พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 130

วันที่ 27 เดือน 02 ปี 2024

ชีวิตหนึ่งซึ่งใช้ไปกับการแสวงหาชื่อเสียงและโชควาสนา ทำให้คนเราตกอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้าคายไม่ออกยามเผชิญหน้ากับความตาย

เพราะอธิปไตยและการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระผู้สร้าง วิญญาณอันเปลี่ยวดายซึ่งได้เริ่มต้นโดยไม่มีอะไรติดตัวมาเลย จึงได้รับบิดามารดาและครอบครัว ได้รับโอกาสที่จะกลายมาเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ โอกาสที่จะมีประสบการณ์กับชีวิตมนุษย์และได้เห็นโลก วิญญาณดวงนี้ยังได้รับโอกาสที่จะมีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระผู้สร้าง ที่จะรู้จักกับความอัศจรรย์เลิศเลอแห่งการทรงสร้างของพระผู้สร้าง และยิ่งไปกว่านั้น ที่จะรู้จักและกลายมาอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง ทว่าผู้คนส่วนใหญ่หาได้คว้าโอกาสเหมาะซึ่งหายากและคงอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยามนี้เอาไว้จริงๆ ไม่ คนเราอ่อนระโหยไปกับการใช้คุณค่าของพลังงานทั้งชีวิตเพื่อต่อสู้กับชะตากรรม ใช้เวลาทั้งหมดของคนเราไปกับการชุลมุนวุ่นวายไปทั่ว ในความพยายามที่จะป้อนบำรุงครอบครัวของคนเรา และวิ่งรอกไปมาระหว่างความอุดมโภคทรัพย์กับสถานภาพ สิ่งต่างๆ ที่ผู้คนหวงแหนราวสมบัติล้ำค่าก็คือครอบครัว เงินทอง และชื่อเสียง และพวกเขามองสิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต ผู้คนทั้งหมดพร่ำบ่นเกี่ยวกับชะตากรรมของตนเอง ทว่าพวกเขาก็ยังคงผลักประเด็นปัญหาต่างๆ ที่จำเป็นต้องตรวจสอบและทำความเข้าใจที่สุดไปไว้ที่เบื้องลึกข้างในจิตใจของพวกเขา กล่าวคือประเด็นปัญหาที่ว่า เหตุใดมนุษย์จึงมีชีวิต มนุษย์ควรใช้ชีวิตอย่างไร อะไรคือคุณค่าและความหมายของชีวิต ไม่ว่าพวกเขาอาจจะอยู่นานแค่ไหน พวกเขาก็แค่ใช้ทั้งชีวิตของพวกเขาให้หมดไปกับการสาละวนแสวงหาชื่อเสียงและโชควาสนา จนกระทั่งวัยเยาว์ของพวกเขาได้หนีจากไป และพวกเขามีแต่ผมขาวและริ้วรอย พวกเขาใช้ชีวิตในหนทางนี้จนกระทั่งพวกเขามองเห็นว่าชื่อเสียงและโชควาสนาไม่อาจหยุดยั้งการเคลื่อนเข้าไปหาความชราภาพของพวกเขาได้ ว่าเงินทองไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่าในหัวใจได้ ว่าไม่มีใครเลยที่ได้รับการยกเว้นจากกฎแห่งการเกิด การแก่ การเจ็บป่วย และการตาย ว่าไม่มีใครสามารถหลีกหนีสิ่งที่ชะตากรรมได้เตรียมไว้ให้แล้ว มีเพียงเมื่อพวกเขาถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายของชีวิตเท่านั้นที่พวกเขาจับความเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่า ต่อให้คนเรามีโภคทรัพย์มหาศาลและสินทรัพย์มากล้น ต่อให้คนเรามีสิทธิพิเศษและอยู่ในฐานะสูงส่ง คนเราก็ยังคงไม่สามารถหลบหนีความตายและต้องคืนสู่สถานะดั้งเดิมของพวกเขาอยู่ดี นั่นคือ ดวงวิญญาณอันโดดเดี่ยวที่ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ในยามที่ผู้คนมีบิดามารดา พวกเขาเชื่อว่าบิดามารดาคือทุกสิ่งทุกอย่าง ในยามที่ผู้คนมีทรัพย์สมบัติ พวกเขาก็คิดว่าเงินทองคือปัจจัยหลักในการยังชีพของคนเรา ว่ามันคือวิถีทางที่คนเราใช้ในการดำเนินชีวิต ในยามที่ผู้คนมีสถานภาพ พวกเขาก็เกาะเกี่ยวมันไว้อย่างแน่นหนาและจะเสี่ยงชีวิตพวกเขาเพื่อมัน มีเพียงเมื่อผู้คนกำลังจะปลดปล่อยโลกนี้ไปเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่า สิ่งต่างๆ ที่พวกเขาใช้ชีวิตไล่ตามเสาะหานั้น ไม่ได้เป็นอะไรเลยนอกจากหมู่เมฆที่ลอยผ่านไป ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่พวกเขาสามารถเกาะกุมได้ ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่พวกเขาสามารถเอาไปด้วยได้ ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่สามารถละเว้นพวกเขาจากความตาย ไม่มีอะไรในนั้นเลยที่สามารถจัดเตรียมเพื่อนร่วมทางหรือการปลอบประโลมให้กับดวงวิญญาณที่เปลี่ยวดายระหว่างการเดินทางกลับของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่มีอะไรในสิ่งเหล่านี้เลยที่สามารถช่วยบุคคลหนึ่งให้รอดและทำให้พวกเขาสามารถอยู่เหนือความตายได้ ชื่อเสียงและโชควาสนาที่คนเราได้รับในโลกวัตถุให้ความพึงพอใจชั่วคราว ความยินดีที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป สำนึกรับรู้แห่งความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจแบบผิดๆ ในระหว่างนั้นพวกมันก็ทำให้คนเราหลงทาง และดังนั้นผู้คนจึงถูกคลื่นลูกแล้วลูกเล่ากลืนหายไปในระหว่างที่พวกเขาดิ้นตะเกียกตะกายอยู่กลางทะเลแห่งมนุษยชาติอันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างกระหายในสันติสุข ความสุขสบาย และความสงบเยือกเย็นในหัวใจ ในยามที่ผู้คนยังต้องตอบคำถามต่างๆ ที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดต่อการทำความเข้าใจ—ว่าพวกเขามาจากไหน เหตุใดพวกเขาจึงมีชีวิต พวกเขากำลังจะไปที่ใด และอื่นๆ—พวกเขาก็ถูกชื่อเสียงและโชควาสนายั่วใจ ถูกพวกมันควบคุมและชักนำไปในทางที่ผิด และหลงทางไปอย่างไม่อาจย้อนคืน เวลาผ่านไปเร็วราวกับติดปีก หลายปีผ่านไปในชั่วพริบตา และก่อนที่คนเราตระหนักในสิ่งนี้ คนเราก็ได้บอกลาปีต่างๆ ที่ดีที่สุดของชีวิตคนเราไปแล้ว เมื่อถึงคราวที่คนเรากำลังจะไปจากโลกนี้ในเร็ววัน คนเราก็มาถึงจุดที่ค่อยๆ ตระหนักว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้กำลังลอยเคว้งคว้างห่างออกไป ว่าคนเราไม่สามารถเกาะกุมสิ่งครอบครองซึ่งเดิมทีเป็นของพวกเขาได้อีกต่อไป เช่นนั้นแล้วคนเราจึงได้รู้สึกอย่างแท้จริงว่า คนเราก็เหมือนเด็กทารกร้องไห้จ้าที่เพิ่งอุบัติเข้ามาสู่พิภพนี้โดยไม่มีอะไรติดตัวมาเลย ณ จุดนี้เองที่คนเราจำใจต้องใคร่ครวญว่า คนเราได้ทำอะไรลงไปในชีวิตบ้าง การมีชีวิตมีคุณค่าอย่างไร มันมีความหมายอะไร เหตุใดคนเราจึงมาที่โลกนี้ และ ณ จุดนี้นี่เองที่คนเราต้องการรู้มากขึ้นทุกทีว่าชีวิตถัดไปมีอยู่จริงหรือไม่ ว่าสวรรค์มีจริงหรือไม่ ว่าการลงทัณฑ์อันสาสมนั้นมีอยู่จริงหรือไม่…ยิ่งคนเราเข้าใกล้ความตายมากขึ้นเท่าใด คนเราก็ยิ่งต้องการที่จะเข้าใจว่าชีวิตเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคนเราใกล้ความตายเข้าไปเท่าไร หัวใจของคนเราก็ยิ่งดูว่างเปล่ามากขึ้นเท่านั้น ยิ่งคนเราใกล้ความตายมากขึ้นเท่าไร คนเราก็ยิ่งรู้สึกอับจนหนทางมากขึ้นเท่านั้น และดังนั้น ความเกรงกลัวที่คนเรามีต่อความตายจึงค่อยๆ เติบโตขึ้นในแต่ละวัน มีสองเหตุผลที่ความรู้สึกดังกล่าวสำแดงออกมาในผู้คนในยามที่พวกเขาเข้าใกล้ความตาย ประการแรกคือ พวกเขากำลังจะสูญเสียชื่อเสียงและความอุดมในโภคทรัพย์ที่ชีวิตพวกเขาเคยได้อาศัยพึ่งพิง กำลังจะละทิ้งทั้งหมดที่ดวงตามองเห็นในโลกนี้ไว้ข้างหลัง ประการที่สองคือ พวกเขากำลังจะเผชิญหน้า คนเดียวตามลำพัง กับพิภพที่ไม่คุ้นเคย ดินแดนลี้ลับที่ไม่รู้จัก ที่ซึ่งพวกเขากลัวที่จะย่างเท้าลงไป ที่ซึ่งพวกเขาไม่มีผู้เป็นที่รักและไม่มีการค้ำจุนในวิถีทางใดเลย เพราะเหตุผลสองประการนี้ ทุกคนซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับความตายจึงรู้สึกอึดอัดไม่สบายใจ ผ่านประสบการณ์กับความตื่นตระหนกและสำนึกรับรู้แห่งความรู้สึกอับจนหนทางอย่างที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อนเลย มีเพียงเมื่อใครบางคนมาถึงจุดนี้จริงๆ แล้วเท่านั้น ที่พวกเขาตระหนักว่า ตอนที่คนเราก้าวเท้าลงบนแผ่นดินโลก สิ่งแรกที่พวกเขาต้องเข้าใจก็คือมนุษย์มาจากไหน เหตุใดผู้คนจึงมีชีวิต ใครเป็นผู้ลิขิตชะตากรรมของมนุษย์ และใครจัดเตรียมและมีอธิปไตยเหนือการดำรงอยู่ของมนุษย์ ความรู้นี้คือวิถีทางที่แท้จริงที่คนเราใช้ชีวิตอยู่ คือพื้นฐานที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับความอยู่รอดของมนุษย์—ไม่ใช่การเรียนรู้วิธีที่จะจัดเตรียมเพื่อครอบครัวของคนเรา หรือวิธีที่จะสัมฤทธิ์ชื่อเสียงและความอุดมด้วยโภคทรัพย์ ไม่ใช่การเรียนรู้วิธีที่จะโดดเด่นออกมาจากฝูงชน และไม่ใช่วิธีที่จะใช้ชีวิตที่มั่งคั่งกว่าเดิม นับประสาอะไรกับการเรียนรู้วิธีที่จะมีความเก่งกาจยอดเยี่ยมและประสบความสำเร็จในการแข่งขันกับผู้อื่น แม้ว่าทักษะเพื่อความอยู่รอดอันหลากหลายที่ผู้คนใช้ชีวิตของพวกเขาให้หมดไปกับการฝึกฝนให้เชี่ยวชาญนั้น สามารถเสนอความสุขสบายทางวัตถุได้อย่างล้นเหลือ แต่ทักษะเหล่านี้ก็ไม่เคยพาสันติสุขและการปลอบประโลมที่แท้จริงมาสู่หัวใจของคนเราเลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับทำให้ผู้คนหลงทิศทางอยู่เนืองนิตย์ มีความลำบากยากเย็นในการควบคุมตนเอง และพลาดทุกโอกาสที่จะเรียนรู้ความหมายของชีวิต ทักษะเพื่อความอยู่รอดเหล่านี้สร้างคลื่นใต้น้ำแห่งความวิตกกังวลเกี่ยวกับวิธีที่จะเผชิญหน้ากับความตายอย่างเหมาะสม ชีวิตของผู้คนกำลังถูกทำลายไปในหนทางนี้ พระผู้สร้างทรงปฏิบัติต่อทุกคนอย่างยุติธรรม ทรงมอบโอกาสเหมาะทั้งหลายแก่ทุกคน ซึ่งต้องใช้ทั้งชีวิตจึงจะได้มา เพื่อให้ได้รับประสบการณ์และรู้จักอธิปไตยของพระองค์ ทว่ามีเพียงเมื่อความตายขยับเข้ามาใกล้ เมื่อตอนที่ความน่าสะพรึงกลัวของมันปรากฏขึ้นรางๆ เท่านั้น ที่คนเราเริ่มมองเห็นความสว่าง—และแล้ว มันก็สายเกินไป!

ผู้คนใช้ชีวิตหมดไปกับการไล่ล่าเงินทองและชื่อเสียง พวกเขากอดรัดกองฟางเหล่านี้ไว้แนบอก พลางคิดว่าพวกมันเป็นวิถีทางเดียวแห่งการค้ำจุนของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ตลอดไปได้ด้วยการมีสิ่งเหล่านี้ ได้รับการยกเว้นจากความตาย แต่ในยามที่พวกเขากำลังจะตายแล้วเท่านั้นที่พวกเขาตระหนักว่าสิ่งเหล่านี้อยู่ห่างไกลจากพวกเขาเพียงใด พวกเขาอ่อนแอขนาดไหนยามที่เผชิญหน้ากับความตาย พวกเขาแตกสลายได้ง่ายขนาดไหน พวกเขาเปลี่ยวดายและอับจนหนทางเพียงไร โดยไม่มีที่ใดให้หันหน้าไปพึ่งพา พวกเขาตระหนักว่า ชีวิตไม่สามารถซื้อได้ด้วยเงินทองหรือชื่อเสียง ว่าไม่ว่าบุคคลหนึ่งอาจอุดมด้วยโภคทรัพย์เพียงใด ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่งขนาดไหน ทุกคนล้วนยากจนและไร้ความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย พวกเขาตระหนักว่า เงินไม่สามารถซื้อชีวิตได้ ว่าชื่อเสียงไม่สามารถลบความตายได้ ว่าทั้งเงินทองและชื่อเสียงไม่สามารถยืดชีวิตคนเราได้แม้แต่นาทีเดียว วินาทีเดียว ยิ่งผู้คนรู้สึกเช่นนี้มากขึ้นเท่าใด ผู้คนก็ยิ่งโหยหาที่จะรักษาชีวิตไว้มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งผู้คนรู้สึกในหนทางนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งหวาดหวั่นในการย่างกรายเข้ามาใกล้ของความตายมากขึ้นเท่านั้น มีเพียงที่จุดนี้เท่านั้นที่พวกเขาตระหนักอย่างแท้จริงว่า ชีวิตของพวกเขาไม่ได้เป็นของพวกเขา ไม่ใช่พวกเขาที่จะเป็นผู้ควบคุม และตระหนักว่า คนเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าคนเราจะอยู่หรือตาย—ว่าทั้งหมดนี้อยู่นอกการควบคุมของคนเรา

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger