พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 165

วันที่ 29 เดือน 02 ปี 2024

เราอยากจะพูดกับพวกเจ้าเกี่ยวกับบางสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำเมื่อตอนต้นของการร่วมชุมนุมของพวกเราวันนี้ซึ่งทำให้เราประหลาดใจ พวกเจ้าบางคนอาจกำลังบ่มเพาะสำนึกรับรู้แห่งความกตัญญู บางทีเจ้าอาจกำลังรู้สึกสำนึกในบุญคุณ และดังนั้นอารมณ์ของเจ้าจึงนำมาซึ่งการกระทำอันสอดคล้องกัน สิ่งที่เจ้าได้ทำไม่ใช่อะไรบางอย่างที่จำเป็นต้องได้รับการตำหนิติเตียน มันไม่ใช่ทั้งถูกหรือผิด แต่เราอยากให้พวกเจ้าเข้าใจอะไรบางอย่าง สิ่งที่เราต้องการให้เจ้าเข้าใจคืออะไร? ก่อนอื่น เราอยากถามพวกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเจ้าเพิ่งไปทำตอนนี้ มันใช่การหมอบกราบหรือการคุกเข่าลงเพื่อนมัสการหรือไม่? ใครบอกเราได้หรือไม่? (พวกเราเชื่อว่ามันคือการหมอบกราบ) พวกเจ้าเชื่อว่ามันคือการหมอบกราบ ถ้าอย่างนั้นแล้วอะไรคือความหมายของการหมอบกราบ? (นมัสการ) ถ้าอย่างนั้นแล้ว อะไรคือการคุกเข่าลงเพื่อนมัสการ? เราไม่เคยสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการนี้กับพวกเจ้ามาก่อน แต่วันนี้เรารู้สึกว่าจำเป็นที่จะต้องทำเช่นนั้น พวกเจ้าหมอบกราบในการร่วมชุมนุมตามปกติของเจ้าหรือไม่? (ไม่) พวกเจ้าหมอบกราบเมื่อเจ้ากล่าวคำอธิษฐานของเจ้าหรือไม่? (หมอบกราบ) เมื่อสถานการณ์อำนวย เจ้าหมอบกราบแต่ละครั้งที่เจ้าอธิษฐานหรือไม่? (หมอบกราบ) นั่นก็ดีแล้ว แต่สิ่งที่เราอยากให้พวกเจ้าเข้าใจวันนี้ก็คือว่า พระเจ้าเพียงทรงยอมรับการคุกเข่าแสดงความเคารพของผู้คนสองประเภทเท่านั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องค้นหาข้อมูลจากพระคัมภีร์หรือความประพฤติและการประพฤติตนของบุคคลฝ่ายจิตวิญญาณใดๆ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ขณะนี้ เราจะบอกอะไรบางอย่างที่เป็นจริงแก่พวกเจ้า เริ่มแรก การหมอบกราบและการคุกเข่าลงเพื่อนมัสการนั้นไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ทำไมพระเจ้าจึงทรงยอมรับการคุกเข่าแสดงความเคารพของบรรดาผู้ที่หมอบกราบด้วยตัวเอง? เป็นเพราะพระเจ้าทรงเรียกใครบางคนให้มาหาพระองค์และทรงเรียกบุคคลนี้ให้ยอมรับพระบัญชาของพระเจ้า เพื่อที่พระเจ้าจะทรงอนุญาตให้เขาหมอบกราบเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ นี่คือบุคคลประเภทแรก ประเภทที่สองคือการคุกเข่าเพื่อนมัสการของใครบางคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว มีเพียงผู้คนสองประเภทนี้เท่านั้น ดังนั้นแล้วพวกเจ้าเป็นคนประเภทไหน? พวกเจ้าสามารถบอกได้หรือไม่? นี่คือความจริง แม้ว่ามันอาจทำร้ายความรู้สึกของเจ้าเล็กน้อย ไม่มีอะไรที่จะกล่าวเกี่ยวกับการคุกเข่าแสดงความเคารพของผู้คนช่วงระหว่างการอธิษฐาน—นี่ถูกต้องเหมาะสมและเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น เพราะเมื่อผู้คนอธิษฐานโดยมากแล้วเป็นการอธิษฐานเพื่อให้ได้อะไรบางอย่าง เป็นการเปิดหัวใจของพวกเขาแด่พระเจ้าและมาอยู่เฉพาะเบื้องพระพักตร์กับพระองค์ มันเป็นการสื่อสารและการแลกเปลี่ยนด้วยหัวใจต่อหัวใจกับพระเจ้า การนมัสการด้วยการคุกเข่าไม่ควรเป็นแค่พิธีรีตอง เราไม่ได้หมายความว่าจะตำหนิติเตียนเจ้าสำหรับสิ่งที่พวกเจ้าได้ทำวันนี้ เราแค่ต้องการทำให้เป็นที่ชัดเจนต่อพวกเจ้าเพื่อที่เจ้าจะเข้าใจหลักการนี้—เจ้ารู้เรื่องนี้ หรือไม่ใช่? (ใช่ พวกเรารู้) เรากำลังบอกเรื่องนี้กับเจ้าเพื่อที่เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นแล้ว ผู้คนมีโอกาสเหมาะที่จะหมอบกราบและคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าบ้างหรือไม่? มันไม่ใช่ว่าจะไม่มีวันมีโอกาสนี้ ไม่ช้าก็เร็ววันนั้นจะมาถึง แต่เวลานั้นไม่ใช่ตอนนี้ เจ้าเห็นหรือไม่? เรื่องนี้ทำให้พวกเจ้าอารมณ์เสียหรือไม่? (ไม่) นั่นก็ดีแล้ว บางทีถ้อยคำเหล่านี้อาจจะสร้างแรงจูงใจหรือดลใจพวกเจ้าเพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถรู้ในหัวใจของพวกเจ้าถึงสถานการณ์ที่ยากลำบากปัจจุบันระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และรู้ว่าความสัมพันธ์ประเภทใดที่มีอยู่ตอนนี้ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ แม้ว่าพวกเราได้พูดถึงและแลกเปลี่ยนเพิ่มเติมบ้างไปเมื่อไม่นานมานี้ ความเข้าใจของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้าก็ยังคงไม่เพียงพอเอาเสียเลย มนุษย์ยังคงต้องเดินทางอีกยาวไกลไปบนถนนแห่งการพยายามที่จะเข้าใจพระเจ้าสายนี้ ไม่ใช่เจตนารมณ์ของเราที่จะทำให้พวกเจ้าทำการนี้ให้เป็นเรื่องเร่งด่วน หรือเพื่อเร่งรีบจะแสดงความมุ่งมาดปรารถนาหรือความรู้สึกประเภทเหล่านี้ สิ่งที่พวกเจ้าได้ทำวันนี้อาจเผยให้เห็นและแสดงความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเจ้า และเราได้รู้สึกถึงพวกมัน ดังนั้นในขณะที่พวกเจ้ากำลังทำมันอยู่ เราแค่ต้องการยืนขึ้นและมอบความปรารถนาดีของเราแก่พวกเจ้า เพราะเราปรารถนาให้พวกเจ้าทั้งหมดอยู่ดี ดังนั้น ในทุกๆ ถ้อยคำและทุกๆ การกระทำของเรา เราทำอย่างเต็มที่เพื่อช่วยพวกเจ้า เพื่อนำพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะสามารถมีความเข้าใจที่ถูกต้องและมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับทุกสรรพสิ่ง พวกเจ้าสามารถจับใจความการนี้ได้ หรือไม่ได้? (ได้) นั่นก็ดีแล้ว แม้ว่าผู้คนมีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันหลากหลายของพระเจ้า แง่มุมต่างๆ ของสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นและพระราชกิจที่พระเจ้าทรงปฏิบัติ ส่วนใหญ่ของความเข้าใจนี้ไม่ไปไกลเกินกว่าการอ่านพระวจนะบนหน้ากระดาษ หรือการทำความเข้าใจพระวนจะเหล่านั้นในหลักการ หรือแค่การคิดถึงพระวจนะเหล่านั้น สิ่งที่ผู้คนขาดมากที่สุดคือความเข้าใจจริงและความเข้าใจลึกซึ้งที่มาจากประสบการณ์จริง แม้ว่าพระเจ้าทรงใช้วิธีการที่หลากหลายเพื่อปลุกหัวใจของมนุษย์ให้ตื่น ยังคงมีถนนอันยาวไกลที่จะต้องเดินก่อนที่การนี้จะสำเร็จลุล่วง เราไม่ต้องการเห็นใครก็ตามรู้สึกราวกับว่าพระเจ้าได้ทรงทิ้งพวกเขาไว้ในความหนาวเย็น ว่าพระเจ้าได้ทรงทอดทิ้งพวกเขาหรือได้หันหลังให้กับพวกเขา ทั้งหมดที่เราต้องการเห็นก็คือทุกคนอยู่บนถนนเพื่อการไล่ตามเสาะหาความจริงและการพยายามเข้าใจพระเจ้า โดยเดินหน้าอย่างหาญกล้าด้วยความตั้งใจแน่วแน่อันไม่เปลี่ยนแปลง โดยปราศจากความสงสัยเคลือบแคลงหรือภาระใดๆ ไม่สำคัญว่าเจ้าได้กระทำผิดใด ไม่สำคัญว่าเจ้าได้ไถลห่างไปไกลเพียงใด หรือเจ้าได้ล่วงละเมิดอย่างรุนแรงเพียงใด จงอย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นภาระหรือสัมภาระส่วนเกินที่เจ้าต้องแบกไปด้วยในการไล่ตามเสาะหาการเข้าใจพระเจ้าของเจ้า จงเดินไปข้างหน้าต่อไป พระเจ้าทรงเก็บความรอดของมนุษย์ไว้ในพระทัยของพระองค์ตลอดเวลา นี่ไม่มีวันเปลี่ยน นี่คือส่วนที่ล้ำค่ามากที่สุดของแก่นแท้ของพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger