รสชาติของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์

วันที่ 28 เดือน 01 ปี 2021

โดย หย่งสุย ประเทศเกาหลีใต้

ในการชุมนุมวันหนึ่งปลายเดือนมีนาคม ผู้นำคนหนึ่งพูดถึงเรื่อง พี่ชายคนหนึ่งที่ถูกจับกุมและถูกทรมานอย่างโหดร้าย ในนาทีที่อ่อนแออย่างที่สุด เขาก็ได้ขายสมาชิกคริสตจักรคนอื่นไปสองคน เขาเต็มไปด้วยความเสียใจ และด้วยการอ่านพระวจนะแห่งการพิพากษาและวิวรณ์ของพระเจ้า เขาจึงเห็นรากเหง้าของความล้มเหลวของเขาและได้กลับใจอย่างแท้จริง ผู้นำคนนั้นถามพวกเราว่า พวกเราคิดอย่างไรกับประสบการณ์นั้น และนั่นนับเป็นคำพยานที่แท้จริงหรือไม่ เขายังขอให้พวกเราทุกคนแบ่งปันความคิดของพวกพวกเราอีกด้วย เรื่องนี้ทำให้ฉันกระสับกระส่ายมากและเริ่มคาดการณ์ว่า ทำไมเขาถึงอยากให้พวกเราเสวนากันเรื่องนี้? หรือว่านี่เป็นการทดสอบว่า พวกเรามองเห็นปัญหาอย่างถูกต้องหรือเปล่า? ฉันคิดว่า “พี่ชายคนนั้นขายคนอื่นๆ เพียงเพราะชั่วขณะแห่งความอ่อนแอ นั่นเป็นการฝ่าฝืน แต่เขาก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับตัวเองและกลับใจอย่างแท้จริง ดังนั้นประสบการณ์ของเขาก็ควรนับเป็นคำพยานนะ” แต่แล้วฉันก็คิดอย่างไม่ค่อยแน่ใจว่า “ฉันรอฟังความเห็นของคนอื่นก่อนดีกว่า ฉันจะได้ไม่ปล่อยไก่หรือพูดอะไรคลุมเครือเกินไปแล้วทำให้ตัวเองดูไม่ดี” คนอื่นๆ เริ่มประสานเสียงเสนอความคิดกันขึ้นมา ในตอนแรก พี่สาวคนหนึ่งพูดบางอย่างที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับความคิดของฉัน ฉันจึงรู้สึกว่าความคิดตัวเองน่าจะถูกต้อง แต่ทันทีหลังจากนั้น พี่สาวอีกคนก็พูดว่า พี่ชายคนนั้นได้ทรยศพระเจ้าและกลายเป็นยูดาส ดังนั้น นั่นจึงไม่ใช่คำพยานประเภทที่สามารถเป็นพยานให้พระเจ้าได้ แล้วอีกสองสามคนก็พูดอย่างมั่นใจมากว่า ประสบการณ์นี้ไม่นับเป็นคำพยาน การมองเห็นว่ามีหลายคนเหลือเกินที่สะท้อนทรรศนะนั้นและให้เหตุผลประกอบนั้น ทำเอาฉันหวั่นไหว และไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไรดี ตอนนั้นเอง ผู้นำก็พูดว่า “หากคุณคิดว่านี่ไม่ใช่คำพยาน ยกมือขึ้น” คนยกมือกันเยอะเลยทีเดียว แต่ฉันไม่แน่ใจ ฉันก็เลยไม่ได้ยก ฉันกำลังคิดว่า “ฉันยกมือสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ ก็แบบนั้นจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าฉันไม่มีขีดความสามารถและความเข้าใจ ไม่ใช่หรือ?” ตอนที่ฉันกำลังคิดอยู่นั้น ผู้นำก็ถามฉันว่า “ทำไมคุณไม่ยกมือล่ะ?” ฉันคิดกับตัวเองว่า “ไม่นะ ทำไมเขาถึงถามฉันล่ะ? ฉันควรจะยกมือหรือเปล่านี่?” ฉันรีบชูมือพรวดขึ้นไปในอากาศ หัวใจเริ่มเต้นรัว—ฉันเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ การที่ฉันยกมือนี่ถูกต้องหรือเปล่านะ? ฉันรู้สึกในหัวใจจริงๆ ว่าเรื่องนี้สามารถทำหน้าที่เป็นคำพยานได้ แต่ฉันก็ยกมือไปโดยไม่ทันคิดให้ดีเสียก่อน ฉันรู้ตัวว่าฉันได้ชูมือขึ้นฟ้าไปแล้ว ดังนั้นฉันจึงเริ่มฟังแนวความคิดของคนอื่น พวกเขากำลังแบ่งปันความคิดกัน ดังนั้นฉันจึงเริ่มพิจารณาเรื่องนี้อย่างใจเย็น พี่ชายคนนั้นกลับใจอย่างแท้จริงแล้ว ดังนั้นคำพยานของเขาจึงควรยืนหยัดอยู่ ฉันรู้สึกว่า ฉันไม่น่าจะยกมือเลย ฉันอยากแบ่งปันสิ่งที่ฉันคิดในตอนนั้นจริงๆ แต่แล้วฉันก็คิดได้ว่า ฉันไม่ได้มีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ ถ้าฉันตอบถูก มันก็คงจะไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้นล่ะ ผู้นำจะคิดกับฉันอย่างไร? เขาจะพูดว่าฉันไม่มีขีดความสามารถหรือความลุ่มลึกในประสบการณ์ของฉันหรือเปล่า? หากผู้นำเห็นสิ่งนี้ในตัวฉัน เขาจะคิดว่าฉันไม่ควรค่าแก่การฝึกอบรม และฉันจะไม่มีอนาคตในพระนิเวศของพระเจ้า หนำซ้ำตรงนั้นก็มีพี่น้องชายหญิงอยู่มากมาย ดังนั้นคงจะเป็นเรื่องน่ากระดากอายมากหากฉันเข้าใจผิด ฉันคิดกลับไปกลับมาและอยากพูดอะไรบางอย่างหลายต่อหลายครั้ง แต่สุดท้ายฉันก็เก็บเงียบเอาไว้

หลังจากนั้น ผู้นำก็สามัคคีธรรมว่า เรื่องนี้ยืนหยัดเป็นคำพยานอย่างแน่นอน และการทรยศพระเจ้าในช่วงเวลาแห่งความอ่อนแอ แล้วได้รับประสบการณ์การพิพากษาและการตีสอน และกลับใจอย่างแท้จริงนั้น เป็นคำพยานอันยิ่งใหญ่ มันให้แรงจูงใจให้กับผู้อื่นอีกมากมาย และแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าประทานความกรุณาอันยิ่งใหญ่ต่อบรรดาผู้ซึ่งมีความเชื่อที่แท้จริง พระเจ้าทรงรู้ว่าพวกเราเสื่อมทรามแค่ไหน ดังนั้นตราบใดที่พวกเรารู้สึกเสียใจอย่างแท้จริงและหันกลับไปหาพระองค์ พระองค์ก็จะให้โอกาสพวกเราได้กลับใจ และคำพยานแบบนั้นถวายพระเกียรติแก่พระเจ้าและทำให้ซาตานอับอายเหนือสิ่งอื่นใด ผู้นำอธิบายต่อไปว่า ความเข้าใจของพวกเรานั้นมีราคี และพูดว่าพวกเราเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและไม่ซื่อสัตย์ พูดว่าทรรศนะของพวกเราไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า พอเห็นว่าพวกเราจะต้องเสวนาถึงเรื่องนี้ พวกเราก็เดาไปว่า ต้องมีอะไรที่ไม่ถูกต้องในประสบการณ์ของพี่ชายคนนั้นแน่ พวกเราจึงได้พยายามเดาว่า ผู้นำกำลังคิดอะไรอยู่ และไม่พูดอย่างซื่อสัตย์แม้แต่คำเดียว ผู้นำค่อยๆ สามัคคีธรรมกับพวกเราว่า พวกเราต้องคิดด้วยตัวเอง และมีทรรศนะเป็นของตนเองในทุกสิ่งทุกอย่าง และว่าพวกเราควรบอกความจริง ไม่ว่าพวกเราจะถูกหรือผิด นั่นเองคือจุดที่สำคัญที่สุดสำหรับการประพฤติปฏิบัติของพวกเรา การที่ได้ยินคำว่า “จุดที่สำคัญที่สุด” ทำให้ฉันไม่สบายใจเลยจริงๆ ฉันคิดว่า “เขาพูดถูก ต่อให้ฉันผิด การแบ่งปันความคิดที่แท้จริงของฉันก็ยังดีกว่าการคล้อยตามคนหมู่มาก อย่างน้อยนั่นก็จะเป็นมุมมองของฉันเอง และฉันก็จะกำลังเป็นคนซื่อสัตย์” ฉันเกลียดตัวเองที่ไม่พูดสิ่งที่ฉันคิดจริงๆ ในแค่สิบนาทีสั้นๆ ตอนที่ฉันควรแบ่งปันจุดยืนของฉัน ฉันกลับมีเล่ห์ลวงและไม่ปฏิบัติความจริง ไม่แม้กระทั่งไปถึงจุดที่สำคัญที่สุดสำหรับการประพฤติปฏิบัติของมนุษย์ด้วยซ้ำ ฉันไม่เพียงพูดสิ่งที่ผิดและทำสิ่งที่ผิดเท่านั้น แต่ฉันยังล้มเหลวในการที่จะประพฤติปฏิบัติตนอย่างถูกต้องเหมาะสมอีกด้วย

ในการเฝ้าเดียวของฉันหลังจากการชุมนุม ฉันอ่านบทตอนนี้ในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ในความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาและหนทางที่พวกเขาประพฤติตน ผู้คนต้องใช้เส้นทางที่ถูกต้อง จงอย่าใช้หนทางและวิธีการที่คดโกงและชั่ว หนทางและวิธีการที่คดโกงและชั่วคืออะไร? หนทางและวิธีการที่คดโกงและชั่วคือความเชื่อในพระเจ้าซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนความฉลาดอันหยุมหยิม และการหลอกลวงอันเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม และเล่ห์กลถูกๆ อยู่เสมอ หนทางและวิธีการเหล่านั้นกำลังพยายามที่จะปกปิดความเสื่อมทรามของเจ้า และปกปิดปัญหาอย่างเช่นข้อบกพร่อง ความผิด และขีดความสามารถที่ต่ำของเจ้า พวกเขากำลังรับมือกับสิ่งทั้งหลายโดยใช้ปรัชญาเยี่ยงซาตานอยู่เสมอ โดยพยายามที่จะประจบพระเจ้าและบรรดาผู้นำคริสตจักรในเรื่องที่เปิดเผย แต่ไม่ปฏิบัติความจริง ไม่รับมือกับสิ่งทั้งหลายไปตามหลักธรรม และให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับผู้คนเป็นนิตย์เพื่อสอพลอพวกเขา พวกเขาถามว่า ‘พักนี้ฉันได้ทำไปอย่างไรบ้าง? พวกคุณทุกคนสนับสนุนฉันหรือไม่? พระเจ้าทรงรู้หรือไม่เกี่ยวกับสิ่งดีงามทั้งหลายที่ฉันได้ทำไป? และหากพระองค์ทรงรู้ พระองค์จะทรงสรรเสริญฉันหรือไม่? ที่ของฉันในพระทัยของพระเจ้าคือสิ่งใด? ฉันมีความสำคัญอันใดกับพระเจ้าหรือไม่?’ สิ่งที่พวกเขากำลังถามอยู่นั้นจริงๆ แล้วก็คือว่า พวกเขาสามารถได้รับการอวยพรในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาหรือไม่ การครุ่นคิดอยู่เป็นนิตย์ถึงสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นไม่ใช่หนทางและวิธีการที่คดโกงและชั่วหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง ดังนั้นแล้ว อะไรคือเส้นทางที่ถูกต้อง? เส้นทางที่ถูกต้องคือในยามที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาความจริงในความเชื่อของพวกเขา ในยามที่พวกเขามีความสามารถที่จะได้รับความจริง และสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของพวกเขา(“หกข้อบ่งบอกความก้าวหน้าในชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) นี่เป็นการที่พระเจ้าทรงย้ำเตือนและเตือนให้พวกเราเลือกเส้นทางที่ถูกต้องในการประพฤติปฏิบัติของพวกเราในฐานะผู้เชื่อ พวกเราต้องไล่ตามเสาะหาและปฏิบัติความจริง หากพวกเราไม่ทุ่มความมานะพยายามเข้าไปในการทำสิ่งดีๆ เหล่านี้ หากพวกเราหมกมุ่นอยู่กับการปิดบังข้อตำหนิของพวกเรา อวดโอ้ เป็นที่โปรดปรานของบรรดาผู้นำ มีตำแหน่งในคริสตจักร และพวกเราเป็นห่วงกันมากเกินไปว่า จริงๆ แล้วพระเจ้ากับบรรดาผู้นำคิดกับพวกเราอย่างไร นี่เองคือการเดินบนเส้นทางแห่งความชั่ว ฉันได้เห็นว่าสิ่งที่ฉันกำลังทำอยู่นั้น คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยไม่มีผิด ฉันไม่แน่ใจว่าประสบการณ์ของพี่ชายคนนั้นเป็นคำพยานที่แท้จริงหรือไม่ แต่ฉันไม่ได้พูดจากหัวใจ ฉันกลับอ่านบรรยากาศในวง เก็งไพ่ในมือตัวเอง และคำนวณว่าคนอื่นอาจจะกำลังคิดอะไรอยู่ พอผู้นำถามฉันว่าทำไมฉันไม่ยกมือ ฉันก็คิดว่าฉันคงต้องก้าวพลาดไปแน่ และพอคนส่วนใหญ่คิดว่าประสบการณ์ของพี่ชายคนนั้นไม่ใช่คำพยาน ฉันก็รีบจ้ำอ้าวตามไปทันที ฉันทำตัวกระจอก คอยดูว่าลมจะไปทิศทางไหน ฉันไม่แสดงให้เห็นอะไรเลยนอกจากอุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงเยี่ยงซาตาน ฉันนึกฉงนว่าทำไมการพูดความจริงแค่ประโยคเดียวมันจึงยากนักหนา นั่นเป็นเพราะฉันกลัวว่า หากพูดอะไรผิดไปก็จะทำให้ตัวเองกระดากอาย กลัวว่าผู้นำจะคิดกับฉันด้อยไป และไม่ให้คุณค่าหรือฝึกอบรมฉัน และฉันก็กลัวว่า ฉันอาจจะถูกปลดจากหน้าที่หากเกิดเรื่องแบบนั้นอยู่เรื่อยๆ ฉันแค่ต้องการปกป้องเกียรติยศของตัวเองและรักษาตำแหน่งเอาไว้ เพื่อปกปิดขีดความสามารถต่ำๆ ของฉัน และพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ดีที่สุด ฉันอยากทำตัวเหมือนใครบางคนที่มีขีดความสามารถสูง ที่เข้าใจความจริงและมีความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งในสิ่งต่างๆ ฉันอยากมีคำตอบที่ถูกต้อง ที่ตรงกับสิ่งที่ผู้นำคิดอยู่เสมอสำหรับคำถามอะไรก็ตาม เพื่อที่เขาจะได้คิดกับฉันในแง่ที่ดีกว่า และฉันจะเป็นที่น่าประทับใจ แล้วพี่น้องชายหญิงก็จะเห็นชอบในตัวฉันและนิยมยกย่องฉันด้วย ฉันเห็นความเล่ห์ลวงและเพทุบายอยู่ในแนวทางของฉัน ฉันไม่สามารถพูดตรงๆ ได้ แม้แต่ในเรื่องที่เรียบง่ายมากๆ ฉันแทบพูดคำที่ซื่อสัตย์จริงใจไม่ได้แม้แต่คำเดียว ฉันอ่านบรรยากาศในวงอย่างเจ้าเล่ห์เสมอ เพื่อรักษาตำแหน่งของฉันในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันกำลังเลือกเส้นทางแห่งความชั่ว ไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง ฉันกลายเป็นตระหนักรู้ทั้งหมดนี้ แต่กลับไม่ทำการตรวจสอบตัวเองให้ลึกซึ้งขึ้นไป

แล้วสามเดือนต่อมา ฉันก็ได้ฟังการสามัคคีธรรมนี้จากพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า “เหล่าศัตรูของพระคริสต์มีส่วนร่วมกับพระคริสต์ในหนทางเดียวกับที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คน โดยปฏิบัติตามพระคริสต์ในทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดและทำ ฟังพระกระแสเสียงของพระองค์ และรอฟังความหมายในพระวจนะของพระองค์ เมื่อพวกเขาพูด ไม่มีคำพูดนั้นสักคำที่เป็นจริงหรือจริงใจ พวกเขารู้จักแต่จะพูดคำพูดที่ว่างเปล่าและคำสอนเท่านั้น พวกเขาลองพยายามที่จะหลอกลวงและเล่นไม่ซื่อกับบุคคลนี้ ผู้ซึ่งในสายตาของพวกเขานั้นเป็นแค่บุคคลธรรมดาสามัญคนหนึ่ง พวกเขาพูดคุยประดุจงูเลื้อย ครรลองนั้นคดเคี้ยวและไม่ตรง ลักษณะและทิศทางของคำพูดของพวกเขาเป็นดังเช่นเถาแตงที่ไต่ขึ้นเสา เมื่อพระองค์ตรัสว่าใครคนหนึ่งมีขีดความสามารถดีและจะสามารถได้รับการเลื่อนขั้น ทันใดนั้นพวกเขาก็พูดคุยเกี่ยวกับว่าคนเหล่านั้นดีงามเพียงใด และสิ่งใดที่สำแดงและเปิดเผยในตัวพวกเขา และหากพระองค์ตรัสว่าใครคนหนึ่งไม่ดี พวกเขาก็รีบร้อนพูดคุยเกี่ยวกับว่าพวกเขานั้นไม่ดีและชั่วเพียงใด เกี่ยวกับว่าพวกเขาเป็นเหตุให้เกิดการรบกวนและการขัดจังหวะทั้งหลายในคริสตจักรอย่างไร เมื่อพระองค์ทรงปรารถนาที่จะเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับบางสิ่ง พวกเขาไม่มีอะไรจะพูดเลย พวกเขาพูดเลี่ยงไป โดยรอให้พระองค์ทำการตัดสินพระทัย รอฟังความหมายในพระวจนะของพระองค์ ลองพยายามที่จะขบคิดเจตนารมณ์ของพระองค์ให้ออก ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาพูดนั้นคือการยกยอ การประจบสอพลอ และการประจบประแจง ไม่มีคำพูดที่เป็นความจริงสักคำออกมาจากปากของพวกเขา(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (20)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้าเสียดแทงเข้ามาที่ใจฉัน ตลอดเวลานั้น ฉันไม่ซื่อสัตย์และปรับแต่งการกระทำไปตามที่ใจคิดว่าคนอื่นต้องการอะไร ถึงแม้ว่าตัวฉันไม่ได้ติดต่อกับพระคริสต์โดยตรง ฉันก็จะไม่ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้าในสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงตั้งขึ้น ฉันแค่ต้องการอวดโอ้และทำให้ผู้นำชอบฉัน ดังนั้นฉันจึงประเมินวัดคำพูดของตัวเองและพูดสิ่งที่เขาต้องการได้ยิน โดยไม่ซื่อสัตย์แม้สักนิด มันเป็นเรื่องไม่จริงทั้งสิ้น หนทางที่ฉันพูดและปฏิบัติตนนั้นเหมือนกับงูไม่มีผิด และเป็นที่น่าขยะแขยงสำหรับพระเจ้า ฉันคิดว่าการเล่นไปตามน้ำแบบนั้นสามารถหลอกผู้นำได้ และฉันคิดไปว่าจะทำให้เขาประทับใจด้วยการที่ฉันตอบคำถามแบบดูดี แล้วฉันก็จะรักษาตำแหน่งและอนาคตในพระนิเวศของพระเจ้าไว้ได้ นั่นเป็นความโง่เขลาอย่างเหลือเชื่อของฉัน และในข้อเท็จจริงนั้น ฉันกำลังพยายามหลอกพระเจ้า ฉันไม่ได้เชื่อจริงๆ ว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่ง ทั้งความสามารถ วุฒิภาวะ และความคิดของฉัน รวมถึงท่าทีและมุมมองของฉันในทุกสถานการณ์ พระองค์ทรงเห็นสิ่งเหล่านั้นทั้งหมดอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง ต่อให้ฉันตบตาผู้คนรอบตัวฉันได้ แต่ฉันก็ไม่มีวันสามารถตบตาพระเจ้าได้ ในข้อเท็จจริงนั้น พระเจ้าไม่ได้ทอดพระเนตรตรงสิ่งที่ฉันพูดหรือทำต่อหน้าคนอื่น แต่เป็นวิธีที่ฉันเข้าหาความจริงต่างหาก พระองค์ทอดพระเนตรตรงสิ่งที่ฉันปฏิบัติและใช้ชีวิตอยู่ในทุกๆ วัน และวิธีที่ฉันประพฤติตนในหน้าที่ พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ทุกสิ่งเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้เป็นพิเศษ พระองค์ทอดพระเนตรว่าฉันรักและปฏิบัติความจริงหรือไม่ และใบหน้าเทียมเท็จนั้นของฉันก็หลอกพระองค์ไม่ได้สักนิดเดียว แล้วในที่สุดฉันก็ได้ตระหนักว่า ฉันไม่ใช่แค่คดเคี้ยวเลี้ยวลด แต่ฉันกำลังปฏิเสธความชอบธรรมของพระเจ้าและข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงเฝ้าสังเกตการณ์ทุกสรรพสิ่งอีกด้วย ฉันปฏิบัติตนเหมือนผู้ปราศจากความเชื่อ ก่อนหน้านั้น เวลาที่ฉันได้ยินการวิเคราะห์ของพระเจ้าถึงการที่พวกศัตรูของพระคริสต์ดูถูกดูหมิ่นพระคริสต์และประจบเอาใจพระองค์ ฉันก็ไม่ได้คิดว่ามันเกี่ยวอะไรกับฉันมากมายนัก ฉันไม่เคยพบกับพระคริสต์เป็นการส่วนตัวมาก่อน ดังนั้นฉันจึงคิดว่าฉันคงไม่แสดงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานประเภทนั้นออกมา แล้วในที่สุดฉันก็ได้ตระหนักว่าฉันคิดผิด ได้ตระหนักว่า คุณไม่จำเป็นต้องติดต่อสัมพันธ์กับพระคริสต์ คุณก็สามารถเปิดเผยอุปนิสัยเยี่ยงซาตานนั้นออกมาได้เหมือนกัน ฉันพยายามประจบประแจง และทำแต้มกับผู้นำ และฉันเต็มใจจะทำอะไรแบบนั้นเพื่อรักษาตำแหน่งของฉันในพระนิเวศของพระเจ้า ฉันกำลังแสดงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานนั้นอยู่พอดีไม่มีผิด หากฉันได้เผชิญหน้ากับพระคริสต์จริงๆ พฤติกรรมนั่นจะยิ่งสังเกตได้ชัดเจนอย่างแน่นอน ฉันคงไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้พยายามหลอกและต่อต้านพระเจ้าได้

ฉันครุ่นคิดเป็นเวลาสองสามวันถึงเรื่องที่ แม้ว่าพวกเราจะตอบผิด แต่ผู้นำก็ไม่ได้ตัดแต่งและจัดการพวกเราอย่างที่ฉันคิด และเขาไม่ได้พูดว่าพวกเราขาดพร่องขีดความสามารถ ปลดพวกเราออก หรือไม่ยอมฝึกอบรมพวกเรา เขาเพียงขอให้พวกเราแบ่งปันความคิด เพื่อให้เขาเข้าใจข้อบกพร่องของพวกเราก่อนการสามัคคีธรรมถึงความจริงและชี้แนะหลักธรรมให้กับพวกเรา เขายังตีแผ่อุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเราและบอกพวกเราให้ทบทวนตัวเองอีกด้วย ทุกสิ่งที่เขาทำก็เพื่อช่วยเหลือและสนับสนุนพวกเรา ไม่มีความจำเป็นเลยที่จะต้องคาดการณ์ในพระนิเวศของพระเจ้าและกับเหล่าพี่น้องชายหญิง นั่นทำให้ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “โดยเนื้อแท้แล้ว พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อ และดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การกระทำของพระองค์นั้นไร้ข้อผิดและมิอาจตั้งคำถามได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดพระเจ้าจึงชอบคนจำพวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยสมบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ) พระวจนะและกิจการของพระเจ้านั้นคู่ควรกับความไว้วางใจของพวกเราที่สุด และพระองค์ทรงปฏิบัติต่อพวกเราด้วยความจริงใจ เมื่อตอนที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่าผลไม้ใดในสวนที่กินได้และกินไม่ได้ พระองค์ตรัสอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา—ไม่จำเป็นต้องเดาใจเลย ในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เราบอกความจริงกับพวกท่าน” ตลอดเวลา และในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจของพระเจ้า พวกเรารู้สึกได้ว่า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้นซื่อสัตย์และเป็นจริงแค่ไหน โดยส่วนใหญ่แล้วพระวจนะเหล่านี้เป็นพระวจนะอันอบอุ่นและพระทัยดีมีเมตตาที่ออกมาจากพระทัยอย่างลึกซึ้ง และถึงแม้ว่า ส่วนที่ตีแผ่อุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเราจะดูเกรี้ยวกราด แต่พระวจนะเหล่านี้ก็มีพื้นฐานอยู่ในความเป็นจริง แล้วทั้งหมดก็เพื่อชำระพวกเราให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเราให้รอด พระเจ้าทรงจริงใจและตรงไปตรงมากับพวกเรา ไม่มีการเสแสร้งใดๆ เลย แต่ฉันกำลังคิดคำนวณและวางกลอุบายในสถานการณ์นั้น โดยไม่มีความซื่อสัตย์แม้สักเสี้ยวเดียว ฉันรู้สึกว่าฉันช่างเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและน่าดูหมิ่นเกินไปมากจริงๆ

แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะจากพระเจ้าขึ้นมาได้ “เรามีความพอใจในบรรดาผู้ที่ไม่ระแวงผู้อื่น และเราชอบบรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงอย่างไม่ลังเล เราแสดงความใส่ใจอย่างมากต่อผู้คนสองประเภทนี้ ด้วยเหตุที่ในสายตาของเราพวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ หากเจ้าเป็นคนหลอกลวง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมจะระมัดระวังและมีความระแวงต่อผู้คนและเรื่องต่างๆ ทั้งหมดทั้งมวล และด้วยเหตุนี้ความเชื่อของเจ้าในเราจะถูกสร้างขึ้นบนรากฐานแห่งความระแวง เราไม่มีวันสามารถรับรู้ความเชื่อเช่นนั้นได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรู้จักพระเจ้าบนแผ่นดินโลก) ฉันไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลยว่าทำไมพระเจ้าจึงตรัสว่า คนที่ไม่สงสัยผู้อื่นและพร้อมยอมรับความจริงนั้นซื่อสัตย์ในสายพระเนตรของพระเจ้า แต่ตอนนี้พอไตร่ตรองพระวจนะของพระองค์ ฉันก็เริ่มเข้าใจ ผู้คนที่ซื่อสัตย์ไม่มีความสงสัยต่อพระเจ้าหรือมนุษย์ พวกเขาไร้เดียงสา พวกเขาไม่พยายามหาคำตอบด้วยสมองมนุษย์ แต่พวกเขากลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริงแทน พวกเขายอมรับและปฏิบัติสิ่งที่พวกเขาสามารถเข้าใจได้ และพวกเขาทำสิ่งที่พระเจ้าตรัส พวกเขาเข้าหาความจริงด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ และหัวใจประเภทนั้นก็ล้ำค่ามาก นี่คือความหมายของการเป็นเหมือนเด็ก พระเจ้าทรงอวยพรพวกเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงงานในพวกเขา และทรงนำและทรงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเขา พวกเขาจึงเข้าใจและได้รับความจริงอย่างง่ายดายขึ้นมาก แต่ต่อให้บางคนสามารถพูดสิ่งที่แท้จริงบางอย่างและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้บ้างนิดหน่อย หากภายในพวกเขาเป็นเหมือนกับวงกตปริศนา สงสัยและระวังตัวเสมอ และถึงขั้นสงสัยพระเจ้าผู้ทรงน่ารักและพระทัยดีมีเมตตา เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็เป็นคนชนิดที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ไม่ซื่อสัตย์ที่สุด ถึงจุดนั้น ฉันเริ่มเข้าใจว่า ทำไมพระเจ้าจึงตรัสว่า ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพระเจ้าทรงจริงแท้มาก พระองค์ทรงเกลียดชังผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด อีกส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับการไล่ตามเสาะหาด้วยเหตุผลส่วนตัวของพวกเรา ผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงนั้นซับซ้อนเกินไป พวกเขาคาดเดา วิเคราะห์ และตั้งป้อมระวังตัวกับผู้คน สิ่งของ และพระเจ้าเสมอ ทั้งพวกเขายังรู้จริงเกี่ยวกับวิธีที่จะอ่านใจผู้คน ความคิดของพวกเขาถูกครอบงำโดยสิ่งเหล่านี้ และพวกเขาไม่แสวงหาความจริงเลยสักนิดเดียว พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สามารถทรงพระราชกิจในพวกเขาได้เลย นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาจะไม่มีวันเข้าใจความจริง อย่างที่พระเจ้าตรัสว่า “พระเจ้าไม่ทรงทำให้พวกที่หลอกลวงมีความเพียบพร้อม หากหัวใจของเจ้าไม่ซื่อสัตย์—หากเจ้าไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่มีวันทรงรับเจ้าไว้ ในทำนองเดียวกัน เจ้าจะไม่มีวันได้รับความจริง และจะไม่สามารถได้รับพระเจ้าอีกด้วย(“หกข้อบ่งบอกความก้าวหน้าในชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ดังนั้น ณ จุดนั้น ฉันจึงมองตัวเองแบบเต็มตาอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหา ฉันไม่ได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาความจริงด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ แต่กลับย้ำคิดอยู่กับการวัดระดับน้ำเสียงของคนอื่น ฉันเป็นแบบนั้นเยอะมากแม้แต่ในการเสวนาปกติกับพี่น้องชายหญิง บางครั้งฉันไม่เข้าใจบางอย่างอย่างสมบูรณ์ แต่ฉันก็จะแค่ไหลไปตามความเข้าใจอะไรก็ตามที่คนอื่นส่วนใหญ่มี บางคราวฉันก็มีความเห็นของตัวเอง แต่ฉันก็กลัวว่าจะพูดผิด ดังนั้นฉันจึงยั้งไว้และฟังคนอื่นก่อน และจะพูดก็ต่อเมื่อฉันรู้ว่าตัวเองคิดถูกเท่านั้น ไม่อย่างนั้น ฉันก็คิดไปว่า ไม่พูดอะไรก็จะได้ไม่ต้องเสียหน้า ฉันได้เห็นว่าฉันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงและไม่ตรงไปตรงมาแค่ไหน ฉันแค่ตามฝูงไปเวลาฉันไม่เข้าใจบางอย่าง และเฝ้าดูและเออออตามสิ่งที่คนอื่นทำ นั่นเองที่กันไม่ให้ฉันได้เข้าใจความจริงจริงๆ แต่ไม่มีอะไรน่าตกใจกลัวเกี่ยวกับการขาดพร่องขีดความสามารถหรือไม่รู้ความจริง สิ่งที่น่าตกใจกลัวคือเมื่อผู้คนกำลังปิดบังสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจเอาไว้เสมอ แล้วพวกเขาก็จะไม่มีทางสามารถเข้าใจความจริงได้ ฉันรู้สึกว่ามันอันตรายที่จะไปต่อในหนทางนั้น และรู้สึกว่าการเป็นคนซื่อสัตย์นั้นสำคัญขั้นวิกฤติ

ฉันเริ่มแสวงหาวิธีที่จะเป็นคนซื่อสัตย์เมื่อเผชิญหน้าสิ่งต่างๆ ในอนาคต และสิ่งซึ่งหลักธรรมที่ฉันควรติดแน่นไว้กับตัว ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าสองบทตอนที่ว่า “การที่จะเปิดเผยตรงไปตรงมากับพระเจ้า ก่อนอื่นเจ้าต้องละวางความอยากได้อยากมีส่วนตัวของเจ้าลงไว้ก่อน แทนที่จะมุ่งเน้นไปที่วิธีที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเจ้า จงพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้า และจงอย่าไตร่ตรองหรือพิจารณาว่าผลสืบเนื่องของคำพูดของเจ้าจะเป็นอะไร จงพูดสิ่งใดก็ตามที่เจ้ากำลังคิดอยู่ จงละวางแรงจูงใจของเจ้าลงไว้ก่อน และจงอย่าลองพยายามและใช้คำพูดเพื่อสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์บางอย่าง ‘ฉันควรพูดการนี้ ไม่ใช่การนั้น ฉันต้องระมัดระวังเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันพูด ฉันจำเป็นที่จะต้องสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของฉัน’—มีแรงจูงใจส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องในที่นี้หรือไม่? ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ได้พายเรือในอ่างไปแล้วก่อนที่คำพูดจะได้ถูกพูดเสียด้วยซ้ำ พวกเขาได้ประมวลผลสิ่งที่พวกเขากำลังจะพูดหลายครั้งหลายครา และได้กรองสิ่งนั้นหลายครั้งหลายคราในหัวของพวกเขา เมื่อออกมาจากปากของพวกเขา คำพูดเหล่านี้พกพากลอุบายอันเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของซาตาน นี่ไม่ใช่หนทางอันเปิดเผยตรงไปตรงมาในการปฏิบัติตนต่อพระเจ้า(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (20)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย)ในทุกเรื่อง เจ้าควรเปิดกว้างต่อพระเจ้าและเจ้าควรเปิดเผยตรงไปตรงมา—นี่คือภาวะและสภาวะเดียวเท่านั้นซึ่งควรได้รับการธำรงไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แม้ในยามที่เจ้าไม่เปิดกว้าง เจ้าก็เปิดกว้างเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระเจ้าทรงรู้ ไม่ว่าเจ้าจะเปิดกว้างหรือไม่ เจ้าไม่โง่หรอกหรือหากเจ้าไม่สามารถเห็นการนั้นได้? ดังนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถมีปัญญาได้อย่างไร? เจ้ารู้ว่าพระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์และทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ดังนั้นแล้ว จงอย่าคิดว่าพระองค์อาจจะไม่ทรงรู้ เนื่องจากเป็นที่แน่นอนว่า พระเจ้าทอดพระเนตรความรู้สึกนึกคิดของผู้คนอย่างลับๆ ผู้คนคงจะมีปัญญาหากเปิดเผยตรงไปตรงมามากขึ้นสักหน่อย ปราศจากราคีมากขึ้นสักหน่อย และซื่อสัตย์—นั่นเป็นสิ่งอันหลักแหลมที่จะทำ…เมื่อผู้คนเริ่มให้ความสนใจกับรูปแบบ เมื่อรูปแบบนั้นถูกใส่เข้าไปผ่านสมองของพวกเขา เมื่อพวกเขาครุ่นคิดพิจารณาถึงมัน นี่ย่อมกลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมา ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขานั้น พวกเขาคิดเสมอว่า ‘อะไรหนอที่ฉันจะสามารถพูดได้เพื่อทำให้พระเจ้าทรงยกย่องนับถือฉัน และไม่ทรงรู้ว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ภายใน อะไรหนอคือสิ่งที่ถูกต้องที่จะพูด? ฉันต้องเก็บตัวมากขึ้น ฉันต้องรู้กาละเทศะมากขึ้นสักหน่อย ฉันต้องมีวิธีการสักอย่าง บางทีถึงตอนนั้นพระเจ้าอาจจะทรงยกย่องนับถือฉัน’ เจ้าคิดว่าพระเจ้าจะไม่ทรงรู้หรือ หากเจ้าคิดอย่างนั้นอยู่เสมอ? ไม่ว่าเจ้าจะคิดอะไรก็ตามพระเจ้าก็ทรงรู้ การคิดเช่นนั้นเป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยล้า การพูดอย่างซื่อสัตย์และอย่างแท้จริงนั้นเรียบง่ายกว่าอย่างมากมาย และนั่นทำให้ชีวิตของเจ้าง่ายขึ้น พระเจ้าจะตรัสว่าเจ้าซื่อสัตย์และปราศจากราคี ว่าเจ้าเปิดเผยตรงไปตรงมา—และนั่นล้ำค่าไม่มีที่สิ้นสุด หากเจ้ามีหัวใจที่เปิดกว้างและท่าทีที่ซื่อสัตย์ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้มีบางเวลาที่เจ้าไปไกลเกินไป และประพฤติตัวอย่างโง่เขลา สำหรับพระเจ้าแล้ว นี่ย่อมไม่ใช่การฝ่าฝืน นี่ย่อมดีกว่าเล่ห์กลหยุมหยิมของเจ้า และดีกว่าการไตร่ตรองและการประมวลผลอยู่เป็นนิตย์ของเจ้า(“สำหรับเหล่าผู้นำและคนทำงาน การเลือกสรรเส้นทางคือความสำคัญสูงสุด (9)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระวจนะของพระเจ้าบอกว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นพื้นฐานที่สุดในการที่พวกเราเข้าหาพระเจ้าและสถานการณ์ต่างๆ ที่พระองค์ทรงตั้งขึ้นก็คือ การเป็นคนเปิดเผย พวกเราต้องแผ่วางหัวใจของพวกเราต่อพระเจ้า โดยไม่มีการปกปิดหรืออำพรางตน โดยไม่พยายามศึกษาหรือประมวลสิ่งต่างๆ พวกเราไม่ควรเก็บงำเหตุจูงใจเบื้องหลังคำพูดของพวกเราหรือนำกลลวงใดมาใช้ แต่แค่แบ่งปันความคิดของพวกเราด้วยจิตวิญญาณแห่งความสัตย์ซื่อก็พอแล้ว พวกเราจำเป็นต้องยอมรับว่า พวกเราไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเราไม่สามารถหยั่งถึงได้ แล้วมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพื่อแสวงหาความจริงด้วยหัวใจที่ไร้เดียงสาและซื่อสัตย์ นั่นเองคือการมีปัญญา พระเจ้าทรงเห็นทุกสิ่งและทรงรู้จักพวกเราเสมือนเป็นหลังพระหัตถ์ของพระองค์ ทั้งขีดความสามารถของฉัน ทั้งการที่ฉันเข้าใจความจริงแค่ไหน ทั้งความลึกซึ้งของประสบการณ์ของฉัน และการที่ฉันเข้าใจบางอย่างหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรู้อยู่เป็นอย่างดี ฉันถูกตีแผ่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า มีความจำเป็นอะไรเล่าที่จะต้องปิดบังความผิดของฉันเอง และแสร้งทำเป็นเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง? อันที่จริงแล้ว การคิดคำนวน การเฝ้าสังเกตคนอื่นและการคาดเดาความคิดของพวกเขา และการเปลืองสมองคิดว่าจะพูดอะไรอยู่ตลอดเวลานั้นน่าเหนื่อยล้าทั้งทางจิตใจและอารมณ์ และพระเจ้าทรงเกลียดชังสิ่งนี้ ตอนนั้นเองที่ฉันได้เห็นในที่สุดว่า มันสำคัญแค่ไหนที่จะไร้เดียงสาและซื่อมาจากหัวใจ พระเจ้าทรงมองสิ่งนั้นราวสมบัติอันล้ำค่า และนี่ยังเป็นหนทางที่เป็นอิสระกว่าและผ่อนคลายกว่าในการดำรงชีวิตอีกด้วย ฉันยังเห็นด้วยว่า พระเจ้าไม่ได้แค่ทรงทอดพระเนตรที่ขีดความสามารถของผู้คนหรือทอดพระเนตรว่าความเห็นของพวกเขาถูกต้องหรือไม่ แต่พระองค์ทอดพระเนตรที่หัวใจของพวกเรา ท่าทีของพวกเราที่มีต่อความจริง และสิ่งซึ่งเป็นอุปนิสัยที่พวกเราแสดงออกมาตลอดทาง ต่อให้พวกเราผิดไปบ้างเป็นบางครั้ง แต่หากพวกเราเปิดเผยและจริงใจ พระเจ้าจะไม่สนพระทัยว่าพวกเราโง่เขลาหรือขาดพร่องขีดความสามารถ และพระองค์จะไม่ทรงกล่าวโทษพวกเราในเรื่องนี้ ในทางกลับกัน การเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงตลอดเวลาคือสิ่งที่พระเจ้าทรงมองว่าน่าขยะแขยงและน่าเกลียดชัง ถึงจุดนั้น ฉันก็ตกลงใจแน่วแน่ว่า ฉันจะปฏิบัติความจริงและเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ ด้วยการเปิดใจต่อพระเจ้าในสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงสร้าง การมีความซื่อในการจัดการผู้อื่น การพูดจากหัวใจและเปิดใจเกี่ยวกับสิ่งที่ฉันเข้าใจ ฉันจึงสามารถแก้ไขอุปนิสัยเสื่อมทรามที่น่าซื่อใจคด เต็มไปด้วยเล่ห์ลวงของฉันได้ทีละน้อย

ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งตอนที่พวกเราเข้าหาผู้นำเกี่ยวกับบทเพลงสรรเสริญของคริสตจักรซึ่งมีสองบรรทัดที่ดูกลวงไร้แก่นสารสำหรับพวกเรา เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับบรรทัดพวกนั้นเลย แต่เขาพูดว่า บทเพลงสรรเสริญนั้นไม่ได้มีคุณค่า ว่ามันไม่ดีเลย คำว่า “ใช่เลย” ก็หลุดออกมาจากปากฉันหน้าตาเฉย ฉันรู้ตัวทันทีว่าฉันมีเล่ห์ลวงอีกแล้ว ฉันยังไม่ได้เห็นปัญหาที่เขาเห็นในนั้นเลย ฉันกำลังเป็นมนุษย์จอมเอออวยที่แสร้งทำเป็นเข้าใจ ฉันเกลียดการที่ทันทีที่ฉันเปิดปาก คำโกหกก็หลุดโพล่งออกมา และฉันไม่อยากลักไก่แบบนี้ตลอดไป หากฉันไม่เข้าใจ ก็คือฉันไม่เข้าใจ ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ) ฉันรู้ว่า ฉันจำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขคำโกหกที่พูดไปและต้องซื่อสัตย์ ดังนั้น ฉันจึงบอกผู้นำคนนั้นไปว่า “ฉันคิดว่ามีสองบรรทัดที่เป็นปัญหา ฉันไม่ได้ตระหนักเลยค่ะว่า บทเพลงสรรเสริญนี้ไม่มีคุณค่าอะไร” เขาสามัคคีธรรมกับพวกเราถึงปัญหาต่างๆ ในบทเพลงสรรเสริญนั้นอย่างอดทน และนี่เปิดตาของฉันไม่ใช่น้อยเกี่ยวกับบทเพลงนั้น ฉันรู้สึกถึงสันติสุข ความจริงก็คือ ไม่จำเป็นต้องบรรจุหีบห่อให้กับคำพูด การกระทำ หรือทรรศนะทั้งหลายของพวกเรา แต่พวกเราสามารถเป็นแค่คนซื่อสัตย์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและเป็นไปตามความจริง ฉันเริ่มปฏิบัติความซื่อสัตย์เมื่อพี่น้องชายหญิงในทีมของฉันกำลังเสวนาถึงประเด็นปัญหาต่างๆ ไม่ว่าฉันจะถูกหรือผิด ฉันก็จะแบ่งปันความเห็นจริงๆ ออกไป ฉันเปิดเผยจริงใจเกี่ยวกับอะไรก็ตามที่ฉันไม่เข้าใจ และหากฉันผิด ฉันก็แก้ไขความผิดพลาดของฉัน นั่นนำสันติสุขมาให้ฉันอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็ยังไม่ใกล้เคียงกับมาตรฐานของบุคคลที่ซื่อสัตย์อย่างแท้จริงเลยสักนิด แต่ฉันรู้สึกแล้วจริงๆ ถึงความสำคัญของการเป็นคนซื่อสัตย์ และฉันรู้ว่า นั่นเป็นหนทางเดียวที่จะได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า ฉันใฝ่สูงที่จะกลายเป็นคนซื่อสัตย์จริงๆ และฉันต้องการเพียรพยายามเพื่อสิ่งนั้น เพื่อไล่ตามเสาะหาสิ่งนั้น ขอขอบคุณพระเจ้า!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ติดต่อเราผ่าน Messenger