ความอัปยศจากครั้งอดีตของฉัน

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

โดย หลี่ยี่, ประเทศจีน

ในเดือนสิงหาคมปี 2015 ฉันกับครอบครัวย้ายไปยังเขตปกครองตนเองซินเจียง  ฉันได้ยินว่าที่นั่น พรรคคอมมิวนิสต์ใช้มาตรการตรวจตราและควบคุมอย่างเข้มงวดในนามของการต่อสู้กับความรุนแรงและความไม่สงบจากประชากรชาวอุยกูร์ ดังนั้นที่นั่นจึงค่อนข้างอันตราย  พอไปถึงซินเจียง บรรยากาศก็ตึงเครียดยิ่งกว่าที่ฉันจินตนาการไว้  มีตำรวจเดินลาดตระเวนทุกหนแห่ง และเวลาไปซูเปอร์มาร์เก็ต พวกเราต้องสแกนร่างกายทั้งตัวจึงจะผ่านหน่วยรักษาความปลอดภัยเข้าไปได้  เวลารอรถประจำทางก็มีตำรวจที่สะพายปืนอยู่ด้านหลังเดินลาดตระเวนตามป้ายรถ  การเห็นทั้งหมดนี้ทำให้ฉันวิตกกังวลจริงๆ  พรรคคอมมิวนิสต์กำลังจับกุมและข่มเหงผู้เชื่ออยู่แล้ว ดังนั้นการเพิ่มมาตรการตรวจตราและควบคุมที่เข้มงวดเหล่านี้เข้าไปอีกย่อมหมายความว่าฉันตกอยู่ในอันตรายที่อาจถูกจับหรือถูกฆ่าได้ทุกเมื่อ  ราวเดือนตุลาคม ฉันได้ยินว่าพี่น้องหญิงสองคนถูกจับกุมระหว่างทางที่ไปส่งหนังสือพระวจนะของพระเจ้าและถูกตัดสินจำคุกถึงสิบปี  เรื่องนั้นทำให้ฉันตกใจมากทีเดียว พวกเธอไม่ใช่ผู้นำและคนทำงาน แต่ก็ยังติดคุกถึงสิบปีเพราะส่งหนังสือพระวจนะของพระเจ้า  ฉันรับผิดชอบดูแลงานของคริสตจักร ดังนั้นหากฉันถูกจับ ฉันคงจะติดอย่างน้อยสิบปี  ภาพของพี่น้องชายหญิงที่ถูกทรมานในเรือนจำเอาแต่ผุดขึ้นมาในความคิดของฉัน  ฉันรู้สึกกลัวจริงๆ และกังวลว่าฉันจะถูกจับและถูกทรมานเช่นเดียวกัน ซึ่งจะต้องเป็นชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายแน่นอน  ฉันรู้สึกกลัวมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่กล้าคิดไปไกลกว่านั้น  ต่อมา ฉันก็ได้ยินพี่น้องชายหญิงบางคนสามัคคีธรรมถึงวิธีที่พวกเขาพึ่งพาและมองไปที่พระเจ้าในการทำหน้าที่ของตนในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ วิธีที่พวกเขาเห็นถึงอธิปไตยอันเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ และรู้สึกถึงความใส่พระทัยและความคุ้มครองของพระองค์ สิ่งนี้หนุนใจฉันโดยแท้ อีกทั้งมอบความเชื่อให้ฉันก้าวผ่านสถานการณ์นี้ไป

ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2016 ฉันได้รับทราบว่าหนึ่งในคริสตจักรที่ฉันกำกับดูแลนั้น มีคนชั่วคนหนึ่งชื่อหวังปิงที่คอยจับผิดเหล่าผู้นำอยู่ตลอดเวลา ขัดขวางชีวิตคริสตจักรอย่างร้ายแรง  เรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของพี่น้องชายหญิง  ฉันกับเพื่อนร่วมงานสองสามคนหารือกันถึงเรื่องนี้ และพวกเขาคิดว่าฉันควรเดินทางไปที่คริสตจักรแห่งนั้นเพื่อแก้ไขปัญหา  แต่ฉันค่อนข้างกลัว และคิดกับตัวเองว่า “พี่น้องหญิงที่ถูกตัดสินโทษสิบปีถูกจับที่คริสตจักรแห่งนั้น  พรรคคอมมิวนิสต์จีนถึงกับรวบรวมชาวบ้านในท้องที่มาเพื่อประกาศข่าว คุกคามและข่มขู่พวกเขาไม่ให้เชื่อในพระเจ้า  ที่นั่นอันตรายมาก  ถ้าไปฉันจะถูกจับไหม?”  หลังจากเกิดความคิดนี้ขึ้นมาฉันจึงหาข้ออ้างที่จะไม่ไป  แต่แล้วฉันก็เห็นว่าคู่ทำงานคนหนึ่งของฉันเต็มใจที่จะเดินทางไปที่นั่น และฉันก็รู้สึกละอายใจทีเดียว  เธอเป็นผู้เชื่อมาได้ไม่นานและเพิ่งเริ่มฝึกฝนที่จะเป็นผู้นำ  คริสตจักรแห่งนั้นมีปัญหามากมายและมีสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี  ฉันรู้สึกแย่ที่จะปล่อยให้เธอไปที่นั่น จึงพูดออกไปว่า “ให้ฉันไปน่าจะดีที่สุด”  เมื่อไปถึงคริสตจักรแห่งนั้น ฉันก็เห็นว่าเวลาชุมนุมหวังปิงไม่สามารถสามัคคีธรรมถึงความเข้าใจในพระวจนะของพระเจ้าได้เลย และเห็นว่าเขามักจะจับผิดผู้นำจนทำให้ชีวิตคริสตจักรหยุดชะงักอย่างร้ายแรง  ฉันคุยกับผู้ประกาศเรื่องการยับยั้งหวังปิงและห้ามไม่ให้เขาติดต่อหรือพาผู้อื่นให้หลงผิดก่อน แล้วจึงสามัคคีธรรมความจริงกับพี่น้องชายหญิงเพื่อช่วยให้พวกเขาเกิดวิจารณญาณเรื่องของหวังปิง  นี่ย่อมจะหยุดยั้งเขาจากการก่อกวนพี่น้องไปมากกว่านี้ และหลังจากนั้นเราก็สามารถฝึกฝนพี่น้องหญิงจงซินเพื่อให้รับช่วงต่องานของคริสตจักรได้โดยเร็วที่สุด  แต่ฉันก็ยังคงมีเรื่องที่กังวลใจอยู่สองสามเรื่อง และรู้ว่าการจะแก้ไขปัญหาในคริสตจักรนั้นให้ได้โดยสมบูรณ์อาจจะใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว  พี่น้องชายหญิงของคริสตจักรนั้นถูกจับไปแล้วกว่าครึ่ง ดังนั้นยิ่งฉันใช้เวลาอยู่ที่นั่นมากเท่าไร ฉันจะยิ่งเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น  ฉันนึกถึงการที่พระนิเวศของพระเจ้าเคยสามัคคีธรรมว่า ในสภาพแวดล้อมที่อันตรายอย่างมากนั้น งานบางอย่างของคริสตจักรสามารถล่าช้าออกไปได้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความสูญเสียที่ใหญ่หลวงมากขึ้น  ด้วยความที่เราตัดสินใจถึงวิธีแก้ไขปัญหากันแล้ว ฉันก็คิดว่าฉันสามารถปล่อยให้ผู้ประกาศติดตามเรื่องและรับมือกับสิ่งต่างๆ ต่อจากนั้นได้  ดังนั้น ฉันจึงรีบส่งต่องานส่วนที่เหลือและกลับบ้านมา

ต่อมา ผู้ประกาศได้รายงานว่าหวังปิงเริ่มทำตัวไร้ยางอายมากขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็กำลังหาพรรคพวกในคริสตจักรเพื่อโจมตีผู้นำ ก่อกวนชีวิตคริสตจักรอย่างร้ายแรง  ฉันสามัคคีธรรมกับผู้ประกาศถึงวิธีการแก้ไขบางอย่าง แต่ปัญหายังไม่ได้รับการแก้ไข  ฉันรู้สึกผิดเล็กน้อย  การจัดการกับความยุ่งเหยิงในคริสตจักรเป็นความรับผิดชอบของฉัน แต่ฉันกลับไม่เต็มใจที่จะแก้ไขปัญหานี้เพราะกลัวว่าจะถูกจับกุม  นั่นเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง  แต่แล้วฉันก็นึกถึงการที่พี่น้องหญิงคนหนึ่งเกือบถูกจับขณะขึ้นรถไฟไปชุมนุมเมื่อไม่นานมานี้  “ถ้าฉันถูกจับตอนนั่งรถไฟไปที่นั่น ฉันจะทำยังไง? ฉันเป็นผู้นำ ฉันไม่สามารถทำงานของฉันได้จนกว่าจะแน่ใจในความปลอดภัยของตัวเอง”  ฉันจึงผลักปัญหาของคริสตจักรแห่งนั้นให้ผู้ประกาศต่อไป  แต่ด้วยความที่เธอมีขีดความสามารถจำกัด ปัญหาเหล่านี้จึงยังไม่ได้รับการแก้ไข

ในเดือนกันยายนปี 2016 จู่ๆ ฉันก็ได้รับจดหมายที่บอกว่าพี่น้องชายหญิงสี่คนจากคริสตจักรแห่งนั้นถูกจับ  จงซินซึ่งเป็นหนึ่งในนั้นถูกทุบตีอย่างโหดร้ายทารุณ  สองสามวันต่อมาก็มีจดหมายอีกหนึ่งฉบับส่งมาบอกว่าตำรวจทุบตีเธอจนถึงแก่ความตาย  ข่าวนี้ทำฉันตกใจมาก  ฉันยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้เลย  ฉันรู้ว่าวิธีทรมานของพรรคคอมมิวนิสต์นั้นไร้ความกรุณาอย่างที่สุด แต่ฉันไม่เคยคิดว่าใครบางคนจะถูกพวกเขาทุบตีจนตายภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน  นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก  ฉันรู้สึกเหมือนอากาศรอบตัวหยุดนิ่ง  ฉันไม่สามารถควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้และปล่อยโฮออกมา  ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งรู้สึกหัวเสีย และฉันก็เอาแต่ถามตัวเองว่าเกิดเรื่องนี้ขึ้นได้อย่างไร  ฉันรู้มาสักพักแล้วว่าคนชั่วกำลังก่อกวนคริสตจักรแห่งนั้นและสมาชิกของคริสตจักรก็ไม่สามารถใช้ชีวิตคริสตจักรได้ตามปกติ  ฉันเป็นผู้นำคริสตจักร แต่ฉันกลับไม่ไปที่นั่นและแก้ไขปัญหาให้ถี่ถ้วนเพราะกลัวการถูกจับ  หากฉันมีความรับผิดชอบมากกว่านี้สักหน่อย หรือคิดหาทางร่วมมือกับสมาชิกคริสตจักรคนอื่นๆ และแก้ไขปัญหาเหล่านั้น หากฉันเตือนพี่น้องชายหญิงให้ระวังตัว จงซินก็อาจจะไม่ถูกตำรวจจับและถูกทุบตีจนตาย  ความตายของเธอทำให้ฉันตกลงสู่สภาวะรู้สึกผิดอย่างรุนแรง  ฉันรู้สึกกลัวและอัดอั้น  รู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในสถานที่ที่น่ากลัวอย่างยิ่งและฉันก็แทบหายใจไม่ออก  แต่ฉันรู้ว่าฉันไม่อาจเอาแต่วิ่งหนีได้ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญยิ่งยวดเช่นนั้น ฉันจึงยุ่งอยู่กับการช่วยผู้ประกาศจัดการกับผลพวงของเรื่องนี้  ยังไม่ทันที่พวกเราจะได้จัดการสิ่งต่างๆ ให้เสร็จสิ้น ฉันก็ได้ทราบว่าคู่ทำงานคนหนึ่งฉันถูกจับกุมเช่นกัน และตำรวจก็ได้ข้อมูลบางส่วนเกี่ยวกับผู้นำระดับสูงสุดและคนทำงานของคริสตจักรเราไป  ฉันติดต่อกับพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นอยู่บ่อยครั้ง หากตำรวจตรวจดูบันทึกภาพการตรวจตราของพวกเขา ก็มีแววอย่างมากว่าพวกเขาจะเจอฉัน  ฉันรู้สึกกังวลจริงๆ ว่าฉันอาจจะถูกจับได้ทุกเมื่อ  หากฉันถูกตัดสินว่ามีความผิดและถูกส่งเข้าเรือนจำ ก็บอกไม่ได้เลยว่าฉันจะมีชีวิตรอดออกมาหรือไม่  เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าฉันจะลงเอยเหมือนกับจงซิน ที่ถูกตำรวจทุบตีจนตายตั้งแต่อายุยังน้อย  ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้นและเต็มใจที่จะทำหน้าที่ของตัวเองน้อยลง  ฉันไม่ต้องการอยู่ที่นั่นอีกต่อไปแล้วด้วยซ้ำ  ด้วยความที่ฉันไม่เคยแก้ไขสภาวะนี้และ ไม่สามารถจัดการปัญหาเรื่องที่หวังปิงก่อกวนคริสตจักรได้อยู่หลายเดือน ฉันจึงลงเอยด้วยการโดนปลด  หลังจากโดนปลด ฉันก็ได้ทำงานบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับตัวอักษรที่คริสตจักร แต่ฉันยังคงรู้สึกเหมือนการอยู่ที่นั่นเป็นสิ่งที่อันตราย  ฉันกังวลว่าตัวเองอาจถูกจับไปวันไหนก็ได้และฉันอยากกลับไปทำหน้าที่ที่บ้านเกิดจริงๆ  พี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมกับฉันด้วยหวังว่าฉันจะอยู่ช่วยพวกเขาจัดการผลพวงของเรื่องทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น  แต่ฉันเต็มไปด้วยความกลัวเสียจนไม่ฟังการเตือนสติจากพวกเขาเลย อีกทั้งยืนกรานที่จะออกมา

ในเดือนเมษายนปี 2017  คริสตจักรห้ามไม่ให้ฉันเข้าชุมนุมและให้ฉันแยกไปทบทวนตัวเองอยู่ที่บ้านเนื่องจากพฤติกรรมของฉัน  เมื่อได้ยินข่าวนั้นฉันก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่ด้วยความที่ฉันทอดทิ้งหน้าที่ของตัวเองและละทิ้งคริสตจักรไปในเวลาที่สำคัญยิ่งยวดแบบนั้น ฉันก็รู้ว่าฉันสมควรได้รับสิ่งนี้  ฉันเห็นได้ถึงความชอบธรรมของพระเจ้าในเรื่องนี้และฉันเต็มใจที่จะนบนอบ  ฉันได้อ่านสิ่งนี้จากพระวจนะของพระเจ้าในการเฝ้าเดี่ยววันหนึ่ง “หากเจ้ามีส่วนสำคัญในการเผยแผ่ข่าวประเสริฐและละทิ้งตำแหน่งของตนโดยที่พระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ก็ย่อมไม่มีการฝ่าฝืนใดใหญ่หลวงกว่านี้  สิ่งนี้นับว่าเป็นการกระทำที่ทรยศต่อพระเจ้ามิใช่หรือ?  (ใช่)  แล้วในทรรศนะของพวกเจ้า พระเจ้าควรทรงปฏิบัติต่อผู้ที่ละทิ้งตำแหน่งอย่างไร?  (พวกเขาควรถูกละวาง)  การถูกละวางหมายถึงการถูกเมินเฉย ถูกทิ้งให้ทำตามที่เจ้าพอใจ  หากผู้คนที่ถูกละวางรู้สึกสำนึกกลับใจ ก็เป็นไปได้ที่พระเจ้าจะทรงเห็นว่าพวกเขามีท่าทีที่สำนึกกลับใจมากพอและยังทรงต้องการพวกเขากลับมา  แต่พระเจ้าไม่ทรงมีท่าทีเช่นนี้ต่อผู้ที่ละทิ้งหน้าที่ของตนเอง—และต่อผู้คนเหล่านี้เท่านั้น  พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนเช่นนั้นอย่างไร?  (พระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอด  พระเจ้าทรงรังเกียจเดียดฉันท์พวกเขา)  นั่นเป็นเรื่องที่ถูกต้องอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่สำคัญนั้นได้รับพระบัญชาจากพระเจ้า และหากพวกเขาละทิ้งตำแหน่งของตน เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนั้นพวกเขาทำดีต่อพระเจ้าเพียงใด พวกเขาก็คือคนที่ทรยศต่อพระองค์ และพวกเขาจะไม่มีวันได้รับโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่อีกครั้ง(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ)  “พระเจ้าทรงมีความเกลียดชังเป็นที่สุดสำหรับผู้คนที่ละทิ้งหน้าที่ของตนหรือปฏิบัติต่อหน้าที่เหล่านั้นในฐานะเรื่องตลก และสำหรับพฤติกรรม การกระทำ และการสำแดงการทรยศต่อพระเจ้าที่แตกต่างกันไป เพราะท่ามกลางบริบท ผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ได้รับการจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้จึงรับบทบาทในการขัดขวาง ทำลาย ทำให้ล่าช้า ก่อกวน หรือส่งผลต่อความก้าวหน้าของพระราชกิจของพระเจ้า  และด้วยเหตุผลนี้ พระเจ้าทรงรู้สึกและมีปฏิกิริยาต่อผู้ที่ละทิ้งหน้าที่และผู้ที่ทรยศพระองค์อย่างไร?  พระเจ้าทรงมีท่าทีเช่นไร?  (พระองค์ทรงชิงชังพวกเขา)  ไม่มีสิ่งใดนอกจากความเกลียดและความชิงชัง  พระองค์ทรงรู้สึกเวทนาหรือไม่?  ไม่—พระองค์ไม่มีวันทรงรู้สึกเวทนาได้เลย  บางคนกล่าวว่า ‘พระเจ้าคือความรักมิใช่หรือ?’  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงรักผู้คนเช่นนั้น?  ผู้คนเหล่านี้ไม่คู่ควรกับความรัก  หากเจ้ารักพวกเขา เช่นนั้นแล้วความรักของเจ้าก็โง่เขลา และแค่เพราะเจ้ารักพวกเขา นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขาด้วย เจ้าอาจจะทะนุถนอมพวกเขา ทว่าพระเจ้าไม่ทรงทำเช่นนั้น เพราะในตัวผู้คนเช่นนั้นไม่มีสิ่งใดคู่ควรแก่การทะนุถนอม  ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงทอดทิ้งผู้คนเช่นนั้นอย่างแน่วแน่ และไม่ทรงให้โอกาสพวกเขาเป็นครั้งที่สอง  การที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้สมเหตุสมผลหรือไม่?  การที่ทรงทำเช่นนี้ไม่เพียงสมเหตุสมผลเท่านั้น ทว่าเหนือสิ่งอื่นใดยังเป็นแง่มุมหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้า และยังเป็นความจริงอีกด้วย(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ)  การพิพากษาและการเปิดเผยจากพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันรู้สึกละอายใจอย่างลึกซึ้ง  จงซินถูกทุบตีจนตายและคู่ทำงานของฉันถูกจับ  ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนั้นฉันควรที่จะทำงานกับพี่น้องชายหญิงเพื่อจัดการกับผลพวงของเรื่องนี้ แต่ฉันกลับวิ่งหนี  ผู้ที่มีมโนธรรมแม้น้อยที่สุดก็คงจะไม่ทำอะไรเช่นนั้น  ฉันไม่อาจยกโทษให้ตัวเองที่ทำเช่นนั้นได้  ฉันเคยเชื่อว่าไม่ว่าฉันทำอะไรผิด ตราบเท่าที่ฉันกลับใจต่อพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงมีความกรุณาและทรงอภัยให้ฉัน  แต่แล้วฉันก็จะตระหนักว่านั่นเป็นแค่มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน  พระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงทอดทิ้งพวกที่ล้มเลิกในหน้าที่ของตนและทรยศพระองค์ในช่วงเวลาคอขาดบาดตาย และพระองค์จะไม่ทรงให้โอกาสพวกเขาเป็นครั้งที่สอง  การอ่านพระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันได้รู้ว่า ในความกรุณาและการทรงอภัยของพระองค์ย่อมมีหลักธรรมอยู่  พระเจ้าจะไม่ประทานการทรงอภัยและความกรุณาของพระองค์แก่ผู้ใดก็ได้ ไม่ว่าพวกเขาล่วงเกินพระองค์ด้วยการทำอะไรก็ตาม  ตั้งแต่วินาทีที่ฉันหนีมา ฉันก็รู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงล้มเลิกในตัวฉันไปแล้ว  ฉันไร้ซึ่งความสงบสุขในหัวใจและเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด  ฉันไม่รู้เลยว่าฉันอธิษฐานไปกี่ครั้งหรือหลั่งน้ำตามากมายแค่ไหนให้กับเรื่องนี้  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทอดทิ้งฉันหรือไม่ ฉันก็อยากออกแรงทำงานให้พระองค์เพื่อชดใช้หนี้ของตัวเอง และฉันรู้ว่า ไม่ว่าพระองค์ทรงปฏิบัติต่อฉันอย่างไรและไม่ว่าพระองค์ทรงกระทำเช่นไรก็ย่อมจะชอบธรรม  สิ่งที่ฉันทำลงไปเป็นสิ่งพระเจ้าทรงเจ็บปวดมากเสียจนต่อให้พระองค์ทรงส่งฉันไปลงนรกเพราะเรื่องนี้ ฉันก็จะไม่พร่ำบ่น  ตลอดหลายปีที่มีความเชื่อ ฉันได้ทำการพลีอุทิศบางอย่างและต้องการที่จะไล่ตามเสาะหาความรอด—ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อเผชิญหน้ากับการจับกุมและการข่มเหงจากเงื้อมมือของพรรคคอมมิวนิสต์ ฉันจะกลัวความตาย ทอดทิ้งหน้าที่ของตัวเอง และทรยศพระเจ้าจนกระทำการฝ่าฝืนร้ายแรง  การนึกถึงเรื่องนั้นทิ้งให้ฉันทุกข์ตรมและสิ้นหวังจริงๆ  ฉันไม่อาจหยุดร้องไห้ได้ อีกทั้งเปี่ยมไปด้วยความเสียใจ  ฉันปรารถนาให้ตัวเองไม่ยืนกรานที่จะจากมา ให้ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไปและจัดการกับผลพวงของการจับกุมร่วมกับคนอื่นๆ ในช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งยวดนั้น  เช่นนั้นแล้วฉันก็จะไม่ใช้ชีวิตอยู่ในความทุกข์ตรมและทรมานใจเช่นนั้น  ฉันไม่ได้ต้องการให้สิ่งต่างๆกลายเป็นเช่นนั้นเลย!  แต่เมื่อถึงจุดนั้นมันก็สายไปเสียแล้ว  ฉันทำอะไรไว้ก็ต้องรับผลการกระทำของตัวเอง  ฉันเกลียดตัวเองที่กลัวความตายแถมยังเป็นคนที่เห็นแก่ตัวและชั่วร้ายอย่างมาก  คนแบบฉันไม่คู่ควรที่จะได้รับการทรงอภัยและความกรุณาจากพระเจ้า  ฉันรู้สึกว่าในเมื่อคริสตจักรไม่ได้ขับไล่ฉัน ฉันก็ควรออกแรงทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อชดเชยให้กับการฝ่าฝืนของตัวเอง  หลังจากนั้นมา เวลาทำหน้าที่ฉันก็จะไปทุกที่ที่ผู้นำจัดแจงให้ไป ต่อให้ถูกส่งไปเกื้อหนุนคริสตจักรทั้งหลายที่อยู่ในสภาพแวดล้อมอันตรายก็ตาม  เมื่อทำเช่นนี้ได้ระยะหนึ่งฉันก็สามารถบรรลุผลลัพธ์บางอย่างในงานของตัวเอง  แต่ฉันไม่ต้องการพูดถึงความตายของจงซิน และการที่ฉันหนีมาจากคริสตจักรในช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งยวดเช่นนั้นอีก  ฉันอยากตั้งกำแพงกันตัวเองจากเรื่องนี้และลืมมันไปเสีย แต่ฉันไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  ฉันรู้สึกเหมือนเรื่องนี้ฝังแน่นอยู่ในหัวใจของฉันอย่างลึกซึ้งและจะไม่มีวันหายไป  ทุกครั้งที่ความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ผุดขึ้นมาในใจฉัน มันก็ทำให้ฉันเจ็บปวดและฉันรู้สึกผิดจริงๆ

วันหนึ่ง ฉันได้อ่านบางสิ่งในพระวจนะของพระเจ้าซึ่งฉายให้เห็นถึงสภาวะของฉัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ศัตรูของพระคริสต์พยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องตัวเองให้ปลอดภัย  พวกเขาคิดในใจว่า ‘แน่นอนว่าฉันต้องรับประกันความปลอดภัยของตัวเอง  ไม่ว่าใครถูกจับก็ตาม คนนั้นต้องไม่ใช่ฉัน’  ในเรื่องนี้ พวกเขามักจะมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า วิงวอนขอให้พระเจ้าคุ้มครองตนไม่ให้เดือดร้อน  พวกเขารู้สึกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกเขากำลังดำเนินงานของผู้นำคริสตจักรอย่างแท้จริงและพระเจ้าก็ควรที่จะคุ้มครองพวกเขา  ศัตรูของพระคริสต์มักจะวิงวอนและอธิษฐานขอให้ตนเองปลอดภัย เพื่อความปลอดภัยของพวกเขาและเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกจับกุม หนีพ้นการข่มเหงทั้งปวง และวางตนเองอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัย  พวกเขาจะพึ่งพาพระเจ้าและยอมอุทิศตนให้พระเจ้าอย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องความปลอดภัยของตนเองเท่านั้น  พวกเขามีความเชื่อที่แท้จริงเมื่อเป็นเรื่องนี้ และการพึ่งพาพระเจ้าของพวกเขาก็เป็นเรื่องจริง  พวกเขาจะพยายามอธิษฐานถึงพระเจ้าก็เพื่อขอให้พระองค์คุ้มครองตนให้ปลอดภัยเท่านั้น ไม่ได้นึกถึงงานของคริสตจักรหรือหน้าที่ของตนแม้แต่น้อย  ในงานของพวกเขา ความปลอดภัยส่วนตนคือหลักธรรมที่ชี้นำพวกเขา  ถ้ามีที่แห่งหนึ่งปลอดภัย เช่นนั้นแล้วศัตรูของพระคริสต์ก็จะเลือกทำงานที่นั่น และพวกเขาจะดูเหมือนทำงานในเชิงรุกและในทางที่เป็นบวกมากจริงๆ โดยอวด ‘สำนึกรับผิดชอบ’ และ ‘ความจงรักภักดี’ อันยิ่งใหญ่ของตน  ถ้างานบางอย่างพ่วงเอาความเสี่ยงมาด้วยและมีแนวโน้มที่จะพบเจอเหตุการณ์ที่ทำให้คนทำงานถูกพญานาคใหญ่สีแดงค้นพบ พวกเขาก็จะหาข้ออ้างและปฏิเสธงาน และหาโอกาสหนีไปจากงานนั้น  ทันทีที่มีภัย หรือทันทีที่มีสัญญาณอันตราย พวกเขาก็คิดหาทางปลีกตัวและละทิ้งหน้าที่ของตน โดยไม่ใส่ใจพี่น้องชายหญิง  พวกเขาใส่ใจแต่การปลีกตัวให้พ้นภัย  พวกเขาอาจเตรียมพร้อมไว้แล้ว กล่าวคือ ทันทีที่อันตรายบังเกิด พวกเขาก็ทิ้งงานที่ทำอยู่ในทันที โดยไม่ใส่ใจว่างานของคริสตจักรจะเป็นอย่างไร หรือไม่ใส่ใจความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นกับผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หรือไม่ใส่ใจต่อความปลอดภัยของพี่น้องชายหญิง  สิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาคือการหนี  พวกเขาถึงกับมี ‘ไพ่ตาย’ มีแผนไว้ปกป้องตัวเอง กล่าวคือ ทันทีที่ภัยมาเยือนหรือพวกเขาถูกจับกุม พวกเขาย่อมพูดทุกอย่างที่ตนรู้ พาตัวให้พ้นผิดและปลดเปลื้องตนเองจากความรับผิดชอบทั้งปวงเพื่อรักษาตัวให้รอดปลอดภัย  นี่คือแผนการที่พวกเขามีอยู่พร้อม  ผู้คนเหล่านี้ไม่เต็มใจที่จะทนทุกข์กับการถูกข่มเหงเพราะเชื่อในพระเจ้า พวกเขากลัวการถูกจับกุม ถูกทรมาน และต้องโทษ  ข้อเท็จจริงก็คือในหัวใจของพวกเขา พวกเขายอมอยู่ใต้อำนาจของซาตานมานานแล้ว  พวกเขาหวาดกลัวอำนาจของระบอบซาตาน และยิ่งหวาดกลัวต่อสิ่งต่างๆ เช่น การทรมานและการสอบสวนอย่างเกรี้ยวกราดที่จะเกิดขึ้นกับตน  เพราะฉะนั้นสำหรับพวกศัตรูของพระคริสต์ ถ้าทุกอย่างราบรื่น และไม่มีการคุกคามหรือมีปัญหากับความปลอดภัยของพวกเขาเลย และไม่มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดอันตราย พวกเขาก็อาจทุ่มเทความกระตือรือร้นและ ‘ความจงรักภักดี’ และถึงกับมอบทรัพย์สินของตน  แต่ถ้ารูปการณ์แวดล้อมไม่ดีและพวกเขาอาจถูกจับกุมเมื่อใดก็ได้เพราะการเชื่อในพระเจ้าและการทำหน้าที่ของตน และถ้าการเชื่อในพระเจ้าอาจทำให้พวกเขาถูกไล่ออกจากตำแหน่งอันเป็นทางการหรือถูกคนใกล้ชิดของตนทอดทิ้ง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ประกาศข่าวประเสริฐและไม่เป็นพยานยืนยันให้พระเจ้าและไม่ทำหน้าที่ของตนด้วย  เมื่อมีสัญญาณของความเดือดร้อนเล็กน้อย พวกเขาก็กลายเป็นคนเหนียมอาย กล่าวคือ เมื่อมีสัญญาณของความเดือดร้อนเล็กน้อย พวกเขาก็นึกอยากคืนหนังสือพระวจนะของพระเจ้าและสิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อในพระเจ้าของตนให้แก่คริสตจักรทันที เพื่อรักษาตนเองให้ปลอดภัยและไม่ถูกทำร้าย  คนเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายหรอกหรือ?  ถ้าถูกจับกุม พวกเขาจะไม่กลายเป็นยูดาสหรือ?  ศัตรูของพระคริสต์อันตรายมากเสียจนพวกเขาอาจกลายเป็นยูดาสเมื่อใดก็ได้ มีความเป็นไปได้ตลอดเวลาที่พวกเขาจะทรยศพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขายังเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจอย่างที่สุด  การนี้ถูกกำหนดโดยแก่นแท้ธรรมชาติแห่งศัตรูของพระคริสต์(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สอง))  “ศัตรูของพระคริสต์เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจอย่างยิ่ง  พวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และยิ่งไม่มีความจงรักภักดีต่อพระเจ้า เมื่อพวกเขาเผชิญปัญหา พวกเขาเอาแต่ปกป้องและอารักขาตัวเอง  สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญกว่าความปลอดภัยของตนเอง  ตราบใดที่พวกเขาสามารถมีชีวิตอยู่และไม่ถูกจับกุม พวกเขาก็ไม่สนใจว่างานของคริสตจักรจะเสียหายมากเพียงใด  ผู้คนเหล่านี้เห็นแก่ตัวอย่างยิ่ง พวกเขาไม่นึกถึงพี่น้องชายหญิงแต่อย่างใด หรือไม่เคยคิดถึงงานของคริสตจักร พวกเขาเอาแต่คิดถึงความปลอดภัยของตนเอง  พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่สอง))  การพิพากษาและการเปิดเผยของพระวจนะของพระเจ้าแทงตรงเข้าสู่หัวใจของฉัน  ฉันไม่มีที่ให้หลบซ่อน–ฉันหนีไปไหนไม่ได้  ฉันเป็นบุคคลจำพวกที่พระเจ้าทรงอธิบายไว้จริงๆ คนที่ห่วงแค่การปกป้องตัวเองเมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย คนที่เห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจและไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรหรือชีวิตของพี่น้องชายหญิงเลย  ฉันหวนนึกถึงตอนแรกที่ฉันไปถึงซินเจียงและเห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่นั่นเลวร้ายแค่ไหน  เมื่อฉันเห็นว่าฉันเสี่ยงต่อการถูกจับหรือการสูญเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ ฉันก็เสียใจที่ไปทำหน้าที่ที่นั่น  เมื่อรู้ว่ามีคนชั่วก่อกวนสิ่งต่างๆ ในคริสตจักรแห่งหนึ่ง ฉันก็หาข้ออ้างไม่ไปที่นั่นเพราะกลัวจะถูกจับและถูกทรมาน แม้ว่าเรื่องนี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขโดยเร่งด่วนก็ตาม  หลังจากนั้น สุดท้ายฉันก็ไปที่นั่นอย่างเสียไม่ได้ แต่เพราะฉันคิดถึงแต่ความปลอดภัยของตัวเอง ฉันจึงจากมาโดยที่ปัญหาต่างๆ ยังไม่ได้รับการแก้ไข  ฉันตระหนักดีว่าในคริสตจักรแห่งนั้นมีปัญหาร้ายแรงและฉันจำเป็นต้องไปจัดการกับปัญหาต่างๆ แต่เพราะกลัวตาย ฉันจึงใช้ตำแหน่งของตัวเองเพื่อออกคำสั่งแทนที่จะทำงานจริง  ฉันถึงกับผลักพี่น้องชายหญิงคนอื่นให้ไปจัดการปัญหาขณะที่ฉันหลบซ่อน ยืดเวลาให้การดำรงอยู่อันต่ำต้อยของตัวเอง  ผลก็คือปัญหาของคริสตจักรแห่งนั้นไม่ได้รับการแก้ไขนานหลายเดือน  ฉันถึงกับคิดหาข้ออ้างที่ “สมเหตุสมผล” ว่าในฐานะผู้นำ ฉันต้องคุ้มครองความปลอดภัยของตัวเองเพื่อทำงาน แต่ที่จริงแล้ว ฉันเพียงหาข้ออ้างที่จะหนีการเผชิญหน้ากับอันตราย  และเมื่อจงซินถูกตำรวจจับกุมและถูกทุบตีจนถึงแก่ความตาย ฉันก็ยังคงคิดถึงแต่ความปลอดภัยของตัวเองเท่านั้น และกังวลว่าฉันจะถูกจับกุมและถูกทรมานจนตายหรือไม่  ฉันถึงกับต้องการหาโอกาสที่จะทอดทิ้งหน้าที่ของตัวเองและออกมาจากสถานที่อันตรายแห่งนั้น  หลังจากถูกปลด ฉันก็ไม่ต้องการที่จะช่วยเหลือเรื่องผลพวงของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นและหนีกลับบ้านเกิด  พี่น้องชายหญิงไม่ได้ติติงฉัน แต่ลึกๆ แล้ว ฉันรู้สึกถึงการทอดทิ้ง ความรังเกียจ และการกล่าวโทษที่พระเจ้าทรงมีต่อฉัน  สิ่งที่ฉันเสียใจที่สุดคือคริสตจักรได้ให้โอกาสฉันเป็นผู้นำและไว้วางใจให้ฉันดูแลพี่น้องชายหญิงมากมาย  แต่เมื่อความวิบัติสาดซัดฉันก็วิ่งหนี ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นหรือตาย หรือไม่ได้คำนึงเลยว่างานของคริสตจักรจะถูกขัดขวางอย่างไร  ฉันเป็นคนละทิ้งหน้าที่และเป็นคนทรยศจอมขี้ขลาด อีกทั้งเป็นตัวตลกของซาตาน  ยิ่งไปกว่านั้นคือการฝ่าฝืนนี้กลายมาเป็นบาดแผลที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของฉันไปชั่วนิรันดร์  ผ่านเรื่องราวทั้งหมดนี้ ฉันได้เห็นว่าฉันเป็นคนขี้ขลาดไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ใช้ชีวิตอย่างเห็นแก่ตัวและชั่วร้าย!  พระวจนะของพระเจ้านั้นแทงใจดำของฉัน เผยให้เห็นถึงเหตุจูงใจแอบแฝงอันน่ารังเกียจที่ซุกซ่อนอยู่ลึกในหัวใจของฉัน  ฉันไม่สามารถเอาแต่หนีความเป็นจริงได้  จุดนั้นเองฉันจึงตระหนักอย่างสุดซึ้งว่าฉันได้กระทำบาปร้ายแรงด้วยการทรยศพระเจ้า และตระหนักว่าฉันไม่คู่ควรกับความรอดของพระองค์  ฉันยังนึกถึงการที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ถึงสองครั้งและทรงมอบทุกอย่างเพื่อที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  เมื่อสองพันปีก่อนองค์พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์ ขณะนี้ พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่งในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยมวลมนุษย์ผู้เสื่อมทรามให้รอด ทรงเสี่ยงชีวิตของพระองค์เพื่อทรงปรากฏและทรงงานในรังของพญานาคใหญ่สีแดง ทรงถูกไล่ล่าและถูกข่มเหงไม่หยุดหย่อนจากพรรคคอมมิวนิสต์  แต่พระเจ้าไม่เคยล้มเลิกในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  พระองค์ทรงเดินหน้าแสดงความจริงเพื่อให้น้ำและจัดหาให้แก่เรา  พระองค์ทรงมอบทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อมนุษย์–ความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรานั้นช่างเป็นจริง ช่างเสียสละเหลือเกิน!  แต่ฉันกลับเห็นแก่ตัวและต่ำตมอย่างเหลือเชื่อ  เวลาทำหน้าที่ฉันก็เอาแต่ปกป้องตัวเองและไม่คำนึงถึงงานของคริสตจักรโดยสิ้นเชิง  ฉันเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าอย่างมาก และไม่คู่ควรที่จะใช้ชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์  ทั้งหมดที่ฉันต้องการในเวลานั้นคือออกแรงทำงานเพื่อพระเจ้า  ฉันหวังว่าการทำเช่นนั้นอาจจะพอบรรเทาความเปี่ยมบาปของฉันได้บ้าง

ในเดือนธันวาคมปี 2021  ฉันก็ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำคริสตจักรอีกครั้ง  แต่เมื่อนึกถึงการที่ฉันเคยทรยศพระเจ้าและไม่สมควรที่จะได้เป็นผู้นำ ฉันก็เล่าให้ผู้นำฟังทั้งน้ำตาถึงเรื่องที่ฉันเคยทอดทิ้งคริสตจักรมาก่อน  ผู้นำกล่าวว่า “เรื่องนั้นผ่านมาหลายปีแล้ว และคุณยังคงติดอยู่ในสภาวะของการคิดลบและการเข้าใจผิดนี้  แบบนี้ก็ยากที่คุณจะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์”  ฉันเองก็แปลกใจเช่นกันว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเหตุใดฉันจึงยังรู้สึกหดหู่เรื่องการฝ่าฝืนนี้ และฉันจะแก้ไขสภาวะของตัวเองได้อย่างไร หลังจากนั้นฉันก็พยายามอธิษฐานและแสวงหา ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะของพระเจ้า “แม้เมื่อมีช่วงเวลาที่เจ้ารู้สึกว่าพระเจ้าทรงทิ้งเจ้าไป และรู้สึกว่าเจ้าถูกผลักไสเข้าสู่ความมืดมิด จงอย่าหวาดกลัว ตราบเท่าที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่และไม่ได้อยู่ในนรก เจ้ายังคงมีโอกาส  อย่างไรก็ตามหากเจ้าเป็นเช่นเปาโลผู้เดินไปบนเส้นทางแห่งศัตรูของพระคริสต์อย่างดื้อดึง และท้ายที่สุดก็เป็นพยานยืนยันว่าสำหรับเขาการมีชีวิตอยู่คือพระคริสต์ ทั้งหมดก็จบสิ้นแล้วสำหรับเจ้า  หากเจ้าสามารถเกิดมีสำนึกของเจ้าขึ้นมาได้ เจ้าก็ยังคงมีโอกาส  โอกาสที่เจ้ามีคืออะไร?  คือโอกาสที่เจ้าสามารถมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และยังสามารถอธิษฐานถึงพระองค์และแสวงหาได้โดยกล่าวว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า!  โปรดทรงให้ความรู้แจ้งเพื่อให้ข้าพระองค์เข้าใจแง่มุมนี้ของความจริง และแง่มุมนี้ของเส้นทางของการปฏิบัติด้วยเถิด’  ตราบเท่าที่เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ติดตามของพระเจ้า เจ้าย่อมมีหวังที่จะได้รับความรอด และสามารถไปถึงปลายทางที่แท้จริงได้  วจนะเหล่านี้ชัดเจนมากพอหรือไม่?  เจ้ายังคงหมิ่นเหม่ที่จะคิดลบหรือไม่?  (ไม่)  เมื่อผู้คนเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า เส้นทางของพวกเขาย่อมเป็นเส้นทางที่กว้าง  หากพวกเขาไม่เข้าใจเจตนารมณ์ของพระองค์ เส้นทางนั้นก็แคบ มีความมืดมิดในหัวใจของพวกเขา และพวกเขาย่อมไม่มีเส้นทางที่จะย่ำเดิน  พวกที่ไม่เข้าใจความจริงย่อมเป็นดังต่อไปนี้คือ พวกเขาใจแคบ พวกเขาคิดเล็กคิดน้อยอยู่เสมอ และพวกเขาพร่ำบ่นเกี่ยวกับพระเจ้าและเข้าใจพระเจ้าผิดเสมอ  ผลก็คือยิ่งพวกเขาเดินห่างออกไปมากขึ้นเท่าใด เส้นทางของพวกเขาก็ยิ่งปลาสนาการไปมากขึ้นเท่านั้น  ในข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนไม่เข้าใจพระเจ้า  หากพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อผู้คนดังที่พวกเขาจินตนาการ เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็คงจะจบสิ้นไปนานแล้วนับตั้งแต่ตอนนั้น(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, วิธีระบุแก่นแท้ธรรมชาติของเปาโล)  “เราไม่ต้องการเห็นใครก็ตามรู้สึกราวกับว่าพระเจ้าได้ทรงทิ้งพวกเขาไว้ในความหนาวเย็น ว่าพระเจ้าได้ทรงทอดทิ้งพวกเขาหรือได้หันหลังให้กับพวกเขา  ทั้งหมดที่เราต้องการเห็นก็คือ ทุกคนอยู่บนถนนที่ไปสู่การไล่ตามเสาะหาความจริงและการพยายามเข้าใจพระเจ้า โดยตบเท้าเดินหน้าอย่างหาญกล้าด้วยความมุ่งมั่นไม่เรรวน โดยปราศจากข้อเคลือบแคลงหรือภาระอันใด  ไม่สำคัญว่าเจ้าได้กระทำความผิดใดไป ไม่สำคัญว่าเจ้าได้ไถลห่างไปไกลเพียงใด หรือเจ้าได้ฝ่าฝืนไปอย่างรุนแรงเพียงใด จงอย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาระหรือสัมภาระส่วนเกินที่เจ้าต้องแบกไปด้วยในการไล่ตามเสาะหาการเข้าใจพระเจ้าของเจ้า  จงตบเท้าเดินหน้าต่อไป  พระเจ้าทรงยึดถือความรอดของมนุษย์ไว้ในพระทัยของพระองค์ตลอดเวลา การนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  นี่คือส่วนที่ล้ำค่าที่สุดของแก่นแท้ของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6)  “พระเจ้าเกิดโทสะกับชาวนีนะเวห์เพราะการกระทำชั่วร้ายของพวกเขาได้มาอยู่เฉพาะสายพระเนตรอันจับจ้องของพระองค์  ณ ขณะนั้นโทสะของพระองค์มาจากเนื้อแท้ของพระองค์  อย่างไรก็ตาม เมื่อโทสะของพระเจ้าค่อยๆ น้อยลงและเมื่อพระองค์ได้ประทานการทนยอมรับของพระองค์ให้กับผู้คนเมืองนีนะเวห์อีกครั้ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงเผยไปก็ยังคงเป็นเนื้อแท้ของพระองค์เอง  ทั้งหมดทั้งปวงของการเปลี่ยนแปลงนี้มีเหตุผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในท่าทีที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า  ในระหว่างช่วงเวลาทั้งหมดนี้ อุปนิสัยที่มิอาจถูกล่วงเกินได้ของพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง เนื้อแท้ที่ทนยอมรับของพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนแปลง และเนื้อแท้ที่เปี่ยมความรักใคร่และเปี่ยมปรานีของพระเจ้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง  เมื่อผู้คนกระทำการที่ชั่วร้ายและล่วงเกินพระเจ้า พระองค์จะทรงนำโทสะของพระองค์มาสู่พวกเขา  เมื่อผู้คนกลับใจอย่างแท้จริง พระทัยของพระเจ้าจะเปลี่ยนแปลง และโทสะของพระองค์จะยุติ  เมื่อผู้คนต่อต้านพระเจ้าอย่างดื้อรั้นต่อไป ความเดือดดาลของพระองค์จะไม่ยุติ และความเดือดดาลของพระองค์จะบีบคั้นพวกเขาทีละน้อยจนกระทั่งพวกเขาถูกทำลาย  นี่คือเนื้อแท้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้า  พระเจ้าจะทรงแสดงและเผยพระอุปนิสัยอันใดของพระองค์ออกมานั้น—จะเป็นพระพิโรธ หรือความปรานีและความรักเมตตา—ย่อมขึ้นอยู่กับการประพฤติตนและพฤติกรรมของมนุษย์ รวมทั้งท่าทีที่พวกเขามีต่อพระเจ้าอยู่ในหัวใจส่วนลึกของพวกเขา(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2)  ฉันตื้นใจมากเมื่อได้อ่านพระวจนะเหล่านั้นจากพระเจ้า ทั้งยังรู้สึกว่าฉันติดหนี้พระองค์อย่างลึกซึ้ง  ฉันตระหนักว่าตลอดหลายปีนั้นฉันเข้าใจพระเจ้าผิด  นี่คือน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้  พระองค์จะไม่ทรงล้มเลิกในตัวใครเพราะการฝ่าฝืนเพียงชั่วขณะ–พระองค์จะทรงมอบโอกาสอันเหลือเฟือให้พวกเขากลับใจ  เช่นเดียวกับผู้คนที่เมืองนีนะเวห์ พระเจ้าเพียงตรัสว่าพระองค์จะทรงทำลายพวกเขาเพราะพวกเขากระทำชั่ว แข็งขืน และทำให้พระองค์ทรงกริ้ว  แต่ก่อนทำลายเมืองนีนะเวห์ พระองค์ได้ส่งโยนาห์ไปแบ่งปันพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขา เป็นการมอบโอกาสสุดท้ายให้พวกเขากลับใจ  เมื่อพวกเขากลับใจโดยแท้จริงแล้ว พระโทสะของพระเจ้าก็แปรเปลี่ยนเป็นการทรงอภัยและความกรุณา และพระองค์ก็ทรงยกโทษให้ความประพฤติชั่วของพวกเขา  ฉันสามารถเห็นได้ถึงความรักและความกรุณาอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ผ่านเรื่องนี้  พระพิโรธอันล้ำลึกและความเมตตากรุณาของพระเจ้าเปี่ยมด้วยหลักธรรม และปรับเปลี่ยนไปตามท่าทีที่มนุษย์มีต่อพระองค์โดยแท้จริง  แม้ว่าพระวจนะของพระเจ้าในการพิพากษาและการเปิดเผยจะรุนแรง และถึงกับเป็นการกล่าวโทษและการสาปแช่ง พระวจนะเหล่านั้นก็ไม่ใช่การเผชิญหน้าจริง ทว่าเป็นเพียงการเผชิญหน้าของพระวจนะ  น้ำพระทัยของพระเจ้าคือการให้ฉันเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและมิอาจล่วงเกินได้ของพระองค์ ให้มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า กลับใจต่อพระองค์อย่างแท้จริง อีกทั้งเป็นคนสัตย์ซื่อต่อพระองค์ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีทุกขณะภายใต้ทุกสถานการณ์  จุดนั้นเองที่ฉันตระหนักว่าฉันดื้อรั้นและเป็นกบฏมากเกินไป  ฉันเข้าใจพระเจ้าผิดมาหลายปี ตัดสินตัวเองจากมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝัน ทั้งยังกักขังตัวเองให้อยู่ในความอับจนหนทาง  พระเจ้าไม่ได้ทรงล้มเลิกการช่วยฉันให้รอดจริงๆ  ฉันเข้าใจเจตนารมณ์อันดีเบื้องหลังความรอดของพระองค์ผิดไป  เรื่องนั้นทำให้ฉันนึกถึงบางสิ่งที่พระเจ้าตรัสว่า “ความปรานีและการทนยอมรับของพระเจ้านั้นหาไม่ยาก—การกลับใจที่แท้จริงของมนุษย์ต่างหากที่หายาก(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2)  แม้ว่าพระเจ้าทรงมีพระบารมีและพระพิโรธ แม้ว่าพระองค์ทรงพิพากษาและทรงเปิดเผยเรา อีกทั้งถึงกับกล่าวโทษและสาปแช่งเรา พระองค์ก็ทรงเปี่ยมด้วยความรักและความกรุณา  เมื่อเข้าใจถึงความปรารถนาของพระเจ้าที่จะทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดฉันก็รู้สึกผิดและเสียใจจริงๆ  ฉันไม่ต้องการที่จะเอาแต่วิ่งหนีการฝ่าฝืนในอดีตของตัวเอง หรือการเข้าใจพระเจ้าผิดและคอยระวังตัวจากพระองค์อีกต่อไป  ฉันพร้อมที่จะกลับใจ  ต้องการใช้บทเรียนจากความล้มเหลวนี้เพื่อเตือนตัวเอง  ฉันเคยเป็นคนที่เห็นแก่ตัว ชั่วร้าย และกลัวความตาย  เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายฉันก็กลายเป็นคนที่ละทิ้งหน้าที่และไม่สนใจงานของคริสตจักร  ฉันตระหนักว่าความกลัวตายของฉันเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่หลวงที่สุด และฉันต้องแสวงหาความจริงเพื่อแก้ไขและละทิ้งความกลัวนี้

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนี้ที่ว่า “จากมุมมองของมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ พวกเขาจ่ายราคาอันยิ่งใหญ่เช่นนั้นเพื่อการเผยแผ่พระราชกิจของพระเจ้า แต่ท้ายที่สุดกลับถูกซาตานเข่นฆ่า  เรื่องนี้ไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ ทว่านี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาโดยแน่แท้  นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงอนุญาต  มีความจริงใดกันที่สามารถแสวงหาได้ในการนี้?  การที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้พวกเขาตายในหนทางนี้เป็นคำสาปแช่งและการทรงกล่าวโทษของพระองค์กระนั้นหรือ หรือว่านั่นเป็นแผนการและการทรงอำนวยพรของพระองค์?  ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง  นั่นคืออะไร?  บัดนี้ผู้คนทบทวนถึงความตายของพวกเขาด้วยความปวดใจเป็นอย่างมาก แต่นั่นคือหนทางที่สิ่งทั้งหลายเป็น  บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าได้ตายในหนทางนั้น จะอธิบายเรื่องนี้อย่างไรดี?  เมื่อพวกเรากล่าวถึงหัวข้อนี้ พวกเจ้าจงวางตัวพวกเจ้าเองในสถานการณ์ของพวกเขา แล้วหัวใจของพวกเจ้าโศกเศร้าหรือไม่ และพวกเจ้ารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ซ่อนเร้นอยู่หรือไม่? พวกเจ้าคิดว่า ‘ผู้คนเหล่านั้นทำหน้าที่ของตนเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าและควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนดี ถ้าเช่นนั้นแล้วพวกเขามาถึงปลายทางเช่นนั้นและจุดจบเช่นนั้นได้อย่างไร?’  แท้จริงแล้ว นี่คือหนทางที่ร่างกายของพวกเขาตายและจากไป นี่คือวิถีทางของพวกเขาในการจากโลกมนุษย์ไป แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจุดจบของพวกเขาจะเป็นแบบเดียวกัน  ไม่ว่าวิถีทางแห่งความตายและการจากไปของพวกเขาเป็นเช่นไรหรือมันจะเกิดขึ้นอย่างไร นี่ก็ไม่ใช่หนทางที่พระเจ้าทรงกำหนดจุดจบสุดท้ายของชีวิตเหล่านั้น ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเหล่านั้น  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าต้องเห็นอย่างชัดแจ้ง  ในทางตรงกันข้าม พวกเขาใช้วิถีทางเหล่านั้นเพื่อกล่าวโทษโลกนี้และเพื่อให้คำพยานต่อกิจการทั้งหลายของพระเจ้าอย่างแน่นอน  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างเหล่านี้ได้ใช้ชีวิตอันมีค่าที่สุดของพวกเขา—พวกเขาได้ใช้วาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขาเพื่อให้คำพยานถึงกิจการทั้งหลายของพระเจ้า เพื่อให้คำพยานถึงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และเพื่อประกาศต่อซาตานและโลกว่ากิจการทั้งหลายของพระเจ้านั้นถูกต้อง ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้า พระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้า และทรงเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์  แม้จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็ไม่เคยปฏิเสธพระนามขององค์พระเยซูเจ้า  นี่คือรูปแบบหนึ่งของการพิพากษาโลกนี้มิใช่หรือ? พวกเขาได้ใช้ชีวิตของพวกเขาเพื่อประกาศต่อโลก เพื่อยืนยันต่อมนุษย์ทั้งหลายว่าองค์พระเยซูเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระเยซูเจ้าคือพระคริสต์ พระองค์คือเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ และพระราชกิจแห่งการไถ่ที่พระองค์ทรงทำไปเพื่อมวลมนุษยชาติก็เปิดโอกาสให้มนุษยชาติมีชีวิตอยู่ต่อไป—ข้อเท็จจริงนี้ไม่ผันแปรตลอดกาล  บรรดาผู้ที่พลีชีพเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งองค์พระเยซูเจ้าปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาถึงขอบเขตใดกัน?  ถึงที่สุดหรือไม่?  ความถึงที่สุดได้รับการสำแดงออกมาอย่างไร?  (พวกเขามอบชีวิตของตน)  ถูกต้อง พวกเขาได้จ่ายราคาด้วยชีวิตของพวกเขาเอง  ครอบครัว ความมั่งคั่ง และสิ่งของทางวัตถุทั้งหลายแห่งชีวิตนี้ล้วนเป็นสิ่งภายนอกทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่สัมพันธ์กับตัวตนคือชีวิต  สำหรับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกคนนั้น ชีวิตเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การหวงแหนมากที่สุด เป็นสิ่งมีค่ามากที่สุด และดังเช่นที่มันเกิดขึ้นนั้น ผู้คนเหล่านั้นสามารถถวายสิ่งครอบครองที่มีค่ามากที่สุดของพวกเขา—ซึ่งก็คือชีวิต—ให้เป็นเครื่องยืนยันและเป็นคำพยานแด่ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์  จนกระทั่งวันที่พวกเขาตาย พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธพระนามของพระเจ้า อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธพระราชกิจของพระเจ้า และพวกเขาได้ใช้วาระสุดท้ายแห่งชีวิตของพวกเขาเพื่อให้คำพยานถึงการดำรงอยู่ของข้อเท็จจริงนี้—นี่ไม่ใช่การให้คำพยานในรูปแบบที่สูงส่งที่สุดหรอกหรือ? นี่คือหนทางที่ดีที่สุดในการทำหน้าที่ของตน นี่คือสิ่งที่เป็นการปฏิบัติตามความรับผิดชอบของตนให้ลุล่วง  เมื่อซาตานข่มขู่และข่มขวัญพวกเขา และในท้ายที่สุด แม้กระทั่งเมื่อมันทำให้พวกเขาจ่ายราคาด้วยชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ได้ทอดทิ้งความรับผิดชอบของพวกเขา  นี่คือสิ่งที่เป็นการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้ลุล่วงจนถึงที่สุด ที่ว่ามานี้เราหมายความว่าอย่างไร? เราหมายจะให้พวกเจ้าใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อให้คำพยานถึงพระเจ้าและเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระองค์กระนั้นหรือ? เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น แต่เจ้าต้องเข้าใจว่านี่คือความรับผิดชอบของเจ้า ต้องเข้าใจว่าหากพระเจ้าทรงต้องการให้เจ้ายอมรับ เจ้าก็ควรยอมรับสิ่งนี้ในฐานะสิ่งอันทรงเกียรติที่เจ้าพึงต้องทำ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเผยแพร่ข่าวประเสริฐเป็นหน้าที่ที่ผู้เชื่อทุกคนมีภาระผูกพันด้วยเกียรติ)  เมื่อได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกละอายใจจริงๆ  ธรรมิกชนตลอดทุกยุคสมัยได้สละชีวิตของพวกเขาและหลั่งโลหิตเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้า  มีผู้ที่ถูกมรณสักขีมากมายนับไม่ถ้วน  พวกเขาถูกปาหินจนตาย ถูกม้าลากจนตาย ถูกเผาทั้งเป็น หรือถูกตรึงกางเขนกลับหัว  ผู้เผยแผ่ศาสนาหลายคนรู้ว่าการที่พวกเขามาประเทศจีนนั้นเสี่ยงที่จะถูกฆ่า แต่พวกเขาก็ยังเสี่ยงชีวิตของตนมาประกาศที่นี่  และขณะนี้มีผู้เชื่อมากมายถูกพรรคคอมมิวนิสต์ทรมานและข่มเหงจนถึงแก่ความตายเพราะประกาศข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร เป็นการสละชีวิตของตนเพื่อเป็นพยานอันกึกก้องแด่พระเจ้า  พวกเขาถูกข่มเหงเพื่อความชอบธรรม และความตายทั้งหมดของพวกเขาก็ล้วนมีความหมายและเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็นชอบ  เมื่อก่อนฉันไม่เคยมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน ทั้งยังไม่เข้าใจในอธิปไตยอันเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าเลย  ฉันแค่กลัวความตายและคิดว่าทุกสิ่งจะจบสิ้นลงเมื่อฉันตาย  ฉันทิ้งหน้าที่ของตัวเอง ใช้ชีวิตอยู่อย่างต่ำต้อย และทรยศพระเจ้าเมื่อเผชิญกับการข่มเหงอย่างบ้าคลั่งจากพรรคคอมมิวนิสต์  สิ่งนี้กลายเป็นการฝ่าฝืนอันร้ายแรง และเป็นจุดด่างพร้อยบนความเชื่อของฉันอย่างถาวร  แล้วฉันก็เข้าใจว่าสิ่งที่เราเจอในชีวิตและความทุกข์ที่เราสู้ทน ต่างก็เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้  เราไม่สามารถหนีไปจากสิ่งนั้นได้  หากพระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันตาย ฉันก็ควรนบนอบและเดินตามรอยเท้าของธรรมิกชนที่สละชีวิตของตนเพื่อเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้าตลอดประวัติศาสตร์  ความคิดนี้ทำให้ฉันเผชิญหน้ากับความตายได้อย่างเหมาะสมและทำให้ฉันมีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น  ไม่ว่าวันข้างหน้าฉันจะเผชิญกับสิ่งใด ฉันก็พร้อมพึ่งพิงพระเจ้าและตั้งมั่นในการเป็นพยานของตัวเอง และฉันจะไม่ทิ้งหน้าที่หรือทรยศพระเจ้าอีก

วันที่ 6 กรกฎาคมปี 2022 คู่ทำงานของฉันได้มาหาฉันและพูดด้วยความวิตกว่า “เกิดเรื่องแล้ว ผู้นำสามคนถูกจับไป”  หลังจากได้ยินเธอพูดแบบนั้นฉันก็รู้สึกไม่สบายใจ  ผู้นำสามคนนั้นติดต่อกับผู้คนและเจ้าบ้านมากมาย และหนึ่งในนั้นก็เพิ่งติดต่อกับเราเมื่อไม่กี่วันก่อน  พวกเราต้องจัดการผลพวงจากการที่พวกเขาถูกจับในทันทีเพื่อป้องกันความสูญเสียที่มากกว่านี้  แต่ฉันยังคงรู้สึกกลัวอยู่เล็กน้อย หากพี่น้องชายหญิงเหล่านั้นถูกจับตาดู ฉันก็อาจเดินตรงเข้าสู่กับดักของตำรวจจากการติดต่อกับพวกเขา  แต่แล้วฉันก็นึกถึงบทเรียนอันเจ็บปวดที่ได้เรียนรู้ในยามที่ฉันทอดทิ้งคริสตจักรเมื่อคราวก่อน รวมถึงการที่ฉันทรยศพระเจ้าและล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์  นั่นเป็นความเจ็บปวดที่ฉันจะไม่มีวันลืม และฉันก็ไม่ต้องการทำผิดพลาดซ้ำเดิมอีก ฉันจึงเฝ้าอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์สัญญาว่าจะจริงใจต่อหน้าที่ของตัวเองในยามที่เผชิญกับสถานการณ์นี้ และจะไม่วิ่งหนี  ได้โปรดทรงมอบความเชื่อและพละกำลังให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด”

หลังจากนั้นฉันก็รีบไปแจ้งพี่น้องชายหญิงว่าพวกเขาควรระวังตัวให้มาก และเคลื่อนย้ายหนังสือพระวจนะของพระเจ้าไปไว้ในที่ปลอดภัย  แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ว่าบ้านของฉันก็ไม่ปลอดภัยเช่นกัน ฉันจึงตัดสินใจกลับไปที่บ้านและบอกให้แม่สามีไปเช่าห้องอยู่ที่อื่น  ทันทีที่ฉันไปถึงทางเข้าบ้าน ฉันก็เห็นชายหนุ่มสวมชุดดำสองคน จึงไม่กล้าเข้าไปข้างใน  ต่อมาฉันได้รู้ว่าแม่สามีถูกจับไปแล้ว และชายชุดดำพวกนั้นคือเจ้าหน้าที่ตำรวจ  ฉันยังพบว่าพี่น้องหญิงที่ออกไปบอกคนอื่นให้ย้ายที่อยู่พร้อมกับฉันยังไม่กลับมา และอาจถูกจับไปแล้ว  สถานการณ์เหล่านั้นไม่ได้อนุญาตให้ฉันคิดอะไรมากนัก และฉันก็รีบไปจัดการผลพวงของเรื่องนี้กับพี่น้องหญิงที่เป็นคู่ทำงานของฉัน  ต่อมาฉันก็พบว่านี่เป็นปฏิบัติการจับกุมร่วมจากพรรคคอมมิวนิสต์ และมีคนถูกจับไปถึง 27 คนในระหว่างคืนวันที่ห้าและช่วงกลางวันของวันที่หก  เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ ฉันก็รู้ว่าพระเจ้าทรงกำลังมอบโอกาสให้ฉันตัดสินใจเลือกทางที่ต่างออกไป  เมื่อก่อนฉันคือคนที่ละทิ้งหน้าที่ เป็นคนทรยศพระเจ้า  คราวนี้ฉันไม่อาจทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังได้อีก ฉันต้องพึ่งพิงพระเจ้า ทำหน้าที่ของตัวเอง และทำงานร่วมกับผู้อื่นเพื่อจัดการกับผลพวงของการจับกุมเหล่านี้  หลังจากนั้นฉันก็จัดการสถานการณ์นี้ร่วมกับพี่น้องชายหญิงต่อ  การปฏิบัติในหนทางนี้ทำให้ฉันรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก

ตอนนี้เมื่อฉันพูดถึงการฝ่าฝืนของตัวเอง ฉันก็สามารถเผชิญหน้าและยอมรับได้ว่าฉันเป็นคนเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่นที่กลัวความตาย  ฉันไม่ต้องการเป็นคนประเภทนั้นอีกต่อไปแล้ว  ฉันต้องการให้การฝ่าฝืนครั้งนั้นเป็นเหมือนสัญญาณเตือน คอยเตือนฉันไม่ให้ทำผิดพลาดซ้ำเดิมอีก  ปัจจุบันนี้เวลาฉันเห็นพี่น้องชายหญิงอยู่ในสภาวะที่คล้ายกัน ฉันก็สามัคคีธรรมกับพวกเขาเพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมและมิอาจล่วงเกินได้ของพระเจ้า อีกทั้งใช้สิ่งนั้นเป็นการตักเตือน  การฝ่าฝืนครั้งนั้นยังคงฝังอยู่ในหัวใจของฉันและยังทำให้ฉันเจ็บปวด แต่ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในประสบการณ์ที่ฉันหวงแหนที่สุดในชีวิตด้วย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

วิธีเผชิญความยากลำบากในการแบ่งปันข่าวประเสริฐ

ผมอาศัยอยู่ที่เมืองเล็กๆ ในเปรู ทั้งครอบครัวผมนับถือนิกายคาทอลิก รวมถึงคนส่วนใหญ่ที่หมู่บ้านนั้น แต่ด้วยความที่โบสถ์คาทอลิกในหมู่บ้านเรา...

การตื่นจากความโอหังของผม

โดย จอห์นนี, อิตาลีผมเริ่มทำงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐในปี 2015 และประสบความสำเร็จอยู่บ้างภายใต้การทรงนำของพระเจ้า  บางครั้ง...

ติดต่อเราผ่าน Messenger