ความลึกลับแห่งพระนามของพระเจ้า

วันที่ 14 เดือน 10 ปี 2020

โดย Zhencheng, สหรัฐอเมริกา

แม้ว่าพระยาห์เวห์ พระเยซู และพระเมสสิยาห์ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนวิญญาณของเราทั้งสิ้น แต่ชื่อเหล่านี้ก็แค่แสดงถึงยุคที่แตกต่างกันของแผนการบริหารจัดการของเราเท่านั้น และไม่ได้เป็นตัวแทนเราในความครบถ้วนทั้งมวลของเรา ชื่อต่างๆ ซึ่งผู้คนบนแผ่นดินโลกใช้เรียกขานเราไม่สามารถแสดงชัดถึงอุปนิสัยครบถ้วนทั้งมวลของเราและทุกอย่างที่เราเป็นได้ ชื่อเหล่านั้นเป็นเพียงชื่อต่างๆ ซึ่งผู้คนใช้เรียกขานเราระหว่างยุคที่ต่างกันเท่านั้น และดังนั้น เมื่อยุคสุดท้าย—ยุคแห่งวันสุดท้าย—มาถึง ชื่อของเราก็จะเปลี่ยนอีกครั้ง เราจะไม่ถูกเรียกว่าพระยาห์เวห์ หรือพระเยซู นับประสาอะไรที่จะเรียกว่าพระเมสสิยาห์—เราจะถูกเรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงฤทธานุภาพพระองค์เอง และภายใต้ชื่อนี้เราจะนำยุคทั้งยุคไปสู่บทอวสาน(“นัยสำคัญของพระนามของพระเจ้า” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) เพลงสรรเสริญพระวจนะของพระเจ้าเพลงนี้ช่วยให้ผมเข้าใจ ว่าชื่อที่พระเจ้าทรงใช้ในแต่ละยุคนั้นมีความหมายซ่อนอยู่ แต่ไม่มีชื่อไหนเลยที่เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้า รวมถึงสิ่งที่พระองค์มีหรือเป็นได้อย่างสมบูรณ์ ชื่อเป็นเพียงตัวแทนพระราชกิจของพระองค์ รวมถึงพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงให้เห็นในยุคนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นมีมากล้นและครอบคลุมทุกสิ่ง มนุษย์ไม่สามารถจำกัดขอบเขตให้พระเจ้า หรือกำหนดว่าพระนามของพระองค์นั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ผมไม่เคยเข้าใจความหมายของชื่อที่พระเจ้าทรงใช้ในแต่ละยุค เลยมั่นใจว่าพระนามของพระองค์นั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ผมหลับหูหลับตายึดติดกับพระนามขององค์พระเยซูเจ้า และปฏิเสธที่จะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมเกือบเสียโอกาสในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วครับ

ผมไปคริสตจักรกับคุณย่าตั้งแต่เด็ก ศิษยาภิบาลอ้างอิงถึงวรรคตอนเหล่านี้อยู่หลายครั้ง: “พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์” (ฮีบรู 13:8) “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กิจการ 4:12) ผมมั่นใจว่าองค์พระเยซูเจ้าเท่านั้นคือพระเจ้าที่แท้จริง และทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาติ และตราบใดที่ผมรักษาพระนามและหนทางของพระองค์ไว้ เมื่อพระองค์เสด็จมา ผมก็จะถูกพาเข้าสู่สวรรค์

ต่อมาในปี 2017 ภรรยาของผมยอมรับข่าวประเสริฐของราชอาณาจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ วันหนึ่งเธอพาน้องสาวมาที่บ้านเพื่อแบ่งปันเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทฤทธิ์ในยุคสุดท้ายกับผม ตอนแรกผมยังไม่รู้เรื่องอะไร เลยแค่นั่งฟังการสามัคคีธรรมของเธอ แต่พอผมได้ยินเธอพูดว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็ดื้อรั้นและไม่อยากได้ยินอะไรอีกแล้ว พอรู้ว่าภรรยาของผมเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็เริ่มขัดขวางเธอ บอกว่า “‘นามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า’ เราจะไม่ได้รับการช่วยให้รอดเว้นแต่เราซื่อสัตย์ต่อพระนามแห่งองค์พระเยซูเจ้า คุณเองก็เชื่อมาตั้งหลายปี แล้วไม่รู้เรื่องนี้ได้ยังไง” เธอแย้งกลับมาว่า “เราได้รับการช่วยให้รอดในพระนามแห่งองค์พระเยซูเจ้า นั่นแปลว่าบาปของเราได้รับการอภัย เราจึงไม่ถูกกล่าวโทษภายใต้ธรรมบัญญัติ แต่เรายังใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งการทำบาปและสารภาพบาป เราไม่ได้เป็นอิสระจากพันธนาการแห่งบาป องค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาแล้ว และทรงเริ่มต้นยุคแห่งราชอาณาจักรในนามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงเพื่อเปิดเผยธรรมชาติเยี่ยงซาตานซึ่งเปี่ยมด้วยบาปที่ต่อต้านพระเจ้าของเรา ทรงพิพากษาการเป็นกบฏและความไม่ชอบธรรมของมนุษยชาติ และประทานเส้นทางเพื่อแก้ไขธรรมชาติที่เปี่ยมไปด้วยบาปของเรา เราต้องยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และต้องได้รับการชำระความเสื่อมทราม เพื่อให้ได้รับการช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์และได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า” แต่ผมกลับเต็มไปด้วยมโนคติที่หลงผิดจนไม่สามารถยอมรับในสิ่งที่ภรรยาพูดได้ ผมรู้ว่าเธอจะเชื่อฟังพ่อแม่เสมอ จึงไปขอให้พวกท่านช่วยกันห้ามเธอ แต่เธอก็ไม่ไหวติง ยังยืนกรานว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาแล้ว ทั้งยังสนับสนุนให้พวกเราศึกษาดู แทนที่จะตัดสินและกล่าวโทษไปอย่างผลีผลาม

ผมพยายามอย่างหนักเพื่อหยุดไม่ให้เธอเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมค้นหาในพระคัมภีร์ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง และพบการเทศนาธรรมบนออนไลน์จากนักเทศน์ที่มีชื่อเสียง ผมจึงดาวน์โหลดมาและเปิดให้เธอฟัง ผมคิดว่าเธอคงจะเปลี่ยนใจ แต่เธอกลับเทศนาผมตอบ ซึ่งนั่นทำให้ผมโกรธ แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้เลย เราต่างปฏิบัติตามความเชื่อของตัวเองต่อไป หลังจากนั้นผมก็ตั้งใจเผชิญหน้ากับเธอตัวต่อตัว เมื่อเธออ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมจะอ่านพระคัมภีร์ เมื่อเธอเปิดเพลงสรรเสริญของคริสตจักร ผมจะเปิดเพลงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเธอฟังการเทศนาธรรมจากคริสตจักรของเธอ ผมจะฟังการเทศนาธรรมจากศิษยาภิบาล เราถกกันเรื่องพระคัมภีร์ตลอดเวลา แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะไม่เคยสู้ผมได้เลย ทั้งเรื่องสำบัดสำนวน ความรู้ หรือประสบการณ์ แต่พอเห็นว่าทุกอย่างที่เธอพูดตอนนี้ช่างหลักแหลมมาก ผมก็รู้สึกประหลาดใจ คำพูดของเธอมีน้ำหนัก อีกทั้งการโต้แย้งของเธอก็ทำให้ผมพูดไม่ออกและทำอะไรไม่ถูก ผมรู้ว่าผมไม่สามารถดูแคลนเธอได้อีกต่อไป ผมคิดว่า เพราะตอนนี้ความรู้ด้านพระคัมภีร์ของผมเทียบชั้นเธอไม่ติด ผมก็ต้องศึกษาพระคัมภีร์อย่างเป็นระบบเพื่อที่จะถกกับเธอให้ชนะ

วันหนึ่งผมเจอวรรคนี้ในบทอพยพที่ 3 ในพันธสัญญาเดิม: “พระเจ้าจึงตรัสกับโมเสสอีกว่า ‘เจ้าจงกล่าวแก่ชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า “พระยาห์เวห์ พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของพวกท่าน คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ ทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน” นี่เป็นนามของเราตลอดไปเป็นนิตย์ เป็นอนุสรณ์ของเราตลอดทุกชั่วชาติพันธุ์’” (อพยพ 3:15) สิ่งนี้ทำให้ผมสงสัยว่า เนื่องจากพระวจนะของพระเจ้าระบุไว้อย่างชัดเจนว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าคือพระนามของพระองค์ตลอดไป ทำไมในยุคพระคุณพระองค์ถึงถูกเรียกว่าพระเยซูล่ะ แล้วผมก็นึกถึงพระวจนะนี้จากพันธสัญญาเดิมขึ้นมาได้: “เรา เราเองคือยาห์เวห์ และนอกจากเรา ไม่มีพระผู้ช่วยให้รอด(อิสยาห์ 43:11) แต่ในพันธสัญญาใหม่บอกว่า: “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กิจการ 4:12) ทั้งหมดนี้หมายถึงอะไรกัน ผมอ่านวรรคตอนเหล่านี้ซ้ำไปซ้ำมา แต่มันยิ่งทำให้ผมสงสัยมากขึ้น ผมคิดว่า “องค์พระเยซูเจ้าไม่ใช่พระผู้ช่วยให้รอดเหรอ เพราะพระยาห์เวห์พระเจ้าและพระเยซูคือพระเจ้าหนึ่งเดียว ทำไมพระนามของพระองค์ถึงต่างกันล่ะ หรือจริงๆ พระนามของพระเจ้านั้นเปลี่ยนแปลงได้อย่างที่ภรรยาของฉันบอก” ผมนึกถึงระหว่างการถกเถียงของเรา ที่ผมได้พบว่าความเข้าใจของภรรยาเติบโตขึ้นนับตั้งแต่เธอเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คำพูดของเธอหลักแหลมและมีแก่นสาร หากไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คงไม่มีใครสามารถก้าวหน้าอย่างรวดเร็วได้ด้วยตัวเอง ผมเริ่มถามตัวเองว่า “ฉันเข้าใจผิดงั้นเหรอ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาแล้วจริงๆ เหรอ ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกคือหนทางที่แท้จริงงั้นเหรอ ถ้าเกิดมันเป็นหนทางที่แท้จริงแล้วฉันรั้งภรรยาเอาไว้ ฉันไม่ได้จะต่อต้านพระเจ้าหรือนี่” ผมสับสนมากครับ อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ผมอยากเข้าใจเรื่องนี้ให้กระจ่างจะแย่ แต่ผมก็ไม่เต็มใจที่จะทิ้งศักดิ์ศรีแล้วไปถามภรรยา

ในความพยายามที่จะคิดให้ออก ผมก็เริ่มเข้าไปเยี่ยมชมและติดตามช่องของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บนยูทูบ แอบศึกษาพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย วันหนึ่ง ผมได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ชื่อ “พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน ‘เมฆขาว’ แล้ว” พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “‘พระยาห์เวห์’ คือชื่อที่เราใช้ในช่วงระหว่างงานของเราในอิสราเอล และหมายถึงพระเจ้าของคนอิสราเอล (ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร) ที่สามารถเวทนามนุษย์ สาปแช่งมนุษย์ และนำทางชีวิตของมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงครองมหาฤทธานุภาพและเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาญาณ ‘พระเยซู’ คือ อิมมานูเอล ซึ่งหมายถึงเครื่องบูชาลบล้างบาปอันเปี่ยมไปด้วยความรัก เปี่ยมไปด้วยความสงสาร และไถ่บาปให้มนุษย์ พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคพระคุณ และพระองค์ทรงเป็นตัวแทนยุคพระคุณ และสามารถเป็นตัวแทนได้เพียงหนึ่งส่วนของพระราชกิจของแผนการบริหารจัดการเท่านั้น…ในแต่ละยุคและแต่ละช่วงระยะในงานของเรา ชื่อของเรานั้นใช่ว่าไม่มีพื้นฐานที่มา แต่ถือครองนัยสำคัญเชิงตัวแทน กล่าวคือ แต่ละชื่อเป็นตัวแทนหนึ่งยุค ‘พระยาห์เวห์’ ทรงเป็นตัวแทนยุคธรรมบัญญัติ และเป็นพระนามซึ่งแสดงการถวายพระเกียรติซึ่งประชาชนอิสราเอลใช้เรียกพระเจ้าผู้ที่พวกเขานมัสการ ‘พระเยซู’ ทรงเป็นตัวแทนยุคพระคุณ และเป็นพระนามของพระเจ้าของทุกคนที่ได้รับการไถ่ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ หากมนุษย์ยังคงถวิลหาการเสด็จมาถึงของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย และยังคงคาดหวังว่าพระองค์จะเสด็จมาถึงในพระฉายาที่พระองค์ทรงใช้ในแคว้นยูเดีย เช่นนั้นแล้วแผนการบริหารจัดการสำหรับหกพันปีทั้งหมดทั้งสิ้นก็คงจะหยุดลงไปแล้วในยุคแห่งการไถ่ และคงไม่อาจคืบหน้าไปได้มากกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยุคสุดท้ายจะไม่มีวันมาถึง และยุคนั้นจะไม่มีวันถูกนำพาไปถึงบทอวสาน นี่เป็นเพราะพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดทรงดำรงอยู่เพื่อการไถ่และความรอดของมวลมนุษย์เท่านั้น เราได้ใช้ชื่อพระเยซูเพียงเพื่อประโยชน์ของคนบาปทั้งหมดในยุคพระคุณเท่านั้น แต่ไม่ใช่ชื่อที่เราจะใช้เพื่อนำพามวลมนุษย์ทั้งปวงไปสู่บทอวสาน(พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ผมคิดถึงประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาในใจ คำอธิบายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เรื่องความสำคัญของชื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าและพระเยซูนั้นชัดเจนมาก ผมได้เห็นว่าพระนามของพระเจ้าสำหรับแต่ละยุคก็เพื่อเป็นตัวแทนของยุคนั้นๆ “พระยาห์เวห์พระเจ้า” คือชื่อที่พระเจ้าทรงใช้สำหรับพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติ ชื่อนี้เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยแห่งความเมตตาและการสาปแช่งของพระเจ้า “พระเยซู” คือพระนามของพระเจ้าสำหรับยุคพระคุณเท่านั้น และชื่อนั้นก็เป็นตัวแทนของพระอุปนิสัยแห่งความรักและเมตตาของพระเจ้า ในที่สุดผมก็ได้เห็นว่าพระนามของพระเจ้านั้นเปลี่ยนแปลงได้ ทุกครั้งที่พระองค์ทรงพระราชกิจในระยะใหม่ พระองค์ก็ทรงใช้ชื่อใหม่ มันเป็นเหตุผลที่ชัดเจนว่า เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในยุคสุดท้ายก็จะมีชื่อใหม่อีก

จากนั้น ผมก็ได้เห็นพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ “ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นที่รู้จักในนามพระยาห์เวห์ เรายังเคยถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์เช่นกัน และครั้งหนึ่งผู้คนเรียกเราว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความรักและความเคารพยกย่อง อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ เราไม่ใช่พระยาห์เวห์หรือพระเยซูซึ่งผู้คนได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกต่อไป เราคือพระเจ้าผู้ที่ได้กลับมาในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ที่จะนำพายุคนี้ไปสู่บทอวสาน เราคือพระเจ้าพระองค์เองซึ่งลุกขึ้นมาจากสุดปลายแผ่นดินโลก สมบูรณ์พร้อมด้วยอุปนิสัยอันครบถ้วนทั้งมวลของเรา และเต็มเปี่ยมไปด้วยสิทธิอำนาจ เกียรติ และสง่าราศี ผู้คนไม่เคยเข้ามาร่วมสัมพันธ์กับเรา ไม่เคยได้รู้จักเรา และไม่รู้เท่าทันในอุปนิสัยของเราตลอดเวลา ตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ ไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่เคยเห็นเรา นี่คือพระเจ้าผู้ที่ทรงปรากฏต่อมนุษย์ในยุคสุดท้ายแต่ได้ทรงถูกซ่อนไว้ท่ามกลางมนุษย์ พระองค์ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ทรงเที่ยงแท้และเป็นจริง ดุจดวงสุรีย์ที่แผดเผาและเปลวเพลิงที่ลุกโชน ทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพและปริ่มล้นด้วยสิทธิอำนาจ ไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกพิพากษาโดยวจนะของเรา และไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านทางการแผดเผาของไฟ ในท้ายที่สุด ชนชาติทั้งมวลจะได้รับการอวยพรเพราะวจนะของเรา และจะถูกทุบจนแหลกเป็นชิ้นๆ เพราะวจนะของเราเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ผู้คนทั้งหมดในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายจะเห็นว่าเราคือพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้กลับมา และเห็นว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวง และทุกคนจะเห็นว่าครั้งหนึ่งเราคือเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์ แต่เห็นว่าในยุคสุดท้ายเรายังได้กลายเป็นเปลวเพลิงแห่งสุริยันซึ่งเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นจุณเช่นเดียวกับองค์ตะวันแห่งความชอบธรรมซึ่งเปิดเผยทุกสรรพสิ่งด้วย นี่คืองานของเราในยุคสุดท้าย เราใช้ชื่อนี้และครองอุปนิสัยนี้เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดจะได้เห็นว่าเราคือพระเจ้าที่ชอบธรรม ดวงสุรีย์ที่แผดเผา เปลวเพลิงที่ลุกโชน และเพื่อที่ทุกคนจะได้นมัสการเรา พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเรา เราไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และเราไม่ใช่เพียงพระผู้ไถ่ เราคือพระเจ้าของสิ่งทรงสร้างทั้งมวลทั่วทั้งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและห้วงทะเล(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว) พระวจนะเหล่านี้เปี่ยมไปด้วยสิทธิอำนาจ ทุกๆ พระวจนะสะท้านเข้าไปถึงจิตวิญญาณ นี่ต้องเป็นพระวจนะของพระเจ้าเองแน่ ใครที่ไหนจะเปิดเผยความลึกลับแห่งพระนามของพระเจ้าได้กระจ่างอย่างสมบูรณ์แบบขนาดนี้ ยิ่งเห็นผมก็ยิ่งรู้สึกว่ามันคือความจริง มันคือพระสุรเสียงของพระเจ้า ผมนึกถึงยอห์น 16:13 ขึ้นมาได้: “เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” คนเดียวที่บอกเราถึงความจริงและความลึกลับทั้งหมดนี้ได้คือพระเจ้าเองไม่ใช่เหรอ ผมได้ฟังการเทศนาธรรมจากนักเทศน์ที่โด่งดังมามาก แต่ไม่มีใครแจกแจงถึงเหตุผลเบื้องหลัง ของการที่พระเจ้าทรงใช้ชื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าในพันธสัญญาเดิม และใช้ชื่อพระเยซูในพันธสัญญาใหม่เลย มันดูเป็นไปได้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรงปรากฏขององค์พระเยซูเจ้าจริงๆ! ผมรู้สึกละอายใจมากครับ พอคิดถึงการที่ผมปฏิเสธพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิ์ฤทธิ์ แถมยังพยายามห้ามภรรยาไม่ให้สอบสวนมันอีก ผมเสียใจที่ตัดสินและกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าแบบผลีผลามโดยไร้ซึ่งการพิจารณา มันช่างโง่เขลาและเป็นกบฏอย่างยิ่ง! ย้อนกลับไปตอนที่พวกฟาริสี ต่อต้านและกล่าวโทษพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าเพราะมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา และความหมายตามตัวอักษรของพระคัมภีร์ สุดท้ายพวกเขาไม่ได้ถูกพระเจ้าสาปแช่งและลงโทษเหรอครับ ผมต้องเรียนรู้บทเรียนนั้นจากพวกเขา ปล่อยวางมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของตัวเอง รวมถึงสอบสวนพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ผมไม่สามารถกลายเป็นฟาริสียุคใหม่ที่ทำงานต่อต้านพระเจ้าได้

หลังจากนั้น ทุกครั้งที่มีเวลาว่าง ผมจะแอบอ่านพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และดูภาพยนตร์ข่าวประเสริฐของคริสตจักร ผมได้พบว่าบางอัน รวมถึงความล้ำลึกของความเลื่อมใสในศาสนาและความเชื่อในพระเจ้านั้นน่าตื้นตันใจมาก ประสบการณ์ของพี่น้องชายหญิงนั้นแท้จริง อีกทั้งการสามัคคีธรรมของพวกเขาก็ชัดเจน ผมยิ่งมั่นใจขึ้นไปอีกว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา ต่อมาผมก็อยากบอกภรรยาว่าผมจะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย แต่หลังจากทุกอย่างที่ทำไป ผมเลยไม่กล้าเผชิญหน้า วันหนึ่งเมื่อเธอกลับมาจากการชุมนุมผมก็ถามไปว่า “วันนี้คุณสามัคคีธรรมเรื่องอะไรเหรอ” เธอมองผมแบบงงๆ แล้วตอบว่า “คุณถามฉันเรื่องการชุมนุมเพราะคุณอยากสามัคคีธรรมเหรอ ไว้ฉันพาคนจากคริสตจักรมาพูดคุยกับคุณดีไหมคะ” จริงๆ ผมหวังให้เธอพูดแบบนั้นเลยครับ แต่ผมยังอายอยู่เล็กน้อย เลยตอบไปว่า “ก็ตามใจ”

วันต่อมา พี่น้องหญิงคู่หนึ่งจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้มาสามัคคีธรรมกับผม และผมก็แบ่งปันความสับสนของตัวเองไปว่า “ผมอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แบบออนไลน์มาสักพักแล้วครับ และตอนนี้ผมรู้แล้วว่าพระนามของพระเจ้านั้นเปลี่ยนไปตามยุค แต่มีบางเรื่องที่ผมยังไม่เข้าใจ ในพระคัมภีร์กล่าวว่า: ‘พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์’ (ฮีบรู 13:8) ‘ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้นั้น ไม่โปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า’ (กิจการ 4:12) พระคัมภีร์ระบุไว้ชัดเจนว่าพระนามขององค์พระเยซูเจ้าเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แล้วทำไมพระองค์จึงถูกเรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย ไม่ใช่พระเยซูล่ะครับ” จากนั้น พี่น้องหญิงได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สองบทตอนให้ผมฟัง “แก่นแท้ของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม สำหรับพระราชกิจของพระองค์นั้นย่อมเคลื่อนไปในทิศทางข้างหน้าอยู่เสมอ มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้นอยู่เสมอ เพราะพระองค์ทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า ในแต่ละยุค พระเจ้าใช้พระนามใหม่ ในแต่ละยุค พระองค์ทรงพระราชกิจใหม่ และในแต่ละยุค พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้สรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์มองเห็นน้ำพระทัยใหม่และพระอุปนิสัยใหม่ของพระองค์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3))บางคนพูดว่าพระนามของพระเจ้านั้นไม่เปลี่ยน ถ้าเช่นนั้นแล้ว ทำไมพระนามของพระยาห์เวห์จึงได้กลายเป็นพระเยซูเล่า? ได้มีการพยากรณ์ไว้ว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา แล้วเหตุใดชายคนที่มาจึงชื่อพระเยซู? เหตุใดพระนามของพระเจ้าจึงเปลี่ยนพระราชกิจดังกล่าวไม่ได้ถูกดำเนินการนานมาแล้วหรอกหรือ? ขอพระเจ้าทรงโปรดไม่ปฏิบัติพระราชกิจซึ่งใหม่กว่าในวันนี้เลย? พระราชกิจแห่งวันวานสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และพระราชกิจของพระเยซูสามารถเกิดขึ้นตามหลังพระราชกิจของพระยาห์เวห์ได้ เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจอื่นๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นต่อจากพระราชกิจของพระเยซูเชียวหรือ? หากพระนามของพระยาห์เวห์สามารถเปลี่ยนเป็นพระเยซู แล้วพระนามของพระเยซูจะไม่สามารถเปลี่ยนได้เช่นกันหรือ? ไม่มีอะไรในเรื่องนี้ที่แปลกประหลาดเลย เป็นเพียงแค่ว่าผู้คนนั้นด้อยปัญญาเกินไป พระเจ้าจะทรงเป็นพระเจ้าเสมอ ไม่สำคัญว่าพระราชกิจของพระองค์จะเปลี่ยนไปเช่นใด และไม่คำนึงถึงว่าพระนามของพระองค์อาจเปลี่ยนไปเช่นใด พระอุปนิสัยและพระปรีชาญาณของพระองค์จะไม่มีวันเปลี่ยน หากเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงได้รับการเรียกขานได้ว่าพระเยซูเท่านั้น เช่นนั้นแล้วความรู้ของเจ้าก็ย่อมถูกจำกัดมากเกินไปแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มนุษย์ผู้ที่ได้จำกัดเขตพระเจ้าไว้ในมโนคติที่หลงผิดของเขาสามารถได้รับวิวรณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร?)พระนามของพระเยซูนั้นใช้ทำพระราชกิจแห่งการไถ่ ดังนั้นพระองค์จะยังคงใช้พระนามเดียวกันเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายหรือ? พระองค์จะยังทรงพระราชกิจแห่งการไถ่อยู่อีกหรือ? เหตุใดจึงเป็นว่าพระยาห์เวห์กับพระเยซูคือหนึ่งเดียวกัน ทว่าทั้งสององค์กลับมีพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน? มิใช่เพราะว่ายุคแห่งพระราชกิจของทั้งสององค์นั้นแตกต่างกันหรอกหรือ? ชื่อเพียงชื่อเดียวสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์หรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเจ้าจึงต้องมีพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างออกไป และพระองค์ต้องใช้พระนามนั้นๆ มาเปลี่ยนแปลงยุคและเป็นตัวแทนยุคนั้น เพราะชื่อเพียงชื่อเดียวไม่สามารถแทนพระเจ้าพระองค์เองได้อย่างเต็มเปี่ยม และแต่ละชื่อสามารถเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าในยุคหนึ่งๆ ได้เฉพาะในแง่มุมที่เกี่ยวกับยุคเท่านั้น ทั้งหมดที่ชื่อหนึ่งต้องทำก็คือเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้นพระเจ้าจึงสามารถเลือกพระนามใดก็ได้ที่เหมาะสมกับพระอุปนิสัยของพระองค์เพื่อเป็นตัวแทนยุคนั้นทั้งยุค(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3))

จากนั้น หนึ่งในพี่น้องหญิงก็แบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้ “การบอกว่าพระเจ้าทรงไม่มีวันเปลี่ยนแปลงนั้นพูดถึงพระอุปนิสัยและเนื้อแท้ของพระองค์ ไม่ใช่พระนามของพระองค์ พระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่เคยเก่า อีกทั้งพระราชกิจของพระองค์ก็ก้าวไปข้างหน้าเสมอ พระนามของพระเจ้ายังเปลี่ยนไปตามพระราชกิจของพระองค์ และเปลี่ยนไปตามยุคอีกด้วย แต่ละชื่อเป็นตัวแทนของหนึ่งยุคและหนึ่งระยะของพระราชกิจของพระเจ้า การบอกว่าพระนามของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลงนั้นหมายถึงมันจะไม่เปลี่ยนไปในระยะเวลาของยุคนั้น ดังนั้น ตราบใดที่พระราชกิจในยุคนั้นของพระองค์ยังไม่เสร็จสิ้น พระนามของพระองค์จะไม่เปลี่ยนไปตลอดระยะเวลาของยุคนั้นค่ะ แต่เมื่อพระเจ้าทรงเริ่มดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในยุคใหม่ พระองค์ก็ทรงเปลี่ยนพระนามไปพร้อมกับพระราชกิจ พระองค์ทรงใช้พระนามเพื่อนำเข้าสู่ยุคใหม่ และพระนามของพระเจ้าก็เป็นตัวแทนของพระราชกิจและพระอุปนิสัยของพระองค์ในแต่ละยุค ในยุคธรรมบัญญัติ พระนามของพระเจ้าคือพระยาห์เวห์พระเจ้า และพระองค์ทรงพระราชกิจของยุคนั้นด้วยชื่อนั้น พระองค์ทรงกำหนดกฎหมายและข้อบัญญัติเพื่อนำการใช้ชีวิตบนโลกให้แก่มนุษยชาติในยุคแรก พวกเขาจึงรู้ว่าบาปคืออะไร การบูชาพระยาห์เวห์พระเจ้าทำยังไง ทำอย่างไรจึงจะรักษาธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ อีกทั้งได้รับพระพรจากพระเจ้าได้ ใครก็ตามที่ละเมิดกฎหมายจะถูกปาหินใส่จนตาย หรือถูกเผาด้วยเพลิงแห่งสวรรค์ ชื่อพระยาห์เวห์พระเจ้านั้นเป็นตัวแทนแห่งพระบารมี พระพิโรธ พระเมตตา และการทรงสาปแช่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้าในยุคธรรมบัญญัติ ช่วงปลายของยุคนั้น มนุษย์เสื่อมทรามและเต็มไปด้วยบาปมากขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถทำตามกฎหมายได้อีกต่อไป พวกเขาล้วนเสี่ยงที่จะถูกประหารชีวิตจากการละเมิดกฎหมายอยู่ตลอด พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมายังโลกตามแผนพระราชกิจของพระองค์ และความต้องการของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม พระองค์ทรงเริ่มต้นยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติโดยใช้พระนามว่า ‘พระเยซู’ พระองค์ทรงไถ่มนุษยชาติและประทานหนทางแห่งการกลับใจให้เรา ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยที่เมตตาและเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้า อีกทั้งได้ประทานพระคุณอันเหลือเชื่อแก่มนุษยชาติ ในที่สุดพระองค์ก็ทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่พวกเราจากบาป นับแต่นั้นมา เราเพียงต้องอธิษฐานในพระนามแห่งองค์พระเยซูเจ้า เพื่อให้บาปของเราได้รับการอภัย และได้เพลิดเพลินกับพระคุณอันล้นพ้นของพระเจ้า ชื่อพระเยซูเป็นตัวแทนของพระราชกิจแห่งการไถ่เท่านั้น และความหมายของชื่อก็คือ เครื่องบูชาไถ่บาปซึ่งไถ่มนุษยชาติผู้เสื่อมทราม เปี่ยมไปด้วยความรักและความเมตตา เราสามารถเห็นได้ว่าแต่ละชื่อที่พระเจ้าทรงเลือกใช้ในแต่ละยุคนั้นมีความหมายซ่อนอยู่เบื้องหลัง ทุกชื่อเป็นตัวแทนของพระราชกิจและพระอุปนิสัยของพระองค์สำหรับยุคนั้นๆ พระราชกิจของพระเจ้าก้าวไปข้างหน้าเสมอ และพระนามของพระองค์ก็เปลี่ยนไปตามแต่ละระยะของพระราชกิจ ในยุคพระคุณ เมื่อพระเจ้าเสด็จมาในหมู่มนุษย์ หากพระองค์ทรงใช้พระนามพระยาห์เวห์พระเจ้าอยู่ พระราชกิจของพระองค์จะยังอยู่ในยุคธรรมบัญญัติ และมนุษยชาติผู้เสื่อมทรามคงไม่มีวันได้รับการไถ่ของพระเจ้า พวกเขาคงจบลงด้วยการถูกลงโทษและกล่าวโทษสำหรับการละเมิดธรรมบัญญัติ ตอนนี้องค์พระผู้เป็นทรงกลับมาในยุคสุดท้าย หากพระองค์ยังใช้พระนามว่าพระเยซู มนุษยชาติคงจะไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าจากการอภัยในบาปของยุคพระคุณได้ เราคงจะไม่มีวันได้เป็นอิสระจากบาป ได้รับการชำระและช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ รวมถึงได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า”

พี่น้องหญิงอีกคนก็ได้สามัคคีธรรมเพิ่มเติมว่า “แม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงไถ่เราจากบาปในยุคพระคุณแล้ว เรายังคงมีธรรมชาติที่เต็มเปี่ยมไปด้วยบาป เราโอหัง เห็นแก่ตัว น่ารังเกียจ หลอกหลวง ชั่วร้าย และละโมบ อุปนิสัยที่เสื่อมทรามยังคงฝังรากลึกอยู่ในตัวเรา และมันขับเคลื่อนเราให้ทำบาปและต่อต้านพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา เราใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะของการทำบาปและสารภาพบาป เราไม่สามารถปฏิบัติพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ เรายังไม่สามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ เพราะพระเจ้านั้นบริสุทธิ์ มนุษย์ผู้โสโครกจึงไม่คู่ควรที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งในนามของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงเริ่มต้นยุคแห่งราชอาณาจักรเพื่อช่วยมนุษยชาติผู้เสื่อมทรามให้รอดพ้นจากบาปโดยถ้วนทั่ว” เธอบอกว่า พระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าในยุคสุดท้ายคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และนั่นทำให้คำเผยพระวจนะเหล่านั้นในวิวรณ์ลุล่วง “คนที่ชนะ เราจะตั้งให้เขาเป็นเสาหลักอยู่ในพระวิหารของพระเจ้าของเรา และเขาจะไม่ออกไปจากพระวิหารอีกเลย และบนตัวเขา เราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเรา และชื่อเมืองของพระเจ้าของเรา คือนครเยรูซาเล็มใหม่ที่ลงมาจากสวรรค์จากพระเจ้าของเรา และเราจะจารึกนามใหม่ของเราด้วย(วิวรณ์ 3:12)พระเจ้าผู้ทรงเป็นอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ตรัสว่า ‘เราเป็นอัลฟาและโอเมกา’(วิวรณ์ 1:8) และยังมีวิวรณ์ 11:17 “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ที่ทรงเป็นอยู่และผู้ที่ทรงเคยเป็นอยู่ พวกข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงถือครองฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้ว และทรงเริ่มครอบครอง” เธอพูดต่อไปว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงเพื่อตีแผ่ธรรมชาติที่เสื่อมทรามของมนุษยชาติ เพื่อให้เราสามารถเข้าใจรากเหง้าแห่งความเสื่อมทรามของตัวเอง เห็นถึงความเป็นจริงของความเสื่อมทรามโดยซาตานของเรา อีกทั้งรู้ถึงพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมและไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองได้ของพระเจ้า ในที่สุด เราก็สามารถเกลียดชังและละทิ้งตัวเอง ปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า เกรงกลัวพระเจ้าและหลบหลีกความชั่วร้ายได้ เราจะค่อยๆ เป็นอิสระจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตัวเอง อีกทั้งได้รับการชำระและช่วยให้รอดโดยสมบูรณ์ พระเจ้ายังทรงแบ่งมนุษย์ไปตามประเภทของพวกเขาผ่านพระราชกิจการพิพากษาของพระองค์ ทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยที่ชอบธรรมและเปี่ยมด้วยบารมี ซึ่งไม่ทนต่อการทำให้ขุ่นเคือง สุดท้ายพระองค์จะทรงทำลายโลกเก่าใบนี้เพื่อสิ้นสุดแผนการบริหารจัดการกว่าหกพันปีของพระองค์ คนทั้งหมดผู้ซึ่งยอมรับพระนามแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ซึ่งผ่านการพิพากษาและได้รับการชำระ จะถูกพาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า เขาเหล่านั้นที่เกลียดชังความจริง คนที่ต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็จะถูกขับไล่และถูกลงโทษในความวิบัติครั้งใหญ่ นั่นจะเป็นการสิ้นสุดพระราชกิจการบริหารจัดการของพระเจ้า จากนั้นพระเจ้าจะไม่ทรงมีพระนามเฉพาะอีก แต่พระอัตลักษณ์แรกเริ่มของพระองค์จะได้รับการกู้คืน—ซึ่งคือพระผู้สร้างนั่นเอง เหมือนกับที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า: ‘วันนั้นจะมาถึง เมื่อพระเจ้าจะไม่ได้ทรงพระนามว่ายาห์เวห์ เยซู หรือเมสสิยาห์—แต่พระองค์จะเป็นเพียงพระผู้สร้าง เมื่อนั้นพระนามทั้งหมดที่พระองค์มีบนแผ่นดินโลกย่อมจะถึงกาลสิ้นสุด เพราะพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกย่อมจะถึงกาลสิ้นสุดแล้ว และหลังจากนั้นจะไม่มีพระนามทั้งหลายของพระองค์อีกแล้ว เมื่อสรรพสิ่งมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง พระองค์จะต้องประสงค์พระนามที่เหมาะสมยิ่ง แต่ไม่ครบบริบูรณ์ ไปเพื่อสิ่งใด? ขณะนี้เจ้ายังคงแสวงหาพระนามของพระเจ้าอยู่หรือไม่? เจ้ายังกล้าที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงพระนามว่ายาห์เวห์เท่านั้นหรือไม่? เจ้ายังคงกล้าที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงพระนามได้ว่าเยซูเท่านั้นหรือไม่? เจ้าสามารถแบกรับบาปแห่งการหมิ่นประมาทพระเจ้าได้หรือ?’ (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3))” การได้ฟังการสามัคคีธรรมของพี่น้องหญิงน่าตื่นเต้นมากครับ ผมได้เห็นว่าความหมายเบื้องหลังพระนามของพระเจ้านั้นลึกซึ้งแค่ไหน พระองค์คือพระผู้สร้าง ผู้ซึ่งไม่ได้มีพระนามมาแต่เดิม พระองค์ทรงใช้พระนามที่ต่างกันสำหรับพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดเท่านั้น พระยาห์เวห์พระเจ้า พระเยซู และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทั้งหมดนั้นคือพระเจ้าเพียงหนึ่งเดียว พระองค์ทรงพระราชกิจสามระยะในสามยุคที่ต่างกันจนลุล่วง และพระนามที่พระองค์ทรงใช้ในแต่ละยุคก็ล้วนมีความสำคัญในตัวเอง ชื่อทั้งหมดต่างเป็นตัวแทนของพระอุปนิสัยและพระราชกิจของพระเจ้าในยุคนั้นๆ พอผมเข้าใจทั้งหมดนี้แล้ว ผมก็ยอมรับในพระราชกิจในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างเป็นทางการครับ

มองย้อนกลับไปผมเกลียดตัวเองว่าเคยตาบอด โง่เขลาและไร้เหตุผลขนาดไหน ผมยึดติดอยู่กับตัวอักษรในพระคัมภีร์ จินตนาการว่าพระนามของพระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องถูกเรียกว่าพระเยซูเมื่อพระองค์ทรงกลับมา หากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงและเปิดเผยความลึกลับแห่งพระราชกิจของพระองค์แล้ว ผมคงจะยึดติดอยู่กับพระคัมภีร์ไปชั่วชีวิต และไม่เคยเข้าใจความจริงเบื้องหลังพระนามของพระเจ้าเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผมคงไม่เข้าใจในพระราชกิจของพระเจ้า ผมคงจะยึดติดอยู่กับชื่อพระเยซู และคงต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย แล้วผมก็คงจะถูกกำจัด ตอนนี้ผมเห็นแล้วว่าเป็นเพราะการทรงนำของพระเจ้านั่นเอง ที่ทรงอนุญาตให้ผมได้ยินพระสุรเสียงและได้มาเฉพาะพระพักตร์พระองค์ ผมขอบคุณความรอดของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สำหรับผมครับ!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ไขปริศนาแห่งตรีเอกานุภาพ

โดย ฉิวจือ, สิงคโปร์ ผมถูกเปลี่ยนสู่ศาสนาคริสต์โดยผู้อาวุโสคนหนึ่งเมื่อ 20 ปีก่อน เขาบอกผมว่าจากทุกอย่างในจักรวาล...

ติดต่อเราผ่าน Messenger