หนทางสู่การชำระให้บริสุทธิ์
โดย Allie, สหรัฐอเมริกา ฉันเคยบัพติศมาในนามขององค์พระเยซูเจ้าในปี 1990 และพอปี 1998 ฉันก็ได้เป็นผู้ร่วมงานของคริสตจักร...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เป็นเวลาหลายปีมาแล้ว วิถีทางดั้งเดิมของผู้คนเกี่ยวกับการเชื่อ (วิถีทางของศาสนาคริสต์ หนึ่งในสามศาสนาใหญ่ของโลก) คือการอ่านพระคัมภีร์ การแยกตัวจากพระคัมภีร์ไม่ใช่การเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า การแยกจากพระคัมภีร์คือความนอกคอกและความนอกรีต และถึงแม้ว่าผู้คนจะอ่านหนังสืออื่นๆ แต่รากฐานของหนังสือเหล่านั้นก็ต้องเป็นคำอธิบายเกี่ยวกับพระคัมภีร์ กล่าวคือ หากเจ้าเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ต้องอ่านพระคัมภีร์ และนอกเหนือจากพระคัมภีร์แล้ว เจ้าต้องไม่นมัสการหนังสือเล่มใดที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระคัมภีร์ หากเจ้าทำ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็กำลังทรยศพระเจ้า นับตั้งแต่เวลาที่มีพระคัมภีร์เป็นต้นมา การเชื่อของผู้คนในองค์พระผู้เป็นเจ้าคือการเชื่อในพระคัมภีร์ แทนที่จะพูดว่าผู้คนเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็เป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาเชื่อในพระคัมภีร์ แทนที่จะพูดว่าพวกเขาได้เริ่มต้นอ่านพระคัมภีร์ ก็เป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาได้เริ่มต้นเชื่อในพระคัมภีร์ และแทนที่จะพูดว่าพวกเขาได้กลับไปอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็คงเป็นการดีกว่าที่จะพูดว่าพวกเขาได้กลับไปอยู่ต่อหน้าพระคัมภีร์ ด้วยวิธีนี้ ผู้คนนมัสการพระคัมภีร์เสมือนว่าพระคัมภีร์คือพระเจ้า เสมือนว่าพระคัมภีร์คือโลหิตแห่งชีวิตของพวกเขา และการสูญเสียพระคัมภีร์ก็คงจะเหมือนกับการสูญเสียชีวิตของพวกเขา ผู้คนมองว่าพระคัมภีร์สูงส่งเท่ากับพระเจ้า และมีแม้กระทั่งผู้ที่มองว่าพระคัมภีร์สูงส่งกว่าพระเจ้า หากผู้คนปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากพวกเขาไม่สามารถรู้สึกถึงพระเจ้า พวกเขาสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้—แต่ทันทีที่พวกเขาสูญเสียพระคัมภีร์ หรือสูญเสียบทและคำคมที่ขึ้นชื่อจากในพระคัมภีร์ ก็เสมือนกับว่าพวกเขาได้สูญเสียชีวิตของพวกเขาไปแล้ว…พระคัมภีร์ได้กลายเป็นรูปเคารพในจิตใจของผู้คน ได้กลายเป็นปริศนาในสมองของพวกเขา และพวกเขาเพียงแค่ไม่สามารถเชื่อว่าพระเจ้าสามารถทรงพระราชกิจภายนอกพระคัมภีร์ได้ พวกเขาไม่สามารถเชื่อว่าผู้คนสามารถพบพระเจ้าภายนอกพระคัมภีร์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะเชื่อได้ว่าพระเจ้าสามารถแยกทางจากพระคัมภีร์ในระหว่างพระราชกิจขั้นสุดท้ายและเริ่มต้นใหม่ได้ นี่เป็นสิ่งที่ผู้คนคิดไม่ถึง พวกเขาไม่สามารถเชื่อสิ่งนี้ได้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถจินตนาการถึงสิ่งนี้ได้ พระคัมภีร์ได้กลายเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ต่อการที่ผู้คนจะยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า และเป็นความลำบากยากเย็นต่อการที่พระเจ้าจะทรงขยายพระราชกิจใหม่นี้ให้กว้างไกล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1)) เมื่อก่อนนี้พระคัมภีร์ช่วยให้ฉันรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าในความเชื่อของฉันค่ะ และศิษยาภิบาลก็พูดเสมอว่ามันคือรากฐานความเชื่อของเรา ฉันคิดว่าความเชื่อในพระคัมภีร์คือความเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และถึงกับวางไว้เหนือองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันเพียงแค่นำคำพูดที่ตายแล้วในพระคัมภีร์มาใส่ตัว โดยไม่คิดถึงการปฏิบัติหรือรับประสบการณ์พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า จนกระทั่งฉันได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย และมองเห็นว่าพระวจนะของพระองค์เผยให้เห็นถึงอะไร ที่ฉันเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับพระคัมภีร์ ความผิดพลาดในความเชื่อของฉันได้รับการแก้ไขในที่สุด
ก่อนหน้านี้ฉันอ่านพระคัมภีร์ ไปร่วมการชุมนุมที่คริสตจักร และค้นหาเทศนาธรรมออนไลน์เยอะมาก เพื่อให้เข้าใจองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ดีขึ้น ครั้งหนึ่งฉันเจอภาพยนตร์ทางยูทูบ ชื่อเรื่อง บ้านหนูอยู่ไหน มันช่างจริงใจและสะเทือนใจมาก และพระวจนะที่มีการอ่านในหนังเรื่องนั้นก็ดูอบอุ่นและมีสิทธิอำนาจเป็นพิเศษ ฉันอยากรู้มากว่าเขานำมาจากไหน พอฉันเห็นว่าเป็นคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันก็เข้าอินเทอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคริสตจักรแห่งนี้ที่เป็นผู้สร้างภาพยนตร์ขึ้นมา แต่ฉันเจอข่าวเชิงลบเกี่ยวกับคริสตจักร และหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งกันแน่ หลังจากที่คิดดูแล้ว ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ควรเชื่อสิ่งที่คนอื่นพูดอย่างมืดบอด อย่างที่เขาพูดกันว่า “สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น” ฉันรู้ว่าฉันควรตรวจสอบด้วยตัวเองเพื่อดูว่าคริสตจักรแห่งนั้นเป็นคริสตจักรที่ดีรึเปล่า ฉันตัดสินใจดาวน์โหลดหนังมาดูเพิ่มเติม ฉันดูอีกสองเรื่องค่ะ ตื่นรู้ กับ ความโหยหา มันสะกิดใจฉันมากๆ พระวจนะที่นำมาอ่านในหนังสองเรื่องนี้มีสิทธิอำนาจและทรงพลัง และการสามัคคีธรรมก็สัมพันธ์กับชีวิตจริงค่ะ ฉันได้เรียนรู้รากเหง้าของสาเหตุที่คริสตจักรต่างๆ ร้างผู้คน และความแตกต่างระหว่างการได้รับการช่วยให้รอดและได้รับการช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ ในหนังบอกว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว และกำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย ซึ่งทำให้คำเผยพระวจนะลุล่วงตามพระคัมภีร์ “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า” (1 เปโตร 4:17) ฉันมีความสุขเหลือล้น และตระหนักว่าพระวจนะเหล่านั้นที่อ่านในหนังคือถ้อยดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงกลับมา มิน่าล่ะถึงมีสิทธิอำนาจและทรงพลังมากขนาดนี้! ฉันส่งข้อความไปและได้ติดต่อกับพี่น้องชายหญิงในคริสตจักร และเห็นว่าพวกเขาจริงใจมากๆ และการสามัคคีธรรมของพวกเขาก็ให้ความรู้แจ้ง การได้ติดต่อกับพวกเขาวิเศษมากเลยค่ะ ฉันได้เริ่มเข้าร่วมการชุมนุมของพวกเขา
ค่ำวันหนึ่ง ฉันกำลังจะดาวน์โหลดหนังจากช่องคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพิ่มเติม ขณะที่ฉันกำลังไล่ดูเรื่องต่างๆ ก็เห็นเรื่องหนึ่งชื่อ จงออกมาจากพระคัมภีร์ ฉันงงเลยค่ะ มันหมายความว่าอะไร ทำไมเราถึงต้องออกจากพระคริสตธรรมคัมภีร์ในความเชื่อของเราด้วย มนุษย์จะเชื่อและรู้จักพระเจ้าได้ยังไงถ้าไม่มีพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉันคิดถึงที่ศิษยาภิบาลพูดอยู่เสมอ ความเชื่อของเราต้องอยู่บนฐานของพระคัมภีร์ และการแยกจากพระคัมภีร์คือความนอกรีต การแยกจากพระคัมภีร์คือการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่หรือ สองสามวันถัดมา ฉันหยุดดูเพลงสวดกับหนังของคริสตจักร เพราะกลัวว่าจะหลงทางในความเชื่อ แต่ฉันก็อดสงสัยไม่ได้ “ถ้าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาจริงๆ และฉันไม่ยอมรับพระองค์ ฉันจะไม่พลาดโอกาสได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือ” มันขัดแย้งในใจค่ะ ฉันเลยเริ่มอดอาหารและอธิษฐาน ฉันขอให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำให้ฉันรู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงใช่องค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมารึเปล่า คืนแรกที่ฉันอดอาหาร ฉันไม่ได้รับแรงบันดาลใจใดเลยจากพระเจ้า ฉันเลยคิดว่าไปดูในพระคัมภีร์ดีกว่า ฉันได้อ่านวิวรณ์ 1:8 “พระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ตรัสว่า ‘เราเป็นอัลฟาและโอเมกา’” นอกจากนี้ฉันยังได้อ่านวิวรณ์ 11:16-17 “และผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ของตนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ก็ทรุดตัวซบหน้าลงนมัสการพระเจ้า และทูลว่า ‘ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ที่ทรงเป็นอยู่และผู้ที่ทรงเคยเป็นอยู่ พวกข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงถือครองฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้ว และทรงเริ่มครอบครอง’” ฉันรู้สึกขึ้นมาทันทีว่าวรรคตอนเหล่านี้คือการทรงนำของพระเจ้าสำหรับฉัน ในวิวรณ์บอกว่าพระเจ้าจะทรงถูกเรียกขานว่า “องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” ในยุคสุดท้าย นั่นคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ใช่หรือคะ การค้นพบนี้ทำให้ฉันอยากตรวจสอบคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไปค่ะ นอกจากนี้ฉันยังตัดสินใจว่าจะดู จงออกมาจากพระคัมภีร์ ให้จบอีกด้วย ฉันจะได้รู้ว่ามันเกี่ยวกับอะไรกันแน่
ผู้ประกาศข่าวประเสริฐจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในหนังแบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้ค่ะ “คนที่เคร่งศาสนาจำนวนมากบอกว่าพระเจ้าจะไม่ทรงแยกจากพระคริสตธรรมคัมภีร์เพื่อทรงพระราชกิจแห่งความรอด และอะไรก็ตามที่นอกเหนือจากพระคัมภีร์คือความนอกรีต อะไรมาก่อนกันคะ พระคัมภีร์หรือพระราชกิจของพระเจ้า ในตอนแรก พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก และสรรพสิ่งขึ้นมา พระองค์ทรงทำลายโลกด้วยอุทกภัย และพระองค์ทรงทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ด้วยไฟ พันธสัญญาเดิมมีอยู่หรือไม่ตอนที่พระเจ้าทรงพระราชกิจทั้งหมดนี้” ฉันคิดว่า “ยังต้องถามอีกหรือ ตอนที่พระเจ้าทรงสร้างโลก ทรงทำให้โลกประสบอุทกภัย และทรงเผาเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ ไม่มีพระคัมภีร์อยู่แน่นอน” เธอยังบอกอีกว่า “พระคัมภีร์ไม่มีอยู่ตอนที่พระเจ้าทรงพระราชกิจทั้งหมดนี้ ซึ่งหมายความว่าพระราชกิจของพระเจ้าเกิดขึ้นมาก่อน แล้วจึงบันทึกในพระคัมภีร์ภายหลัง และเมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจในยุคพระคุณก็ยังไม่มีพันธสัญญาใหม่ ที่สาวกของพระองค์จดเอาไว้หลังจากที่พระองค์ทรงพระราชกิจเสร็จสมบูรณ์แล้ว เป็นที่ชัดเจนว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นแค่บันทึกทางประวัติศาสตร์ของพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงปฏิบัติ พระเจ้าไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจตามพระคัมภีร์ และพระองค์ไม่ทรงถูกจำกัดโดยพระคัมภีร์ พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ตามแผนการบริหารจัดการของพระองค์และความต้องการของมวลมนุษย์ นั่นคือสาเหตุที่เราไม่อาจคิดว่าพระราชกิจของพระเจ้าเป็นแค่สิ่งที่อยู่ในพระคัมภีร์ได้ และเราไม่อาจใช้พระคัมภีร์จำกัดพระราชกิจของพระองค์ได้ เราพูดไม่ได้จริงๆ ว่าสิ่งใดก็ตามที่นอกเหนือจากพระคริสตธรรมคัมภีร์คือความนอกรีต พระเจ้าทรงมีสิทธิ์ที่จะทรงพระราชกิจของพระองค์และทรงปฏิบัติภายนอกกรอบข้อจำกัดของพระคัมภีร์”
ได้ยินแบบนี้ฉันก็ตาสว่างค่ะตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจไม่มีพันธสัญญาใหม่มนุษย์มารวบรวมขึ้นหลังจากที่พระองค์ทรงพระราชกิจเสร็จสิ้นแล้วเท่านั้นพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นแค่บันทึกพระราชกิจในอดีตของพระเจ้าเท่านั้นทำไมฉันถึงไม่เคยคิดเรื่องนั้นมาก่อน
การสามัคคีธรรมในหนังยังมีต่ออีกค่ะ “ถ้าเราพูดว่าสิ่งใดก็ตามที่นอกเหนือจากพระคริสตธรรมคัมภีร์คือความนอกรีต ก็คือเราตำหนิพระราชกิจของพระเจ้าในอดีตทั้งหมดไม่ใช่หรือคะ ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงมาและทรงพระราชกิจ พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจบนฐานของพันธสัญญาเดิม แต่พระองค์ทรงทำเกินกว่านั้น อย่างเช่นการสอนวิถีแห่งการกลับใจ การเยียวยารักษาผู้เจ็บป่วยและการขับไล่ปีศาจ การไม่มีวันสะบาโตของพระองค์ ยกโทษให้ผู้อื่นเจ็ดสิบเจ็ดครั้ง และอื่นๆ ในจำนวนนั้นไม่มีข้อไหนเลยที่อยู่ในพันธสัญญาเดิม ทั้งยังขัดแย้งกับพระบัญญัติในพันธสัญญาฉบับเดิมโดยตรงด้วยซ้ำ นั่นแปลว่าพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าไม่ใช่ของพระเจ้าหรือคะ เหล่ามหาปุโรหิต ผู้อาวุโส และธรรมาจารย์ ตำหนิพระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าว่าเป็นความนอกรีตเพียงเพราะ พวกเขาไม่ยอมทำตามพันธสัญญาเดิม พวกเขากลายเป็นมนุษย์ที่ต่อต้านพระเจ้า ถ้าเราใช้มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์และบอกว่าสิ่งใดก็ตามที่นอกเหนือจากพระคริสตธรรมคัมภีร์คือความนอกรีต ก็คือเราตำหนิพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าด้วยไม่ใช่หรือ”
จากนั้นพวกเขาก็อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บางส่วนเกี่ยวกับคำถามที่ว่าสิ่งใดก็ตามที่นอกเหนือจากพระคริสตธรรมคัมภีร์คือความนอกรีตหรือไม่ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระคัมภีร์คือหนังสือประวัติศาสตร์ และหากเจ้าได้กินและดื่มพันธสัญญาเดิมในระหว่างยุคพระคุณแล้ว—หากเจ้าได้นำสิ่งที่เป็นข้อพึงประสงค์ในกาลสมัยของพันธสัญญาเดิมในระหว่างยุคพระคุณมาปฏิบัติแล้ว—พระเยซูก็คงจะทรงละทิ้งเจ้าและกล่าวโทษเจ้า หากเจ้าได้นำพันธสัญญาเดิมมาประยุกต์ใช้กับพระราชกิจของพระเยซู เจ้าก็คงจะได้เป็นพวกฟาริสี หากวันนี้เจ้านำพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่มารวมกันเพื่อกินและดื่มและปฏิบัติ เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าในวันนี้จะกล่าวโทษเจ้า เจ้าจะไล่ตามพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนี้ไม่ทันแล้ว! หากเจ้ากินและดื่มพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะอยู่นอกกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์! ในระหว่างกาลสมัยของพระเยซู พระเยซูทรงนำคนยิวและบรรดาผู้คนที่ติดตามพระองค์โดยสอดคล้องกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในพระองค์ในเวลานั้น พระองค์ไม่ได้ทรงนำพระคัมภีร์มาเป็นพื้นฐานของสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ แต่พระองค์ตรัสไปตามพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ใส่พระทัยในสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าวไว้ อีกทั้งพระองค์ไม่ได้ทรงสำรวจค้นเส้นทางที่จะนำผู้ติดตามของพระองค์ในพระคัมภีร์ นับตั้งแต่เวลาที่พระองค์ได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจ พระองค์ทรงเผยแพร่หนทางแห่งการกลับใจ—ซึ่งเป็นคำที่ไม่ได้มีการกล่าวถึงไว้ในคำเผยพระวจนะทั้งหลายของพันธสัญญาเดิมโดยสิ้นเชิง พระองค์ไม่เพียงแต่ไม่ทรงปฏิบัติตามพระคัมภีร์เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงนำเส้นทางใหม่และทรงพระราชกิจใหม่ด้วย พระองค์ไม่เคยทรงอ้างอิงถึงพระคัมภีร์เมื่อพระองค์ทรงเทศนาเลย ในระหว่างยุคธรรมบัญญัตินั้น ไม่เคยมีผู้ใดมีความสามารถที่จะกระทำการอัศจรรย์ของพระองค์ในการรักษาคนป่วยและขับไล่พวกปีศาจได้ ดังนั้น พระราชกิจของพระองค์ คำสอนของพระองค์ และสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระวจนะของพระองค์จึงเกินกว่ามนุษย์คนใดในยุคธรรมบัญญัติเช่นเดียวกัน พระเยซูเพียงทรงพระราชกิจของพระองค์ที่ใหม่กว่า และถึงแม้ว่าผู้คนมากมายกล่าวโทษพระองค์โดยใช้พระคัมภีร์—และแม้กระทั่งใช้พันธสัญญาเดิมเพื่อตรึงกางเขนพระองค์—พระราชกิจของพระองค์ก็เหนือกว่าพันธสัญญาเดิม หากนี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้ว เหตุใดผู้คนจึงตอกตรึงพระองค์กับกางเขน? นั่นไม่ได้เป็นเพราะในพันธสัญญาเดิมไม่ได้กล่าวถึงสิ่งใดที่เกี่ยวกับคำสอนของพระองค์และความสามารถในการรักษาผู้ป่วยและขับไล่ปีศาจของพระองค์หรอกหรือ? พระราชกิจของพระองค์ได้รับการปฏิบัติเพื่อนำเส้นทางใหม่ ไม่ใช่เพื่อจงใจมีเรื่องกับพระคัมภีร์ หรือเพื่อจงใจไม่ใช้พันธสัญญาเดิมอีกต่อไป พระองค์เพียงเสด็จมาเพื่อดำเนินพันธกิจของพระองค์ เพื่อนำพระราชกิจใหม่มายังผู้ที่โหยหาและแสวงหาพระองค์ พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่ออธิบายพันธสัญญาเดิมหรือยกชูพระราชกิจของพันธสัญญาเดิม พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้เป็นไปเพื่อให้ยุคธรรมบัญญัติพัฒนาต่อไปได้ เพราะพระราชกิจของพระองค์ไม่ได้คำนึงว่าจะมีพระคัมภีร์เป็นพื้นฐานหรือไม่ พระเยซูเพียงเสด็จมาเพื่อปฏิบัติพระราชกิจที่พระองค์ควรต้องทรงกระทำ…ในที่สุดแล้ว สิ่งใดยิ่งใหญ่กว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์? เหตุใดพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามพระคัมภีร์? เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะไม่ทรงมีสิทธิ์ทำเกินกว่าพระคัมภีร์? พระเจ้าไม่สามารถแยกจากพระคัมภีร์และปฏิบัติพระราชกิจอื่นหรือ? เหตุใดพระเยซูและสาวกทั้งหลายของพระองค์จึงไม่รักษาวันสะบาโตต่อไป? หากพระองค์ทรงปฏิบัติตามวันสะบาโตและตามพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิม เหตุใดเล่าพระเยซูจึงไม่รักษาวันสะบาโตหลังจากที่พระองค์เสด็จมา แต่ทรงล้างพระบาท เอาผ้าคลุมพระเศียร หักขนมปัง และดื่มเหล้าองุ่นแทน? ทั้งหมดนี้มิใช่ไม่มีอยู่ในพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิมหรอกหรือ? หากพระเยซูทรงให้เกียรติพันธสัญญาเดิม เหตุใดพระองค์จึงทรงยุติความเกี่ยวข้องกับหลักคำสอนเหล่านี้? เจ้าควรรู้ว่าอย่างใดสำคัญกว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1))
ผู้ประกาศข่าวประเสริฐในหนังแบ่งปันการสามัคคีธรรมดังนี้ค่ะ “พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่ได้เป็นตัวแทนของพระเจ้า มันเป็นแค่บันทึกตามจริงของพระราชกิจสองระยะแรกของพระองค์ ซึ่งก็คือคำพยานต่อพระราชกิจของพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ มันไม่ได้เป็นตัวแทนพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด บันทึกพระราชกิจของพระเจ้าในพระคริสตธรรมคัมภีร์นั้นจำกัดมากๆ มันเป็นแค่การตัดตอนพระอุปนิสัยแห่งชีวิตของพระเจ้า และไม่สามารถแสดงทั้งหมดให้เห็นครบถ้วนได้ พระเจ้าทรงใหม่เสมอ ไม่มีวันเก่า พระองค์ทรงพระราชกิจใหม่และมีถ้อยดำรัสใหม่ๆ ในทุกยุค อย่างเช่น เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงมาในยุคพระคุณ พระองค์ทรงทำเกินพันธสัญญาเดิมเพื่อทรงพระราชกิจใหม่ พระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจตามพระคัมภีร์หรือสิ่งที่พระคัมภีร์อ้างอิง พระองค์ไม่ได้ทรงค้นพบเส้นทางเพื่อนำผู้ติดตามของพระองค์ในพระคัมภีร์ พระราชกิจของพระเจ้าเดินไปข้างหน้าเสมอ เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มต้นยุคใหม่และทรงพระราชกิจใหม่ พระองค์ทรงนำเส้นทางใหม่มาให้มวลมนุษย์และประทานความจริงให้แก่พวกเรามากขึ้น เพื่อให้เราสามารถรับความรอดที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิมจากพระองค์ได้ พระเจ้าไม่ได้ทรงนำมวลมนุษย์บนฐานของพระราชกิจเดิมของพระองค์ นั่นก็คือ พระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจตามพระคริสตธรรมคัมภีร์ เพราะพระองค์ไม่ทรงเป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโตเท่านั้น แต่พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของพระคริสตธรรมคัมภีร์ด้วย พระองค์ทรงมีสิทธิ์ทุกประการที่จะออกนอกพระคัมภีร์ เพื่อทรงพระราชกิจที่ใหม่ขึ้นตามแผนการของพระองค์และความต้องการของมวลมนุษย์ พระราชกิจของพระเจ้าในยุคใหม่ไม่มีทางเหมือนกับพระราชกิจของพระองค์ในยุคเก่า ดังนั้นคำกล่าวที่ว่าการแยกจากพระคริสตธรรมคัมภีร์คือความนอกรีตจึงไม่เป็นความจริง”
ฉันเข้าใจจากคำกล่าวนี้ ว่าพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่บันทึกพระราชกิจของพระเจ้าและพระวจนะในยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ แต่ไม่ได้เป็นตัวแทนของพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้า ฉันคิดว่าการแยกจากพระคริสตธรรมคัมภีร์หมายความว่าฉันไม่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันวางพระเจ้ากับพระคริสตธรรมคัมภีร์ไว้ระดับเดียวกันไม่ใช่หรือคะ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงมาทำพระราชกิจ พระองค์ไม่ได้ทรงทำบนฐานของพันธสัญญาเดิม ถ้าเราบอกว่าการทำอะไรนอกเหนือจากพระคัมภีร์คือความนอกรีต นั่นคือเราตำหนิพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าไม่ใช่หรือคะ ถ้าฉันเกิดในยุคที่องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจ ฉันคงคัดค้านพระองค์ ทำตามมโนคติที่หลงผิดในปัจจุบันของฉัน ถ้าฉันจำกัดพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าไว้เพียงแค่ในพระคริสตธรรมคัมภีร์เท่านั้น นั่นคือฉันทำผิดพลาดเหมือนพวกฟาริสีที่ยึดติดกับพระคัมภีร์เดิม เพื่อประณามองค์พระเยซูเจ้าไม่ใช่เหรอคะ
ผู้ประกาศข่าวประเสริฐอ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งในหนังค่ะ “สิ่งที่เรากำลังสอนเจ้าจึงเป็นเนื้อแท้และเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของพระคัมภีร์เท่านั้น เราไม่ได้กำลังขอให้เจ้าอย่าอ่านพระคัมภีร์ หรือให้เจ้าเที่ยวไปประกาศว่าพระคัมภีร์ไร้ซึ่งคุณค่า แค่ให้เจ้ามีความรู้และทรรศนะที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระคัมภีร์เท่านั้น จงอย่าคิดข้างเดียวจนเกินไป! ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์จะเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่มนุษย์เขียนขึ้น แต่พระคัมภีร์ก็ยังบันทึกหลักธรรมมากมายในการรับใช้พระเจ้าของเหล่าวิสุทธิชนและผู้เผยพระวจนะในยุคโบราณ ตลอดจนประสบการณ์ของอัครทูตเมื่อไม่นานมานี้ในการรับใช้พระเจ้า—ผู้คนเหล่านี้ได้มองเห็นและรู้สิ่งทั้งหมดนี้จริงๆ และสิ่งเหล่านี้สามารถทำหน้าที่เป็นการอ้างอิงสำหรับผู้คนในยุคนี้ในการไล่ตามเสาะหาหนทางที่แท้จริง…แต่หนังสือเหล่านี้ยังคงล้าสมัย หนังสือเหล่านี้ยังคงเป็นของยุคเก่า และไม่สำคัญว่าหนังสือเหล่านี้จะดีเพียงใดก็ตาม หนังสือเหล่านี้มีความเหมาะสมสำหรับช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ชั่วนิรันดร์ เพราะพระราชกิจของพระเจ้ากำลังพัฒนาอยู่เสมอ และไม่สามารถหยุดลงอย่างง่ายๆ ในช่วงเวลาของเปาโลและเปโตร หรือยังคงอยู่ในยุคพระคุณที่พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนเสมอไปได้ ดังนั้นแล้ว หนังสือเหล่านี้จึงเหมาะสมสำหรับยุคพระคุณเท่านั้น ไม่ใช่สำหรับยุคแห่งราชอาณาจักรในยุคสุดท้าย หนังสือเหล่านี้สามารถจัดเตรียมสำหรับบรรดาผู้เชื่อในยุคพระคุณ ไม่ใช่เหล่าวิสุทธิชนในยุคแห่งราชอาณาจักร และไม่สำคัญว่าหนังสือเหล่านี้จะดีเพียงใดก็ตาม หนังสือเหล่านี้ก็ยังคงคร่ำครึพ้นสมัย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (4))
ได้ยินแบบนี้ ฉันมองเห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้ทรงปฏิเสธคุณค่าของพระคริสตธรรมคัมภีร์ค่ะ พระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นแค่คำพยานต่อพระราชกิจในอดีตของพระเจ้า ที่สามารถช่วยให้เราเข้าใจพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไปแล้ว และข้อพึงประสงค์ที่พระองค์ทรงมีต่อมวลมนุษย์ในเวลานั้น แต่พระเจ้าทรงกำลังปฏิบัติพระราชกิจใหม่และพระคริสตธรรมคัมภีร์นั้นล้าสมัยแล้ว มันไม่สามารถให้สิ่งที่มนุษย์ต้องการในปัจจุบันได้ ฉันรู้สึกต่อต้านในตอนแรกที่เห็นชื่อเรื่อง จงออกมาจากพระคัมภีร์ ฉันเคยคิดว่าความเชื่อของทุกคนควรอยู่บนฐานของพระคริสตธรรมคัมภีร์ และนั่นคือหนทางเดียวที่จะรู้ว่าจะเชื่อและเคารพในพระเจ้าได้ยังไง ฉันคิดว่าการแยกจากพระคริสตธรรมคัมภีร์คือแยกจากพระเจ้า นั่นคือสาเหตุที่ฉันไม่อยากตรวจสอบพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย ฉันคิดว่าฉันต้องมีความเชื่อบนฐานของพระคริสตธรรมคัมภีร์ และพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นตัวแทนของพระเจ้า นี่แสดงว่าพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้แทนที่ของพระเจ้าในหัวใจของฉันค่ะ ฉันไม่ได้เชื่อในพระเจ้า ฉันเชื่อในพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉันมองว่าพระเจ้ากับพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นสิ่งเท่าเทียมกัน และฉันจำกัดพระราชกิจของพระเจ้าไว้ภายในพระคริสตธรรมคัมภีร์ คิดว่าทุกอย่างที่นอกเหนือจากนั้นคือความนอกรีต นั่นคือฉันจำกัดและดูหมิ่นพระเจ้าไม่ใช่หรือคะ ฉันอ้าปากค้าง หวาดกลัวกับความคิดนั้น ฉันรู้สึกติดหนี้พระเจ้าอย่างมากที่ทรงนำฉันไปสู่หนังเรื่องนั้น ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ที่ตามมาคงเกินคาดคิด
แล้วพวกคนที่แบ่งปันข่าวประเสริฐในหนังก็พูดว่า “ชีวิตนิรันดร์ไม่ได้มาจากพระคริสตธรรมคัมภีร์…” ฉันช็อกเลยค่ะ ชีวิตนิรันดร์จากพระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่มีอยู่หรือ จะเป็นไปได้ยังไง ฉันฟังสิ่งที่พวกเขาพูดต่อไป “นี่ไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ แต่เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจโต้แย้งได้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบอกเรานานแล้วตอนที่พระองค์ทรงประณามพวกฟาริสีว่า ‘พวกท่านค้นดูในพระคัมภีร์เพราะท่านคิดว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเองเป็นพยานให้กับเรา แต่พวกท่านก็ยังไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต’ (ยอห์น 5:39–40) องค์พระเยซูเจ้าทรงระบุชัดเจนว่าชีวิตนิรันดร์ไม่มีในพระคัมภีร์ นั้นเป็นเพราะว่าพระคัมภีร์เพียงแค่เป็นคำพยานต่อพระเจ้า ถ้ามนุษย์อยากได้รับความจริงและชีวิต พระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่เพียงพอ ความจริงกับชีวิตจะต้องได้รับจากพระคริสต์พระองค์เอง คิดถึงพวกฟาริสีที่ยึดติดกับพันธสัญญาเดิมสิคะ พวกเขาไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์ แต่ตรงกันข้าม พวกเขาถูกลงโทษที่ต่อต้านและประณามองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ผู้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ไม่ได้ยึดติดกับพระคัมภีร์ ผู้ที่ยอมรับพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าในเวลานั้น ในท้ายที่สุดก็ได้รับการไถ่โดยองค์พระเยซูเจ้า และดังนั้น หนทางเดียวที่จะได้รับชีวิตนิรันดร์คือติดตามพระคริสต์และย่างพระบาทของพระเจ้า ถ้าเราทำตามพระคริสตธรรมคัมภีร์อย่างมืดบอด ไม่เพียงแค่เราไม่สามารถได้รับความเห็นชอบของพระเจ้าเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วมันเหมือนที่เปาโลได้พูดไว้ ‘แต่พระคัมภีร์ได้จองจำทุกคนไว้ในบาป’ (กาลาเทีย 3:22) และเราจะสูญเสียความรอดของพระเจ้า พระเจ้าทรงพระราชกิจใหม่ในทุกยุค พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงกำหนดพระธรรมบัญญัติและพระบัญญัติในยุคธรรมบัญญัติ เพื่อให้ชาวอิสราเอลรู้จักวิธีการนมัสการพระเจ้า วิธีการมีชีวิตอยู่บนโลก รู้ว่าบาปคืออะไร และรู้ว่าพวกเขาจะถูกลงโทษเพราะบาปของพวกเขา ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ ทรงกลายเป็นเครื่องบูชาบาปด้วยพระองค์เอง ทั้งหมดที่มนุษย์ต้องทำมีแค่สารภาพและกลับใจเพื่อให้บาปของพวกเขาได้รับการอภัย และหลีกหนีการประณามและสาปแช่งภายใต้พระธรรมบัญญัติ อย่างไรก็ดี การไถ่ขององค์พระเยซูเจ้าสามารถอภัยให้บาปของเราได้เท่านั้น ธรรมชาติที่มีบาปของเรายังคงยึดโยงอยู่อย่างลึกซึ้ง เราแสดงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามออกมาตลอดเวลา เช่นการทำตัวหยิ่งยโส หลอกลวง และเลวทราม และเราอดไม่ได้ที่จะทำบาปและต่อต้านพระเจ้า นั่นเป็นเหตุผลที่องค์พระเยซูเจ้าทรงเผยพระวจนะว่าพระองค์จะทรงมาอีกครั้งเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา เพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดจากบาปอย่างสมบูรณ์ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มจากพระนิเวศของพระเจ้า ตามพระราชกิจแห่งการไถ่ขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งหมดเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและชำระพวกเขาให้สะอาด และเผยความลึกลับแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า พระองค์ทรงพิพากษาและเปิดโปงอุปนิสัยและธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่เสื่อมทรามของมวลมนุษย์ แสดงให้เห็นถึงพระอุปนิสัยอันบริสุทธิ์ชอบธรรมของพระองค์ที่ไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคือง พระวจนะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดง คือสิ่งที่พระเจ้าไม่เคยตรัสในยุคธรรมบัญญัติหรือยุคพระคุณ พระวจนะเหล่านี้คือพระเจ้าทรงนำเส้นทางสู่ชีวิตนิรันดร์มาให้พวกเราในยุคสุดท้าย นี่ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วงโดยสมบูรณ์ดังที่ว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล’ (ยอห์น 16:12-13)”
พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกบทตอนหนึ่งหลังจากนั้น “พระคริสต์ของยุคสุดท้ายทรงนำมาซึ่งชีวิต และทรงนำมาซึ่งหนทางแห่งความจริงที่ยืนนานและสถาพร ความจริงนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ได้รับชีวิต และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้รู้จักพระเจ้าและได้รับการรับรองจากพระเจ้า หากเจ้าไม่แสวงหาหนทางแห่งชีวิตที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับการรับรองจากพระเยซู และจะไม่มีทางมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะเข้าสู่ประตูของอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพราะเจ้านั้นเป็นทั้งหุ่นเชิดและนักโทษของประวัติศาสตร์ พวกที่ถูกควบคุมโดยกฎระเบียบต่างๆ โดยตัวอักษร และถูกพันธนาการโดยประวัติศาสตร์จะไม่มีทางได้รับชีวิตหรือได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ นี่เป็นเพราะทั้งหมดที่พวกเขามีนั้นคือน้ำขุ่นซึ่งได้ถูกเก็บกักมาเป็นเวลาหลายพันปีแทนที่จะเป็นน้ำแห่งชีวิตซึ่งไหลมาจากพระบัลลังก์ พวกที่ไม่ได้รับการจัดหาน้ำแห่งชีวิตมาให้จะยังคงเป็นซากศพ ของเล่นของซาตาน และบุตรแห่งนรกไปตลอดกาล เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะเห็นพระเจ้าได้อย่างไร? หากเจ้าเพียงแค่พยายามยึดติดกับอดีต เพียงแค่พยายามเก็บรักษาสิ่งต่างๆ อย่างที่เป็นอยู่โดยการอยู่นิ่งเฉย และไม่พยายามเปลี่ยนสถานภาพปัจจุบันและละทิ้งประวัติศาสตร์ไปเสีย เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่ต่อต้านพระเจ้าตลอดเวลาหรอกหรือ? ขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้านั้นมากมายมหาศาลและมีฤทธานุภาพ ดั่งคลื่นที่ถาโถมและฟ้าที่ร้องคำรามต่อเนื่อง—กระนั้นเจ้าก็นั่งรอคอยการทำลายล้างอย่างนิ่งเฉย เกาะติดอยู่กับความโง่เขลาของเจ้าและไม่ทำอะไรเลย อย่างนี้แล้ว เจ้าจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นใครสักคนที่ติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดกได้อย่างไร? เจ้าจะสามารถแก้ต่างให้พระเจ้าที่เจ้ายึดติดนั้นว่าเป็นพระเจ้าที่มีความใหม่และไม่เคยเก่าอยู่เสมอได้อย่างไร? และถ้อยคำจากบรรดาหนังสือที่เก่าจนเหลืองคร่ำคร่าของเจ้าจะสามารถหอบหิ้วเจ้าข้ามเข้าสู่ยุคใหม่ได้อย่างไร? ถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถนำทางเจ้าในการแสวงหาขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร? และถ้อยคำเหล่านั้นจะสามารถพาเจ้าขึ้นไปสู่สวรรค์ได้อย่างไร? สิ่งที่เจ้าถือไว้ในมือของเจ้านั้นคือตัวอักษรที่สามารถให้ได้แต่เพียงการปลอบใจชั่วคราว ไม่ใช่ความจริงที่สามารถให้ชีวิตได้ คัมภีร์ที่เจ้าอ่านสามารถประเทืองปลายลิ้นของเจ้าได้เท่านั้น และไม่ใช่ถ้อยคำแห่งปรัชญาที่สามารถช่วยให้เจ้ารู้จักชีวิตมนุษย์ได้ นับประสาอะไรกับเส้นทางที่สามารถนำทางเจ้าไปสู่ความเพียบพร้อม ความคลาดเคลื่อนนี้ไม่ได้เป็นสาเหตุให้เจ้าพิจารณาไตร่ตรองหรอกหรือ? มันไม่ได้ทำให้เจ้าตระหนักถึงความล้ำลึกต่างๆ ที่บรรจุอยู่ภายในหรอกหรือ? เจ้าสามารถนำส่งตัวเจ้าเองสู่สวรรค์เพื่อพบพระเจ้าด้วยตัวของเจ้าเองได้หรือ? หากปราศจากการเสด็จมาของพระเจ้า เจ้าจะสามารถพาตัวเจ้าเองเข้าสู่สวรรค์เพื่อชื่นชมความสุขในครอบครัวกับพระเจ้าได้หรือ? เจ้ายังคงฝันกลางวันอยู่ในขณะนี้หรือไม่? เช่นนั้นแล้ว เราแนะนำให้เจ้าหยุดฝันแล้วมองดูว่าใครที่กำลังทำงานอยู่ในขณะนี้ ดูว่าใครที่กำลังดำเนินงานในการช่วยมนุษย์ให้รอดระหว่างยุคสุดท้ายอยู่ในขณะนี้ หากเจ้าไม่ทำ เจ้าก็จะไม่มีวันได้รับความจริง และจะไม่มีวันได้รับชีวิต” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้) เหล่าผู้สอนศาสนาจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้แบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้ค่ะ “ถ้าเราเอาแต่ยึดติดกับพระคริสตธรรมคัมภีร์ในความเชื่อของเราโดยไม่ยอมรับถ้อยดำรัสของพระเจ้าในยุคสุดท้าย เราจะไม่มีวันได้รับการรดน้ำและการค้ำจุนจากน้ำแห่งชีวิตของพระเจ้า หากปราศจากการพิพากษาและการชำระให้บริสุทธิ์ของพระเจ้า เราจะแค่มีชีวิตอยู่ในวัฏจักรแห่งการทำบาปแล้วก็การสารภาพ หากปราศจากการหลีกหนีพันธะแห่งบาป ใครก็ตามจะเหมาะสมที่จะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้อย่างไร โดยการยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายเท่านั้น ที่เราสามารถได้รับการรดน้ำและค้ำจุนโดยพระวจนะของพระเจ้า เข้าใจความจริง ได้เป็นอิสระจากอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเรา และได้รับการชำระให้สะอาด เมื่อนั้นเท่านั้นที่เราจะเหมาะสมที่จะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์”
ฉันรู้สึกรู้แจ้งและตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อได้ฟังค่ะ การสามัคคีธรรมความจริงนี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากเหลือเกิน ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ไม่มีชีวิตนิรันดร์ มันเป็นแค่คำพยานต่อพระเจ้า มันไม่ได้เป็นตัวแทนของพระเจ้า อย่าว่าแต่จะแทนที่พระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์เลยค่ะ พระคริสต์เท่านั้นที่ทรงเป็นหนทาง เป็นความจริง และเป็นชีวิต พระคริสต์เท่านั้นที่สามารถประทานความจริงและชีวิตให้แก่เราได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ทรงแสดงความจริงทั้งหมดเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด แต่ฉันแค่ไม่สามารถปล่อยวางพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้ นั่นมันช่างโง่เขลานัก! ฉันรู้สึกสำนึกในบุญคุณที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงนำให้ฉันได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และหันกลับมาจากมุมมองเรื่องความเชื่อที่น่าขบขันของฉัน จากนั้นฉันก็ยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้ายอย่างเป็นทางการค่ะ!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
โดย Allie, สหรัฐอเมริกา ฉันเคยบัพติศมาในนามขององค์พระเยซูเจ้าในปี 1990 และพอปี 1998 ฉันก็ได้เป็นผู้ร่วมงานของคริสตจักร...
โดย หลี่ชุนเม่ย, เกาหลีใต้ ฉันได้มาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อปี 2012 ค่ะ ฉันได้ยินศิษยาภิบาลพูดในการชุมนุมบ่อยๆ ว่า “พระคัมภีร์กล่าวว่า...
โดย ซุนยวี่ ประเทศจีน ปี 2000 ฉันได้มาเป็นคริสเตียน ศิษยาภิบาลชาวเกาหลีใต้ จะเทศน์ให้เราฟังค่อนข้างบ่อย ในการปรนนิบัติครั้งหนึ่ง...
โดย Zheng Lu, ประเทศจีน ผมเกิดในครอบครัวคริสเตียน พ่อของผมพูดอยู่บ่อยๆ ว่า “การเชื่อในพระเจ้าจะทำให้บาปของเราได้รับการอภัย...