ความคาดหวังสูงของฉันทำร้ายลูกชายของฉัน

วันที่ 14 เดือน 01 ปี 2025

ตอนที่ฉันเด็กๆ ที่บ้านมีพี่น้องห้าคน และฉันเป็นคนโต พ่อฉันทำงานไกลบ้านอยู่หลายปี และงานบ้านทั้งหมดในบ้านก็เป็นหน้าที่ของแม่ฉัน ฉันเห็นว่าแม่ของฉันทำงานหักโหมมากและสู้ทนกับความลำบาก ดังนั้นตอนอยู่ป.3 ฉันจึงออกจากโรงเรียนและมาช่วยแม่ทำงานไร่ที่บ้าน ฉันมักจะเหนื่อยล้าจนเจ็บลำตัวช่วงบนและหลังก็ปวด และฉันคิดว่าชีวิตแบบนี้ยากเกินไปจริงๆ ต่อมา ลูกพี่ลูกน้องของฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ และทั้งครอบครัวมีความสุขอย่างมาก พ่อแม่ฉันชื่นชมเขาบ่อยๆ ที่สร้างชื่อให้ตัวเอง ในตอนนั้น ฉันเกิดความคิดว่า ตลอดชีวิตของฉัน ฉันไม่เคยได้รับการศึกษาที่ดี หรือมีโอกาสสร้างอะไรให้ตัวเอง แต่ภายหลัง เมื่อฉันมีลูก ฉันจะปลูกฝังให้ลูกๆ มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน เผื่อว่าเราจะหนีจากชีวิตแห่งหยาดเหงื่อแรงงานอันขมขื่นนี้ได้ และได้รับความชื่นชมและความนับถือจากญาติๆ และเพื่อนบ้าน นำเกียรติยศมาสู่ครอบครัว

หลังจากแต่งงาน ฉันก็มีลูกสองคน ตอนที่ลูกๆ ยังอยู่โรงเรียนประถม แม่ฉันวางใจเชื่อในพระเจ้า บางครั้งแม่จะชุมนุมและอธิษฐานร่วมกับลูกๆ ของฉัน และพวกแกถึงกับสอนแม่ฉันอ่านหนังสือ แต่ในตอนนั้น ทั้งหัวใจของฉันต้องการให้ลูกๆ เรียนหนังสือ ดังนั้นเมื่อฉันเห็นแบบนี้ ฉันจึงบอกกับแม่ว่า “แม่อยากเชื่ออะไรก็เชื่อไป แต่อย่าจัดชุมนุมกับลูกๆ ของหนูและขัดจังหวะการเรียนของพวกแก” ต่อมา ฉันยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเช่นกัน แต่ฉันให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับการเรียนและผลการเรียนของลูกๆ และแม้แต่ตอนที่ฉันไปร่วมชุมนุมเป็นครั้งคราว ฉันก็แค่ทำพอเป็นพิธี เพื่อหาเงินให้ได้มากขึ้นและให้ลูกๆ ได้รับการศึกษาที่ดี ฉันเดินทางไปทั่วกับสามี เก็บของที่เอาไปรีไซเคิลได้ ทุกวันฉันจะทำงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ และเหนื่อยล้าจนปวดไปทั้งร่างกาย แต่ฉันไม่ยอมให้ตัวเองพัก ฉันมีเพียงความคิดเดียวในหัว ไม่ว่าจะดิ้นรนแค่ไหน ฉันต้องให้ลูกๆ ได้รับการศึกษาที่ดี เพื่่อที่ในอนาคต พวกแกอาจจะสอบเข้าวิทยาลัยที่โดดเด่นได้และมีลู่ทางที่ดี เพื่อสิ่งนี้ ต่อให้ฉันเหนื่อยก็จะคุ้มค่า!

ครั้งหนึ่ง ฉันกลับบ้านไปเยี่ยมลูกๆ และเมื่อแม่ของฉันบอกว่าผลการเรียนของลูกชายฉันตกลง ฉันโกรธมาก และตำหนิลูกชายอยู่พักใหญ่ว่า “ลูกคิดว่าที่แม่ออกไปหาเงินน่ะมันง่ายหรือ? ใครๆ ก็ดูถูกคนเก็บขยะอย่างเรา แม่สู้ทนทั้งหมดนี้ก็เพื่อลูกสองคนไม่ใช่หรือ? ถ้าลูกไม่ตั้งใจเรียน แล้วจะไปทำงานอะไร?” ลูกชายฉันเริ่มร้องไห้โฮและพูดว่า “แม่ครับ ผมผิดไปแล้ว” ต่อมา ฉันกลัวว่าแม่ของฉันจะไม่สามารถจัดการดูแลลูกทั้งสองของฉันได้ และฉันกังวลว่าการเรียนและผลการเรียนของพวกเขาจะตก ฉันจึงเช่าที่ถัดจากโรงเรียนของลูกๆ และทำกิจการเล็กๆ ที่นั่น ใช้โอกาสนี้ในการเฝ้าติดตามดูการศึกษาของลูกสองคน จนถึงวันที่พวกเขาสอบเข้าโรงเรียนมัธยมปลาย ในช่วงปีเหล่านั้น ฉันจดจ่อความคิดทั้งหมดกับลูก เพื่อให้ลูกๆ ของฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ฉันควบคุมการเรียนของลูกอย่างเข้มงวดต่อไป และพวกแกไม่มีเวลาว่างเลยสักวินาทีเดียว ถ้าลูกอยู่ในห้องน้ำนานเกินไปสักนิด ฉันจะบอกให้รีบๆ บางครั้งเวลาที่พวกแกอยากออกไปเล่นข้างนอกหรือดูทีวีและผ่อนคลาย ฉันก็ดุพวกแกว่า “ดูลุงของลูกๆ สิ เขาสอบเข้าวิทยาลัยชื่อดังได้ และงานที่เขาได้ก็มีหน้ามีตา ญาติๆ กับเพื่อนบ้านชื่นชมเขากันทั้งนั้น ลูกควรเรียนรู้จากลุง ถ้าไม่ทนทุกข์ตอนนี้และไขว่คว้าความรู้เพิ่มเติม หลังจากนี้ต่อไปลูกจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร? อย่างที่สุภาษิตว่าไว้ ‘เจ้าต้องทนทุกข์ใหญ่หลวงจึงจะเป็นผู้ชนะ’” บางครั้งฉันก็ถึงกับเล่าให้ลูกฟังถึงเรื่องราวคลาสสิกเกี่ยวกับบรรดาคนที่ร่ำเรียนด้วยความขยันหมั่นเพียร เพื่อกระตุ้นให้พวกแกตั้งใจเรียน เด็กสองคนพูดอย่างจนหนทาง “แม่ หยุดพูดเถอะ เราจำที่แม่เคยพูดได้หมดแล้ว อย่าเครียด เราจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้แม่ได้แน่นอน!” ในตอนนั้ั้น ฉันตื่นตอนตีห้าทุกวันเพื่อมาทำอาหารเช้า และเพื่อประหยัดเวลาของลูกๆ ในตอนเย็นฉันจะเตรียมอาหารเย็นให้ลูก และเอาไปส่งที่โรงเรียนให้พวกแกกิน เมื่อพวกแกเรียนด้วยตัวเองที่โรงเรียนเสร็จตอนค่ำ ก็กลับบ้านมาท่องหนังสือต่อ ฉันกลัวว่าลูกอาจจะขี้เกียจ เลยมักจะอยู่เป็นเพื่อนพวกแกจนถึงเที่ยงคืน ในชีวิตประจำวันของลูก ฉันนึกหาทุกวิธีในการวางระเบียบมื้ออาหารของพวกแกอีกด้วย ฉันได้ยินว่าน้ำแกงปลาทองดีต่อสมอง ฉันจึงทำให้ลูกกินบ่อยๆ และถึงกับซื้อนมพิเศษสำหรับสมองนักเรียนกับเครื่องดื่มบำรุงสมองให้ด้วย พวกแกต้องกินไข่ไก่บ้านหนึ่งฟองทุกวัน อะไรที่ฉันได้ยินว่าดีกับร่างกายของเด็ก นั่นคือสิ่งที่ฉันจะซื้อ ฉันทำเพื่อให้ลูกๆ ของฉันหัวดีขึ้น เพื่อที่พวกเขาจะได้คะแนนสอบที่ดีขึ้น เด็กทั้งสองคนตั้งใจอย่างมาก และผลการเรียนของพวกแกก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ลูกสาวฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ในที่สุด และคะแนนการสอบจำลองของลูกชายฉันทำให้เขาได้อยู่ในหมู่นักเรียนแถวหน้าไม่กี่คน ฉันมีความสุขมาก และคิดว่า “ถ้าเราทำแบบนี้ต่อไป ลูกชายฉันน่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำได้อย่างไม่มีปัญหา” ต่อมา ฉันคอยดูลูกชายใกล้ชิดยิ่งขึ้นไปอีก

ขณะที่การสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยใกล้เข้ามา ประสาทลูกชายฉันตึงเครียดมากเนื่องจากความกดดัน และตอนกลางคืนเขาก็นอนไม่ค่อยหลับ สุดท้ายเขาก็ป่วย เป็นไข้ และไอ การกินยากับฉีดยาไม่เป็นผลใดๆ และผลการเรียนของเขาก็ตกฮวบ สิ่งที่เห็นทำให้ฉันเจ็บปวดไปถึงข้างใน ฉันกลัวว่าถ้าเขาเรียนต่อไป ร่างกายของเขาจะไม่สามารถรับไหว แต่ช่วงเวลาสำคัญกำลังจะมาถึง อาการป่วยของลูกชายฉันยังไม่ดีขึ้น และผลการเรียนของเขาก็แย่ลง แล้วเขาจะมีลู่ทางในอนาคตที่ดีได้อย่างไร? ถ้าเขาทำข้อสอบได้ไม่ดี ความพยายามของฉันในช่วงสองสามปีมานี้จะไม่สูญเปล่าหรือ? ยอมรับไม่ได้ เพื่อให้ลูกชายฉันได้คะแนนดีและมีลู่ทางในอนาคตที่ดี ฉันต้องให้เขาเรียนล่วงเวลาต่อไป หลังจากนั้น ทุกวันฉันจะนั่งที่หัวเตียงและดูลูกชายท่องหนังสือ พอลูกชายเห็นฉันมองจ้องเขา เขาก็พูดอย่างจนหนทางว่า “ถ้าต่อไปผมมีลูก ผมจะไม่สั่งสอนลูกอย่างที่แม่ทำแน่นอน ผมจะให้พวกเขามีอิสระบ้าง และปล่อยให้พวกเขาเล่นบาสเกตบอลหรือปิงปอง” พอได้ยินลูกชายพูดแบบนี้ ใจฉันเจ็บปวด แต่เพื่อทำให้เขาโดดเด่นออกมาและมีชีวิตที่ดีในอนาคต ฉันต้องทำแบบนี้ เมื่อเห็นว่าอาการป่วยของลูกชายยังคงไม่ดีขึ้น ฉันก็เริ่มกระวนกระวายขึ้นมาจริงๆ คิดว่า “ถ้าอาการเจ็บป่วยของลูกชายฉันยังไม่ดีขึ้นตอนถึงเวลาสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย จะต้องกระทบกับคะแนนสอบของเขาแน่ ถ้าเขาเกิดทำข้อสอบได้ไม่ดี ความพยายามทั้งหมดที่ผ่านมาของฉันจะไม่สูญเปล่าหรือ? ญาติๆ และเพื่อนบ้านจะเห็นฉันเป็นตัวตลกอย่างเลี่ยงไม่ได้ ฉันทุ่มความพยายามไปตั้งเยอะและยอมลำบากตั้งมากมายขนาดนั้น แต่ท้ายที่สุดฉันก็ไม่เหลืออะไร ชื่อเสียงของฉันจะเป็นอย่างไร?” เพื่อเยียวยาอาการป่วยของลูกชายให้เร็วที่สุด ฉันร้องขอยาจากหมอทุกหนแห่ง แต่อาการเจ็บป่วยของลูกชายฉันก็ยังไม่ดีขึ้น ทุกวัน ฉันหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยความกังวล และถอนหายใจ คิดแต่ว่าเมื่อไรอาการป่วยของลูกชายจะดีขึ้น ตอนที่ฉันมาถึงทางตันพอดีนั้น ฉันก็จำได้ว่าฉันเป็นคริสเตียน และฉันควรไว้วางใจพระเจ้าสำหรับอุปสรรคเหล่านี้ และมองไปที่พระองค์ จากนั้น ฉันมาอยู่เฉพาะพระเจ้าในการอธิษฐาน ฉันพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า! ลูกชายของข้าพระองค์กินยาและฉีดยาแก้อาการป่วย แต่ก็ยังไม่ดีขึ้น ใกล้จะถึงการสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว และข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดยืนยันว่าอาการป่วยของลูกชายข้าพระองค์จะดีขึ้นในเร็ววัน” คืนหนึ่ง ฉันได้พบกับพี่น้องหญิงคนหนึ่งขณะที่ออกไปเดิน เธอถามว่าช่วงนี้สภาวะของฉันเป็นอย่างไร ฉันเล่าให้เธอฟังเรื่องการทนทุกข์ของฉัน และเธอสามัคคีธรรมกับฉัน เธอบอกว่า “เราเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า คุณควรไว้วางใจพระเจ้าในเรื่องการเรียนและภาวะของลูกชายคุณ ปล่อยให้พระเจ้าทรงดูแลเถิด” พี่น้องหญิงคนนั้นถึงกับอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ฉันฟังว่า “ชะตากรรมของมนุษย์ถูกควบคุมโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า  เจ้าไม่สามารถควบคุมตัวของเจ้าเองได้ กล่าวคือ ทั้งที่มนุษย์สาละวนเร่งรีบและทำตัวให้ยุ่งวุ่นวายเพื่อตัวเขาเองอยู่เสมอ เขาก็ยังคงไม่สามารถควบคุมตัวเขาเองได้  หากเจ้าสามารถล่วงรู้ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้าเอง หากเจ้าสามารถควบคุมชะตากรรมของเจ้าเองได้ เจ้าจะยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่อีกหรือ?… และดังนั้นไม่ว่าพระเจ้าจะทรงตีสอนและพิพากษามนุษย์อย่างไร ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อความรอดของมนุษย์  ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงเอาความหวังทางเนื้อหนังของมนุษย์ไปจากเขา นั่นก็เป็นไปเพื่อชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ และการชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ก็เป็นไปเพื่อให้เขารอดชีวิตนั่นเอง  บั้นปลายของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง ดังนั้นมนุษย์จะสามารถควบคุมตัวเขาเองได้อย่างไรกัน?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์)  หลังจากฟังพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็เข้าใจว่า สำหรับสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง พระเจ้าได้ทรงลิขิตไว้ว่าคนเราควรจะสู้ทนกับความทุกข์ทรมานมากน้อยแค่ไหน และควรจะได้ชื่นชมกับพระพรมากน้อยแค่ไหนในชีวิตนี้ ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ผู้คนคิดถึงทุกอย่างเพราะเห็นแก่ชะตากรรมและลู่ทางอนาคตของตัวเอง พวกเขาวิ่งพล่านไปทั่วและทำให้ตัวเองยุ่งวุ่นวายเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะหาเงินได้มากแค่ไหน หรือได้รับการศึกษาสูงแค่ไหน พวกเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเองหรือของคนอื่นได้ ฉันคิดถึงเรื่องที่ว่าเพื่อไล่ตามเสาะหาความโดดเด่นและนำเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูลของฉัน เพื่อใช้ชีวิตที่สูงส่ง ฉันเอาความฝันที่ตัวฉันเองทำไม่สำเร็จไปวางไว้ที่ลูกๆ ใช้ความพยายามมากมายไปกับพวกแก เพื่อให้ลูกได้มีการศึกษาที่ดี ฉันกับสามีต่อสู้ทำงานและหาเงิน และถึงขนาดที่ร่างกายของเราล้มพับเพราะความเหนื่อยล้า เราก็ยังทำงานต่อ ตราบใดที่ลูกๆ ของเราโดดเด่น การทนทุกข์และความเหนื่อยล้าทั้งหมดก็คุ้มค่า เพื่อให้ลูกๆ สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงได้ ฉันไม่ให้อิสระใดๆ กับลูกเลย ประสาทของลูกชายฉันตึงเครียดอย่างรุนแรง และเขาไม่กล้าพูดอะไร ถึงแม้เขาจะนอนหลับไม่ดี ฉันดูเขาท่องหนังสือแม้แต่ตอนที่เขาไอและป่วย ทั้งหมดที่ฉันให้กับลูกชายคือความกดดันต่อเส้นประสาทของเขา และฉันทรมานเขาอย่างไม่อาจบรรยายได้ ฉันควบคุมเขาและมีความทะเยอทะยานที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของเขา นี่ไม่ใช่การนบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า นี่คือการขัดขืนพระเจ้า! เมื่อตระหนักเช่นนี้ ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่าฉันยินดีจะไว้วางใจให้ลู่ทางในอนาคตของลูกชายฉันอยู่กับพระองค์ ไม่ว่าเขาจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้หรือไม่ อะไรจะเกิดก็ให้เกิด ฉันจะไม่กดดันลูกชายแบบนั้นอีกแล้ว หลังจากนี้ หัวใจฉันก็พบการปลดปล่อยบ้างเช่นกัน หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ฉันก็ได้ยินว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ชั้นสามของตึกเรา จู่ๆ ก็เกิดสติไม่ดี เป็นเพราะความกดดันจากการเรียนปีสามของเขา เขาตะโกนใส่พ่อแม่ทั้งกลางวันกลางคืนว่า “พ่อแม่นั่นแหละที่ทำให้ผมพัง! พ่อแม่นั่นแหละที่ทำให้ผมพัง!” ตอนนั้นฉันรู้สึกกลัวมาก และทุกฉากที่ฉันเคยบังคับให้ลูกชายเรียนหนังสือ ก็ผุดขึ้นมาต่อหน้าต่อตาฉันราวกับภาพยนตร์ ฉันกังวลว่าถ้าฉันบังคับให้ลูกชายเรียนหนังสือแบบนี้ต่อไป ลูกชายฉันจะกลายเป็นเหมือนเด็กคนนั้นไหม? ฉันคิดกับตัวเองว่า “ฉันบังคับลูกแบบนี้ต่อไปไม่ได้” จากจุดนั้นเป็นต้นมา ฉันเริ่มไปชุมนุมเป็นประจำและกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ไม่บังคับให้ลูกชายเรียนหนังสืออีกเลย

ในภายหลัง ลูกชายฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้อย่างไม่คาดคิด ฉันมีความสุขมาก แต่หลังจากความสุขผ่านไป หัวใจฉันก็รู้สึกไม่มั่นคง เพราะจากการอ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจด้วยว่า ความรู้บรรจุความคิดและมุมมองที่ไม่เชื่อในพระเจ้ามากมาย ยิ่งคนได้รับความรู้มากเท่าไร น้ำพิษของซาตานก็จะถูกฉีดเข้าไปในตัวพวกเขามากเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ทำให้คนถอยห่างจากพระเจ้าและปฏิเสธพระองค์ จนสูญเสียการช่วยให้รอดของพระองค์ในที่สุด ถ้าลูกชายฉันเรียนมหาวิทยาลัยสักสองสามปี และถูกปลูกฝังตรรกะวิบัติของซาตานมากมาย ก็จะเป็นเรื่องยากที่เขาจะได้อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ฉันจึงคิดว่าเมื่อเขากลับมา ฉันจะชุมนุมกับเขา และให้เขากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ไม่ปล่อยให้เขาพาตัวเองออกห่างจากพระเจ้ามากเกินไป ฉันคิดถึงเรื่องที่ตอนลูกๆ ฉันเด็กกว่านี้ พวกแกเชื่อในพระเจ้า และแม้กระทั่งอธิษฐานและชุมนุมร่วมกับแม่ของฉัน แต่ในช่วงนั้น ทั้งหัวใจฉันปรารถนาให้ลูกๆ ได้รับการศึกษาที่ดี และไม่อยากพาพวกแกไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ตอนนี้ ฉันเห็นว่าวิบัติปรากฎเค้าลางใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ลูกๆ ของฉันไม่เชื่อในพระเจ้า อีกทั้งไม่ได้รับความห่วงใยและการคุ้มครองของพระเจ้า ไม่แน่สักวันหนึ่งพวกแกจะพบกับความวิบัติและเสียชีวิต ฉันอยากเผยแผ่ข่าวประเสริฐให้กับลูกๆ ของฉันและพาพวกแกมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ดังนั้นเมื่อลูกๆ กลับบ้านมาในช่วงวันหยุด ฉันจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกแกฟัง เวลาที่ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฟัง พวกแกก็ฟัง แต่ทันทีที่ฉันเอ่ยถึงการจัดแจงการชุมนุม ลูกชายฉันกลับไม่เต็มใจ เขาคอยแต่ไล่ฉันไป เขาพูดว่า “ผมยุ่งเกินไป! ไม่ง่ายนะกว่าผมจะได้มาอยู่ตรงจุดนี้วันนี้ ถ้าผมไม่ตั้งใจเรียน ผมจะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร? การแข่งขันตอนนี้ดุเดือดมาก และการหางานที่มีหน้ามีตาก็ไม่ง่าย ผมไม่เข้าใจ ผมได้ปริญญาโทแล้ว และกำลังเรียนให้ได้วุฒิปริญญาเอก นี่ไม่ใช่สิ่งที่แม่ต้องการมาตลอดหรือ? ผมกำลังจะได้รับความสำเร็จและการยอมรับ และในที่สุดก็มีชีวิตที่ดี แม่ควรดีใจไปกับผม ทำไมดูเหมือนแม่เปลี่ยนไปเป็นคนละคน มาบอกให้ผมถอยในนาทีสุดท้าย?” พอฉันได้ยินสิ่งที่ลูกชายพูด ฉันรู้สึกถึงความโศกเศร้าที่บรรยายไม่ถูก ทุกคำที่เขาพูดประกอบไปด้วยสิ่งที่ฉันเคยพูดกรอกหูเขาทุกวัน ยิ่งตอนนี้ที่ลูกชายฉันกำลังยุ่งอยู่กับปริญญานิพนธ์ของเขา เขาอยู่ดึกเกินตีหนึ่งทุกคืน อายุยี่สิบกว่าก็หัวล้านแล้ว เมื่อฉันเห็นว่าลูกชายฉันเหนื่อยล้าแค่ไหน ฉันรู้สึกกระวนกระวายและเสียใจ ได้แต่เกลียดตัวเองกับวิธีที่ใช้สั่งสอนลูกเมื่อตอนนั้น ตอนนี้ฉันได้ปลูกฝังให้ลูกเป็นคนมีความสามารถ แต่เขากลับอยู่ห่างไกลจากพระเจ้า

ภายหลัง ฉันไตร่ตรองว่า ฉันได้ทำสุดความสามารถของฉันเพื่อทำให้ลูกๆ ไล่ตามเสาะหาความรู้ ชื่อเสียง และผลกำไร ตั้งใจเด็ดเดี่ยวเลี้ยงพวกเขาให้เป็นคนมีความสามารถ แต่สุดท้ายแล้วฉันให้อะไรกับลูกๆ? ฉันให้ความสุขที่แท้จริงกับพวกแกหรือไม่? วันหนึ่งระหว่างการอุทิศตนฝ่ายวิญญาณ ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งว่า “เมื่อเป็นเรื่องของภาระที่มาจากครอบครัว พวกเราสามารถเสวนาได้จากสองแง่มุม  แง่หนึ่งคือความคาดหวังของพ่อแม่  พ่อแม่หรือผู้อาวุโสทุกคนมีความคาดหวังในตัวลูกหลานของตนมากน้อยต่างกันไป  พวกเขาหวังให้ลูกหลานขยันเรียน ประพฤติตัวดี เป็นเลิศในโรงเรียน เป็นนักเรียนที่ได้คะแนนดีเยี่ยมทุกวิชา และไม่เกียจคร้าน  พวกเขาต้องการให้ลูกหลานของตนเป็นคนที่ครูและเพื่อนร่วมชั้นให้เกียรติ และทำคะแนนได้เกิน 80 เป็นประจำ  ถ้าเด็กทำคะแนนได้สัก 60 ก็จะถูกตี และถ้าทำคะแนนต่ำกว่า 60 เด็กก็ต้องหันหน้าเข้ากำแพงและใคร่ครวญความผิดของตน หรือให้ยืนนิ่งๆ เป็นการทำโทษ  เด็กจะไม่ได้รับอนุญาตให้กิน นอน ดูโทรทัศน์ หรือเล่นคอมพิวเตอร์ อีกทั้งเสื้อผ้าสวยๆ กับของเล่นที่เคยสัญญาไว้ก่อนหน้านี้ก็จะไม่ซื้อให้อีกต่อไป  พ่อแม่ทุกคู่มีความคาดหวังหลากหลายในตัวลูกของตนและตั้งความหวังอันยิ่งใหญ่ต่างๆ ไว้ให้กับลูก  พวกเขาหวังว่าลูกๆ จะประสบความสำเร็จในชีวิต ก้าวหน้าในอาชีพการงานอย่างรวดเร็ว นำเกียรติและชื่อเสียงมาให้บรรพชนและครอบครัวของตน… แล้วความอยากของพ่อแม่ก่อให้เกิดสิ่งใดกับลูกๆ โดยไม่เจตนาบ้าง?  (ความกดดัน)  สร้างความกดดันกับอะไรอีก?  (ภาระ)  ความอยากเหล่านี้ยังกลายเป็นแรงกดดันและกลายเป็นโซ่ตรวนอีกด้วย  เมื่อพ่อแม่มีความคาดหวังในตัวลูก พวกเขาย่อมจะบ่มวินัย ชี้นำ และอบรมสั่งสอนลูกของตนตามความคาดหวังเหล่านั้น พวกเขาจะถึงกับทุ่มเทให้ลูกๆ หรือยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกของตนลุล่วงความคาดหวังของตน  ตัวอย่างเช่น พ่อแม่หวังว่าลูกๆ จะเป็นเลิศในโรงเรียน ได้ที่หนึ่งของชั้นเรียน ทำคะแนนเกิน 90 ในการสอบทุกครั้ง เป็นอันดับหนึ่งเสมอ—หรืออย่างแย่ที่สุดก็ไม่เคยอยู่ต่ำกว่าอันดับที่ห้า  หลังจากแสดงความคาดหวังเหล่านี้แล้ว พ่อแม่ไม่ได้กำลังเสียสละบางอย่างไปพร้อมกันเพื่อช่วยให้ลูกบรรลุเป้าหมายเหล่านี้หรอกหรือ?  (ใช่) เพื่อให้ลูกๆ ของตนสัมฤทธิ์เป้าหมายเหล่านี้ ลูกๆ ก็จะต้องตื่นแต่เช้าตรู่มาทบทวนบทเรียนและท่องจำข้อความ ส่วนพ่อแม่ก็จะตื่นแต่เช้ามาอยู่เป็นเพื่อนลูกด้วย  วันไหนอากาศร้อน พวกเขาก็จะช่วยพัดวีให้ลูก ทำเครื่องดื่มเย็นๆ หรือซื้อไอศกรีมมาให้กิน  พวกเขาจะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมน้ำเต้าหู้ ปาท่องโก๋ และไข่ให้กับลูกๆ ของตนเป็นอันดับแรก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสอบ พ่อแม่จะให้ลูกกินปาท่องโก๋หนึ่งตัวกับไข่สองฟอง โดยหวังว่านี่จะช่วยให้ลูกทำคะแนนเต็มร้อย  ถ้าเจ้ากล่าวว่า ‘ลูกกินทั้งหมดนี้ไม่ไหว ไข่ฟองเดียวก็พอ’ พวกเขาก็จะตอบว่า ‘เด็กโง่ ถ้าลูกกินไข่หนึ่งฟองก็จะทำได้แค่สิบคะแนน กินอีกฟองเพื่อแม่นะ  พยายามให้สุดความสามารถ ถ้าลูกกินไข่ฟองนี้ได้ ลูกก็จะได้ร้อยคะแนนเต็ม’  ลูกจึงบอกว่า ‘ลูกเพิ่งตื่นนอน ยังกินไม่ลงหรอก’  ‘ไม่ได้ ลูกต้องกิน!  เป็นเด็กดีและเชื่อฟังแม่  แม่ทำอย่างนี้ก็เพื่อให้ลูกได้ดี ดังนั้นกินเข้าไป เพื่อแม่เถิด’  ลูกก็ไตร่ตรองว่า ‘แม่ดูแลเอาใจใส่มากมาย  ทุกสิ่งที่แม่ทำก็เพื่อให้ฉันได้ดี ดังนั้นฉันก็จะกิน’  สิ่งที่กินเข้าไปคือไข่หนึ่งฟอง แต่สิ่งที่กลืนลงไปจริงๆ แล้วคืออะไร?  คือความกดดัน ความลังเลและไม่ยินยอมพร้อมใจ  การกินเป็นสิ่งที่ดี และแม่ก็คาดหวังไว้สูง จากจุดยืนของความเป็นมนุษย์และมโนธรรมแล้ว คนเราควรยอมรับความคาดหวังเหล่านั้น แต่ตามเหตุผลแล้ว คนเราควรแข็งขืนต่อความรักประเภทนี้และไม่ยอมรับวิธีทำสิ่งต่างๆ แบบนี้… โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พ่อแม่บางคนมีความคาดหวังบางอย่างเป็นพิเศษในตัวลูกของตน หวังว่าลูกๆ จะสามารถก้าวล้ำหน้ากว่าตน และยิ่งหวังมากขึ้นอีกว่าลูกๆ จะสามารถเติมเต็มความปรารถนาที่ตนไม่สามารถทำให้สำเร็จได้  ตัวอย่างเช่น พ่อแม่บางคนอาจเคยต้องการเป็นนักเต้น แต่ด้วยเหตุผลนานาประการ—เช่น ยุคสมัยที่พวกเขาเติบโตขึ้นมาหรือรูปการณ์ในครอบครัว—พวกเขาจึงไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนานั้นได้ในท้ายที่สุด  ดังนั้น พวกเขาจึงยัดเยียดความปรารถนานั้นๆ ให้กับเจ้า  นอกจากต้องการให้เจ้าอยู่ในกลุ่มคนที่เก่งที่สุดในด้านการเรียนและเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแล้ว พวกเขายังสมัครเรียนเต้นรำให้เจ้าอีกด้วย  พวกเขาบังคับให้เจ้าเรียนเต้นรำหลากหลายรูปแบบนอกเวลาเรียน เรียนรู้เพิ่มเติมในชั้นเรียนเต้นรำ ฝึกซ้อมที่บ้านให้มากขึ้น และเป็นคนที่เก่งที่สุดในชั้นเรียนของเจ้า  ท้ายที่สุด พวกเขาไม่เพียงเรียกร้องให้เจ้าเข้ามหาวิทยาลัยอันทรงเกียรติได้เท่านั้น แต่ยังเรียกร้องให้เจ้าเป็นนักเต้นอีกด้วย  ทางเลือกของเจ้าก็คือการเป็นนักเต้นหรือไม่ก็เข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ตามด้วยการเรียนต่อในระดับปริญญาโท จากนั้นก็คว้าปริญญาเอก  เจ้ามีเส้นทางให้เลือกเพียงสองเส้นทางนี้เท่านั้น  ในความคาดหวังของพวกเขา ด้านหนึ่งพวกเขาก็หวังว่าเจ้าจะขยันเรียนที่โรงเรียน เข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง โดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกัน และมีอนาคตที่เจริญและรุ่งเรือง  อีกด้านหนึ่งพวกเขาก็ถ่ายทอดความปรารถนาที่ตัวเองไม่อาจเติมเต็มให้กับเจ้า โดยหวังว่าเจ้าจะสามารถเติมเต็มแทนพวกเขาได้  ด้วยเหตุนี้ เจ้าจึงแบกรับภาระสองอย่างพร้อมกัน ทั้งทางด้านวิชาการหรืออาชีพการงานในอนาคต  นัยหนึ่ง เจ้าต้องทำให้ได้ตามความคาดหวังของพวกเขาและตอบแทนทุกสิ่งที่พวกเขาได้ทำให้กับเจ้า พากเพียรที่จะโดดเด่นในหมู่คนรุ่นเดียวกันในท้ายที่สุด เพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตที่ดี  อีกนัยหนึ่ง เจ้าก็ต้องเติมเต็มความฝันที่พวกเขาไม่อาจทำได้สำเร็จในวัยเยาว์ และช่วยทำให้ความปรารถนาของพวกเขากลายเป็นจริง  เป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยมากมิใช่หรือ? (ใช่) การแบกรับภาระอย่างใดอย่างหนึ่งก็เกินพอแล้วสำหรับเจ้า ภาระอย่างใดอย่างหนึ่งก็หนักอึ้งจนทำให้เจ้าหอบหายใจ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดมาก ข้อเรียกร้องนานาที่พ่อแม่มีต่อลูกจึงเกินกว่าจะแบกรับไหวและไร้มนุษยธรรมโดยแท้ นั่นล้วนแล้วแต่ไร้เหตุผลทั้งสิ้น  ผู้ไม่มีความเชื่อเรียกสิ่งนี้ว่าอย่างไร?  การข่มขู่ทางอารมณ์  ไม่ว่าผู้ไม่มีความเชื่อจะเรียกว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ และไม่สามารถอธิบายแก่นแท้ของปัญหานี้ได้อย่างชัดเจน  พวกเขาเรียกว่าการข่มขู่ทางอารมณ์ แต่พวกเราเรียกว่าอะไร?  (โซ่ตรวนและภาระ) พวกเราเรียกว่าภาระ  เมื่อพูดถึงภาระ นี่ใช่สิ่งที่คนคนหนึ่งควรแบกรับหรือไม่?  (ไม่ใช่)  นี่คือสิ่งที่เพิ่มเข้ามา เป็นเรื่องเสริมพิเศษที่เจ้ารับมา  ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของเจ้า  ไม่ใช่สิ่งที่ร่างกาย หัวใจ และดวงจิตของเจ้ามีหรือต้องการ แต่เป็นสิ่งที่ถูกเพิ่มเข้ามา  เป็นสิ่งที่มาจากภายนอก ไม่ได้มาจากภายในตัวเจ้าเอง(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (16))  เมื่อฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ ฉันรู้สึกปวดร้าวในหัวใจ นี่ี่คือวิธีที่ฉันใช้สั่งสอนลูกๆ ของฉัน ฉันเคยเชื่อว่าตั้งแต่ยังเล็ก ฉันต้องทำงานไร่และทนทุกข์อย่างใหญ่หลวง ทั้้งหมดเป็นเพราะฉันไม่ได้เรียนหนังสืออย่างเต็มที่หรือได้รับการศึกษาที่ดีตอนที่ฉันยังเล็ก ฉันจึงเอาความปรารถนาที่ฉันทำไม่สำเร็จมายัดเยียดให้กับลูกๆ หวังให้พวกแกตั้งใจเรียนและสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เพื่อที่ในอนาคต พวกแกอาจจะมีลู่ทางที่ดี อาจจะโดดเด่นและนำเกียรติยศมาสู่ครอบครัวของเรา เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ ฉันกดดันลูกๆ ตอนที่พวกแกยังเล็ก ตอนลูกๆ ยังเล็ก พวกแกเต็มใจอธิษฐานและชุมนุม แต่ฉันกลัวว่าสิ่งนี้จะกระทบกับการเรียนของลูก ก็เลยไม่ยอมให้แม่ของฉันชุมนุมกับพวกแก ตอนที่ควรจะได้เล่น ฉันก็ไม่ยอมให้พวกแกเล่น และตอนที่ผลการเรียนของพวกแกตกลงเล็กน้อย ฉันก็ดุด่าว่ากล่าว ปลูกฝังความคิดผิดๆ ให้กับลูกและกดดันพวกแก ลูกชายฉันป่วยเพราะความกดดันทั้งหมดในการสอบเอ็นทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัย ฉันกลัวว่าเรื่องนี้จะกระทบกับผลการเรียนของเขา ฉันจึงเฝ้าดูเขาทุกวันด้วยเกรงว่าเขาจะขี้เกียจ ฉันกังวลว่าถ้าเขาทำข้อสอบได้ไม่ดี ความพยายามทั้งหมดของเราก็จะสูญเปล่าอย่างแท้จริง ความกดดันที่ฉันให้กับลูกชายของฉันหนักหนาเกินไปจริงๆ จากภายนอก ดูเหมือนว่าฉันทำทุกอย่างนี้เพื่อลูกชายของฉัน แต่ความจริงแล้ว ฉันแค่ต้องการให้เขาเข้ามหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง และโดดเด่นจากคนอื่นทั้งหมด โอ้อวดตัวเอง และทำเพื่อให้บรรลุอุดมคติและความปรารถนาของฉัน โดยไม่สังเกตเลยว่า ฉันให้ภาระที่หนักอึ้งและความกดดันกับลูกชายของฉัน ราวกับฉันกำลังใส่โซ่ตรวนที่มองไม่เห็นให้กับเขา ตอนนี้ลูกชายฉันสอบเข้าสถาบันชั้นเลิศในอุดมคติได้ และความปรารถนาของฉันก็สำเร็จลุล่วงแล้ว หน้าตาฉันมีสง่าราศีด้วยเกียรติยศ และความฟุ้งเฟ้อของฉันก็ได้สมดังใจแล้ว แต่ลูกชายฉันกลับออกห่างจากพระเจ้ามากกว่าเดิม ตอนนี้เมื่อฉันพูดถึงเรื่องของความเชื่อกับเขา เขาเอาแต่หลบเลี่ยงและอ้างต่างๆ นานา และเขาไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้า ทุกวันเขาถูกชื่อเสียงและผลประโยชน์ชักจูง เขาทุ่มเทหัวสมองเพื่อเห็นแก่ชื่อเสียงและผลประโยชน์ ใช้ความคิดจนเหนื่อยอ่อนไปกับการบริหารจัดการความสัมพันธ์ส่วนตัว ชีวิตของเขาเป็นทุกข์และน่าเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ฉันเป็นคนที่ทำให้ลูกชายของฉันกลายเป็นคนแบบนี้

ภายหลัง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเพิ่มเติมว่า “ตัวอย่างเช่น ตอนที่พวกเขาเยาว์วัย เจ้าให้การศึกษาพวกเขาอย่างสม่ำเสมอโดยพูดว่า ‘จงขยันเรียน ไปเข้าวิทยาลัย ไล่ตามไขว่คว้าการศึกษาที่สูงกว่าปริญญาตรีหรือปริญญาเอก หางานที่ดี หาคู่สมรสที่เหมาะสมและเริ่มต้นครอบครัวด้วยกัน แล้วจากนั้นชีวิตก็จะดี’  โดยผ่านทางการศึกษา การหนุนใจ และแรงกดดันสารพัดรูปแบบของเจ้า พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตและไล่ตามไขว่คว้าครรลองที่เจ้าจัดไว้ให้และสัมฤทธิ์สิ่งที่เจ้ามุ่งหวังดังที่เจ้าปรารถนาไว้ไม่มีผิด และบัดนี้พวกเขาก็ไม่สามารถหันหลังกลับได้  หากเมื่อได้มาเข้าใจความจริงและเจตนารมณ์ของพระเจ้าบางประการเพราะความเชื่อของเจ้าแล้ว รวมทั้งได้มีความคิดและทรรศนะที่ถูกต้องแล้ว ตอนนี้เจ้าจึงพยายามบอกพวกเขาไม่ให้ไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไป พวกเขาย่อมมีแววที่จะต่อต้านแทน ‘ลูกไม่ได้กำลังทำสิ่งที่แม่ต้องการอยู่พอดีหรอกหรือ?  แม่สอนสิ่งเหล่านี้ให้ลูกตอนที่ลูกยังเด็กไม่ใช่หรือ?  แม่เคยเรียกร้องสิ่งนี้จากลูกไม่ใช่หรือ?  ตอนนี้ทำไมแม่ถึงห้ามลูก?  ลูกกำลังทำอะไรผิดอยู่หรือ?  ลูกทำสิ่งเหล่านี้ได้สำเร็จและตอนนี้ลูกก็สามารถชื่นชมยินดีกับสิ่งเหล่านี้ แม่ควรรู้สึกมีความสุข พึงพอใจ และภูมิใจในตัวลูกไม่ใช่หรือ?’  ทันทีที่ได้ยินแบบนี้ เจ้าจะรู้สึกอย่างไร?  เจ้าควรจะมีความสุขหรือหลั่งน้ำตา?  เจ้าคงรู้สึกเสียใจไม่ใช่หรือ?  (ใช่)  บัดนี้เจ้าไม่อาจเอาชนะใจพวกเขาคืนมาแล้ว  หากเจ้าไม่ได้ให้การศึกษาแก่พวกเขาแบบนี้ตอนที่พวกเขาเยาว์วัย หากเจ้าได้ให้วัยเด็กที่มีความสุขแก่พวกเขาโดยปราศจากแรงกดดันอันใด ไม่มีการสอนให้พวกเขาต้องอยู่เหนือคนอื่น ครองตำแหน่งที่มีอำนาจสูงหรือหาเงินให้มาก หรือไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ หากเจ้าเพียงปล่อยให้พวกเขาได้เป็นคนดีธรรมดาโดยไม่เรียกร้องให้พวกเขาหาเงินให้มาก สุขสำราญมากเหลือเกิน หรือตอบแทนให้กับเจ้ามากเหลือเกิน โดยแค่ขอให้พวกเขามีสุขภาพดีและมีความสุข เป็นปัจเจกบุคคลที่เรียบง่ายและมีความสุขเท่านั้นเอง บางทีพวกเขาคงได้เปิดรับความคิดและทรรศนะบางอย่างที่เจ้ามีหลังการเชื่อในพระเจ้าไปแล้ว  เช่นนั้นตอนนี้ชีวิตของพวกเขาอาจจะมีความสุข มีแรงกดดันจากชีวิตและสังคมน้อยกว่านี้  แม้ว่าพวกเขาไม่ได้รับชื่อเสียงและผลประโยชน์ อย่างน้อยหัวใจพวกเขาก็คงได้รู้สึกมีความสุข สงบนิ่ง และเปี่ยมสันติสุข  แต่ในระหว่างช่วงปีแห่งพัฒนาการ เนื่องจากการยุยงส่งเสริมและการรบเร้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าของพวกเจ้า ภายใต้แรงกดดันของเจ้า พวกเขาจึงไล่ตามไขว่คว้าความรู้ เงินตรา ชื่อเสียง และผลประโยชน์อย่างไม่รามือ  สุดท้ายพวกเขาก็ได้รับชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ ชีวิตของพวกเขาดีขึ้น พวกเขาสุขสำราญขึ้น และพวกเขาก็หาเงินได้มากขึ้น แต่ชีวิตของพวกเขาช่างน่าเหนื่อยล้า  ทุกครั้งที่เจ้าพบหน้าพวกเขา พวกเขามีใบหน้าที่ดูเหน็ดเหนื่อย  ต่อเมื่อพวกเขากลับบ้านมาหาเจ้าเท่านั้น พวกเขาจึงกล้าถอดหน้ากากออกและยอมรับสภาพว่าพวกเขาเหน็ดเหนื่อยและต้องการพักผ่อน  แต่ทันทีที่พวกเขาก้าวออกไปข้างนอก พวกเขาก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป—พวกเขาสวมหน้ากากอีกครั้ง  เจ้ามองดูสีหน้าที่เหนื่อยล้าและน่าสงสารของพวกเขา และเจ้ารู้สึกเสียใจกับพวกเขา แต่เจ้าก็ไม่มีอำนาจที่จะทำให้พวกเขาหันกลับมา  พวกเจ้าทำไม่ได้อีกต่อไปแล้ว  นี่เกิดขึ้นได้อย่างไร?  นี่สัมพันธ์กับการอบรมเลี้ยงดูลูกของเจ้าไม่ใช่หรือ? (ใช่)  ไม่มีสิ่งใดในนี้เป็นบางสิ่งที่พวกเขารู้โดยธรรมชาติหรือไล่ตามไขว่คว้านับแต่เยาว์วัย การนี้มีความสัมพันธ์กับการอบรมเลี้ยงดูลูกของเจ้าอย่างแน่นอน  เมื่อเจ้าเห็นหน้าพวกเขา เมื่อเจ้าเห็นชีวิตพวกเขาอยู่ในสภาวะนี้ เจ้าไม่รู้สึกไม่สบายใจหรอกหรือ? (รู้สึก) แต่เจ้าไร้อำนาจ ทั้งหมดที่เหลืออยู่ก็คือความเสียใจและความโศกเศร้า  เจ้าอาจรู้สึกว่าลูกของเจ้าถูกซาตานพรากไปโดยสมบูรณ์แล้ว ว่าพวกเขาไม่สามารถหวนกลับมาได้ และเจ้าไม่มีอำนาจที่จะช่วยกู้ชีวิตพวกเขา  นี่เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะพ่อแม่  เจ้าคือคนที่ทำร้ายพวกเขา คนที่นำทางพวกเขาออกนอกลู่นอกทางด้วยการแนะแนวและการให้การศึกษาตามอุดมคติที่มีข้อเสียของเจ้า  พวกเขาไม่มีวันหวนคืน และสุดท้ายเจ้าก็จะเหลือเพียงความเสียใจเท่านั้น  เจ้าได้แต่มองดูอย่างอับจนหนทางขณะที่ลูกทนทุกข์ ถูกสังคมชั่วทำให้เสื่อมทราม แบกภาระความกดดันของชีวิต และเจ้าก็ไม่มีหนทางที่จะช่วยเหลือพวกเขาเลย  ทั้งหมดที่เจ้าพูดได้ก็คือ ‘กลับมาบ้านบ่อยๆ นะ แล้วแม่จะทำอะไรอร่อยๆ ให้ลูกกิน’  อาหารหนึ่งมื้อแก้ปัญหาอะไรได้หรือ?  แก้อะไรไม่ได้เลย  ความคิดของลูกเป็นผู้ใหญ่และเป็นรูปเป็นร่างแล้ว อีกทั้งพวกเขาก็ไม่เต็มใจปล่อยมือจากชื่อเสียงและสถานะที่พวกเขาได้สัมฤทธิ์แล้ว  พวกเขาทำได้เพียงตะลุยไปข้างหน้าและไม่มีวันหันกลับมา  นี่คือผลลัพธ์อันร้ายกาจของการที่พ่อแม่ให้การแนะแนวที่ผิดและปลูกฝังแนวคิดที่ผิดให้กับลูกในระหว่างช่วงปีแห่งการก่อร่างสร้างชีวิตของลูก(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (19))  ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้สองสามครั้ง และทุกครั้ง ฉันเจ็บลึกไปถึงข้างใน และรู้สึกเศร้าใจจนหลั่งน้ำตาแห่งความเสียใจออกมา ฉันคิดถึงตอนที่ลูกชายฉันยังเด็ก เขาไร้เดียงสาและเชื่อในพระเจ้า และเขาเต็มใจจะร่วมการชุมนุมกับยายของเขา แต่ด้วยอิทธิพลจากมุมมองเยี่ยงซาตาน อย่างเช่น “ความรู้สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของเจ้าได้” “การไล่ตามเสาะหาอื่นๆ ล้วนด้อยกว่าตำรา” “คนใช้แรงงานเป็นขี้ข้า คนใช้สมองดีกว่าเพราะได้เป็นนาย” และ “ชะตาลิขิตของคนเราอยู่ในมือของเขาเอง” ฉันไล่ตามเสาะหาการโดดเด่นและนำเกียรติยศมาสู่ครอบครัวของฉัน และฉันปลูกฝังความคิดเหล่านี้ให้กับลูกชายของฉัน และผลักดันเขาสู่ปลักเลนแห่งความรู้ เพื่อให้เขาทุ่มทั้งใจในการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียง ผลกำไร และสถานะ จนกระทั่งเขาปลดตัวเองให้หลุดพ้นไม่ได้อีกต่อไป ฉันสังเกตเห็นเป็นพิเศษถึงพระวจนะของพระเจ้าที่กล่าวว่า “เจ้าอาจรู้สึกว่าลูกของเจ้าถูกซาตานพรากไปโดยสมบูรณ์แล้ว ว่าพวกเขาไม่สามารถหวนกลับมาได้ และเจ้าไม่มีอำนาจที่จะช่วยกู้ชีวิตพวกเขา  นี่เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะพ่อแม่  เจ้าคือคนที่ทำร้ายพวกเขา คนที่นำทางพวกเขาออกนอกลู่นอกทางด้วยการแนะแนวและการให้การศึกษาตามอุดมคติที่มีข้อเสียของเจ้า  พวกเขาไม่มีวันหวนคืน และสุดท้ายเจ้าก็จะเหลือเพียงความเสียใจเท่านั้น  พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมถึงอารมณ์ที่ฉันกำลังรู้สึกอยู่ ณ ตอนนั้นพอดี ทุกครั้งที่ลูกชายฉันกลับมาบ้าน ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้เขาฟัง แต่ลูกชายฉันปฏิเสธพระวจนะเหล่านั้นเสมอ และหาทุกวิธีมาบอกปัด เขาถึงกับพูดว่าฉันกำลังฉุดรั้งเขาไว้ คำพูดนี้ทิ่มแทงหัวใจฉัน ฉันเห็นลูกชายวิ่งพล่านและทุ่มเทแรงงานทุกวันเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ เขาเริ่มผมร่วงตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่น และทุกวันเขาลากร่างกายอันเหน็ดเหนื่อยไปเรียนหนังสือจนดึกจนดื่น เขาถึงกับใช้สมองครุ่นคิดว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของเขาคิดอะไรและมีงานอดิเรกอะไร แล้วปรับวิธีการเข้าหาของเขาให้สอดคล้องกับสิ่งที่พวกอาจารย์ชอบ เขาระมัดระวังทุกก้าวย่างเมื่ออยู่ต่อหน้าสายตาของผู้นำของเขา กลัวว่าเขาจะพูดผิดหรือทำผิด และพวกเขาอาจทำให้ชีวิตของเขายาก กระทบกับลู่ทางอาชีพของเขา ฉันดูลูกชายฉันใช้ชีวิตโดยใส่หน้ากากทุกวันอย่างเหนื่อยล้าอ่อนแรง เป็นความผิดฉันเองที่ลูกชายฉันกลายเป็นคนแบบนี้ เป็นฉันที่สนับสนุนให้ลูกชายไล่ตามเสาะหาความรู้ และฉันทำร้ายลูกของฉันเอง ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า นี่ไม่ใช่การรักลูก แต่เป็นการทำร้ายลูก ทำให้เขากลายเป็นสิ่งสังเวยการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ของตัวฉันเอง ฉันเห็นเหล่าพี่น้องชายหญิงบางคนที่อายุไล่เลี่ยกับลูกชายฉันที่คริสตจักร พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาความจริง ทำหน้าที่ของพวกเขาในคริสตจักร พวกเขาไม่ถูกผูกมัดด้วยน้ำพิษของซาตาน และใช้ชีวิตที่ผ่อนคลายและมีความสุข โดยมีอิสรภาพและการปลดปล่อย สิ่งนี้ทำให้ฉันรู้สึกเสียใจยิ่งขึ้น ถ้าฉันไม่ปลูกฝังความคิดและมุมมองเหล่านี้ให้กับลูกชายของฉัน บางทีเขาอาจจะไม่กลายเป็นคนแบบนี้ ใช้ชีวิตที่แสนเจ็บปวดและไร้ที่พึ่งเพื่อเห็นแก่การไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ ไต่เต้าขึ้นไปและหาเงินหาทอง เมื่อฉันคิดถึงเรื่องเหล่านี้ ฉันรู้สึกสำนึกผิดเป็นอย่างมากและเกลียดตัวเอง ฉันคิดทบทวนว่า ทำไมฉันถึงตั้งใจมั่นนักหนาว่าอยากให้ลูกๆ สอบเข้ามหาวิทยาลัย และยืนกรานเหลือเกิน? ต้นตอของปัญหานี้อยู่ตรงไหน?

วันหนึ่ง ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าเหล่านี้ที่ว่า “ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลตอบแทนควบคุมความคิดของมนุษย์ จนกระทั่งทั้งหมดที่ผู้คนสามารถนึกถึงได้ก็คือชื่อเสียงและผลตอบแทน  พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน ทนทุกข์จากความยากลำบากทั้งหลายเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน สู้ทนความอัปยศอดสูเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน พลีอุทิศทุกสิ่งที่พวกเขามีเพื่อชื่อเสียงและผลตอบแทน และพวกเขาจะทำการพิพากษาหรือการตัดสินใจอันใดก็เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทน  ซาตานผูกมัดผู้คนเข้ากับโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นก็ด้วยวิธีนี้ และพวกเขาก็ไม่มีทั้งความเข้มแข็งและความกล้าที่จะขว้างโซ่ตรวนออกไป  พวกเขาแบกโซ่ตรวนเหล่านี้ไว้โดยที่ไม่รู้ตัว และเดินต่อไปข้างหน้าด้วยความลำบากยากเย็นอันใหญ่หลวง  เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของชื่อเสียงและผลตอบแทนนี้ มนุษย์หลบเลี่ยงพระเจ้าและทรยศพระองค์และกลายเป็นเลวยิ่งขึ้นทุกที  ดังนั้น คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าจึงถูกทำลายในท่ามกลางชื่อเสียงและผลตอบแทนของซาตานด้วยวิธีนี้นี่เอง  ทีนี้ พอมองดูการกระทำทั้งหลายของซาตาน สิ่งจูงใจส่อแววร้ายทั้งหลายของมันไม่น่ารังเกียจอย่างถึงที่สุดหรอกหรือ?  บางทีวันนี้พวกเจ้ายังคงไม่สามารถมองทะลุถึงสิ่งจูงใจอันส่อแววร้ายของซาตาน เพราะพวกเจ้าคิดว่าคนเราไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากชื่อเสียงและผลตอบแทน  พวกเจ้าคิดว่าหากผู้คนทิ้งชื่อเสียงและผลตอบแทนไว้ข้างหลัง พวกเขาจะไม่สามารถเห็นหนทางข้างหน้าได้อีกต่อไป ไม่สามารถเห็นเป้าหมายของพวกเขาได้อีกต่อไป คิดว่าอนาคตของพวกเขาจะกลายเป็นมืดมิด คลุมเครือ และหม่นมัว(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจว่า ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลประโยชน์มาทำให้คนเสื่อมทราม ชักพาคนให้หลงผิด และทำร้ายผู้คน ทำให้คนไล่ตามเสาะหาเพียงชื่อเสียงและผลประโยชน์ ฉันจำเรื่องนี้ได้เพราะตอนเด็กๆ ฉันไม่ได้รับการศึกษาที่ดี ฉันทนทุกข์มากทีเดียวตอนที่ออกไปหาเงิน และสู้ทนกับอคติของผู้อื่นอยู่บ่อยครั้ง เมื่อฉันเห็นว่าคนที่มีเกียรติและมีความรู้สูงได้รับการชื่นชมจากผู้อื่นไม่ว่าจะไปไหน ฉันอิจฉาพวกเขา และเชื่อว่าฉันไม่สามารถได้รับการยกย่องจากผู้อื่นเพียงเพราะฉันไม่มีความรู้ ฉันจึงเอาความหวังของฉันไปวางไว้ที่ลูกๆ หวังให้พวกแกทำความฝันที่ตัวฉันเองไม่สามารถลุล่วงได้ให้เป็นจริง เพื่อสิ่งนี้ ฉันใช้เวลาทั้งหมดของฉันและยอมลำบากอย่างเต็มที่ ใช้ชีวิตที่ขมขื่นและเหนื่อยล้า และฉันมอบความเจ็บปวดและความทรมานให้กับลูกชายของฉัน ภายหลัง ถึงแม้ลูกชายฉันได้รับชื่อเสียงและผลกำไร เขากลับออกห่างจากพระเจ้ามากขึ้น และสูญเสียการช่วยให้รอดของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า การไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ของฉัน เป็นโซ่ตรวนที่มองไม่เห็นแบบหนึ่งที่ซาตานตรึงไว้ที่ตัวฉันและลูกชายของฉัน ซาตานใช้ชื่อเสียงและผลประโยชน์มาล่อใจและชักพาเราให้หลงผิด ทำให้เราดิ้นรนโดยคิดถึงสิ่งเดียวคือชื่อเสียงและผลประโยชน์ ไม่คิดจะไล่ตามหาเสาะความจริงเลย เราถูกซาตานชักนำด้วยสายจูงทีละก้าว เราเต็มใจจะทนทุกข์เพื่อสิ่งนี้ ผลลัพธ์คือเราห่างจากพระเจ้ามากขึ้น จนถึงจุดที่ปฏิเสธพระเจ้า และโดนซาตานกลืนกิน นี่คือเจตนาและแผนการชั่วร้ายของซาตาน ฉันนึกถึงคนรอบตัวฉัน ลูกชายของลุงฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่พ่อแม่ของเขาเหยียดหยามเขาที่เลือกวิชาเอกที่ด้อย พ่อแม่เขาจึงใช้เส้นสายและหาคนมาช่วยเขาเปลี่ยนวิชาเอก ผลก็คือ เด็กรู้สึกกดดันมากเกินไป และไม่สามารถเรียนได้ทัน และภายหลังเขาก็เกิดสติแตกขึ้นมา ตอนนี้เขาควบคุมดูแลชีวิตของตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ มีเด็กหลายคนเช่นกันที่ดื่มยาฆ่าแมลงหรือกระโดดตึกเพราะทำผลการเรียนได้ไม่ดี บทเรียนน่าเศร้าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งย้ำเตือนและให้สติฉัน ในความเป็นจริง ไม่ว่าคนจะร่ำรวยหรือยากจนในชีวิตล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ชื่อเสียงและผลประโยชน์ไม่อาจทำให้เรารอดพ้นจากความเจ็บปวด สิ่งเหล่านี้ทำได้แค่นำเราสู่เหลวลึกของการทนทุกข์ น่ารังเกียจยิ่งนักที่เห็นว่าซาตานทำร้ายผู้คนอย่างไร ในขณะเดียวกัน ขอบคุณพระเจ้าที่ ผ่านการรู้แจ้ง การนำ และการชี้ทางของพระองค์ ฉันพบต้นตอของการทนทุกข์ของฉัน และเห็นผลลัพธ์ที่อันตรายของการไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและผลประโยชน์ ไม่อย่างนั้น ฉันคงยังติดอยู่ในนั้น ไม่สามารถปลดตัวเองให้พ้นออกมาได้ นั่นทำให้ฉันเข้าใจด้วยว่าเจตนารมณ์อันมุ่งมั่นของพระเจ้าคือช่วยผู้คนให้รอด ฉันไม่อาจให้ซาตานหลอกลวงและทำร้ายต่อไปได้ ฉันต้องการหลุดพ้นจากโซ่ตรวนของชื่อเสียงและผลประโยชน์ และเดินในเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริงและให้ได้มาซึ่งการช่วยให้รอด

ภายหลัง ฉันพบเส้นทางที่ถูกต้องในการสั่งสอนลูกๆ ของเราจากพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “หากเจ้าไม่ได้ให้การศึกษาแก่พวกเขาแบบนี้ตอนที่พวกเขาเยาว์วัย หากเจ้าได้ให้วัยเด็กที่มีความสุขแก่พวกเขาโดยปราศจากแรงกดดันอันใด ไม่มีการสอนให้พวกเขาต้องอยู่เหนือคนอื่น ครองตำแหน่งที่มีอำนาจสูงหรือหาเงินให้มาก หรือไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ หากเจ้าเพียงปล่อยให้พวกเขาได้เป็นคนดีธรรมดาโดยไม่เรียกร้องให้พวกเขาหาเงินให้มาก สุขสำราญมากเหลือเกิน หรือตอบแทนให้กับเจ้ามากเหลือเกิน โดยแค่ขอให้พวกเขามีสุขภาพดีและมีความสุข เป็นปัจเจกบุคคลที่เรียบง่ายและมีความสุขเท่านั้นเอง บางทีพวกเขาคงได้เปิดรับความคิดและทรรศนะบางอย่างที่เจ้ามีหลังการเชื่อในพระเจ้าไปแล้ว  เช่นนั้นตอนนี้ชีวิตของพวกเขาอาจจะมีความสุข มีแรงกดดันจากชีวิตและสังคมน้อยกว่านี้  แม้ว่าพวกเขาไม่ได้รับชื่อเสียงและผลประโยชน์ อย่างน้อยหัวใจพวกเขาก็คงได้รู้สึกมีความสุข สงบนิ่ง และเปี่ยมสันติสุข(พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (19))  พระวจนะของพระเจ้าชี้เส้นทางที่ถูกต้องในการสั่งสอนลูก ในการสั่งสอนลูกนั้น เราต้องไม่เรียกร้องให้ลูกๆ ไล่ตามเสาะหาความรู้ สถานะ ชื่อเสียง ผลกำไร การไต่เต้า หรือการหาเงิน พ่อแม่ควรหวังให้ลูกๆ ใช้ชีวิตที่มีความสุขและสุขภาพดี ปลอดความกดดัน เป็นอิสระ และปลดปล่อย จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าด้วยว่า ลูกๆ และฉันล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และชะตากรรมของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ชะตากรรมของชีวิตเราและเส้นทางใดที่เราควรเดินอยู่ใต้อธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง และฉันไม่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของลูกๆ ได้ ทั้งหมดที่ฉันทำได้คืออธิษฐานเพื่อลูกๆ ของฉัน และเมื่อลูกๆ กลับมา ฉันจะได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าให้พวกแกฟัง ในเรื่องที่ว่าพวกแกจะได้อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในท้ายที่สุดหรือไม่นั้น นั่นขึ้นอยู่กับพระองค์ ฉันเพียงต้องลุล่วงหน้าที่และความรับผิดชอบของตัวเอง และทำสิ่งที่ฉันควรทำให้ดี มุมมองของฉันต่อสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปบ้าง นั่นคือผลที่เกิดจากพระวจนะของพระเจ้า ตอนนี้ฉันต้องการเพียงไล่ตามเสาะหาความจริง และใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า ลุล่วงหน้าที่ของตัวเอง นี่เป็นชีวิตเดียวที่มีความหมายและคุณค่า ขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ติดต่อเราผ่าน Messenger