พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การจุติเป็นมนุษย์ | บทตัดตอน 112

วันที่ 25 เดือน 09 ปี 2020

พระราชกิจที่พระเจ้าเสด็จมาทำบนแผ่นดินโลกนี้ก็เพียงเพื่อทรงนำยุคนั้น เพื่อทรงเปิดยุคใหม่ขึ้นมา และนำพายุคเก่าไปสู่บทอวสาน พระองค์มิได้ทรงมาเพื่อทรงดำเนินชีวิตไปตามครรลองของชีวิตมนุษย์บนแผ่นดินโลก มิได้ทรงมาเพื่อผ่านประสบการณ์ความชื่นบานยินดีและความโศกเศร้าของชีวิตแห่งพิภพมนุษย์เพื่อตัวพระองค์เอง หรือเพื่อทรงทำให้บุคคลเฉพาะหนึ่งคนมีความเพียบพร้อมด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง หรือเพื่อทรงเฝ้ามองดูบุคคลเฉพาะหนึ่งคนด้วยพระองค์เองในขณะที่เขาเติบโต นี่ไม่ใช่พระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์นั้นเป็นเพียงเพื่อเริ่มต้นยุคใหม่ยุคหนึ่งและนำพายุคเก่าไปสู่บทอวสาน นั่นก็คือ พระองค์จะทรงเริ่มต้นยุคใหม่ในสภาวะบุคคล จะทรงนำพาอีกยุคไปสู่บทอวสานในสภาวะบุคคล และจะทำให้ซาตานปราชัยโดยการดำเนินพระราชกิจของพระองค์จนเสร็จสิ้นในสภาวะบุคคล แต่ละคราวที่พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ในสภาวะบุคคล มันเป็นราวกับว่าพระองค์ทรงกำลังวางหนึ่งพระบาทลงบนสนามรบ ก่อนอื่นพระองค์ทรงกำราบโลกนี้ลงและมีชัยเหนือซาตานในขณะที่ทรงอยู่ในเนื้อหนัง พระองค์ทรงครองพระสิริทั้งมวลและทรงเปิดฉากความครบถ้วนบริบูรณ์พระราชกิจของช่วงสองพันปีนั้น อันเป็นการทำเพื่อให้ผู้คนทั้งหมดบนแผ่นดินโลกมีเส้นทางที่ถูกต้องที่จะเหยียบย่ำไปและมีชีวิตแห่งสันติสุขและความชื่นบานยินดีต่อการมีชีวิตอยู่ อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงสามารถใช้ชีวิตอยู่กับมนุษย์บนแผ่นดินโลกได้นานนัก เนื่องจากพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า และจะว่าไปแล้วก็ไม่ทรงเหมือนกับมนุษย์เลย พระองค์ไม่ทรงสามารถใช้ชีวิตตลอดชั่วชีวิตของบุคคลธรรมดาสามัญ นั่นก็คือ พระองค์ไม่ทรงสามารถพักอาศัยบนแผ่นดินโลกในฐานะบุคคลหนึ่งซึ่งไม่มีอะไรพิเศษเลย เนื่องเพราะพระองค์ทรงมีเพียงส่วนน้อยที่สุดของสภาวะความเป็นมนุษย์ตามปกติของบุคคลธรรมดาสามัญคนหนึ่งเท่านั้นในการที่จะยังชีพชีวิตมนุษย์ของพระองค์ กล่าวได้อีกอย่างว่า พระเจ้าจะทรงสร้างครอบครัว มีอาชีพการงาน และฟูมฟักบุตรหลานบนแผ่นดินโลกได้อย่างไรกัน? นี่จะมิใช่ความเสื่อมเสียต่อพระองค์หรอกหรือ? การที่พระองค์ทรงได้รับการทำให้มีคุณสมบัติของสภาวะมนุษย์ตามปกตินั้นก็เพียงเพื่อจุดประสงค์แห่งการดำเนินพระราชกิจในลักษณะที่ปกติธรรมดาเท่านั้น หาใช่เพื่อทำให้พระองค์ทรงสามารถมีครอบครัวและอาชีพการงานเฉกเช่นที่มนุษย์ธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งจะพึงทำได้ไม่ สำนึกรับรู้อันปกติของพระองค์ ความนึกคิดจิตใจที่เป็นปกติ และการรับประทานอาหารกับการนุ่งห่มตามปกติของเนื้อหนังของพระองค์นั้นพอเพียงที่จะพิสูจน์ว่า พระองค์มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ ไม่มีความจำเป็นใดๆ เลยที่พระองค์จะต้องมีครอบครัวหรือมีหน้าที่การงานเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงได้รับการประดับประดาด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ นี่คงจะไม่จำเป็นโดยสิ้นเชิง! การเสด็จมายังแผ่นดินโลกของพระเจ้าก็คือการที่พระวจนะทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ กล่าวคือ พระองค์เพียงทรงอนุญาตให้มนุษย์ได้เข้าใจพระวจนะของพระองค์และมองเห็นพระวจนะของพระองค์เท่านั้นเอง นั่นก็คือ เป็นการอนุญาตให้มนุษย์มองเห็นพระราชกิจของพระองค์ที่ถูกดำเนินเสร็จสิ้นไปโดยเนื้อหนัง เจตนารมณ์ของพระองค์นั้นหาใช่เพื่อให้ผู้คนปฏิบัติต่อเนื้อหนังของพระองค์ในแบบเฉพาะไม่ แต่เพียงเพื่อให้มนุษย์มีความเชื่อฟังจนถึงจุดสุดท้าย นั่นก็คือ เชื่อฟังทุกวจนะที่ทรงปล่อยออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ และนบนอบต่อพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์ทรงปฏิบัติ พระองค์ก็แค่กำลังทรงพระราชกิจอยู่ในเนื้อหนังเท่านั้นเอง พระองค์หาได้ทรงกำลังเจตนาร้องขอให้มนุษย์ยกย่องความยิ่งใหญ่หรือความบริสุทธิ์แห่งเนื้อหนังของพระองค์ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับทรงกำลังแสดงให้มนุษย์เห็นถึงพระปรีชาญาณแห่งพระราชกิจของพระองค์และสิทธิอำนาจทั้งหมดที่ทรงแกว่งไกว เพราะฉะนั้น แม้ว่าพระองค์ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่โดดเด่น พระองค์กลับมิได้ทรงประกาศแสดงออกมาเลย และเพียงทรงมุ่งเน้นอยู่กับพระราชกิจที่พระองค์ทรงพึงกระทำเท่านั้น พวกเจ้าควรรู้ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์แล้วและยังไม่ได้ทรงประกาศต่อสาธารณะหรือให้คำพยานต่อสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเพียงแค่ดำเนินพระราชกิจที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะทำจนเสร็จสิ้นไปอย่างเรียบง่ายเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ทั้งหมดที่พวกเจ้าสามารถมองเห็นได้จากพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ก็คือสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นในเชิงเทวสภาพ กล่าวคือ นี่เป็นเพราะพระองค์ไม่เคยทรงกล่าวประกาศว่าสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นในสภาวะมนุษย์นั้นเป็นไปเพื่อให้มนุษย์ทำตามอย่าง มีเพียงเมื่อมนุษย์นำทางผู้คนเท่านั้นพระองค์จึงตรัสถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นในสภาวะมนุษย์ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ได้รับความเลื่อมใสและความนบนอบจากพวกเขา และด้วยการนั้นจึงได้บรรลุสภาวะความเป็นผู้นำของผู้อื่น ในทางกลับกัน พระเจ้าทรงพิชิตมนุษย์โดยผ่านทางพระราชกิจของพระองค์โดยลำพัง (นั่นก็คือ พระราชกิจที่มนุษย์ไม่อาจบรรลุได้) จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พระองค์จะทรงได้รับความเลื่อมใสจากมนุษย์หรือทรงทำให้มนุษย์นิยมบูชาพระองค์ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำก็คือทรงค่อยๆ ปลูกฝังความรู้สึกเคารพต่อพระองค์หรือสำนึกแห่งความมิอาจหยั่งลึกได้ของพระองค์เข้าไปในมนุษย์ พระองค์ไม่ทรงมีความจำเป็นที่จะต้องทำให้มนุษย์ประทับใจ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงจำเป็นต้องมีก็คือเจ้าต้องเคารพพระองค์ทันทีที่ได้เป็นพยานต่อพระอุปนิสัยของพระองค์ไปแล้ว พระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นเป็นของพระองค์เอง มนุษย์ไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้ และมนุษย์ไม่สามารถบรรลุได้ เฉพาะพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงสามารถทรงพระราชกิจของพระองค์เอง และนำมาซึ่งยุคใหม่ที่จะนำทางมนุษย์ไปสู่ชีวิตใหม่ๆ ได้ พระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัตินั้นก็เพื่อทำให้มนุษย์สามารถมาเข้าสู่การครองชีวิตใหม่และเข้าสู่ยุคใหม่ พระราชกิจส่วนที่เหลือถูกส่งมอบให้กับบรรดาผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ ผู้ซึ่งได้รับความเลื่อมใสจากผู้อื่น เพราะฉะนั้น ในยุคพระคุณ พระองค์ได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจสองพันปีภายในเวลาเพียงสามปีครึ่งของเวลาสามสิบสามปีของพระองค์ในเนื้อหนัง เมื่อพระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ให้เสร็จสิ้น พระองค์ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจของสองพันปี หรือของทั้งยุคภายในช่วงชีวิตที่สั้นที่สุดเป็นเวลาไม่กี่ปีเสมอ พระองค์ไม่ทรงทำให้ล่าช้า และพระองค์ไม่ทรงหยุดชะงัก พระองค์ทรงก็แค่บีบอัดพระราชกิจของหลายปีเพื่อที่จะให้มันเสร็จลงภายในเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีเท่านั้นเอง นี่เป็นเพราะว่า พระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติอยู่ในสภาวะบุคคลนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการเปิดตัวทางออกใหม่และนำทางไปสู่ยุคใหม่ทั้งหมดทั้งสิ้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (2)

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger