เรื่องราวของฉันในการทำงานกับผู้เชื่อใหม่
ในเดือนเมษายน ปี 2020 ฉันได้รับเลือกให้รับใช้ในฐานะมัคนายกคริสตจักร ตอนแรกฉันค่อนข้างประหม่า และกังวลว่าจะทำผลงานได้ไม่ดี...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
พ่อของฉันเสียไปตั้งแต่ฉันอายุได้เก้าปี ส่วนแม่ก็ถูกทิ้งให้เลี้ยงฉันกับพี่น้องอีกสี่คนด้วยความยากลำบาก ป้าของฉันรู้สึกสงสารพวกเรา ท่านจึงมักจะเอาอาหารและของจำเป็นมาให้ เวลาท่านเอาของมาให้เรา แม่จะกำชับให้พวกเราแสดงความขอบคุณป้าคนนี้เสมอ และสอนเราไม่ให้ลืมความดีของผู้อื่น สอนให้เราตอบแทนน้ำใจที่ได้รับ และกตัญญูรู้คุณ จะได้ไม่มีใครว่าเราลับหลังว่าเป็นคนอกตัญญู ถึงจะเจอช่วงที่ยากลำบาก แม่ก็จะตอบแทนน้ำใจป้าด้วยการแบ่งปันสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เรามีให้ท่านป้าเสมอ พอโตขึ้น ฉันก็มักได้ยินคนพูดว่า “คุณเห็นคนนั้นที่ได้รับความช่วยเหลือยามที่ต้องการที่สุด ตอบแทนน้ำใจในสองสามปีต่อมาไหม? คุณเห็นคนนั้นที่ได้รับความช่วยเหลือแต่ไม่รู้จักแสดงความขอบคุณไหม? ไม่สำนึกบุญคุณเลย” แล้วฉันก็ค่อยๆ ใช้ชีวิตด้วยมุมมองนี้ คิดว่าฉันต้องทำตัวตอบแทนน้ำใจที่ได้รับ ไม่อย่างนั้นฉันจะเป็นคนอกตัญญู และจะถูกคนอื่นดูถูกและเหยียดหยาม พอมาเป็นผู้เชื่อ ถึงจะรู้ว่าฉันควรรับมือกับผู้คนและสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะ แนวคิดดั้งเดิมที่ส่งต่อกันรุ่นสู่รุ่นก็หยั่งรากลึกในใจฉันจนฉันใช้ชีวิตตามทัศนะพวกนี้และละเมิดหลักธรรมในหน้าที่ ทำให้ฉันขัดขวางงานของคริสตจักร และถูกกาหัวว่าทำการฝ่าฝืน
เดือนสิงหาคมปี 2021 หลังจากมีการกำหนดให้เตรียมชำระคริสตจักร คริสตจักรก็เริ่มสามัคคีธรรมความจริงเรื่องการแยกแยะผู้คน และฟ่างหลิงพี่สะใภ้ฉันก็ถูกระบุว่าเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ ฉันไม่แปลกใจกับเรื่องนี้เลย ถึงจะเป็นผู้เชื่อมาหลายปี เธอก็ไม่ได้ไล่ตามความจริงและทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักอยู่บ่อยครั้ง เวลาชุมนุม เธอมักจะนินทาคนอื่นเสมอ แล้วพอเริ่มอ่านพระวจนะกันเธอก็หลับผล็อยไปทันที เธอเลยไม่มีอะไรให้สามัคคีธรรม เวลาเจอเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของตัวเอง เธอก็ไม่เคยแสวงหาความจริง และไม่เคยยอมรับเรื่องเหล่านั้นจากพระเจ้า เธอคอยพินิจพิเคราะห์ผู้คนและสิ่งต่างๆ และปกป้องตัวเองเสมอ ตอนที่ฟ่างหลิงเป็นคนจัดการชุมนุมและได้ยินผู้นำสามัคคีธรรมเรื่องพฤติกรรมขัดขวางของคนบางคน เธอก็จะเอาสิ่งที่ผู้นำพูดไปบอกคนพวกนั้น ทำให้พวกเขาอคติต่อผู้นำ และคิดว่าผู้นำทำให้พวกเขาลำบาก ผู้นำจึงชำแหละการที่เธอหว่านความบาดหมาง อีกทั้งขัดขวางและก่อกวนชีวิตคริสตจักร แต่เธอไม่ได้รู้สึกผิดเลย แถมยังเถียงทุกอย่างเพื่อปกป้องตัวเอง เธอกล่าวว่าเธอแค่เล่าความจริง และไม่เห็นว่านั่นทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักตรงไหน ในการชุมนุมครั้งหนึ่ง พวกเราสามัคคีธรรมถึงวิจารณญาณของหลิวฮุ่ย ผู้เป็นพี่สะใภ้ของฉัน เธอถูกเปิดโปงว่าเป็นผู้ปราศจากความเชื่อที่มีความเป็นมนุษย์ที่ชั่ว และควรจะถูกชำระออกจากคริสตจักรทันที หลังการชุมนุมนั้น ฟ่างหลิงก็ไปบอกพี่สาวคนหนึ่งว่าเรากำลังจะชำระหลิวฮุ่ยออกจากคริสตจักร และแสดงความคิดเห็นเชิงลบบางอย่างที่ทำให้สภาวะของพี่คนนั้นหยุดชะงัก ฉันรีบไปหาฟ่างหลิงเพื่อสามัคคีธรรมกับเธอ โดยบอกไปว่าคริสตจักรชำระและขับไล่ผู้คนตามพฤติกรรมโดยรวมของพวกเขา พระนิเวศของพระเจ้าปกครองโดยความจริง ไม่ได้มีผู้ใดเป็นคนถือคำขาด หลิวฮุ่ยถูกชำระออกไปเพราะเธอมีความเป็นมนุษย์ที่ชั่ว ทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักอยู่บ่อยครั้ง และไม่ยอมกลับใจแม้พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมไปหลายหน ฉันยังเปิดโปงพฤติกรรมของฟ่างหลิงที่เผยแพร่ความคิดลบและความตาย และไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า ความจริงและความชอบธรรมมีอำนาจในคริสตจักร แล้วฉันก็ต้องประหลาดใจที่เธอตอบทั้งน้ำตาว่า “ฉันรู้ว่าในคริสตจักร เธอเป็นคนถือคำขาดและตัดสินว่าใครจะถูกขับไล่” พอเจอเธอสร้างปัญหาอย่างไร้เหตุผล ฉันก็รู้สึกสิ้นหวังเล็กน้อย และรู้อยู่ในใจว่าฟ่างหลิงไม่ยอมรับความจริงและเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ ทว่าในตอนที่เตรียมเนื้อหาในการชำระเธอฉันกลับลังเล เธอกับฉันยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ามาด้วยกัน และเราก็ชุมนุมและเผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยกันมาหลายปี ฟ่างหลิงเป็นคนที่ใจดีมาก ถ้าฉันต้องการความช่วยเหลือ เธอก็จะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ ยิ่งปี 2013 ตอนที่สามีของฉันล้มป่วย เธอก็จะดูแลเขาเพื่อให้ฉันทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปได้ แถมยังช่วยทำงานบ้าน ช่วยดูแลผลผลิตให้เราด้วย หลังจากสามีของฉันเสียชีวิต ฉันก็ต้องรับมือกับความลำบากยากเย็นทุกรูปแบบและตกสู่สภาวะของความคิดลบ เป็นฟ่างหลิงคอยแวะเวียนมาหาฉันทุกคืน มาอ่านพระวจนะของพระเจ้า และสามัคคีธรรมประสบการณ์ของโยบให้ฉันฟัง ด้วยการเกื้อหนุนและช่วยเหลือของเธอ สภาวะของฉันจึงค่อยๆ ดีขึ้น ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เธอไม่ได้ช่วยเหลือแค่สิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในทุกวัน แต่ยังอ่านพระวจนะของพระเจ้าเพื่อหนุนใจฉันด้วย ฉันจำได้เสมอว่าฟ่างหลิงปฏิบัติดีต่อฉันแค่ไหน ถ้าฉันไม่ตอบแทนน้ำใจของเธอ แถมยังเตรียมเนื้อหาเพื่อชำระเธอ ถ้าเธอรู้เข้า เธอจะคิดยังไงกับฉัน? เธอจะบอกว่าฉันไม่รู้คุณคนและไร้จิตสำนึกไหม? พี่ชายฉัน ภรรยาของเขา และน้องสาวฉัน ต่างก็เห็นทุกอย่างที่เธอทำให้ฉันมาตลอดหลายปีนี้ แม้แต่เพื่อนบ้านยังบอกว่าฉันสนิทกับฟ่างหลิงมากกว่าน้องสาวตัวเองเสียอีก ดังคำกล่าวที่ว่า “ลูกแกะคุกเข่ากินนมแม่ ส่วนอีกาตอบแทนแม่ด้วยการหาอาหารมาให้” ขนาดสัตว์ยังรู้จักตอบแทนน้ำใจ แต่ฉันไม่สามารถผ่อนปรนให้คนที่ช่วยเหลือฉันด้วยซ้ำ พวกเขาจะคิดว่าฉันไม่รู้คุณคน และทอดทิ้งและกีดกันฉันไหม? แล้วฉันจะไม่ถูกครอบครัวของตัวเองละทิ้งเหรอ? พอตระหนักทั้งหมดนี้ ฉันก็กังวลและลังเลใจอย่างที่สุด ระหว่างงานในการชำระคริสตจักรกับฟ่างหลิงที่ฉันติดค้างน้ำใจเธอไว้ ฉันตัดสินใจไม่ได้ และใช้ชีวิตด้วยความทุกข์ทรมาณ ขณะที่ลังเลอยู่นั้น ฉันก็เห็นคำเทศนาของพี่ชายที่เป็นหัวหน้างานที่ว่า “ผู้คนประเภทใดที่ยังให้การปรนนิบัติในคริสตจักรได้? ตราบใดที่พวกเขาไม่มีความเป็นมนุษย์ที่ชั่ว มีทักษะและเต็มใจที่จะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ พวกเขาก็ควรได้รับอนุญาตให้อยู่ในคริสตจักรต่อไป” ทันใดนั้นฉันก็ตระหนักได้ว่า “ใช่แล้ว! ฟ่างหลิงไม่ได้รักหรือไล่ตามความจริง แต่เธอชอบเผยแผ่ข่าวประเสริฐและสัมฤทธิ์ผลบางอย่างได้ ตอนนี้เป็นช่วงที่สำคัญยิ่งของการขยายข่าวประเสริฐ ถ้าฉันใช้ความสามารถในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐของฟ่างหลิงมาเป็นเหตุผลให้เธอยังอยู่ในคริสตจักร เธอก็จะไม่ถูกชำระใช่ไหม? แบบนั้นฉันก็เลี่ยงที่จะล่วงเกินฟ่างหลิงได้ แล้วพี่ชายกับพี่สะใภ้และน้องๆ ก็จะไม่บอกว่าฉันไม่รู้คุณคน และฉันก็จะไม่ต้องกลายเป็นที่พูดถึงว่าเป็นน้องที่ไม่รู้จักบุญคุณ” พอคิดแบบนี้ ฉันเลยพักงานในการเตรียมเนื้อหาที่จะชำระเธอเอาไว้ก่อน
แต่ไม่นานก็มีพี่น้องหญิงบางคนบอกฉันว่า ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐสองคนที่มีขีดความสามารถ และเข้าใจพระวจนะได้ดีเกิดท้อใจและเลิกฟังคำเทศนาเพราะฟ่างหลิงใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่แย่แบบนั้น พี่สาวอีกคนก็บอกฉันว่า ฟ่างหลิงขัดขวางชีวิตคริสตจักร และบางคนก็ไม่อยากเผยแผ่ข่าวประเสริฐกับเธอ… เมื่อได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี้ฉันก็รู้สึกตกใจ การขัดขวางงานข่าวประเสริฐของฟ่างหลิงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฉันโดยตรง! ฉันรีบอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อกลับใจและสารภาพบาป หลังจากนั้น ฉันก็บังเอิญเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “บางคนมีท่าทีไม่เคารพอย่างยิ่งต่อการจัดการเตรียมงานของเบื้องบน พวกเขาเชื่อว่า ‘เบื้องบนทรงทำการจัดการเตรียมงานทั้งหลายและพวกเราทำงานในคริสตจักร พระวจนะและกิจธุระบางอย่างสามารถนำไปใช้อย่างยืดหยุ่นได้ เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับพวกเราโดยเฉพาะว่าจะดำเนินการอย่างไร เบื้องบนเพียงตรัสและทรงจัดการเตรียมการงานทั้งหลาย พวกเราคือผู้ลงมือกระทำการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ดังนั้นหลังจากเบื้องบนทรงมอบหมายงานให้กับพวกเราแล้ว พวกเราก็สามารถทำงานนั้นได้อย่างที่ต้องการ ไม่เป็นไรหรอก ถึงอย่างไรงานนั้นก็เสร็จสิ้นแล้ว ผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์แทรกแซงทั้งนั้น’ หลักธรรมที่พวกเขาปฏิบัติตามมีดังนี้ พวกเขารับฟังสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง และเพิกเฉยต่อสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าผิด พวกเขาถือว่าความเชื่อของตนเป็นความจริงและเป็นหลักธรรม พวกเขาแข็งขืนต่อสิ่งใดก็ตามที่ไม่เป็นไปตามเจตจำนงของพวกเขา อีกทั้งพวกเขาเป็นปฏิปักษ์ต่อเจ้าอย่างยิ่งในเรื่องของสิ่งเหล่านั้น เมื่อพระวจนะของเบื้องบนไม่สอดคล้องกับเจตจำนงของพวกเขา พวกเขาก็เดินหน้าเปลี่ยนแปลงพระวจนะนั้น และส่งต่อเมื่อเห็นชอบในพระวจนะนั้นแล้ว หากพวกเขาไม่เห็นชอบ พวกเขาก็ไม่อนุญาตให้ส่งต่อพระวจนะนั้น ขณะที่พื้นที่อื่นส่งต่อการจัดการเตรียมงานของเบื้องบนไปตามจริง ผู้คนเหล่านี้กลับส่งต่อการจัดการเตรียมงานที่ไปยังคริสตจักรภายใต้การกำกับดูแลของตน ผู้คนเช่นนี้ปรารถนาที่จะละวางพระเจ้าเอาไว้เสมอ พวกเขาประสงค์อย่างแรงกล้าที่จะทำให้ทุกคนเชื่อพวกเขา ติดตามพวกเขา และนบนอบต่อพวกเขา บางส่วนของจิตใจของพวกเขาคิดว่าพระเจ้าทรงไม่ดีเท่ากับพวกเขา—พวกเขาควรจะเป็นพระเจ้าเสียเอง และผู้อื่นควรเชื่อพวกเขา นั่นคือธรรมชาติของเรื่องนี้… พวกเขาเป็นเพียงพวกขี้ข้าของซาตาน และเมื่อพวกเขาทำงาน ก็ย่อมเป็นมารที่ครองอำนาจ พวกเขาทำลายแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและก่อกวนพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์โดยแท้!” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม) พระวจนะทำให้ฉันสะเทือนใจอย่างมาก ทั้งยังเปิดโปงการที่ฉันไม่จัดเตรียมงาน แถมยังทำตัวตามความต้องการของตัวเอง การจัดเตรียมงานระบุไว้ชัดเจนว่าผู้นำและคนทำงานควรชำระคนที่ถูกเปิดโปงว่าเป็นคนทำชั่ว ผู้ปราศจากความเชื่อ หรือศัตรูของพระคริสต์ออกไปทันที ในฐานะผู้นำ ฉันควรนบนอบและทำตามโดยไม่มีข้อแม้ และมุ่งมั่นดำเนินการ ชำระศัตรูของพระคริสต์ ผู้ทำชั่ว และผู้ปราศจากความเชื่อออกจากคริสตจักรทันทีเพื่อให้แน่ใจว่าพี่น้องชายหญิงจะไม่ถูกหลอกลวงหรือขัดขวาง และได้ชื่นชมสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ เพื่อที่จะกินดื่มพระวจนะ ไล่ตามความจริง และทำหน้าที่ให้ลุล่วงได้ แต่ถึงฉันจะรู้ชัดเจนว่าฟ่างหลิงเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ ฉันก็กลัวว่าจะล่วงเกินเธอจากการเตรียมเนื้อหาในการชำระเธอ และจะถูกตราหน้าว่าเป็นคนเนรคุณเพราะก่อนหน้านี้เธอเคยช่วยเหลือฉัน ฉันจึงไม่ได้ดำเนินการจัดเตรียมงาน แถมยังแก้ต่างและปกป้องเธออย่างโจ่งแจ้งว่าเธอเผยแผ่ข่าวประเสริฐได้ ซึ่งสิ่งนี้ขัดต่อการจัดเตรียมงาน ฉันทบทวนดูว่า “ฉันรู้ชัดเจนว่าฟ่างหลิงถูกเปิดโปงว่าเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ ทำไมฉันถึงยังแก้ต่างให้เธอด้วยความรักใคร่ แถมพยายามยกโทษให้เธอจากความผิดทั้งหมด?” ฉันตระหนักว่า นี่เป็นเพราะฉันถูกแนวคิดดั้งเดิมเรื่องการตอบแทนน้ำใจควบคุมและผูกมัด ฉันเมินเฉยต่อผลประโยชน์ของคริสตจักรเพื่อจะรักษาภาพลักษณ์ของตัวเอง และเพื่อที่จะไม่ถูกมองว่าเป็นคนไม่ได้เรื่องที่ไม่รู้คุณคน โดยไม่สนใจที่จะคิดว่าถ้าปล่อยให้ฟ่างหลิงอยู่ในคริสตจักรผลที่ตามมาจะเป็นยังไง ทั้งยังละเมิดการจัดเตรียมงานอย่างโจ่งแจ้ง นอกจากฉันจะไม่เตรียมเนื้อหาที่ใช้ชำระฟ่างหลิงแล้ว ฉันยังมอบหมายให้เธอเผยแผ่ข่าวประเสริฐด้วยซ้ำ ความเป็นมนุษย์ในการใช้ชีวิตของเธอแย่ถึงขั้นที่ผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐสองคนไม่อยากสืบค้นต่อ ทั้งหมดเป็นผลจากการที่ฉันปกป้องเธอ ฉันละเมิดการจัดเตรียมงาน และทำตามใจตัวเอง ขัดขวางงานชำระคริสตจักรให้สะอาด ฉันใช้อำนาจของตัวเองแก้ต่างและปกป้องผู้ปราศจากความเชื่อที่ทำชั่วในคริสตจักร มอบภาวะให้ผู้กระทำชั่วได้ทำความชั่ว และทำตัวเป็นลูกสมุนของซาตาน ฉันคือนิยามของผู้นำเทียมเท็จจริงๆ พอตระหนักถึงความชั่วที่ทำไป ฉันก็รู้สึกกลัวและรู้สึกเสียใจมาก ฉันรีบขอให้ทุกคนประเมินฟ่างหลิงให้ฉัน พออ่านคำประเมิน ฉันก็ตระหนักว่าเธอไม่ได้ส่งผลแง่ลบต่องานข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่ยังหว่านความขัดแย้ง และก่อความเสียหายในคริสตจักร เผยแพร่ความคิดลบ เอาเปรียบผู้คนอย่างไม่เป็นธรรม และพยายามเอาของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ทั้งที่ตัวเธอก็ไม่ได้ขาดอะไรเลย พอได้อ่านคำประเมินทั้งหมดฉันก็รู้สึกผิดอย่างเหลือเชื่อ และรู้ว่าการที่ฉันปกป้องฟ่างหลิงคือการทำชั่ว ฉันรู้ว่าฉันต้องเลิกทำตัวตามความรักใคร่ และต้องเตรียมเนื้อหาทั้งหมดในการชำระฟ่างหลิง ต่อมา ตอนที่ต้องให้พี่น้องชายหญิงเซ็นชื่อ ฉันก็เริ่มกังวลอีกว่าฉันจะต้องให้ญาติของฉันหลายคนเซ็นชื่อ พอคิดว่าเราเพิ่งชำระหลิวฮุ่ยไป มาคราวนี้ก็จะชำระฟ่างหลิงต่อเลย พวกเขาจะบอกว่าฉันเนรคุณ และเมินใส่ฉันไหม?
ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้า แสวงหาตามสถานการณ์ของฉัน ต่อมาก็บังเอิญเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ “ในทุกสิ่งที่เจ้าทำนั้น เจ้าต้องตรวจดูว่าเจตนารมณ์ของเจ้าถูกต้องหรือไม่ หากเจ้าสามารถกระทำการได้ตามข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็เป็นปกติ นี่คือมาตรฐานขั้นต่ำสุด จงมองค้นเข้าไปในเจตนารมณ์ทั้งหลายของเจ้า และหากเจ้าพบว่ามีเจตนารมณ์ที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้น ก็จงสามารถที่จะฝืนต้านเจตนารมณ์เหล่านั้นและกระทำการให้สอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ เจ้าก็จะกลายเป็นใครบางคนที่ถูกต้องเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ซึ่งย่อมแสดงให้เห็นว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้านั้นปกติ และว่าทุกสิ่งที่เจ้าทำนั้นเป็นไปเพื่อพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อตัวเจ้าเอง ในทุกสิ่งที่เจ้าทำและทุกสิ่งที่เจ้าพูด จงสามารถแก้ไขหัวใจของเจ้าให้ถูกต้องและมีการกระทำที่ชอบธรรม และจงอย่าให้ความรู้สึกของเจ้านำทาง อีกทั้งไม่กระทำการตามเจตจำนงของเจ้าเอง นี่คือหลักธรรมที่บรรดาผู้เชื่อในพระเจ้าต้องประพฤติปฏิบัติ… กล่าวคือ หากมนุษย์สามารถดูแลรักษาพระเจ้าไว้ในหัวใจของพวกเขาและไม่ไล่ตามเสาะหาผลประโยชน์ส่วนตัวหรือคิดถึงความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ (ในความหมายทางเนื้อหนัง) ของตัวพวกเขาเอง แต่กลับแบกภาระแห่งการเข้าสู่ชีวิต ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างสุดความสามารถของพวกเขา และนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้า—หากเจ้าสามารถทำการนี้ได้ เช่นนั้นแล้ว เป้าหมายต่างๆ ที่เจ้าไล่ตามเสาะหาก็จะถูกต้อง และสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าก็จะกลายเป็นปกติ การแก้ไขสัมพันธภาพของคนเรากับพระเจ้าให้ถูกต้องนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นขั้นตอนแรกของการเข้าสู่การเดินทางฝ่ายวิญญาณของคนเรา แม้ว่าชะตากรรมของมนุษย์จะอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและถูกพระเจ้าลิขิตไว้ล่วงหน้า และมนุษย์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตากรรมได้ แต่การที่เจ้าจะสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าหรือจะได้รับการรับไว้โดยพระองค์นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นปกติหรือไม่ อาจมีหลายส่วนของเจ้าที่อ่อนแอหรือเป็นกบฏ—แต่ตราบเท่าที่ทรรศนะต่างๆ ของเจ้าและเจตนารมณ์ทั้งหลายของเจ้านั้นถูกต้อง และตราบเท่าที่สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้านั้นถูกต้องและปกติ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็มีคุณสมบัติที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า หากเจ้าไม่มีสัมพันธภาพที่ถูกต้องกับพระเจ้า และกระทำการเพื่อเนื้อหนังหรือครอบครัวของเจ้า เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะทำงานหนักสักเพียงใด ก็ย่อมจะสูญเปล่า หากสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้านั้นปกติ เช่นนั้นแล้ว สิ่งอื่นที่เหลือก็จะเข้าที่เข้าทางไปเอง พระเจ้าไม่ทอดพระเนตรดูสิ่งอื่นใด นอกจากว่าทรรศนะในการเชื่อในพระเจ้านั้นของเจ้าถูกต้องหรือไม่ กล่าวคือ เจ้าเชื่อในผู้ใด เจ้าเชื่อเพื่อผู้ใด และเจ้าเชื่อเพราะเหตุใด หากเจ้าสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนและฝึกฝนปฏิบัติโดยมีทรรศนะที่อารีอารอบ เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะก้าวหน้าในชีวิตของเจ้า และรับรองว่าเจ้าจะเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้อง หากสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าไม่ปกติ และทรรศนะต่างๆ เกี่ยวกับการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าเบี่ยงเบน เช่นนั้นแล้ว ทุกสิ่งก็สูญเปล่า และไม่ว่าเจ้าจะเชื่ออย่างหนักแน่นสักเพียงใด เจ้าก็จะไม่ได้รับสิ่งใดเลย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, สัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าเป็นเช่นไร?) พออ่านพระวจนะฉันก็ตระหนักว่า การที่จะมีความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับคนอื่นนั้น ฉันต้องสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นปกติกับพระเจ้าเสียก่อน ฉันควรทำตัวตามพระวจนะและนำการกระทำของฉันมาเฉพาะพระพักตร์เสมอ หากผู้คนทำตัวตามอุปนิสัยอันเสื่อมทราม รักษาความสัมพันธ์ของตัวเองกับผู้อื่นเพื่อชื่อเสียง สถานะและผลประโยชน์ทางเนื้อหนัง พระเจ้าย่อมไม่ทรงยกย่องเรื่องนี้ และไม่ว่าพวกเขาพยายามรักษาความสัมพันธ์แค่ไหนก็ล้วนจะสูญเปล่า ตั้งแต่ที่ฟ่างหลิงถูกพบว่าเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ ฉันก็ถูกอุปนิสัยอันเสื่อมทรามบีบคั้น กลัวว่าถ้าเธอถูกชำระออกไป เธอจะมองว่าฉันเนรคุณ กลัวครอบครัวจะคิดว่าฉันไม่รู้คุณคน แล้วจะกีดกัน และทอดทิ้งฉัน ดังนั้นเพื่อรักษาภาพลักษณ์ในสายตาของพวกเขา ฉันเลยเลี่ยงที่จะรับมือกับสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรม ฉันตระหนักว่า ไม่ว่าผู้อื่นจะมองว่าฉันเป็นคนดีหรือยกย่องฉันแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ เพราะพระเจ้าไม่ทรงยกย่องสิ่งนี้ ฉันยอมสละผลประโยชน์ของคริสตจักรเพื่อรักษาความสัมพันธ์ สิ่งนี้ก้าวล่วงพระอุปนิสัยของพระเจ้า ฉันเป็นผู้เชื่อ จึงควรปฏิบัติตนตามพระวจนะและยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ในทุกสิ่ง ฉันต้องหยุดละเมิดการจัดเตรียมงานเพื่อรักษาความสัมพันธ์ หยุดทำตัวแข็งขืนต่อพระเจ้า และไม่ว่าพวกเขามีท่าทีแบบไหนต่อฉัน ต่อให้พวกเขาทอดทิ้งหรือเมินใส่ฉัน ฉันก็ต้องปฏิบัติความจริงและเปิดโปงฟ่างหลิง ฟ่างหลิงเป็นผู้ปราศจากความเชื่อและทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักอยู่บ่อยครั้ง การที่เธอถูกชำระออกไปเป็นความผิดเธอ โทษใครไม่ได้ พี่ชายกับพี่สะใภ้และน้องสาวฉันเป็นผู้เชื่อ ฉันเพียงต้องมุ่งสามัคคีธรรมกับพวกเขาและรับมือตามหลักธรรม ต่อมา พอฉันอ่านคำอธิบายพฤติกรรมของฟ่างหลิงให้พวกเขาฟัง พวกเขาก็ไม่ได้โทษฉัน แถมยังบอกว่าการที่เธอถูกชำระนั้นถูกต้องแล้ว การปล่อยให้เธออยู่ในคริสตจักรเป็นการหลู่เกียรติพระนามพระเจ้า พี่ชายกับพี่สะใภ้ถึงกับเล่าพฤติกรรมที่ไม่เชื่อของฟ่างหลิงให้ฉันฟัง ฉันขอบคุณพระเจ้าที่สิ่งต่างๆ ลงเอยแบบนี้ และยังรู้สึกด้วยว่าการปฏิบัติความจริงนั้นแสนปิติและมีสันติสุขแค่ไหน
ไม่นานหลังจากนั้นฉันก็ได้รับประกาศแจ้งเรื่องการชำระฟ่างหลิง แต่พอนึกถึงการอ่านประกาศให้เธอฟัง ฉันก็เริ่มลังเลขึ้นมาอีก ฉันเตรียมเนื้อหาพวกนี้ด้วยตัวเอง ฟ่างหลิงจะต้องเกลียดฉันแน่! หลังจากนั้นเราจะปฏิสัมพันธ์กันต่อได้ยังไง? เธอผิดหวังเรื่องที่โดนชำระมากพอแล้ว การอ่านประกาศให้เธอฟังจะไม่เป็นการซ้ำเติมบาดแผลเหรอ? ฉันคิดว่าบางทีฉันไม่ต้องอ่านให้เธอฟังก็ได้ แค่บอกการทำชั่วที่น้อยกว่าของเธอให้เธอฟัง และบอกให้เธอรู้ว่าเธอถูกชำระออกไปแล้ว แบบนั้นเวลาเราเจอกันคราวหน้าก็จะกระอักกระอ่วนน้อยลง พอฉันเจอฟ่างหลิง ฉันก็เห็นว่าเธอน้ำหนักลดลงไปมากเพราะอารมณ์ผิดหวังที่ถูกชำระออกไป เธอดูไร้วิญญาณจริงๆ ฉันรู้สึกแย่และเกือบจะพูดต่อไม่ไหว แต่ฉันก็ฝืนตัวเองให้อ่านประกาศนั้น ฉันถึงกับกังวลที่จะอ่านทั้งหมดให้เธอฟัง และกังวลว่าเธอจะยอมรับไหม ด้วยเหตุนั้น ฉันเลยข้ามๆ ส่วนที่เปิดโปงและกล่าวโทษเธอไป หลังจากนั้นเวลาที่ฉันเจอเธอ ฉันก็รู้สึกกระอักกระอ่วนราวกับฉันทำผิดต่อเธอ ฉันไม่รู้ว่าฉันเป็นอะไรไป ฉันรู้อยู่เต็มอกว่าฟ่างหลิงไม่ได้ไล่ตามความจริงและสร้างปัญหาทุกรูปแบบ รู้ว่าการที่เธอถูกชำระเป็นความผิดของเธอเอง แต่ทำไมฉันถึงตกอยู่ในสภาวะนี้? ต่อมา ฉันบังเอิญเจอพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนที่ว่า “แนวคิดที่ว่าความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ เป็นหนึ่งในหลักเกณฑ์อมตะของวัฒนธรรมจีนดั้งเดิมที่ใช้ตัดสินว่าการประพฤติปฏิบัติของคนคนหนึ่งนั้นมีหรือไม่มีศีลธรรม เวลาประเมินสภาวะความเป็นมนุษย์ของใครบางคนว่าดีหรือเลว ประเมินว่าการประพฤติปฏิบัติของพวกเขามีศีลธรรมเพียงใด บรรทัดฐานอย่างหนึ่งก็คือพวกเขาตอบแทนการเอื้อประโยชน์หรือความช่วยเหลือที่ตนได้รับหรือไม่—พวกเขาเป็นคนที่ตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ตนได้รับอย่างสำนึกรู้คุณหรือไม่ ในวัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนและในวัฒนธรรมดั้งเดิมของมวลมนุษย์นั้น ผู้คนถือว่าเรื่องนี้คือเครื่องวัดการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่สำคัญ ถ้าใครไม่เข้าใจว่าความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ และไม่สำนึกรู้คุณ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ย่อมถูกมองว่าไร้ซึ่งมโนธรรมและไม่คู่ควรที่จะคบค้าสมาคมด้วย ควรถูกทุกคนดูหมิ่น เดียดฉันท์ หรือปฏิเสธ ในทางกลับกัน ถ้าใครเข้าใจว่าความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ—ถ้าพวกเขาสำนึกรู้คุณและตอบแทนการเอื้อประโยชน์และความช่วยเหลือที่ตนได้รับโดยใช้ทุกวิถีทางที่มี—ก็ถือกันว่าพวกเขาเป็นคนที่มีมโนธรรมและสภาวะความเป็นมนุษย์ ถ้าใครบางคนได้รับผลประโยชน์หรือความช่วยเหลือจากอีกคนหนึ่ง แต่ไม่ตอบแทนอีกฝ่าย หรือแค่แสดงความขอบคุณบ้างด้วยคำ ‘ขอบคุณ’ ง่ายๆ เท่านั้น อีกฝ่ายหนึ่งจะคิดอย่างไร? จะรู้สึกอึดอัดบ้างหรือไม่? อีกฝ่ายจะคิดหรือไม่ว่า ‘คนคนนั้นไม่สมควรได้รับความช่วยเหลือ เขาไม่ใช่คนดี ถ้าเขาตอบสนองแบบนั้นเวลาที่ฉันช่วยเขาไปตั้งมากมาย เช่นนั้นเขาก็ไม่มีมโนธรรมหรือสภาวะความเป็นมนุษย์ และไม่คู่ควรที่จะคบค้าด้วย’? ถ้าอีกฝ่ายพบพานคนแบบนี้อีก พวกเขายังจะช่วยคนแบบนี้หรือไม่? อย่างน้อยพวกเขาก็จะไม่นึกอยากช่วย” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (7)) “จากสมัยโบราณมาถึงยุคปัจจุบัน ผู้คนนับไม่ถ้วนตกอยู่ใต้อิทธิพลของแนวคิด ทัศนะ และหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้ แม้เมื่อคนที่ใจดีมีเมตตากับพวกเขาจะเป็นคนชั่วหรือคนไม่ดี และบีบให้พวกเขาทำเรื่องที่ต่ำทรามและเรื่องที่ไม่ดี พวกเขาก็ยังคงเดินสวนทางกับมโนธรรมและเหตุผลของตน ยอมทำตามอย่างมืดบอดเพื่อที่จะตอบแทนความใจดีมีเมตตาของอีกฝ่าย พร้อมกับผลวิบัติที่ตามมามากมาย อาจกล่าวได้ว่าผู้คนมากมายเมื่อถูกหลักเกณฑ์ด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมนี้ครอบงำ ล่ามโซ่ ควบคุม และพันธนาการเอาไว้ ก็ยอมค้ำจุนทัศนะเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้อย่างมืดบอดและด้วยความเข้าใจผิด และมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือและส่งเสริมพวกคนชั่วด้วยซ้ำ บัดนี้เมื่อพวกเจ้าได้ฟังสามัคคีธรรมของเราแล้ว พวกเจ้าย่อมนึกภาพสถานการณ์นี้ออกอย่างชัดเจน และสามารถตัดสินได้ว่านี่คือความจงรักภักดีที่เบาปัญญา พฤติกรรมเช่นนี้นับเป็นการวางตัวที่ไม่มีการขีดเส้นอะไรเลย และผลีผลามตอบแทนความใจดีมีเมตตาโดยไม่ใช้วิจารณญาณ เป็นพฤติกรรมที่ไร้ความหมายและคุณค่า เนื่องจากผู้คนกลัวการถูกความเห็นของคนส่วนใหญ่ต่อว่าหรือถูกผู้อื่นกล่าวโทษ พวกเขาจึงฝืนอุทิศชีวิตของตนให้กับการตอบแทนความใจดีมีเมตตาของผู้อื่น ถึงขั้นพลีชีวิตของตนในกระบวนการดังกล่าว ซึ่งเป็นหนทางดำเนินสิ่งต่างๆ แบบเหตุผลวิบัติและเบาปัญญา คำกล่าวจากวัฒนธรรมดั้งเดิมข้อนี้ไม่เพียงผูกล่ามการคิดอ่านของผู้คนเอาไว้เท่านั้น แต่ยังทำให้ชีวิตของพวกเขาหนักอึ้งและลำบากโดยไม่จำเป็น และเป็นการเพิ่มความทุกข์และภาระให้แก่ครอบครัวของพวกเขา ผู้คนมากมายจ่ายราคาที่สูงมากเพื่อตอบแทนความใจดีมีเมตตาที่ได้รับ—พวกเขามองการตอบแทนความใจดีมีเมตตาว่าเป็นความรับผิดชอบทางสังคมหรือเป็นหน้าที่ของตน และอาจถึงกับใช้เวลาชั่วชีวิตของตนไปกับการตอบแทนความใจดีมีเมตตาของผู้อื่น พวกเขาเชื่อว่านี่เป็นเรื่องปกติและสมควรทำโดยแท้ เป็นหน้าที่ที่มิอาจบ่ายเบี่ยงได้ มุมมองและวิธีทำสิ่งต่างๆ เช่นนี้เบาปัญญาและไร้สาระมิใช่หรือ? นี่เผยให้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้คนไม่รู้ความและไร้ซึ่งความรู้แจ้งกันขนาดไหน ไม่ว่าคำกล่าวด้านการประพฤติปฏิบัติทางศีลธรรมที่ว่า—ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ—นี้อาจสอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คนเช่นไร แต่ก็ไม่ได้เป็นไปตามหลักธรรมความจริง เข้ากันไม่ได้กับพระวจนะของพระเจ้า เป็นทัศนะและวิธีการที่ไม่ถูกต้องในการทำสิ่งทั้งหลาย” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (7)) พระวจนะเปิดเผยได้อย่างไร้ที่ติ ตั้งแต่สมัยโบราณ วิธีการดั้งเดิมในการวัดความเป็นมนุษย์คือการดูว่าพวกเขาตอบแทนน้ำใจที่ได้รับด้วยความขอบคุณหรือไม่ ถ้าใครช่วยเหลือหรือมีน้ำใจกับคุณ คุณก็ต้องตอบแทนน้ำใจของพวกเขา ถ้าทำเช่นนั้น คุณก็เป็นคนดี ถ้าไม่ทำคุณก็จะถูกทอดทิ้ง และผู้คนจะตำหนิคุณว่าเป็นคนเนรคุณ การได้รับอิทธิพลจากแนวคิดเรื่องการตอบแทนน้ำใจทำให้ผู้คนใช้ชีวิตแบบถูกผูกมัดโดยไม่รู้ตัว หากใครเคยช่วยเหลือคุณ คุณก็ต้องตอบแทนพวกเขาโดยไม่จำเป็นต้องหยั่งรู้ว่าพวกเขาเป็นคนประเภทไหน เดินบนเส้นทางไหน ไม่ว่าทางนั้นจะสอดคล้องกับความจริงหรือไม่ การต้องตอบแทนน้ำใจก็ทำให้คนบางคนใช้ทั้งขีวิตแบบถูกบีบคั้นจากผู้อื่น และถึงกับมีบางคนที่ทำเรื่องแย่ๆ ให้คนอื่น และใช้สิ่งเหล่านั้นเพื่อให้พวกเขาตอบแทนน้ำใจของตน ใช้ชีวิตที่แสนทุกข์และทรมาน ตั้งแต่เด็ก แม่สอนให้ฉันตอบแทนน้ำใจที่ได้รับด้วยความขอบคุณ สอนว่าเราไม่ควรลืมน้ำใจที่คนอื่นหยิบยื่นให้เพราะอาจทำให้คนพูดถึงเราไม่ดี คนส่วนใหญ่ในชีวิตฉันต่างก็ใช้เกณฑ์การปฏิบัติตนนี้ประเมินพฤติกรรมของผู้อื่น ฉันเองก็ใช้ชีวิตตามคติพจน์ที่ส่งต่อมารุ่นสู่รุ่น อย่างเช่น “ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ” “จงตอบแทนสิ่งที่ได้รับไปสิบเท่า” และ “น้ำใจหนึ่งหยดควรได้รับการตอบแทนด้วยน้ำพุอันพวยพุ่ง” ถ้ามีใครช่วยฉัน ฉันก็จะจำไว้เสมอ และจะหาโอกาสตอบแทนพวกเขา ถ้าฉันไม่สามารถตอบแทนคนที่มีน้ำใจกับฉันได้ ฉันก็จะรู้สึกผิด ไม่สบายใจ และละอายที่ต้องเจอพวกเขา ฉันจะกังวลว่าผู้คนจะบอกว่าฉันเป็นคนเนรคุณ เพราะเมื่อก่อนฟ่างหลิงช่วยเหลือฉันไว้ ถึงฉันหยั่งรู้ได้ว่าเธอเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ ฉันก็กังวลว่าจะถูกตำหนิถ้าฉันชำระเธอออกไปตามหลักธรรม ฉันเลยพยายามปกป้องและแก้ต่างให้เธอเพื่อตอบแทนน้ำใจของเธอ ตอนที่ฉันต้องอ่านคำอธิบายความชั่วของฟ่างหลิงให้พี่น้องชายหญิงฟัง ฉันก็กังวลว่าพวกเขาจะบอกว่าฉันเนรคุณ เลยกลัวที่จะเผชิญหน้า พอฉันต้องอ่านประกาศในการชำระฟ่างหลิงและเห็นว่าเธอดูผอมซูบและซีดเซียวขนาดไหน ฉันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิด และเลือกที่จะอ่านแค่คำอธิบายการกระทำชั่วของเธอ หลังจากฟ่างหลิงถูกชำระออกไปฉันก็ไม่กล้าสู้หน้าเธอ ฉันรู้อยู่แก่ใจว่าเธอไม่ได้ไล่ตามความจริงและถูกกำจัดออก แต่ฉันก็รู้สึกอยู่ตลอดว่าฉันทำผิดต่อเธอ ความช่วยเหลือที่เธอมอบให้ฉันเหมือนกับโซ่ตรวนที่ล่ามร่างกายของฉัน ถ่วงฉันไว้จนขาดอากาศหายใจ ฉันเห็นว่าเป็นเพราะการถูกผูกมัดจากแนวคิดดั้งเดิม ฉันจึงไม่สามารถแยกแยะถูกผิดได้ด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการปฏิบัติความจริง ฉันหมกมุ่นกับการตอบแทนน้ำใจโดยไม่แยกแยะดีชั่วเพื่อที่จะรักษาชื่อเสียงของตัวเอง และไม่ถูกคนอื่นกล่าวหาว่าเนรคุณ ฉันไม่ได้ทำตัวตามหลักธรรมหรือพื้นฐานแม้แต่น้อย แถมยังกบฏและแข็งขืนต่อพระเจ้า ฉันตระหนักว่า ไม่ว่าผู้คนจะปกป้อง สรรเสริญ และชื่นชมพฤติกรรมของฉันยังไง ฉันก็กำลังสละผลประโยชน์ของคริสตจักร ซึ่งทิ้งรอยมลทินไว้กับตำแหน่งของฉันในฐานะผู้เชื่อ ผลของเรื่องนี้ร้ายแรงทีเดียว! ฉันได้มาเห็นผ่านประสบการณ์นี้ว่า วัฒนธรรมดั้งเดิมเป็นเครื่องมือที่ซาตานใช้หลอกลวงและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม เมื่อถูกแนวคิดที่บกพร่องนี้ผูกมัด ฉันก็ไม่สามารถปฏิบัติความจริงได้แม้จะเข้าใจชัดเจน แถมยังกบฏและแข็งขืนต่อพระเจ้า ฉันไม่อยากใช้ชีวิตด้วยหลักปรัชญาของซาตานอีกต่อไปแล้ว
ต่อมา ฉันบังเอิญเจอพระวจนะที่ว่า “แนวคิดของวัฒนธรรมดั้งเดิมที่ว่า ‘ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ’ จำเป็นต้องใช้วิจารณญาณแยกแยะ ส่วนที่สำคัญที่สุดคือคำว่า ‘ความใจดีมีเมตตา’—เจ้าควรมองความใจดีมีเมตตานี้อย่างไร? นี่กล่าวถึงธรรมชาติและแง่มุมใดของความใจดีมีเมตตา? อะไรคือนัยสำคัญของคำกล่าวที่ว่า ‘ความใจดีมีเมตตาที่ได้รับควรตอบแทนอย่างสำนึกในบุญคุณ’? คำถามเหล่านี้ผู้คนต้องขบคิดคำตอบให้ออก และไม่ว่าจะอยู่ภายใต้รูปการณ์แบบใดก็ต้องไม่ถูกแนวคิดเรื่องการตอบแทนความใจดีมีเมตตานี้บีบคั้น—สำหรับใครก็ตามที่ไล่ตามเสาะหาความจริง แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์แล้ว ‘ความใจดีมีเมตตา’ คืออะไร? ในระดับที่เล็กลงมา ความใจดีมีเมตตาคือการที่ใครบางคนช่วยเหลือเจ้ายามที่เจ้าเดือดร้อน ตัวอย่างเช่น มีใครบางคนให้ข้าวหนึ่งถ้วยแก่เจ้าในยามที่เจ้าอดอยาก หรือให้น้ำหนึ่งขวดในยามที่เจ้ากำลังจะตายด้วยความกระหาย หรือช่วยพยุงเจ้าขึ้นมาในยามที่เจ้าล้มลงและลุกขึ้นไม่ได้ ทั้งหมดนี้คือการกระทำที่ใจดีมีเมตตา การกระทำที่ใจดีมีเมตตาและยิ่งใหญ่ก็คือการที่ใครบางคนช่วยชีวิตเจ้าไว้ในยามที่เจ้าลำบากอย่างยิ่ง—นั่นคือความใจดีมีเมตตาที่เป็นการช่วยชีวิต เมื่อเจ้ามีอันตรายถึงชีวิตและใครบางคนช่วยให้เจ้าหลีกเลี่ยงความตาย ในแก่นแท้แล้วพวกเขากำลังช่วยชีวิตเจ้า ทั้งหมดนี้คือบางสิ่งที่ผู้คนรับรู้ว่าเป็น ‘ความใจดีมีเมตตา’ ความใจดีมีเมตตาแบบนี้เหนือกว่าการเอื้อประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ทางวัตถุ—นี่เป็นความใจดีมีเมตตาอันยิ่งใหญ่ที่ไม่สามารถวัดเป็นเงินทองหรือสิ่งของได้ ผู้รับย่อมรู้สึกเป็นความรู้คุณอย่างหนึ่งที่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาด้วยคำขอบคุณเพียงไม่กี่คำได้ แต่การที่ผู้คนวัดความใจดีมีเมตตาด้วยวิธีนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่ถูกต้อง) ทำไมเจ้าถึงบอกว่าไม่ถูกต้อง? (เพราะนี่เป็นการวัดตามมาตรฐานของวัฒนธรรมดั้งเดิม) นี่เป็นคำตอบตามทฤษฎีและคำสอน และแม้จะดูเหมือนถูกต้อง แต่ก็ไม่ได้เข้าถึงแก่นแท้ของเรื่อง” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (7)) “คราวนี้พวกเราหันมาสนใจเรื่องของสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าความใจดีมีเมตตากันเถิด ตัวอย่างเช่น จงดูกรณีของคนใจดีที่ช่วยชีวิตขอทานซึ่งหิวจนหมดสติอยู่ในหิมะข้างนอกเถิด พวกเขาพาขอทานเข้ามาในบ้านของตน หาอาหารให้กินและเอาเสื้อผ้าให้ใส่ ยอมให้เขาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวของตนและทำงานให้ตน ไม่ว่าขอทานนั้นจะอาสาทำงานด้วยตนเองหรือไม่ ไม่ว่าเขาจะทำเช่นนั้นเพื่อตอบแทนหนี้บุญคุณหรือไม่ การช่วยชีวิตเขาใช่การกระทำที่ใจดีมีเมตตาหรือเปล่า? (ไม่ใช่) กระทั่งสัตว์ตัวเล็กๆ ยังสามารถเกื้อกูลและช่วยชีวิตกันได้ การที่มนุษย์จะทำอะไรเช่นนี้พึงต้องใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และไม่ว่าใครก็ตามที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ย่อมสามารถทำเรื่องดังกล่าวและสามารถลงมือทำได้ คนเราอาจกล่าวได้ว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ทางสังคมซึ่งใครก็ตามที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์พึงทำให้ลุล่วง การที่มนุษย์เรียกการกระทำดังกล่าวว่าความใจดีมีเมตตานั้นย่อมเกินเหตุไปหน่อยมิใช่หรือ? เป็นการเรียกที่เหมาะสมหรือไม่? ตัวอย่างเช่น ระหว่างที่เกิดการกันดารอาหารอยู่ระยะหนึ่งและผู้คนมากมายอาจไม่มีกิน ถ้าคนรวยสักคนแจกจ่ายถุงข้าวสารแก่บ้านที่ยากจนเพื่อช่วยให้คนเหล่านั้นผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ นี่คือตัวอย่างของการช่วยเหลือและเกื้อหนุนขั้นพื้นฐานทางศีลธรรมแบบที่ควรเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์โดยแท้มิใช่หรือ? เขาเพียงมอบข้าวสารให้คนเหล่านั้นบ้าง—ไม่ใช่ว่าแจกจ่ายอาหารทั้งหมดที่ตนมีให้แก่ผู้อื่นและไม่มีกินเสียเอง แท้จริงแล้วนี่นับเป็นความใจดีมีเมตตาหรือไม่? (ไม่นับ) ความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ทางสังคมที่มนุษย์สามารถทำให้ลุล่วงได้ การกระทำเหล่านั้นที่มนุษย์ควรที่จะสามารถทำได้และพึงทำโดยสัญชาตญาณ และการทำอะไรง่ายๆ ที่เป็นการช่วยเหลือและเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น—สิ่งเหล่านี้ไม่มีทางนับเป็นความใจดีมีเมตตาได้ เพราะล้วนเป็นกรณีที่มนุษย์เพียงแต่ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือเท่านั้น การให้ความช่วยเหลือแก่คนที่บังเอิญต้องการให้ช่วย ในเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม เป็นเหตุการณ์ที่ปกติมาก และเป็นความรับผิดชอบของสมาชิกทุกคนในเผ่าพันธุ์มนุษย์ด้วย นี่เป็นเพียงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่อย่างหนึ่งเท่านั้น พระเจ้าประทานสัญชาตญาณเหล่านี้แก่ผู้คนตอนที่พระองค์ทรงสร้างพวกเขาขึ้นมา ในที่นี้เรากำลังหมายถึงสัญชาตญาณอะไร? เรากำลังหมายถึงมโนธรรมและเหตุผลของมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (7)) การอ่านพระวจนะทำให้ฉันได้รับความเข้าใจใหม่ในคำว่า “น้ำใจ” จาก “การตอบแทนน้ำใจที่ได้รับ” ที่ผูกมัดฉันมาตลอด เวลามีคนลำบาก การยื่นมือช่วยให้พวกเขาผ่านไปได้ และเกื้อหนุนพวกเขาอย่างสุดความสามารถคือความรับผิดชอบทางสังคมที่ทุกคนควรทำ ไม่ใช่น้ำใจเลย อย่างตอนที่ฟ่างหลิงช่วยดูแลสามีฉันที่เป็นอัมพาตและดูแลพืชผลในไร่ให้ฉันในเวลาที่ลำบากที่สุด นี่ก็เป็นแค่ความสัมพันธ์ปกติของมนุษย์ และเป็นการเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน อีกอย่างเธอคือพี่สาวของสามีฉัน เธอก็ต้องช่วยเหลือน้องชายอย่างสุดความสามารถในยามที่เขาเจอช่วงที่ยากลำบาก เรื่องนี้นับเป็นน้ำใจไม่ได้ พอสามีฉันเสียไปและฉันตกสู่ความคิดลบ ฟ่างหลิงก็สามัคคีธรรมกับฉันและเกื้อหนุนฉัน แต่นั่นเป็นแค่สิ่งที่พี่น้องทำให้แก่กัน เรียกว่าน้ำใจไม่ได้ ถ้าครอบครัวของฟ่างหลิงมีช่วงที่ยากลำบาก ฉันก็จะเกื้อหนุนพวกเขาเหมือนกัน ถ้าเธอกลายเป็นคิดลบและอ่อนแอ ฉันก็จะอ่านพระวจนะให้เธอฟังและเกื้อหนุนเธอ นี่คือสิ่งที่คนมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติควรทำ แต่ฉันก็ยังมองว่าทุกอย่างที่ฟ่างหลิงทำคือน้ำใจ และคิดอยู่เสมอว่าฉันจะตอบแทนเธอได้ยังไง ราวกับถ้าเธอไม่ช่วยเหลือ ฉันจะผ่านมันมาไม่ได้ อันที่จริง สิ่งที่นำและช่วยเหลือฉันให้มาถึงจุดนี้ได้คือพระวจนะของพระเจ้า หลังจากสามีเสียไป เพราะฉันไม่เข้าใจความจริงและไม่รู้ว่าควรไปต่อยังไง ก็เป็นพระเจ้าที่ทรงจัดวางเรียบเรียงสิ่งต่างๆ ผู้คน และสถานที่ทุกรูปแบบเพื่อช่วยเหลือฉันในช่วงที่อ่อนแอและคิดลบที่สุด เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ให้ความรู้แจ้งและนำฉันออกจากความยากลำบากจนมาถึงจุดนี้ได้ ตอนนี้ฉันไม่ได้ขาดอะไร และใช้ชีวิตธรรมดาเหมือนคนอื่น กินและดื่มพระวจนะ และทำหน้าที่ให้ลุล่วง ทั้งหมดเป็นเพราะความรักของพระเจ้า ถ้าฉันมีมโนธรรมจริงๆ ฉันก็ควรตอบแทนพระเจ้า แต่ฉันกลับใช้ชีวิตด้วยแนวคิดผิดๆ ของการตอบแทนน้ำใจที่ได้รับ ให้ค่ากับความสัมพันธ์และความรักห่วงใยต่อผู้อื่นเสมอ และไม่มีวันลืมแม้กับการช่วยเหลือเล็กน้อยที่สุดก็ตาม ขณะเดียวกันฉันก็แข็งขืนและกบฏต่อพระเจ้าผู้ประทานทุกอย่างให้ฉัน ไม่ลังเลที่จะละเมิดหลักธรรมและทำให้ผลประโยชน์ของคริสตจักรเสียหายเพื่อตอบแทนน้ำใจ นี่คือการเนรคุณและขาดความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง พอตระหนักได้ฉันก็รู้สึกโล่งขึ้นมาก และคิดว่าฉันช่างน่าสมเพชเหลือเกินที่ไม่เข้าใจความจริง
ต่อมา ฉันได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “ที่ผ่านมามีบางคนเคยช่วยเจ้าไว้ ใจดีกับเจ้าในบางด้าน และมีผลต่อชีวิตของเจ้าหรือเหตุการณ์ใหญ่ๆ บางอย่าง แต่สภาวะความเป็นมนุษย์และเส้นทางที่พวกเขาเดินนั้นไม่ตรงกับเส้นทางของเจ้าและสิ่งที่เจ้าแสวงหา เจ้าไม่ได้พูดจาภาษาเดียวกัน เจ้าไม่ได้ชอบคนคนนี้ และบางทีเจ้าก็อาจกล่าวได้ในระดับหนึ่งว่าความสนใจและสิ่งที่เจ้าแสวงหานั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เส้นทางชีวิตของพวกเจ้า โลกทัศน์ และทัศนคติที่พวกเจ้ามีต่อชีวิตล้วนแตกต่างกัน—พวกเจ้าเป็นคนสองประเภทที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นเจ้าควรดำเนินการตอบแทนความช่วยเหลือที่พวกเขาเคยให้แก่เจ้าเมื่อก่อนนี้อย่างไร? นี่คือสถานการณ์จริงที่อาจเกิดขึ้นได้ใช่หรือไม่? (ใช่) ดังนั้นเจ้าควรทำอย่างไร? นี่ก็เป็นสถานการณ์ที่จัดการง่ายเช่นกัน ในเมื่อพวกเจ้าทั้งสองเดินอยู่บนเส้นทางที่ต่างกัน หลังจากที่ใช้คืนพวกเขาในรูปของวัตถุไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตามที่เจ้าสามารถหามาได้ตามกำลังของตน เจ้าย่อมพบว่าความเชื่อของพวกเจ้านั้นผิดแผกกันเกินไปจริงๆ เจ้าไม่สามารถเดินบนเส้นทางเดียวกัน ไม่อาจเป็นเพื่อนกันได้ด้วยซ้ำ และไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กันอีกต่อไป เจ้าควรทำเช่นไรต่อไปในเมื่อเจ้าไม่สามารถมีปฏิสัมพันธ์กันอีกแล้ว? จงอยู่ห่างจากพวกเขา ที่ผ่านมาพวกเขาอาจจะเคยใจดีกับเจ้า แต่พวกเขาก็หลอกลวงและฉ้อโกงเพื่อกรุยทางในสังคมให้ตนเอง ลงมือทำเรื่องต่ำทรามสารพัดอย่าง และเจ้าก็ไม่ชอบคนแบบนี้ ดังนั้นจึงสมเหตุสมผลอย่างที่สุดที่เจ้าจะอยู่ห่างจากพวกเขา บางคนอาจกล่าวว่า ‘การทำเช่นนั้นไม่ไร้มโนธรรมหรอกหรือ?’ นี่ไม่ใช่การไร้มโนธรรม—ถ้าพวกเขาต้องเผชิญความยากลำบากบางอย่างในชีวิตเข้าจริงๆ เจ้าก็ยังคงช่วยพวกเขาได้ แต่เจ้าไม่สามารถถูกพวกเขาตีกรอบหรือลงมือทำชั่วและทำเรื่องไร้มโนธรรมร่วมกับพวกเขา นอกจากนี้ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทุ่มเททำงานเยี่ยงทาสให้พวกเขาเพียงเพราะพวกเขาเคยช่วยเจ้าหรือเคยเอื้อประโยชน์ให้เจ้าอย่างมากในเวลาที่ผ่านมา—นั่นไม่ใช่ภาระผูกพันของเจ้า และพวกเขาก็ไม่คู่ควรที่จะได้รับการปฏิบัติด้วยเช่นนั้น เจ้ามีสิทธิ์เลือกที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนที่เจ้าชอบและไปด้วยกันได้ ผู้คนที่ถูกต้อง ใช้เวลาร่วมกับพวกเขา และแม้กระทั่งเป็นเพื่อนกับพวกเขา เจ้าสามารถลุล่วงความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ที่เจ้ามีต่อคนแบบนี้ นี่คือสิทธิ์ของเจ้า แน่นอนว่าเจ้าสามารถปฏิเสธที่จะเป็นเพื่อนและคบหากับผู้คนที่เจ้าไม่ชอบอีกด้วย และเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องลุล่วงภาระหน้าที่หรือความรับผิดชอบใดๆ ต่อพวกเขา—นี่ก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าเช่นกัน ต่อให้เจ้าตัดสินใจละทิ้งคนแบบนี้และปฏิเสธที่จะมีปฏิสัมพันธ์กับพวกเขา หรือลุล่วงความรับผิดชอบหรือภาระหน้าที่ใดๆ ต่อพวกเขา นี่ย่อมจะไม่ผิด เจ้าต้องขีดเส้นบางอย่างเอาไว้ว่าเจ้าควรวางตัวอย่างไร และต้องปฏิบัติต่อผู้คนที่ต่างกันในลักษณะที่ต่างกัน เจ้าไม่ควรคบค้าสมาคมกับคนชั่วหรือทำตามตัวอย่างที่ไม่ดีของพวกเขา นี่คือการเลือกที่ใช้ปัญญา จงอย่าถูกปัจจัยต่างๆ ครอบงำ เช่น ความรู้สึกสำนึกบุญคุณ ความรู้สึกและความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่—นี่คือการมีจุดยืนและมีหลักธรรม และเป็นสิ่งที่เจ้าพึงทำ” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, การไล่ตามเสาะหาความจริงคืออะไร (7)) พระวจนะกล่าวถึงหลักธรรมในการรับมือผู้คนไว้ชัดเจน ถ้าใครช่วยเหลือเราอย่างใหญ่หลวงในอดีต เราก็ต้องปฏิบัติต่อพวกเขาตามความเป็นมนุษย์และเส้นทางที่พวกเขาเดิน ถ้าเป็นคนดี และเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง เราก็พูดคุยกับพวกเขาได้ตามปกติ และช่วยพวกเขาอย่างสุดความสามารถในยามที่พวกเขาต้องการให้ช่วย ถ้าคนที่ช่วยเราไม่ได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้องและทำเรื่องชั่วร้าย เราก็ต้องคุยกับพวกเขาด้วยความระวัง และหยั่งรู้ธรรมชาติของสิ่งที่พวกเขาพูดและทำให้ได้ ถ้าจำเป็น เราก็อาจต้องทิ้งและออกห่างจากพวกเขา เพียงให้ความช่วยเหลือทางวัตถุอย่างเต็มที่ก็พอ ถ้าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามความจริง แสร้งเป็นทำหน้าที่ สร้างปัญหา และทำให้งานของพระนิเวศหยุดชะงัก เราก็ต้องตัดแต่งพวกเขาตามหลักธรรมความจริง ถ้าพวกเขายังไม่กลับใจ เราก็ต้องยึดมั่นในหลักธรรม เตือนคนที่ต้องเตือน และชำระคนที่ควรชำระตามหลักธรรม เราต้องไม่ทำตัวตามกฎเกณฑ์เยี่ยงซาตาน พัวพันกับความชั่ว และละเมิดหลักธรรม ฉันนึกถึงการที่ฉันไม่ได้ปฏิบัติต่อผู้คนตามหลักธรรม ทำตัวไม่รู้ความซ้ำๆ ถูกผูกมัดจากความคิดดั้งเดิม และเผลอกลายเป็นลูกสมุนของซาตานจนทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงัก ถ้าเราไม่ใช้ชีวิตตามความจริงในความเชื่อ เราก็สามารถแข็งขืนต่อพระเจ้า และก้าวล่วงพระอุปนิสัยได้ทุกเมื่อ! ฟ่างหลิงยังเกื้อหนุนฉันทางวัตถุอยู่เป็นครั้งคราว แต่ฉันได้รู้ผ่านพระวจนะว่าควรตีความการเกื้อหนุนนี้ยังไง ฉันไม่มองว่านี่คือการที่เธอปฏิบัติดีต่อฉันหรือหยิบยื่นน้ำใจให้ฉัน แต่นี่คือสัญญาณแห่งความร้กของพระเจ้า พระเจ้าทรงดลใจให้เธอช่วยเหลือฉัน ฉันจึงควรขอบคุณพระเจ้าและทำหน้าที่ให้ลุล่วงเพื่อตอบแทนพระองค์
เมื่อก่อน ฉันคิดอยู่เสมอว่าฉันต้องตอบแทนน้ำใจและเป็นคนรู้คุณ คิดว่านั่นคือสิ่งที่คนดีทำ แต่ฉันก็ได้รู้ผ่านประสบการณ์ของตัวเองว่า ซาตานใช้แนวคิดดั้งเดิมเรื่องการตอบแทนน้ำใจมาผูกมัดผู้คน ควบคุมความคิดของพวกเขา ทำให้พวกเขาสับสนถูกผิด ทำตัวไร้หลักธรรม และกลายเป็นเครื่องมือของซาตานโดยไม่รู้ตัว ฉันยังได้เรียนรู้ด้วยว่า ไม่ว่าคนดีจะคิดว่าสิ่งชั่วร้ายทั้งหลายคืออะไร สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่ความจริง มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นความจริง พระวจนะของพระเจ้าทำให้เราแยกแยกถูกผิดและใช้ชีวิตตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติได้ มีเพียงตอนที่เราใช้ชีวิตด้วยความจริงและปฏิบัติต่อสิ่งต่างๆ ตามหลักธรรมแห่งพระวจนะเท่านั้นที่เราจะทำตัวตามน้ำพระทัยและใช้ชีวิตด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีได้ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับความรอด!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
ในเดือนเมษายน ปี 2020 ฉันได้รับเลือกให้รับใช้ในฐานะมัคนายกคริสตจักร ตอนแรกฉันค่อนข้างประหม่า และกังวลว่าจะทำผลงานได้ไม่ดี...
โดย ซินเช่อ, เกาหลีใต้ ตั้งแต่ยังเด็ก ฉันมักจะมองพ่อแม่ เป็นต้นแบบในการติดตามพระเจ้า ในความเชื่อนั้น พวกท่านดูกระตือรือร้น...
ในปี 2018 ผมโชคดีได้ยอมรับงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การได้ต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ทำให้ผมตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ ไม่นานนัก...
โดย เคียน่า ยูเครน หน้าร้อนปี 2020 ค่ะ ตอนนั้น ฉันกับน้องสาวชื่ออัลบีน่า บังเอิญเจอวิดีโอชื่อ การตื่นรู้จากฝัน...