ทางเลือกของครู
เมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตกในยามโพล้เพล้ ประตูบ้านไร่หลังเล็กๆ หลังหนึ่งเปิดอยู่ มีผ้าขาวผูกติดอยู่ที่มือจับประตู ลำแสงสุดท้ายจากดวงอาทิตย์สาดส่องลงบนกำแพงอิฐแดงลานบ้านที่ไม่ได้ทาสี
มีโลงศพตั้งอยู่ตรงกลางห้องโถง เบื้องหน้าโลงศพ มีเด็กหญิงวัยเจ็ดขวบ เด็กชายวัยเก้าขวบ และหญิงชาวบ้านอายุราวสามสิบกว่ากำลังคุกเข่าอยู่
“แม่คะ มีเรื่องเกิดขึ้นในครอบครัวเรา แต่ทำไมไม่มีญาติมาช่วยเลยล่ะคะ?” เสียงนุ่มนวลของเด็กหญิงทำลายความเงียบงันภายในบ้าน
“หลังจากที่พ่อของลูกจากไปแล้ว ก็เหลือแค่เราสามแม่ลูกที่ต้องพึ่งพากันเอง เพราะพ่อของลูกเจ็บป่วย เงินเก็บของเราก็เลยหมดไป ญาติพี่น้องจึงดูแคลนเราเพราะเรายากจน พวกเขาเหยียดหยันเรา นับจากนี้ต่อไป ลูกสองคนต้องทำงานให้หนัก อย่าให้ใครมาดูถูกเอาได้ แม่หวังว่าลูกทั้งสองจะมีอนาคตที่ดี สร้างเนื้อสร้างตัว และเปลี่ยนชะตากรรมของพวกเราได้!” ผู้เป็นแม่ปาดน้ำตา ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น เธอมองหน้าเด็กทั้งสองขณะที่พูดอย่างจังจัง
เด็กหญิงวัยเจ็ดขวบคนนี้ชื่ออันหราน
ภาพความทรงจำในวัยเด็กนี้ได้สลักลึกลงในใจของอันหราน ตั้งแต่ยังเด็ก อันหรานรู้ว่าเธอต้องขยันหมั่นเพียร การมุ่งสู่ความเป็นเลิศและการได้รับความชื่นชมจากผู้อื่นเป็นเป้าหมายในชีวิตของเธอ อันหรานขยันเรียนหนังสือเป็นพิเศษ เพราะเชื่อว่ามีแต่การเรียนอย่างมุมานะเท่านั้นที่จะทำให้เธอมีอนาคตที่สดใสได้ ในช่วงประถมศึกษา อันหรานมักจะติดหนึ่งในสามอันดับแรกของชั้นเรียนเสมอ
พออายุสิบสาม ตอนที่อันหรานเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งมาเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายให้แม่ของเธอฟัง วันนั้น อันหรานพลอยได้ดูวิดีโอเรื่องการสร้างเมื่อเริ่มแรกของพระเจ้ากับแม่ด้วย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา อันหรานก็รู้ว่ามนุษย์ถูกพระเจ้าสร้างมา และมีอธิปไตยครองฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง นำทางและดูแลมนุษยชาติทั้งมวล อันหรานรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ พระเจ้าทรงดีเหลือเกิน!
ตอนอายุสิบห้า เนื่องจากไม่มีเงินเรียนต่อ อันหรานจึงต้องออกจากโรงเรียนมาทำงาน แม้ว่าอันหรานจะรู้ว่าการเชื่อในพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดี แต่เธอก็ยังรู้สึกว่าเธอยังเด็กอยู่ และอนาคตยังอีกยาวไกล เธอไม่ต้องการใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญที่ไร้ซึ่งความสำเร็จใดๆ ใครจะไปเคารพเธอล่ะถ้าเป็นแบบนั้น? ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจทำงานหนักและหาเงิน เพื่อให้ได้งานที่เหมาะสมและเป็นที่ยอมรับของผู้อื่น ตราบใดที่เธอสามารถสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาได้ เธอก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสง่างามต่อหน้าผู้อื่น และไม่โดนดูถูกอีกต่อไป ในหัวอันหรานเอาแต่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะสร้างเนื้อสร้างตัวให้ได้เร็วๆ ดังนั้นเธอจึงเข้าร่วมการชุมนุมได้เป็นครั้งคราวในเวลาว่างเท่านั้น
ตอนอายุสิบเจ็ด ในค่ำคืนหนึ่งที่ความร้อนในอากาศยังไม่จางหาย แอ๊ด ปัง เสียงเปิดปิดประตูดังต่อกันอย่างรวดเร็วและชัดเจน ตามมาด้วยเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบ ลูกพี่ลูกน้องของเธอกลับมาแล้ว
“มีอะไรเหรอ? มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่า?” อันหรานถาม
“ฉันมีข่าวดีจะบอกเธอ โรงเรียนของเรากำลังรับสมัครครูด่วนเลย ฉันแนะนำเธอให้กับผู้นำโรงเรียนไปแล้ว ถ้าเธอได้งานนี้นะ มันจะเป็นงานที่มีเกียรติและมีรายได้ดีเลยล่ะ” เมื่อได้ยินข่าวนี้ อันหรานก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เธอหวังมาตั้งแต่เด็กว่าสักวันหนึ่งจะได้เป็นเลิศและสร้างเนื้อสร้างตัวได้ ตอนนี้เป็นโอกาสดีอย่างมากที่เธอจะได้เป็นครู ซึ่งถือว่าเป็นอาชีพที่ได้รับความเคารพนับถือ เธอรู้ว่าคนที่จะทำงานในโรงเรียนได้ต้องจบการศึกษาระดับวิทยาลัย และมีวุฒิอนุปริญญาเป็นอย่างน้อย หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากลูกพี่ลูกน้อง เธอจะมีโอกาสได้ทำงานในโรงเรียนได้ยังไง? ต่อไปเธอจะสามารถสอบเอาใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูและกลายเป็นครูประจำได้ แล้วเธอก็คงจะได้รับทั้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ไม่ใช่หรือ? เมื่อวันนั้นมาถึงจะไม่มีใครดูถูกเธออีกต่อไป พอคิดได้แบบนี้ อันหรานก็ตอบรับโดยไม่ลังเล
พอออกจากบ้านของลูกพี่ลูกน้อง อันหรานก็รู้สึกกระวนกระวายใจ ในวันข้างหน้า การทำงานในโรงเรียนเอกชนหมายถึงการได้หยุดพักทุกๆ สองสัปดาห์เท่านั้น และแน่นอนว่าเธอจะไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมได้ พระราชกิจของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงในอีกไม่นานนี้แล้ว ถ้างานของเธอมีผลกระทบต่อการเข้าร่วมการชุมนุม มันก็จะเป็นตัวบ่อนทำลายชีวิตเธอ แต่นี่เป็นโอกาสที่เธอฝันมาตลอดที่จะได้เป็นเลิศ อันหรานไม่อยากจะพลาดโอกาสนี้ไป หลังจากคิดไปคิดมาหลายตลบ อันหรานก็ยังคงเลือกงานนี้ เธอปลอบใจตัวเองโดยบอกว่า ตราบใดที่เธออ่านพระวจนะของพระเจ้าให้มากขึ้นและเข้าร่วมการชุมนุมในช่วงวันหยุด ก็คงจะไม่เป็นไร ไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรมากนักหรอก
เมื่อวันหยุดฤดูร้อนใกล้จะสิ้นสุดลง อันหรานก็ได้งานนี้มา และกลายเป็นครูประถมตามที่เธอปรารถนาไว้ ในที่สุดอันหรานก็พบเวทีที่จะทำให้ความฝันของเธอเป็นจริง และเธอก็ตื่นเต้นมาก ทุ่มเทให้กับงานนี้เกินร้อยเปอร์เซ็นต์เลย
ในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง โรงเรียนได้ต้อนรับนักเรียนรุ่นใหม่ และบรรยากาศในโรงเรียนก็เต็มไปด้วยเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน อันหรานเดินหน้านิ่วไปยังอาคารเรียนอย่างกระฉับกระเฉง พร้อมหอบสมุดการบ้านกองโต เธอคิดกับตัวเองว่า “การแข่งขันระหว่างห้องเรียนในโรงเรียนนี้ดุเดือดเป็นพิเศษ คะแนนสอบของครูแต่ละห้องกลายเป็นหัวข้อสนทนาของบรรดาผู้นำและผู้อำนวยการ ฉันไม่มีประสบการณ์การในการสอนเลย ตอนที่ฉันเพิ่งเข้ามา ห้องเรียนที่ฉันสอนมีคะแนนแย่ที่สุดในระดับชั้น หากฉันต้องการให้พวกเด็กๆ ตามห้องอื่นทัน ฉันจะต้องทุ่มเททั้งเวลาและความพยามยามให้มากขึ้นไปอีก” อันหรานตัดสินใจว่า “ฉันต้องทำให้คะแนนสอบของพวกเด็กๆ ดีขึ้น และกลายเป็นครูยอดเยี่ยมที่พ่อแม่ของนักเรียนยกย่อง” พอคิดได้แบบนี้ อันหรานก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว นี่เป็นอะไรที่กดดันอย่างหนัก!
หลังจากนั้น อันหรานก็เหมือนนาฬิกาที่ถูกไขลานแน่นอยู่ตลอด ไม่กล้าผ่อนคลายเลยสักเวลา การทำงานล่วงเวลาและการอยู่จนดึกดื่นกลายเป็นกิจวัตร เพื่อแก้ไขงานที่ได้รับมอบหมายและสอนพิเศษให้นักเรียนที่ผลการเรียนอ่อนในตอนเย็นเพื่อช่วยคะแนนของพวกเขาดีขึ้น หลายเดือนต่อมา ห้องเรียนที่อันหรานสอนก็ไต่อันดับจากอันดับสุดท้ายไปสู่ที่หนึ่งและที่สอง ตามมาด้วยคำชื่นชมจากผู้ปกครองและการยกย่องจากผู้นำ ซึ่งทำให้อันหรานหยิ่งทะนงได้อย่างเต็มภาคภูมิ เธอรู้สึกปลาบปลื้ม เดินเชิดหน้าชูตา และรู้สึกภูมิใจเมื่อได้พบกับคนจากหมู่บ้านของเธอ เธอเชื่อว่าความลำบากยากเย็นทั้งหมดนี้คุ้มค่า ไม่ว่าจะยากเย็นและเหนื่อยล้าแค่ไหนก็ตาม
แต่ว่า เบื้องหลังภาพลักษณ์ที่สง่างาม มีแต่เธอเท่านั้นที่รู้ถึงความขมขื่นและความทุกข์ทนไม่จบไม่สิ้นที่เธอสู้ทนมา
“แม่ก็บอกหลายครั้งแล้ว ว่าให้เปลี่ยนไปทำงานที่ไม่ยุ่งมากไม่ได้เชียวเหรอ? ดูตัวเองสิ แค่ปีครึ่งน้ำหนักก็ลดไปห้าโลกว่าแล้ว ลูกทั้งกินยาและฉีดยาอยู่เรื่อย แล้วยังทำงานจนร่างแทบจะพังอยู่แล้ว กำลังจะฆ่าตัวเองหรือไง? ลูกจะเชื่อในพระเจ้าได้ยังไงถ้าไม่มีเวลาเข้าร่วมการชุมนุม? แบบนี้ลูกยังจะเข้าใจความจริงและได้รับการช่วยให้รอดได้อยู่เหรอ?” แม่ของอันหรานนั่งอยู่ข้างเตียง ดวงตาของแม่เต็มไปด้วยความสงสารและตำหนิเธอ
“แม่คะ หนูรู้ว่างานนี้ยุ่งมากและทำให้ไม่มีเวลาเข้าร่วมการชุมนุม แต่ว่า…” ยังไม่ทันพูดจบอันหรานก็เริ่มเจ็บคอ
แม่ของเธอหันไปหยิบน้ำมาให้ดื่ม หลังจากแม่ออกไปแล้ว อันหรานก็หวนคิดถึงปีที่ผ่านมา การแข่งขันอย่างเปิดเผยและศึกในที่ลับระหว่างเพื่อนร่วมงาน การทำงานดึกดื่นบ่อยๆ และความกดดันจากงาน ทำให้อันหรานต้องทนทุกข์จากการนอนไม่หลับ แม้กระทั่งตอนหลับไปแล้วก็ยังถูกฝันร้ายตามหลอกหลอน ระบบภูมิคุ้มกันของเธอเริ่มอ่อนแอลงกว่าปกติ และเธอต้องกินยาแทบทุกวัน ภาระงานหนักในแต่ละวันทำให้อันหรานไม่มีเวลาและพลังที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักต์พระเจ้า เธอรู้สึกเหมือนเครื่องจักรที่ทำงานไม่เคยหยุด แทบจะไม่รู้อะไรเลยนอกจากเรื่องงาน บางครั้งเธอก็คิดว่า “ฉันควรจะเปลี่ยนงานดีไหมนะ? การทำแบบนี้ต่อไปส่งผลเสียต่อการเข้าสู่ชีวิตของฉันจริงๆ แต่ถ้าฉันลาออก แล้วที่ฉันฝันมาตลอดชีวิตว่าจะโดดเด่นจะไม่สูญสลายไปหมดหรือ? ฉันจะมีโอกาสดีๆ แบบนี้อีกหรือเปล่า?” สายตาชื่นชมจากญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง และคำชมเชยจากผู้ปกครองนักเรียนและผู้นำโรงเรียน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่อันหรานโหยหา “อย่างที่คนว่าไว้” เธอคิด “‘คนเราต้องมีความกล้าหาญที่จะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของตัวเอง’ คนเรามีชีวิตอยู่เพื่อพิสูจน์ตัวเองและได้รับความเคารพนับถือไม่ใช่หรือ? แล้วการมีชีวิตอยู่จะมีความหมายอะไร ถ้าจะเป็นคนธรรมดาสามัญไปตลอดทั้งชีวิต?” อันหรานลุกขึ้นและกลับไปที่โต๊ะทำงาน หยิบปากกาขึ้นมาและเริ่มทำแผนการสอนต่อ เธอตัดสินใจแล้วว่า เธอไม่สามารถละทิ้งงานนี้ไปได้ ตราบใดที่เธอใช้วันหยุดงานให้ดีเพื่อกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและเข้าร่วมการชุมนุมให้มากขึ้น ก็คงจะเหมือนกัน
ในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2011 ขณะที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่กับแม่ อันหรานก็พบว่าเธอไม่สามารถยกแขนขวาได้และไม่กล้าก้มศีรษะลง พอเธอลองก้มศีรษะเธอก็ได้ยินเสียงกร็อบแกร็บ อันหรานตกใจกลัวและทำอะไรไม่ถูก
“คุณมีอาการไหล่ติดและกระดูกคอเสื่อม สองอย่างนี้เป็นอาการจากการทำงาน หากคุณไม่เริ่มการรักษาให้เร็วก็อาจกลายเป็นโรคเรื้อรังที่รักษาไม่หาย ร่างกายของคุณอยู่ในสภาพอ่อนแอกว่าปกติ คุณต้องเริ่มการรักษาทันที” หมอในห้องรักษาพยาบาลให้คำแนะนำกับอันหรานอย่างจริงจัง
หลังจากได้ยินคำพูดของหมอแล้ว อันหรานก็รู้สึกกลัวมาก “ฉันอายุแค่สิบเก้าปีเอง ชีวิตฉันเพิ่งเริ่มต้น และยังมีความฝันอีกมากมายที่ต้องทำให้สำเร็จ หากอาการไหล่ติดและกระดูกคอเสื่อมนี้แย่ลง ฉันจะผ่านวันข้างหน้าไปได้ยังไง? ฉันยังจะสามารถไปสอนและทำงานได้ตามปกติอยู่หรือเปล่า?” แค่คิดว่าความฝันที่จะประสบความสำเร็จของเธออาจสูญสลาย อันหรานก็รู้สึกไม่เต็มใจเอาเสียเลยและอดไม่ได้ที่จะพร่ำบ่นว่า “ทำไมชีวิตฉันถึงขมขื่นนักนะ? ทำไมฉันถึงทำความปรารถนาของตัวเองให้เป็นจริงไม่ได้? ฉันถูกกำหนดให้ต้องโดนดูถูกไปตลอดชีวิตเลยหรือ?” เธออดไม่ได้ที่จะร้องไห้
ท้องฟ้าขมุกขมัวเหมือนว่าหิมะกำลังจะตก ลมหนาวพัดมาหวีดหวิว ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวเหน็บเหมือนตกลงไปในห้องใต้ดินที่มีแต่น้ำแข็ง
อันหรานขดตัวอยู่บนเตียง ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอไม่มีอนาคตและขาดความกระตือรือร้นในทุกสิ่งที่เธอทำไป ในความเจ็บปวดของเธอ เธอได้แต่มาเฉพาะพระพักต์พระเจ้าและอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ป่วยหนักขึ้นมากระทันหันและรู้สึกกลัว ไม่รู้ว่าจะก้าวต่อไปข้างหน้าอย่างไรดี ปีที่ผ่านมานี้ ข้าพระองค์ทำงานอยู่ตลอดเวลาและไม่ค่อยได้เข้าร่วมการชุมนุม ข้าพระองค์รู้ว่าการนี้ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระองค์ แต่ก็ใจไม่แข็งพอที่จะละทิ้งงานของตัวเองไปได้ ข้าพระองค์รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองขมขื่น และไม่รู้ว่าทำไมเรื่องทั้งหมดนี้ถึงมาเกิดกับข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรดให้ความรู้แจ้งและทำให้ข้าพระองค์สามารถออกจากความเจ็บปวดนี้ได้ด้วยเถิด”
ในเวลานั้นเป็นช่วงปิดเทอมฤดูหนาว อันหรานใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเข้าร่วมการชุมนุม ไม่ก็อยู่บ้านอ่านพระวจนะของพระเจ้า เธอสนุกกับการดูภาพยนตร์และวิดีโอข่าวประเสริฐเป็นพิเศษ เมื่อเธอเห็นว่าในช่วงยุคพระคุณ ผู้ประกาศข่าวประเสริฐมากมายเดินทางไกลจากทั่วสารทิศมาที่ประเทศจีน ละทิ้งครอบครัวและการแต่งงาน และสู้ทนกับการถูกข่มเหงทุกรูปแบบ แต่พวกเขาก็ยังคงเผยแผ่ข่าวประเสริฐอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและเต็มใจสละตนเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า โดยไม่รู้สึกเสียใจในสิ่งที่ตนเลือก อันหรานรู้สึกประทับใจอย่างมาก เธอคิดกับตัวเองว่า “พวกเขาเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าอย่างแรงกล้า และวันนี้ฉันได้ยอมรับพระราชกิจในระยะที่สามของพระเจ้าแล้ว ต้อนรับการกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า ฉันได้ยินพระวจนะของพระเจ้าและเข้าใจความจริงและความลึกลับมากกว่าพวกเขา ได้ชื่นบานยินดีในการให้น้ำและการจัดเตรียมจากพระวจนะของพระเจ้าอย่างมาก ฉันจึงยิ่งควรเผยแผ่ข่าวประเสริฐและยืนหยัดเป็นพยานให้พระเจ้าได้มากกว่า” อันหรานนึกถึงเหล่าพี่น้องหลายคนรอบตัวเธอที่ละทิ้งการแต่งงานและหน้าที่การงาน เพื่อทำหน้าที่ในคริสตจักรและตอบแทนความรักของพระเจ้าอย่างกระตือรือร้น เธอเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีแล้ว ได้ชื่นบานยินดีในพระคุณของพระเจ้า แต่แทนที่จะทำหน้าที่ของตน เธอกลับเข้าร่วมการชุมนุมเป็นประจำไม่ได้ด้วยซ้ำ เธอชักสงสัยว่าตัวเองเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าแท้จริงหรือเปล่า เมื่อคิดย้อนกลับไปถึงเหล่าพี่น้องหญิงที่เคยชุมนุมร่วมกัน ที่ตอนนี้พากันทำหน้าที่อยู่ในคริสตจักร ในขณะที่เธอเองยังไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และผลประโยชน์อยู่เลย อันหรานถามตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงหยุดไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และผลประโยขน์ไม่ได้ซักทีนะ?”
วัันหนึ่ง อันหรานได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “ชะตากรรมของมนุษย์ถูกควบคุมโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า เจ้าไม่สามารถควบคุมตัวของเจ้าเองได้ กล่าวคือ ทั้งที่มนุษย์สาละวนเร่งรีบและทำตัวให้ยุ่งวุ่นวายเพื่อตัวเขาเองอยู่เสมอ เขาก็ยังคงไม่สามารถควบคุมตัวเขาเองได้ หากเจ้าสามารถล่วงรู้ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้าเอง หากเจ้าสามารถควบคุมชะตากรรมของเจ้าเองได้ เจ้าจะยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่อีกหรือ? กล่าวสั้นๆ ก็คือ ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจอย่างไร พระราชกิจทั้งปวงของพระองค์ล้วนเป็นไปเพื่อมนุษย์ จงดูตัวอย่างของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างเพื่อให้มารับใช้มนุษย์ กล่าวคือ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดวงดาวทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ สัตว์และพืชทั้งหลาย ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว และอื่นๆ—ทั้งหมดล้วนถูกสร้างขึ้นเพื่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ และดังนั้นไม่ว่าพระเจ้าจะทรงตีสอนและพิพากษามนุษย์อย่างไร ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อความรอดของมนุษย์ ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงเอาความหวังทางเนื้อหนังของมนุษย์ไปจากเขา นั่นก็เป็นไปเพื่อชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ และการชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์ก็เป็นไปเพื่อให้เขารอดชีวิตนั่นเอง บั้นปลายของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง ดังนั้นมนุษย์จะสามารถควบคุมตัวเขาเองได้อย่างไรกัน?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์) อันหรานได้เข้าใจว่า ชะตากรรมของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าและไม่ได้ขึ้นอยู่กับความอยากได้อยากมีของตัวเอง เธอตระหนักได้ว่าเธอเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่ไม่สลักสำคัญอะไร และไม่สามารถควบคุมสิ่งที่เธอจะประสบพบเจอในชีวิตได้ แต่เธอต้องการทำสิ่งต่างๆ ตามหนทางของเธอเองเสมอมาและไม่นบนอบอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เธอคิดว่าชีวิตของเธอขมขื่นเพราะเธอล้มป่วยและไม่สามารถทำงาน หรือโดดเด่นต่อไปได้ นี่ไม่ใช่การพร่ำบ่นพระเจ้าหรอกหรือ? เมื่อคิดทบทวนถึงปีที่ผ่านมา อันหรานก็ตระหนักได้ว่า เป็นเพราะการมุ่งมั่นในงานทำให้ความสัมพันธ์ของเธอกับพระเจ้าเริ่มห่างเหิน หากไม่เจ็บป่วยเธอคงจะยังมุ่งมั่นทำงานและหาเงินอย่างแน่วแน่ต่อไป โดยไม่มีเวลาหรือพลังที่จะมาเฉพาะพระพักต์พระเจ้า ตอนนี้แม้จะต้องทนทุกข์ทางร่างกาย แต่เธอก็สามารถสงบใจและใช้เวลาอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี อันหรานยินดีที่จะนบนอบและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า
เมื่อดวงอาทิตย์ฤดูหนาวมาเยือน ความอบอุ่นของแสงนั้นเชิญชวนยิ่งนัก แสงอาทิตย์สาดส่องไปทุกมุมของลานบ้าน อาบร่างของเธอให้อบอุ่นขึ้น
อันหรานนั่งอยู่ในลานบ้าน เอนหลังพิงเก้าอี้และอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่เงียบๆ “บัดนี้เป็นเวลาที่วิญญาณของเราจะได้ปฏิบัติงานอันยิ่งใหญ่ และเป็นเวลาที่เราจะได้เริ่มต้นงานของเราท่ามกลางประชาชาติซึ่งเป็นผู้ไม่เชื่อทั้งหลาย ที่มากไปกว่านั้น นี่เป็นเวลาที่เราจะได้จำแนกแยกแยะสรรพสิ่งสร้างทั้งปวง วางแต่ละสิ่งให้อยู่ในหมวดหมู่ที่สอดคล้องกัน เพื่อที่งานของเราจะได้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และดังนั้นแล้ว สิ่งที่เราขอจากพวกเจ้าก็ยังคงเป็นว่า ให้เจ้ามอบถวายการดำรงอยู่ทั้งหมดของเจ้าให้แก่งานทั้งปวงของเรา และยิ่งไปกว่านั้น ให้เจ้าหยั่งรู้และมั่นใจในงานทั้งหมดที่เราได้ทำในตัวเจ้าให้ชัดเจน และวางกำลังทั้งหมดของเจ้าในงานของเราเพื่อที่งานนั้นจะได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องเข้าใจ จงหยุดจากการต่อสู้กันท่ามกลางตัวพวกเจ้าเอง การมองหาหนทางกลับหลัง หรือการแสวงหาความชูใจฝ่ายเนื้อหนัง ซึ่งจะทำให้งานของเราล่าช้าออกไป และทำให้อนาคตที่วิเศษสุดของเจ้าล่าช้าออกไป แทนที่จะคุ้มครองเจ้า การทำเช่นนั้นจะนำการทำลายล้างมาสู่เจ้า นี่จะไม่ใช่ความโง่เขลาของเจ้าดอกหรือ? สิ่งซึ่งเจ้าชื่นชมอย่างละโมบในวันนี้คือสิ่งที่กำลังทำลายอนาคตของเจ้า ในขณะที่ความเจ็บปวดที่เจ้าทนทุกข์ในวันนี้คือสิ่งที่กำลังคุ้มครองเจ้า เจ้าจะต้องตระหนักรู้สิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจน เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเหยื่อของการทดลองทั้งหลายซึ่งเจ้าจะออกแรงอย่างมากเพื่อสลัดตัวเจ้าเองให้หลุดพ้น และเพื่อเลี่ยงหนีการเดินหลงเข้าไปในหมอกหนาและการที่ไม่สามารถพบแสงอาทิตย์ได้ เมื่อหมอกหนาจางหายไป เจ้าจะพบว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางการพิพากษาของวันที่ใหญ่ยิ่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานแห่งการเผยแผ่ข่าวประเสริฐคืองานแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดด้วยเช่นกัน) เมื่อตริตรองพระวจนะของพระเจ้า อันหรานก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นมาว่า ตั้งแต่วัยเด็กเธอก็ไล่ตามไขว่คว้าความเป็นเลิศมาตลอด ต้องการเปลี่ยนชะตากรรมด้วยมือของตัวเอง เธอรู้สึกอยู่ตลอดว่าคนเราต้องสร้างชื่อเสียงในโลกและได้รับการชื่นชมจากผู้อื่น ไม่อย่างนั้น ชีวิตก็จะไม่มีความหมายอะไร การมีชีวิตอยู่จะไปมีความหมายอะไร ถ้ายังคงเป็นคนต่ำต้อย? ในการไล่ตามไขว่คว้าความเป็นเลิศและเกียรติยศ อันหรานทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงิน และหลังจากยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายแล้ว แม้ว่าเธอจะรู้ว่าการทำงานในระยะนี้มีเป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ รู้ว่านี่เป็นระยะสุดท้ายของพระราชกิจของพระเจ้า และพระราชกิจระยะนี้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในช่วงชีวิต ถ้าเธอพลาดไป เธอจะเสียโอกาสในการได้รับการช่วยให้รอด แต่เธอกลับหลงเจิ่นจากพระเจ้าเพื่อไปไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และผลประโยขน์ และถือเอาการลุล่วงอุดมคติและความอยาได้อยากมีของตัวเอง รวมทั้งการไล่ตามไขว่คว้าความเป็นเลิศมาเป็นคุณค่าของชีวิต ด้วยเหตุนี้เธอจึงทำงานไม่หยุดหย่อน ดิ้นรนอย่างขมขื่นในวังวนของชื่อเสียง ผลประโยชน์ และความมั่งคั่ง ซึ่งในที่สุดก็นำเธอไปสู่การทนทุกข์ทั่วร่างกายและความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ที่่สำคัญที่สุด เธอเอาตัวออกห่างจากพระเจ้าและทรยศพระองค์ เพื่อให้โดดเด่นและเพื่อเห็นแก่สิ่งที่เรียกกันว่า “ลู่ทางในอนาคต” เหล่านี้ จึงพลาดโอกาสในการเข้าร่วมการชุมนุมกับผู้อื่นและได้รับความจริง นี่เป็นสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าตรัสไว้ว่า “สิ่งซึ่งเจ้าชื่นชมอย่างละโมบในวันนี้คือสิ่งที่กำลังทำลายอนาคตของเจ้า” ไม่ใช่หรือ? การไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และผลประโยชน์ไม่ได้นำไปสู่ลู่ทางในอนาคตที่ดี จริงๆ แล้วเป็นการทำร้ายและทำลายตัวเอง! อันหรานตระหนักได้ว่า ถึงแม้การเจ็บป่วยนี้จะทำให้เธอเจ็บปวด แต่ก็ยังกั้นขวางการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียงและผลประโยชน์ของเธอด้วย ภายนอกดูเหมือนว่าความเจ็บป่วยนี้ทำลายความฝันของเธอ แต่นี่เป็นการคุ้มครองเธอในแบบที่มองไม่เห็นด้วย ผ่านความเจ็บป่วยนี้ อันหรานสามารถมาเฉพาะพระพักต์พระเจ้า คิดทบทวนถึงถึงเส้นทางของเธอเอง และใคร่ครวญชีวิตเธอจริงๆ ว่าอะไรสำคัญกว่ากัน ระหว่างการไล่ตามเสาะหาความจริงและชีวิต หรือชื่อเสียงและผลประโยชน์? ในขณะนั้น อันหรานได้ตระหนัก และได้นึกถึงคำพูดในพระคัมภีร์ที่ว่า “ข้าพเจ้าเคยเห็นการงานทั้งปวงซึ่งเขากระทำกันภายใต้ดวงอาทิตย์ และดูเถิด สารพัดก็อนิจจังคือกินลมกินแล้ง” (ปัญญาจารย์ 1:14) “เขาจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าได้สิ่งของหมดทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตน? หรือคนนั้นจะนำอะไรไปแลกชีวิตของตนกลับคืนมา?” (มัทธิว 16:26) ความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และผลประโยชน์สามารถนำความชื่นบานยินดีชั่วคราวมาให้ และทำให้ตนเองโดดเด่นพร้อมได้รับการนับหน้าถือตาจากผู้อื่น แต่ถ้านั่นหมายถึงการสูญเสียโอกาสในการได้รับความจริงและการช่วยให้รอด ก็จะเหมือนกับการเอาชีวิตไปสังเวย แล้วอย่างนั้นจะมีความหมายอะไร?
อันหรานอ่านพระวจนะบทตอนอื่นต่อไป “องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีพระกรุณาต่อผู้คนเหล่านี้ที่ทุกข์อย่างล้ำลึก ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงรู้สึกจงเกลียดจงชังผู้คนที่ขาดสติเหล่านี้ เนื่องจากพระองค์ต้องทรงรอคอยคำตอบจากมนุษย์นานเกินไป พระองค์ทรงเฝ้าปรารถนาที่จะแสวงหา แสวงหาหัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้า เพื่อนำน้ำและอาหารมามอบให้เจ้า เพื่อปลุกเจ้าให้ตื่นขึ้นมา เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องกระหายและหิวโหยอีกต่อไป ยามที่เจ้ารู้สึกอ่อนล้าท้อใจและยามที่เจ้าเริ่มรู้สึกถึงความหนาวเหน็บอ้างว้างบางอย่างในโลกใบนี้ จงอย่าหลงทาง จงอย่าร่ำไห้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้เฝ้าดู จะทรงโอบกอดการมาถึงของเจ้าไม่ว่า ณ เวลาใดก็ตาม พระองค์จะทรงเฝ้าจับตาดูอยู่ข้างกายเจ้า รอคอยให้เจ้าหันหลังกลับมา พระองค์กำลังทรงรอคอยวันที่เจ้าพลันฟื้นความทรงจำขึ้นมา กล่าวคือ ยามที่เจ้าได้ตระหนักว่า ตัวเจ้านั้นมาจากพระเจ้า ได้ตระหนักว่า ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้หลงทางไป ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้สูญเสียสติไปในระหว่างเส้นทาง และ ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้ ‘บิดา’ มาหนึ่งคน ยิ่งไปกว่านั้นคือ ยามที่เจ้าตระหนักว่า องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงติดตามเฝ้าดูเจ้าตลอดมา ทรงรอคอยปักหลักอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานแสนนานเพื่อการกลับมาของเจ้า พระองค์ทรงเฝ้ารอดูด้วยความถวิลหาสุดพระทัย รอคอยการตอบสนองที่ไม่มีแม้คำตอบสักคำ การเฝ้าดูและการรอคอยของพระองค์นั้นเลอค่าเหนือกว่าจะประมาณได้ และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของหัวใจมนุษย์และจิตวิญญาณของมนุษย์ บางที การเฝ้าดูและการรอคอยนี้อาจไม่มีจุดสิ้นสุด และบางทีอาจมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว แต่ตัวเจ้านั้นก็ควรรู้ว่า หัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้านั้นอยู่ที่ไหนในเวลานี้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การทอดถอนพระทัยขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์) การได้เห็นพระวจนะของพระเจ้าเรียกหามนุษยชาติซ้ำแล้วซ้ำอีก อันหรานก็รู้สึกซาบซึ้งในหัวใจจนน้ำตาคลอเบ้า เธอถอนหายใจในใจว่า “พระเจ้าทรงรอคอยการกลับมาของฉันอยู่ตลอด ไม่เคยล้มเลิกการช่วยเหลือฉันเลย” อันหรานรู้ว่าเธอได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้ามานานแล้ว และได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมาย เธอรู้ว่าพระเจ้าในยุคสุดท้ายทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดเป็นการส่วนพระองค์ นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากอย่างยิ่ง แต่เธอกลับดื้อแพ่งและมึนชาในหัวใจ จดจ่อความคิด แรงกายแรงใจ และเวลาของเธอให้กับการทำงานหาเงิน ไล่ตามไขว่คว้าการนับหน้าถือตาจากผู้อื่น และพยายามยกระดับตัวเอง หากเธอเดินในเส้นทางนี้ต่อไป ก็มีแต่จะทำให้ตัวเองเหนื่อยล้า และกลายเป็นเหยื่อสังเวยให้กับชื่อเสียงและผลประโยชน์จนหมดสิ้นเชิง ไม่สามารถมีลู่ทางในอนาคตที่ดี และสุดท้ายก็ทำลายตัวเอง ในขณะนั้น อันหรานรู้สึกซาบซึ้งกินใจจนน้ำตาคลอเบ้า เธอได้รู้ว่า ทุกสิ่งที่พระเจ้าได้ประทานให้เธอนั้นคือความรักและการช่วยให้รอด ในขณะที่เธอตอบสนองด้วยการปฏิเสธ การหลบหนี และการต้านทาน เธอรู้สึกติดหนี้พระเจ้า เธอตั้งใจอย่างเด็ดเดี่ยวอยู่เงียบๆ ที่จะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างจริงจังและเข้าร่วมการชุมนุม และจะไม่จมอยู่ในความสิ้นหวังและการด้อยค่าอีกต่อไป
จากนั้นเธอก็ฟังการอ่านพระวจนะของพระเจ้า “เจ้าคือสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง—แน่นอนว่าเจ้าควรนมัสการพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย หากเจ้าไม่นมัสการพระเจ้า แต่กลับใช้ชีวิตภายในเนื้อหนังอันโสมมของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้ามิได้เป็นเพียงสัตว์ป่าในคราบมนุษย์หรอกหรือ? ในเมื่อเจ้าเป็นมนุษย์ เจ้าก็ควรสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าและสู้ทนความทุกข์ทุกอย่าง! เจ้าควรยอมรับความทุกข์เล็กน้อยที่เจ้าต้องมีในวันนี้และใช้ชีวิตที่มีความหมายอย่างยินดีและอย่างมั่นใจดังเช่นโยบและเปโตร ในโลกนี้ มนุษย์สวมใส่เสื้อผ้าของมาร กินอาหารจากมาร และทำงานและรับใช้ภายใต้การบงการของมาร ถูกเหยียบย่ำอยู่ในความโสมมของมันอย่างสิ้นเชิง หากเจ้าไม่จับความเข้าใจในความหมายของชีวิตหรือได้มาซึ่งวิถีทางที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วจะมีนัยสำคัญอะไรในการใช้ชีวิตเยี่ยงนี้? พวกเจ้าคือผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่ถูกต้อง เป็นผู้ที่แสวงหาการปรับปรุงให้ดีขึ้น พวกเจ้าคือผู้คนที่ผงาดขึ้นมาในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง เป็นผู้ที่พระเจ้าตรัสเรียกว่าชอบธรรม นั่นไม่ใช่ชีวิตที่มีความหมายที่สุดหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (2)) ในการฟังพระวจนะของพระเจ้า อันหรานพบเป้าหมายที่ถูกต้องในชีวิต รู้สึกได้รับปลดปล่อยและโล่งใจเป็นพิเศษ เธอคิดทบทวนถึงหลายปีที่เธอใช้ชีวิตเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ ทำให้ตัวเองทนทุกข์อย่างสาหัสจากความกระหายที่จะโดดเด่น แบกภาระความเครียด ความเจ็บปวด และความขมขื่น สุดท้ายก็จะเผชิญกับการทำลายล้างไปพร้อมกับซาตาน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการใช้ชีวิตไปตามทรรศนะในชีวิตที่ผิด ตอนนี้อันหรานเข้าใจแล้วว่า ความมั่งคั่ง สถานะ ชื่อเสียง และผลประโยชน์ล้วนเป็นสิ่งเปล่าประโยชน์ ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง การอุทิศชีวิตให้กับพระเจ้า ไล่ตามเสาะหาความจริง และรู้จักพระเจ้า เป็นการดำรงอยู่ที่มีความหมายที่สุด หากเธอสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงจังในระหว่างพระราชกิจของพระเจ้า ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามไปได้ เธออาจกลายเป็นคนที่พระเจ้าทรงเห็นชอบในที่สุด ต่อให้เธอจะไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คนในช่วงชีวิตนี้ แต่การได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้า ก็เป็นเกียรติสูงสุดอยู่ดี เมื่อคิดถึงเหล่าพี่น้องทั้งหลาย บางคนจบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และบางคนก็มีกิจการในครอบครัว พวกเขาทอดทิ้งชื่อเสียงและผลประโยชน์ของตนเองเพื่อมาปฏิบัติหน้าที่ได้ แล้วทำไมเธอซึ่งเป็นเพียงครูธรรมดาๆ คนหนึ่งถึงละทิ้งสิ่งเหล่านี้ไม่ได้? อันหรานปิดหนังสือพระวจนะของพระเจ้า คุกเข่าลงและอธิษฐาน “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์เป็นกบฏเสียแล้ว ใช้ชีวิตไปกับไล่ตามไขว่คว้าความมั่งคั่ง ชื่อเสียง และผลประโยชน์ ไม่ยอมมาเฉพาะพระพักต์พระองค์ วันนี้ข้าพระองค์ตาสว่างและตระหนักว่าการสังเวยชีวิตเพื่อชื่อเสียง ผลประโยชน์ และความมั่งคั่งนั้นไม่คุ้มค่า ข้าแต่พระเจ้า ขอบคุณพระองค์ที่ไม่เคยละทิ้งการช่วยข้าพระองค์ให้รอด และรอคอยการกลับมาของข้าพระองค์อยู่เสมอ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าพระองค์ยินดีที่จะจดจ่ออยู่กับการกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ เข้าร่วมการชุมนุมให้มากขึ้น และทำหน้าที่ของตัวเอง ข้าพระองค์ไม่ยอมให้ซาตานหลอกลวงและทำร้ายอีกต่อไปแล้ว” หลังจากอธิษฐาน อันหรานก็รู้สึกได้ถึงความแน่วแน่ในหัวใจ ในวันต่อๆ มา เธอกินและดื่มพระวจนะอย่างขยันขันแข็งทุกวันและเข้าร่วมการชุมนุมมากขึ้น
ไม่นานหลังจากเทศกาลตรุษจีน เพื่อนร่วมชั้นที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานก็โทรมา เสนอตำแหน่งหน้าที่การงานในโครงการหลังเลิกเรียนของเมืองให้ โดยที่เธอจะสอนพิเศษให้กับนักเรียนเฉพาะในช่วงมื้ออาหาร แม้ว่างานนี้จะได้เงินน้อยกว่าและไม่นำมาซึ่งการยอมรับหรือการชื่นชมใดๆ แต่เธอก็รู้สึกยินดีที่จะได้มีเวลามากขึ้นเพื่อกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และทำหน้าที่ของเธอ
เช้าวันอาทิตย์อีกวันหนึ่ง ขณะที่อันหรานเดินกลับบ้าน ในขณะที่คนอื่นๆ เดินขวักไขว่ไปมาอย่างเร่งรีบบนท้องถนน เธอกลับชะลอฝีเท้าลง จิตใจสับสนปนเป เมื่อวานนี้ลูกพี่ลูกน้องโทรมาคะยั้นคะยอให้เธอกลับไปทำงานที่โรงเรียน ญาติพี่น้องก็คะยั้นคะยอเช่นกัน อันหรานตริตรองว่า อาการป่วยของเธอก็ดีขึ้นแล้ว และเธอก็ยังสาวอยู่ ทำไมไม่ลองดูอีกครั้งล่ะ? ถ้าเธอกลับไปที่โรงเรียน ก็จะได้รับการนับหน้าถือตาและการชื่นชมจากคนอื่นตามมา
เมื่อสายลมพัดผ่านมา อันหรานก็จดจำวันคืนที่ขมขื่นในโรงเรียนได้ ตอนนี้ เมื่อเธอก้าวออกมาได้สำเร็จแล้ว และสามารถเข้าร่วมการชุมนุม กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างปกติ ถ้าเธอกลับไปทำงานที่โรงเรียน จะไม่เป็นการเชื้อเชิญความยากลำบากที่ไม่จำเป็นหรอกหรือ?
พออคิดได้แบบนี้ อันหรานก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและส่งข้อความถึงลูกพี่ลูกน้องของเธอ เพื่อปฏิเสธอย่างสุภาพ
ปี้น! เสียงแตรดังขึ้น รถคันหนึ่งจอดอยู่ตรงหน้าอันหราน เธอหยิบกระเป๋าเดินทางขึ้นมาและก้าวเดินไปบนเส้นทางของการทำหน้าที่
อันหรานนั่งอยู่ริมหน้าต่างรถ หวนคิดถึงการเดินทางของเธอ จากคนหนึ่งที่ลุ่มหลงอย่างหนักในเงินทอง ชื่อเสียง และผลประโยชน์ กลายมาเป็นสมาชิกคนหนึ่งที่ปฏิบัติหน้าที่ในพระนิเวศของพระเจ้า แท้จริงแล้ว ทุกก้าวเดินล้วนมีพระเจ้าทรงนำ และเต็มไปด้วยความรักและการช่วยให้รอดจากพระองค์ ถ้าไม่ใช่เพราะพระวจนะของพระเจ้าที่ให้ความรู้แจ้งและความเป็นผู้นำ เธอคงจะยังติดอยู่ในวังวนของการไล่ตามไขว่คว้าชื่อเสียง ผลประโยชน์ และสถานะ เธอขอบคุณพระเจ้าเงียบๆ อยู่ในใจ ตั้งใจที่จะทะนุถนอมเวลาที่มีค่าที่เธอมีในขณะนี้เพียงเท่านั้น ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงจังและทำหน้าที่ของเธอเพื่อชูพระทัยพระเจ้า
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ