื่องนี้กับพี่น้องชายที่ทำงานกับผม และรับฟังสิ่งที่เขาจะพูด พอผมอธิบายมุมมองของผมให้เขาฟังแล้ว เขาก็ตอบกลับมาว่า “จากการประเมินเหล่านี้ ดูเหมือนว่าคุณซูจะโอหังจริงๆ แต่ผมสังเกตได้ว่าทั้งหมดนี้มีพื้นฐานมาจากความเสื่อมทรามที่เธอเปิดเผยในอดีต เราไม่รู้ว่าเธอได้รับการรู้จักตัวเองบ้างหรือไม่ เราไม่ควรปรามคนที่มีความสามารถพิเศษ ดังนั้นให้เธอเขียนการทบทวนตัวเองเถอะ แล้วจากนั้นก็ถามความเห็นจากเหล่าพี่น้องชายหญิงที่ติดต่อใกล้ชิดกับเธอดู เราสามารถดูเรื่องทั้งหมดนี้ และดูว่าเธอเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมกับหน้าที่นี้หรือไม่ วิธีการแบบนี้ได้ผลดีกว่า” ผมฟังดูแล้ว เหมือนว่าข้อเสนอแนะของเขาเหมาะกับความจริงหลักธรรม ถ้าผมนิยามเธอว่าเป็นคนที่ไม่เหมาะกับการถูกอุปถัมภ์ จากความเห็นของเหล่าพี่น้องชายหญิงไม่กี่คนเพียงลำพัง แบบนั้นมันก็จะเร่งด่วนเกินไป เราควรจะดูว่าเธอมีความโอหังแบบใด หากเป็นแบบที่ไม่มีเหตุผล เป็นความโอหังแบบมืดบอด และเป็นแบบที่ไม่ยอมรับความจริงโดยสิ้นเชิง เช่นนั้นเธอก็ไม่ควรรับหน้าที่นั้นจริงๆ ถ้าเธอมีขีดความสามารถอยู่บ้างแต่ก็มีความโอหัง และเธอสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับตัวเอง และเปลี่ยนแปลงหลังจากถูกตัดแต่งและจัดการได้ นั่นจะเป็นการเปิดเผยความเสื่อมทรามโดยปกติ แล้วก็ คนที่เคยพูดเกี่ยวกับเธอแบบนั้น ล้วนเคยทำงานกับเธอในอดีต ดังนั้นเราต้องดูว่าคนที่ติดต่อกับเธอในตอนนี้นั้นว่าอย่างไรบ้าง ใช้ทรรศนะที่กว้างขึ้นก็จะแม่นยำมากขึ้น ตอนที่เราได้รับการทบทวนตัวเองของพี่ซู และการประเมินจากเหล่าพี่น้องชายหญิงคนอื่น เราได้เห็นว่าเธอได้พัฒนาการปฏิบัติและการเข้าขึ้นมาบ้างแล้ว และเธอก็เป็นคนที่ไล่ตามความจริง เราแนะนำเธอให้ทำหน้าที่การให้น้ำนั้น ตั้งแต่นั้นมา เมื่อผมจำเป็นต้องเลือกใครบางคนเข้ามาทำหน้าที่เฉพาะ ผมก็ไม่ทำตามใจตัวเองอย่างโอหัง และไม่ตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ผมรักษาท่าทีของการแสวงหาและรับฟังข้อเสนอแนะจากคนอื่นๆ ผมยังอธิษฐานและแสวงหาความจริงหลักธรรมด้วย ด้วยการปฏิบัติแบบนี้ ผมรู้สึกสงบและปราศจากความหวาดหวั่น ผมมีการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ ทั้งหมดเป็นเพราะการพิพากษาและการตีสอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เจ้าควรมองหน้าที่ตนเช่นไร

โดย จงเฉิง ประเทศจีน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ข้อพึงประสงค์พื้นฐานที่สุดของความเชื่อในพระเจ้าของมนุษย์ก็คือว่า...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger