การเรียนรู้ที่จะนบนอบโดยผ่านทางความยากลำบาก
ช่วงต้นปี 2008 ฉันสังเกตว่าที่หลังหูเขามีก้อนเนื้ออยู่ ฉันพาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาล แล้วหมอก็บอกว่ามันเป็นเนื้องอก เป็นเนื้องอกแบบที่ทำลายกระดูกค่ะ ตอนนั้นมันไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ก็ไม่มีวิธีรักษาที่ได้ผลดีเลย และเขาบอกว่ามันเจ็บปวดมาก เพราะทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น ลูกชายของฉันก็ต้องรับการผ่าตัดเพื่อตัดกระดูกที่ติดโรคออก ไม่อย่างนั้นชีวิตของเขาอาจเป็นอันตราย พอได้ยินหมอพูดแบบนี้ฉันก็ช็อกมาก ฉันเศร้ามากค่ะ ตอนนั้นฉันเพิ่งเป็นผู้เชื่อใหม่ และฉันคิดว่าในเมื่อฉันเชื่อในพระเจ้า พระองค์ก็ควรทรงช่วยฉันให้ผ่านความยากลำบากนี้สิ ฉันกระตุ้นตัวเองให้เข้มแข็งในความเชื่อของฉัน ฉันเชื่อว่าตราบใดที่ฉันพึ่งพิงพระเจ้า ลูกชายของฉันจะหายโรคอย่างแน่นอน การผ่าตัดของลูกชายฉันผ่านไปด้วยดี และเขาก็ฟื้นตัวเร็วมาก หลังผ่าตัดได้แค่สามวันเขาก็วิ่งปร๋อไปทั่วตึกแล้ว และกลับบ้านได้หลังจากหนึ่งสัปดาห์ค่ะ หลักจากนั้น ฉันก็รู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่มากขึ้นในความเชื่อของฉัน ฉันยินดีรับงานอะไรก็ตามที่คริสตจักรมอบหมายให้ฉัน ฉันทำหน้าที่ของตัวเองเสมอ ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออกค่ะ ครอบครัวของฉันไม่เข้าใจ และคนใกล้ชิดก็พูดลับหลังฉันเสมอ แต่ฉันก็ไม่ได้เก็บมาคิดมากหรอกค่ะ ฉันรู้สึกว่าตราบใดที่ฉันทำงานหนักและเสียสละตัวเองต่อไป ฉันก็จะได้รับการอวยพรจากพระเจ้าอย่างแน่นอน
แล้ววันหนึ่ง ลูกชายของฉันก็กุมเอวตัวเองมาหาฉัน บอกว่ามันเจ็บค่ะ พอเห็นสีหน้าเจ็บปวดของเขา ฉันก็รู้สึกไม่ดีเลย ฉันรีบถลกเสื้อเชิ้ตของเขาขึ้นทันที และเห็นก้อนเนื้อโตออกมาตรงที่เขาบอกว่าเจ็บค่ะ พอฉันแตะมันเบาๆ เขาก็ร้องด้วยความเจ็บปวด และฉันรู้ว่าอาการป่วยของเขากลับมาอีก ฉันรีบพาเขาตรงไปโรงพยาบาล ผลการตรวจยืนยันว่าโรคของเขากลับมาค่ะ ฉันอดคิดไม่ได้ที่จะไปดูเขาหลังจากการผ่าตัดครั้งแรก ทั้งตัวเขาเต็มไปด้วยท่อ เขาดูอ่อนแอ และฉันก็ปวดร้าวมาก ฉันทนไม่ได้เมื่อคิดว่าครั้งนี้เขาต้องอดทนมากแค่ไหน เมื่อไรก็ตามที่ฉันคิดถึงเรื่องว่าเขาต้องเป็นทุกข์มากแค่ไหน ทั้งที่อายุยังน้อยนัก ฉันก็จะกังวลมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับเลยค่ะ ฉันปรารถนาสุดใจที่จะป่วยและเป็นทุกข์แทนเขาได้ และฉันจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าทำไม พระเจ้าจึงไม่ทรงดูแลและคุ้มครองครอบครัวของฉัน แม้ว่าฉันจะทำงานหนักเพื่อพระองค์มาตลอดตั้งแต่ฉันมาเป็นผู้เชื่อ วันนั้นเองที่พี่น้องหญิงคนหนึ่งในหมู่บ้านของเรามาพบฉัน และโดยผ่านทางการสามัคคีธรรมของเธอ ฉันตระหนักว่า การที่ลูกชายของฉันกลายเป็นเจ็บป่วยคือบางสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น ฉันจำเป็นที่จะต้องอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า ยืนหยัดเป็นพยานต่อพระเจ้าโดยการวางใจในความเชื่อของฉัน และแข็งแกร่งในการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน ฉันไปร่วมการชุมนุมอย่างต่อเนื่องและฉันทุ่มเทตนเองในหน้าที่ของฉันมากขึ้นไปอีก ในระหว่างการชุมนุม ฉันแบ่งปันประสบการณ์นี้ของฉันกับบรรดาพี่น้องชายหญิง พวกเขาเลื่อมใสฉันที่สัตย์ซื่อ เมื่อได้ยินพวกเขาสรรเสริญฉันในหนทางนี้ ฉันรู้สึกแน่ใจยิ่งขึ้นไปอีกว่า ฉันกำลังยืนหยัดเป็นพยานต่อพระเจ้า และว่าพระองค์จะทรงอวยพรลูกชายของฉันอย่างแน่นอน
แล้วโรคของลูกชายฉันก็กลับมาเป็นครั้งที่ห้า และหมอก็พูด ว่าเขาเกิดโรคบ่อยครั้งเกินไป เกือบจะหนึ่งครั้งทุกหกเดือน และมันจะเป็นอันตรายถึงชีวิตถ้ายังเป็นอย่างนั้นต่อไป เขาแนะนำเคมีบำบัดและการฉายรังสีเพื่อดูว่าจะช่วยได้ไหม พอได้ยินแบบนั้น หัวใจฉันก็สลาย ฉันเจ็บปวดมากจนเริ่มพยายามใช้เหตุผลกับพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์ทำงานหนักมากทุกวัน ไม่ว่าจะฝนตกหรือแดดออก และไม่ว่าข้าพระองค์จะถูกคนอื่นตัดสินหรือโจมตีแบบไหน ข้าพระองค์ก็ไม่เคยปฏิเสธพระองค์เลย ข้าพระองค์ยังคงทำหน้าที่ต่อไป ทำไมพระองค์จึงไม่ทรงคุ้มครองลูกชายของข้าพระองค์ล่ะ” ฉันยังเอ่อล้นไปด้วยความคับข้องใจด้วยค่ะ ฉันยังคงไปร่วมชุมนุมและทำหน้าที่อย่างต่อเนื่อง แต่หัวใจของฉันกลับห่างเหินจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ฉันพบว่าตัวเองกอดหนังสือพระวจนะของพระเจ้าไว้แน่นบ่อยๆ เหม่อมองไปในอากาศ ฉันเป็นทุกข์จริงๆ ค่ะ ฉันระบายความในใจต่อพระเจ้าว่า “โอ้พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์เจ็บปวดมาก ข้าพระองค์รู้ว่าไม่ควรโทษพระองค์สำหรับปัญหาสุขภาพของลูกชาย แต่ข้าพระองค์ไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ หรือข้าพระองค์ควรผ่านเรื่องนี้ไปอย่างไร พระเจ้า โปรดทรงนำข้าพระองค์ให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วย” ฉันนึกถึงพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าหลังจากการอธิษฐานค่ะ “สมมุติว่าพระเจ้าทรงกำจัดโยบทิ้งหลังจากที่โยบเป็นพยานเพื่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะชอบธรรมเช่นกัน” แล้วฉันก็พบเพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้านี้ทันทีเลยค่ะ “ความชอบธรรมไม่มีทางที่จะยุติธรรมหรือมีเหตุผล ความชอบธรรมไม่ใช่สมภาคนิยม หรือเรื่องของการจัดสรรสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับให้แก่เจ้าโดยสอดคล้องกับการที่เจ้าได้ทำงานให้ครบบริบูรณ์ไปมากเท่าใด หรือการจ่ายให้เจ้าสำหรับงานใดก็ตามที่เจ้าได้ทำไป หรือการให้สิทธิอันควรแก่เจ้าไปตามความพยายามอันใดที่เจ้าสละ นี่ไม่ใช่ความชอบธรรม สมมุติว่าพระเจ้าทรงกำจัดโยบทิ้งหลังจากที่โยบเป็นพยานเพื่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็จะชอบธรรมเช่นกัน เหตุใดหรือนี่จึงเรียกว่าความชอบธรรม? จากมุมมองแบบมนุษย์ หากบางสิ่งอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน เช่นนั้นก็ย่อมง่ายมากสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่า พระเจ้าทรงชอบธรรม อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นการอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา—หากนั่นเป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะจับใจความได้—เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม แก่นแท้ของพระเจ้านั้นชอบธรรม แม้ว่าไม่ง่ายที่จะจับใจความสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนชอบธรรม เป็นธรรมดาที่ผู้คนไม่เข้าใจ ตอนที่พระเจ้าทรงมอบเปโตรให้กับซาตาน เปโตรตอบสนองอย่างไร? ‘มวลมนุษย์นั้นไร้ความสามารถที่จะหยั่งถึงสิ่งที่พระองค์ทรงทำ แต่ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนบรรจุน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ มีความชอบธรรมอยู่ในทั้งหมดนั้น เป็นไปได้อย่างไรที่ข้าพระองค์จะไม่เปล่งถ้อยคำสรรเสริญแด่กิจการอันเปี่ยมพระปัญญาของพระองค์?’ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นชอบธรรม แม้ว่านั่นอาจจะไม่อาจหยั่งถึงได้สำหรับเจ้า เจ้าก็ไม่ควรทำการตัดสินไปตามอำเภอใจ หากบางสิ่งที่พระองค์ทรงทำปรากฏให้เจ้าเห็นว่าไร้เหตุผล หรือหากเจ้ามีมโนคติที่หลงผิดอันใดเกี่ยวกับการนั้น และนั่นนำเจ้าไปสู่การกล่าวว่าพระองค์นั้นไม่ชอบธรรม เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็กำลังไร้เหตุผลที่สุด เปโตรได้พบว่าบางสิ่งนั้นไม่อาจจับใจความได้ แต่เขาก็แน่ใจว่าพระปัญญาของพระเจ้านั้นปรากฏอยู่ และแน่ใจว่าในสิ่งเหล่านั้นมีน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์อยู่ เหล่ามนุษย์ไม่สามารถหยั่งถึงทุกสิ่งทุกอย่างได้ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจได้ การที่จะรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าย่อมไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดายเลยจริงๆ” (“ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งพระเจ้าทรงกระทำนั้นชอบธรรม” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ขณะที่ฉันไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า หัวใจของฉันก็สว่างขึ้น ความชอบธรรมของพระเจ้าไม่ยุติธรรมและมีเหตุผล และไม่เสมอภาคอย่างที่ฉันคิดไว้ และไม่ได้เกี่ยวกับงานของคุณได้รับการตอบแทน ได้สิ่งที่คุณใส่เข้าไปออกมา กิจการของพระเจ้านั้นหยั่งถึงไม่ได้สำหรับมนุษย์ แต่ไม่ว่าพระองค์ทรงทำอะไรหรือทรงปฏิบัติต่อคนคนหนึ่งอย่างไร ก็ล้วนชอบธรรม ทั้งหมดประกอบด้วยพระปรีชาญาณของพระเจ้า นั่นเป็นเพราะแก่นแท้ของพระองค์นั้นชอบธรรม ฉันเห็นว่าฉันไม่เข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ฉันมีมโนคติแบบนี้ว่า ในเมื่อฉันเชื่อในพระเจ้า พระองค์ก็ควรทรงดูแลฉัน ในเมื่อฉันเสียสละตัวเองเพื่อพระเจ้า พระองค์ก็ควรทรงเติมเต็มฉันในทุกทางและทรงทำให้เส้นทางของฉันราบรื่น ฉันคิดว่าในเมื่อฉันเชื่อในพระเจ้า ทั้งครอบครัวของฉันก็ควรได้รับพระพร ฉันกำลังพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ
พอคิดแบบนี้ ฉันก็เปิดหนังสือพระวจนะของพระเจ้าของฉันและอ่านบทตอนนี้ค่ะ “สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่? เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ? เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่? เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ? พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้สะอาด และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่? อะไรคือนัยสำคัญของผู้คนเช่นนั้นที่กำลังมีชีวิตอยู่? ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ? เจ้ากล้าดีที่จะพิจารณาตัดสินพระเจ้าหรือ? หากเจ้าได้รับประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป ใช่ว่าเจ้าจะไม่ได้มาซึ่งสิ่งใดเลยหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) พระวจนะของพระเจ้าตีแผ่แรงจูงใจและความหวังที่ฟุ้งเฟ้อทั้งหมดที่ฉันยึดถือในความเชื่อ คำถามของพระเจ้าแต่ละข้อไม่เหลือที่ให้ฉันหลบซ่อนเลย เมื่อมองย้อนไป ตั้งแต่เริ่มต้นความเชื่อของฉันก็เพียงเพื่อให้ได้รับพระพรเท่านั้น ฉันคิดว่าด้วยการเสียสละตัวเองให้พระเจ้าในความเชื่อ พระเจ้าจะทรงอวยพรฉันด้วยชีวิตครอบครัวที่สงบสุขและสุขภาพสำหรับลูกชายของฉัน นั่นคือสาเหตุที่ฉันทำหน้าที่ต่อไปไม่ว่าญาติมิตรใส่ร้ายฉันอย่างไร เมื่อลูกชายฉันเจ็บป่วยอย่างไม่คาดคิดอีกครั้ง ฉันก็คิดว่านั่นคือพระเจ้าทรงทดสอบฉัน เพื่อดูว่าฉันเชื่อในพระองค์อย่างแท้จริงหรือไม่ ฉันคิดว่าตราบใดที่ฉันสามารถรับมือความทุกข์และยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้าได้ พระองค์จะทรงอวยพรฉันอย่างแน่นอน และลูกชายฉันจะอาการดีขึ้น ดังนั้นพอเขาป่วยอีกครั้ง และแม้แต่ชีวิตของเขาก็อยู่ในอันตราย ความหวังจะได้พระพรและพระคุณของฉันก็แหลกสลายในทันที ฉันเริ่มตัดพ้อและชี้แจงเหตุผลกับพระเจ้า และฉันโทษพระเจ้าที่ไม่ทรงยุติธรรม ฉันถึงกับเสียแรงผลักดันที่จะทำหน้าที่ การพิพากษาและการเปิดเผยในพระวจนะของพระเจ้านั่นเอง ที่แสดงให้ฉันเห็นว่าการทำงานหนักทั้งหมดของฉันก็เพียงเพื่อให้ได้รับพระพรจากพระเจ้าตอบแทน ทั้งหมดก็เพื่อทำข้อตกลงกับพระเจ้า เพื่อโกงพระเจ้า ฉันเชื่อมั่นอย่างที่สุดเบื้องหน้าความจริง และฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์และชอบธรรมอย่างแท้จริง พระองค์สามารถทอดพระเนตรเข้าไปในหัวใจและความคิดของเรา หากไม่ใช่เพราะสถานการณ์เหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แสดงให้ฉันเห็นว่าความเชื่อของฉันนั้นแปดเปื้อน และฉันมีมุมมองที่ผิดในการไล่ตามเสาะหา ฉันก็คงยังถูกการกระทำดีภายนอกของตัวเองนำไปผิดทาง ฉันก็คงยังคิดว่าฉันอุทิศตนอย่างมากและกำลังยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้า ฉันเห็นว่าฉันไม่รู้จักตัวเองเลยค่ะ
ต่อมาฉันก็อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เมื่อเผชิญกับสภาวะของมนุษย์และท่าทีของมนุษย์ที่มีต่อพระเจ้า พระเจ้าได้ทรงทำพระราชกิจใหม่ เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้มีทั้งความรู้เกี่ยวกับพระองค์และการเชื่อฟังพระองค์ และมีทั้งความรักและคำพยาน ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงต้องได้รับประสบการณ์กับกระบวนการที่พระเจ้าทรงถลุงเขา ตลอดจนการพิพากษา การจัดการ การตัดแต่งที่พระองค์ทรงมีต่อเขา ซึ่งหากปราศจากสิ่งเหล่านี้ มนุษย์จะไม่มีวันรู้จักพระเจ้าและจะไม่มีวันสามารถรักและเป็นพยานให้กับพระองค์ได้อย่างแท้จริงเลย กระบวนการถลุงมนุษย์ของพระเจ้าไม่ใช่แค่เพื่อเห็นแก่ผลกระทบเพียงด้านเดียว แต่เพื่อประโยชน์ของผลกระทบหลายแง่มุม เพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งกระบวนการถลุงกับบรรดาผู้ที่เต็มใจแสวงหาความจริง เพื่อที่ว่าความแน่วแน่และความรักของพวกเขาจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า สำหรับบรรดาผู้ที่เต็มใจแสวงหาความจริงและผู้ซึ่งโหยหาพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดเลยที่มีความหมายมากกว่า หรือเป็นความช่วยเหลือที่ยิ่งใหญ่กว่ากระบวนการถลุงแบบนี้ พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นไม่ง่ายนักที่มนุษย์จะรู้หรือเข้าใจ เพราะท้ายที่สุดแล้ว พระเจ้าก็ทรงเป็นพระเจ้า ในท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับพระเจ้าที่จะมีอุปนิสัยแบบเดียวกับมนุษย์ และเมื่อเป็นดังนั้น จึงไม่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่จะรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ มนุษย์ไม่ได้ครอบครองความจริงมาแต่กำเนิด และไม่ง่ายที่พวกที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้วจะเข้าใจ มนุษย์ไร้ซึ่งความจริง และไร้ซึ่งความแน่วแน่ที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ และหากเขาไม่ทุกข์ทน และไม่ได้รับการถลุงหรือพิพากษาแล้วไซร้ ความแน่วแน่ของพวกเขาจะไม่มีวันได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม สำหรับทุกผู้คน กระบวนการถลุงเป็นความเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส และลำบากยากเย็นมากที่จะยอมรับ—ทว่าในระหว่างกระบวนการถลุงนี้นี่เองที่พระเจ้าทำให้พระอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระองค์เป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้นสำหรับมนุษย์ และทรงทำให้ข้อพึงประสงค์ของพระองค์เป็นที่รู้ทั่วกันสำหรับมนุษย์ และทรงจัดเตรียมความรู้แจ้งมากขึ้น การจัดการและการตัดแต่งจริงที่มากขึ้น โดยผ่านทางการเปรียบเทียบข้อเท็จจริงกับความจริง พระองค์ทรงมอบความรู้ที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับพระองค์และความจริงให้แก่มนุษย์ และทรงมอบความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าให้แก่มนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์มีความรักที่จริงแท้ยิ่งขึ้นและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นต่อพระเจ้า นั่นคือจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการดำเนินกระบวนการถลุง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์สามารถมีความรักแท้จริงได้ โดยการได้รับประสบการณ์กับกระบวนการถลุงเท่านั้น) ฉันเข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้า ว่าพระเจ้าทรงทดสอบและถลุงผู้คนเพื่อตีแผ่และชำระเราให้สะอาด เพื่อที่เราจะสามารถเห็นความจริงของความเสื่อมทรามของเราโดยซาตาน และได้รับความเข้าใจของอุปนิสัยเสื่อมทรามของเราและสิ่งเจือปนในความเชื่อของเรา แล้วเราจะสามารถไล่ตามความจริง ได้รับการชำระให้สะอาด และเปลี่ยนแปลง และบรรลุความเชื่อในพระเจ้าที่แท้ การนบนอบและความรักที่แท้ได้ ในท้ายที่สุด เราสามารถได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า และเป็นอิสระจากอันตรายของซาตานโดยสมบูรณ์ นี่คือจุดประสงค์ของการทดสอบของพระเจ้าสำหรับมนุษย์ค่ะ การที่ลูกชายของฉันป่วยครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นเปิดเผยแรงจูงใจที่จะได้รับพระพรที่ฉันซ่อนเร้นไว้อย่างหมดเปลือก เมื่อทบทวนตัวเอง ฉันเห็นว่าฉันกำลังคิดทุกอย่างที่ฉันสามารถคิดได้เพื่อให้ได้รับพระพรจากพระเจ้า ฉันอ่านเกี่ยวกับประสบการณ์ของโยบผ่านการทดสอบของฉัน แต่ฉันไม่ได้ดูวิธีที่โยบนบนอบต่อพระเจ้าและเคารพพระเจ้า ฉันเพียงดูว่าเขาได้รับพระพรอย่างไรหลังจากการทดสอบ และฉันคิดว่าฉันจะได้รับพระพรเช่นกัน ตราบใดที่ฉันสามารถรับมือความทุกข์ได้ ฉันดูกระตือรือร้นและจดจ่ออยู่กับการไล่ตามเสาะหาจริงๆ แต่แรงจูงใจที่น่ารังเกียจของฉันเองอยู่เบื้องหลังทั้งหมดนั้น ฉันถูกควบคุมโดยพิษของซาตานที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” ฉันคิดถึงผลประโยชน์ของตัวเองก่อนในทุกอย่างที่ฉันทำ และเมื่อความหวังของฉันแตกสลาย ฉันก็ต่อต้านพระเจ้าและต้องการชำระบัญชีกับพระองค์ ฉันแสดงความน่าเกลียดทุกรูปแบบ ฉันเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจมากจริงๆ ค่ะ! นั่นเป็นการมีความเชื่อในพระเจ้าได้อย่างไร ฉันเพียงแต่ต่อต้านพระองค์และพยายามโกงพระองค์ พอรู้ตัว ฉันก็หมอบราบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการอธิษฐาน กล่าวว่า “โอ้พระเจ้า หลายปีมานี้ ข้าพระองค์โกงพระองค์มาตลอด ยึดถือแรงจูงใจเพื่อให้ได้รับพระพร ข้าพระองค์พยายามทำข้อตกลงกับพระองค์ทุกวิถีทางและขาดความจริงใจอย่างสิ้นเชิง ข้าพระองค์ช่างเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ และขาดความเป็นมนุษย์มาก! ข้าพระองค์พร้อมจะปล่อยวางแรงจูงใจที่จะได้รับพระพร ฝากลูกชายไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ และนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่บ่นแม้แต่นิดเดียว!” ฉันรู้สึกเป็นอิสระและมีสันติสุขหลังจากการอธิษฐานนี้จริงๆ ค่ะ
ครั้งหนึ่งหลังจากนั้นเมื่อฉันออกไปทำหน้าที่นอกเมือง สามีโทรหาฉันบอกว่าโรคของลูกชายเราแพร่กระจายแล้ว เขามีเนื้องอกบนหัว หลัง และคอ ไม่มีความหวังที่จะควบคุมมันอีกต่อไปแล้ว หลังจากได้ยินเขาพูดแบบนั้นฉันก็อึ้งไปนานเลยค่ะ ฉันทนคิดถึงความเจ็บป่วยที่ฉันเป็นอยู่ไม่ได้เลย และฉันไม่สามารถเผชิญผลที่ออกมาได้เลยจริงๆ ฉันร้องหาพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าอีกครั้ง “โอ้พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์อ่อนแอมาก ขอทรงให้ความรู้แจ้งและช่วยให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด” หลังจากอธิษฐาน ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ความว่า “สำหรับมนุษย์นั้น พระเจ้าทรงทำหลายสิ่งที่ไม่อาจจับใจความได้และแม้กระทั่งไม่อาจเชื่อได้ เมื่อพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะจัดวางเรียบเรียงใครบางคน การจัดวางเรียบเรียงนี้มักจะขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์และเขาไม่อาจจับใจความได้ แต่กระนั้นแน่นอนว่าเป็นเพราะความไม่สอดคล้องและความไม่อาจจับใจความได้นี้นั่นเองที่เป็นการทดสอบและการทดลองมนุษย์ของพระเจ้า ในขณะเดียวกัน อับราฮัมก็สามารถแสดงให้เห็นการเชื่อฟังพระเจ้าภายในตัวเขาได้ ซึ่งเป็นสภาพเงื่อนไขที่เป็นรากฐานสำคัญมากที่สุดในการที่เขาจะสามารถทำให้สมดังสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ได้…ถึงแม้ว่าในบริบทที่แตกต่างกันไป พระเจ้าจะทรงใช้วิธีการที่แตกต่างกันเพื่อทดสอบแต่ละบุคคล พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ในตัวอับราฮัม พระองค์ทอดพระเนตรเห็นว่าหัวใจของอับราฮัมนั้นซื่อตรง และว่าการเชื่อฟังของเขานั้นไม่มีเงื่อนไข แน่นอนว่า ‘การไม่มีเงื่อนไข’ นี้นั่นเองที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนา ผู้คนมักจะกล่าวว่า ‘ฉันได้ถวายสิ่งนี้ไปแล้ว ฉันได้ยอมสละสิ่งนั้นไปแล้ว—เหตุใดพระเจ้าจึงยังคงไม่พึงพอพระทัยกับฉัน? เหตุใดพระองค์ยังคงทรงคอยนำฉันไปสู่การทดสอบอยู่เรื่อยๆ? เหตุใดพระองค์ยังคงทรงคอยทดสอบฉันอยู่เรื่อย?’ การนี้แสดงให้เห็นข้อเท็จจริงหนึ่ง นั่นคือ พระเจ้ายังไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นหัวใจของเจ้า และยังไม่ได้ทรงได้มาซึ่งหัวใจของเจ้า กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ยังไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นความจริงใจดังเช่นเมื่อตอนที่อับราฮัมสามารถยกมีดขึ้นเพื่อฆ่าบุตรชายของเขาด้วยมือของเขาเองและถวายเขาให้แก่พระเจ้าได้ พระองค์ยังไม่ได้ทอดพระเนตรเห็นการเชื่อฟังโดยไม่มีเงื่อนไขของเจ้า และยังไม่ได้สบายพระทัยโดยเจ้า เช่นนั้นแล้วก็เป็นธรรมชาติที่พระเจ้าทรงคอยทดสอบเจ้าอยู่เรื่อยๆ” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2) ฉันพิจารณาพระวจนะเหล่านี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่ออับราฮัมถวายบุตรชายคนเดียวของเขาให้พระเจ้า เขาไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ ของตัวเอง หรือโต้แย้งปกป้องตัวเองเลย เขารู้อย่างไม่มีข้อสงสัยว่าบุตรของเขานั้นพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้ และมันถูกต้องเหมาะสมที่จะมอบเขากลับไปตามที่พระเจ้าทรงประสงค์ นั่นเป็นมโนธรรมและเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี แม้ว่ามันจะเจ็บปวดมากสำหรับเขา เขาก็ยังสามารถนบนอบต่อพระประสงค์ของพระเจ้าได้ สุดท้ายเขาก็หยิบมีดขึ้นมาฆ่าบุตรชายตัวเองจริงๆ ซึ่งแสดงว่าความเชื่อและความเชื่อฟังพระเจ้าของเขานั้นแท้จริง และสามารถยืนหยัดต่อการทดสอบที่แท้จริงได้ แต่แล้วก็มีฉัน ฉันพูดว่าฉันเต็มใจจะนบนอบต่อการเรียบเรียงจัดวางและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าและมอบลูกชายของฉันให้พระเจ้า แต่ในหัวใจของฉันกลับยึดความต้องการของตัวเองเอาไว้ โดยเฉพาะเมื่อฉันได้ยินว่าอาการป่วยของเขาแย่ลงและรักษาไม่ได้ เมื่อเผชิญความเจ็บปวดที่อาจจะสูญเสียเขาไป ฉันก็พบว่าฉันมีความต้องการภายในตัวฉัน ฉันไม่ได้พูดออกมา แต่ในหัวใจของฉัน ฉันต้องการขอให้พระเจ้าทรงรักษาเขา ฉันเห็นว่าฉันไร้เหตุผลและขาดความเชื่อฟังพระเจ้าจริงๆ ความจริงก็คือ ลูกชายฉันไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของฉัน พระเจ้าประทานลมหายใจให้เขา ร่างกายของฉันเป็นเพียงตัวกลางให้เขาเกิดมา ทั้งชีวิตของเขาถูกลิขิตไว้แล้ว ถูกจัดการเตรียมการอย่างครบบริบูรณ์โดยพระเจ้าเมื่อนานมาแล้ว พระเจ้าทรงกำหนดไว้แล้วว่าเขาจะเป็นทุกข์แค่ไหน เขาจะเผชิญความทุกข์ยากมากแค่ไหนตลอดชีวิตของเขา ฉันต้องนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้าค่ะ พอคิดแบบนี้ ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้า “โอ้พระเจ้า ลูกชายของข้าพระองค์ไม่ใช่ของข้าพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะพรากเขาไปหรือไม่ ข้าพระองค์ก็รู้ว่ามันประกอบด้วยน้ำพระทัยอันกรุณาของพระองค์ ข้าพระองค์พร้อมจะนบนอบ และฝากชีวิตของลูกชายไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่ตัดพ้อ ไม่ว่าพระองค์จะทรงทำอย่างไร” ความเจ็บปวดของฉันบรรเทาลงหลังจากอธิษฐานค่ะ หนึ่งเดือนผ่านไปในชั่วพริบตา วันหนึ่งหลังจากฉันกลับถึงบ้านจากการชุมนุม สามีก็โทรมาบอกฉันอย่างตื่นเต้น ว่าเนื้องอกทั้งหมดของลูกชายเราหายไปแล้ว ซีทีสแกนที่โรงพยาบาลยืนยันเรื่องนี้แล้ว เมื่อฉันได้ยินข่าว ฉันตื่นเต้นมากจนเริ่มร้องไห้ และร้องตะโกนในหัวใจครั้งแล้วครั้งเล่า “ขอบคุณพระเจ้า!” ประสบการณ์นี้ แสดงให้ฉันเห็นฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าและได้รับประสบการณ์พระวจนะเหล่านี้จากพระองค์จริงๆ “ไม่ว่าสิ่งใดและทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือทุกสรรพสิ่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์) นี่แสดงให้ฉันเห็นความทรงมหิทธิฤทธิ์และอธิปไตยของพระเจ้าจริงๆ ว่าพระองค์สามารถทรงทำให้เกิดบางสิ่งจากไม่มีเลย และทรงก่อบางสิ่งที่จะไม่ดำรงอยู่อีกต่อไป ทุกสิ่งได้รับการเรียบเรียงจัดวางโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า ฉันขอบคุณพระเจ้าอย่างจริงใจค่ะ!
หนึ่งปีต่อมา ฉันได้รับข้อความที่ไม่คาดคิดจากสามีว่าโรคของลูกชายเรากลับมาอีกแล้ว และเขากำลังรับคีโมอยู่ในโรงพยาบาล ฉันปวดใจอยู่บ้างที่ได้ยินแบบนั้น แต่ฉันก็จำประสบการณ์ก่อนหน้านั้นของฉันได้ ฉันเต็มใจที่จะนบนอบต่อการเรียบเรียงจัดวางและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าค่ะ แต่ฉันก็ต้องแปลกใจเมื่อลูกชายกลับบ้านได้ในสองสัปดาห์ต่อมา และเขาก็แข็งแรงดีจนถึงวันนี้ แม้ว่าฉันจะโทษและเข้าใจพระเจ้าผิดเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บของลูกชายของฉัน พระองค์ก็ไม่ทรงจดจ่อที่ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของฉัน แต่ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำฉันด้วยพระวจนะของพระองค์ เพื่อที่ฉันจะสามารถเข้าใจความทรงมหิทธิฤทธิ์และอธิปไตยของพระเจ้า และเปลี่ยนมุมมองที่ผิดพลาดของฉันในการมีความเชื่อแค่เพื่อแสวงหาพระพรค่ะ นี่คือพระคุณและพระพรของพระเจ้าสำหรับฉันจริงๆ! ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ