พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 37

วันที่ 18 เดือน 02 ปี 2024

พระเจ้าต้องทำลายเมืองโสโดม (บทตอนที่คัดมา)

ปฐมกาล 18:26 พระยาห์เวห์ตรัสว่า "ที่โสโดมถ้าเราพบคนชอบธรรมในเมืองห้าสิบคน เราจะละเว้นเมืองนั้นทั้งเมืองเพราะเห็นแก่พวกเขา"

ปฐมกาล 18:29 ท่านก็ทูลพระองค์อีกว่า "สมมุติว่าพระองค์ทรงพบสี่สิบคนที่นั่น" พระองค์ตรัสตอบว่า "เราจะไม่ทำ"

ปฐมกาล 18:30 ท่านจึงทูลว่า… "สมมุติพระองค์ทรงพบเพียงสามสิบคนที่นั่น" พระองค์ตรัสตอบว่า "เราจะไม่ทำ"

ปฐมกาล 18:31 ท่านทูลว่า… "สมมุติว่าทรงพบยี่สิบคนที่นั่น" พระองค์ตรัสตอบว่า "เราจะไม่ทำลาย"

ปฐมกาล 18:32 ท่านทูลว่า… "สมมุติว่า ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น" พระองค์ตรัสตอบว่า "เราจะไม่ทำลาย"

พระเจ้าทรงเปี่ยมปรานีอย่างยิ่งต่อบรรดาผู้ที่พระองค์ใส่พระทัย และทรงพิโรธอย่างล้ำลึกต่อบรรดาผู้ที่พระองค์ทรงรังเกียจและปฏิเสธ

ในเรื่องราวต่างๆ จากพระคัมภีร์นั้น มีผู้รับใช้ของพระเจ้าสิบคนหรือไม่ในโสโดม? ไม่ ไม่มี! เมืองนั้นมีค่าคู่ควรแก่การที่พระเจ้าจะทรงละเว้นหรือไม่? มีเพียงหนึ่งบุคคลเท่านั้นในเมืองนี้—คือโลท—ที่ได้ต้อนรับบรรดาผู้สื่อสารของพระเจ้า ความนัยของการนี้ก็คือว่า มีผู้รับใช้พระเจ้าเพียงหนึ่งคนเท่านั้นในเมืองนี้ และด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงไม่ทรงมีทางเลือกนอกจากช่วยโลทให้รอดและทำลายเมืองโสโดม การโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้าที่ได้นำมาอ้างถึงข้างต้นนั้นอาจดูเหมือนเรียบง่าย แต่การโต้ตอบเหล่านั้นแสดงให้เห็นบางอย่างที่ล้ำลึกอย่างยิ่ง กล่าวคือ มีหลักการในการกระทำของพระเจ้า และก่อนที่จะทรงทำการตัดสินพระทัยพระองค์จะทรงใช้เวลายาวนานในการเฝ้าสังเกตและพิจารณา พระองค์จะไม่ทรงทำการตัดสินพระทัยใดๆ หรือรีบด่วนกับบทสรุปใดๆ ก่อนจะถึงเวลาที่เหมาะสมเป็นอันขาด การโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้าแสดงให้เราเห็นว่า การตัดสินพระทัยของพระเจ้าที่จะทรงทำลายเมืองโสโดมนั้นไม่มีการผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย เพราะพระเจ้าทรงรู้อยู่แล้วว่าในเมืองนี้ไม่ได้มีคนชอบธรรมสี่สิบคน หรือคนชอบธรรมสามสิบคน หรือยี่สิบคน ไม่มีแม้กระทั่งสิบคน บุคคลที่ชอบธรรมเพียงคนเดียวในเมืองนี้ก็คือโลท พระเจ้าได้ทรงเฝ้าสังเกตทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นในเมืองโสโดมและรูปการณ์แวดล้อมของเมือง และมันเป็นที่คุ้นเคยสำหรับพระเจ้าเช่นเดียวกับหลังพระหัตถ์ของพระองค์เอง ด้วยเหตุนี้ การตัดสินพระทัยของพระองค์จึงไม่อาจผิดพลาดได้ ในทางตรงกันข้าม เมื่อเปรียบเทียบกับมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้าแล้วนั้น มนุษย์ช่างมึนงงยิ่งนัก ช่างโง่เขลาและไม่รู้เท่าทันยิ่งนัก ช่างสายตาสั้นยิ่งนัก นี่คือสิ่งที่พวกเรามองเห็นในการโต้ตอบระหว่างอับราฮัมและพระเจ้า พระเจ้าทรงส่งพระอุปนิสัยของพระองค์ออกมาตลอดเวลาตั้งแต่ปฐมกาลจนกระทั่งถึงวันนี้ ในทำนองเดียวกันนั้น ณ ที่นี้ก็มีพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่เราควรจะมองเห็นด้วยเช่นกัน จำนวนนั้นเป็นสิ่งธรรมดา—จำนวนไม่ได้แสดงถึงสิ่งใด—แต่ในที่นี้มีการแสดงออกที่สำคัญมากจากพระอุปนิสัยของพระเจ้าอยู่ พระเจ้าจะไม่ทรงทำลายเมืองนั้นเพราะคนชอบธรรมห้าสิบคน การนี้เป็นเพราะความกรุณาของพระเจ้าใช่หรือไม่? มันเป็นเพราะความรักและความยอมผ่อนปรนของพระองค์ใช่หรือไม่? พวกเจ้ามองเห็นพระอุปนิสัยด้านนี้ของพระเจ้าแล้วหรือไม่? ถึงแม้ว่าจะมีผู้ชอบธรรมเพียงสิบคนเท่านั้น พระเจ้าก็คงจะไม่ทรงทำลายเมืองนี้ เนื่องจากผู้คนที่ชอบธรรมสิบคนเหล่านี้ นี่ใช่หรือไม่ใช่ความยอมผ่อนปรนและความรักของพระเจ้า? เพราะความกรุณา ความยอมผ่อนปรน และความห่วงใยของพระเจ้าที่ทรงมีต่อผู้คนที่ชอบธรรมเหล่านั้น พระองค์คงจะไม่ทรงทำลายเมืองนี้ลง นี่คือความยอมผ่อนปรนของพระเจ้า และในที่สุด พวกเรามองเห็นบทอวสานใด? เมื่ออับราฮัมได้กล่าวว่า "สมมุติว่า ทรงพบเพียงสิบคนที่นั่น" พระเจ้าได้ตรัสว่า "เราจะไม่ทำลาย" หลังจากนั้น อับราฮัมก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก—เพราะภายในเมืองโสโดมไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคนที่เขาอ้างถึง และเขาก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดอีก และในเวลานั้น เขาได้เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึง ได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะทำลายเมืองโสโดม ในการนี้ เจ้าเห็นพระอุปนิสัยใดของพระเจ้า? พระเจ้าได้ทรงตั้งปณิธานประเภทใด? พระเจ้าได้ตั้งพระทัยแน่วแน่ว่า หากเมืองนี้ไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคน พระองค์จะไม่ทรงอนุญาตให้มันมีอยู่ และจะทรงทำลายมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่ไม่ใช่พระพิโรธของพระเจ้าหรอกหรือ? พระพิโรธนี้เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าใช่หรือไม่? พระอุปนิสัยนี้เป็นการเปิดเผยถึงเนื้อแท้ที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าใช่หรือไม่ มันเป็นการเปิดเผยถึงเนื้อแท้ที่ชอบธรรมของพระเจ้า ที่มนุษย์ต้องไม่ทำให้ขุ่นเคืองใช่หรือไม่? เมื่อได้มีการยืนยันแล้วว่าไม่มีผู้ชอบธรรมสิบคนในเมืองโสโดม พระเจ้าจึงแน่พระทัยที่จะทำลายเมืองนี้ และจะลงโทษผู้คนภายในเมืองนั้นอย่างรุนแรง เพราะพวกเขาได้ต่อต้านพระเจ้า และเพราะพวกเขาโสมมและเสื่อมทรามยิ่งนัก

เหตุใดพวกเราจึงได้วิเคราะห์บทตอนเหล่านี้ในหนทางนี้? เป็นเพราะประโยคที่เรียบง่ายไม่กี่ประโยคเหล่านี้ให้การแสดงออกอย่างเต็มที่ถึงพระอุปนิสัยที่มีความกรุณาล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึกของพระเจ้า ในเวลาเดียวกันกับที่ทรงทะนุถนอมความล้ำค่าของคนชอบธรรม และทรงมีความกรุณา ความยอมผ่อนปรน และการใส่พระทัยต่อพวกเขา ในพระทัยของพระเจ้าก็มีความเกลียดชังลึกซึ้งต่อพวกเขาทั้งหมดในเมืองโสโดมที่ได้เสื่อมทรามไปแล้ว นี่ใช่หรือไม่ใช่ความกรุณาอันล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึก? พระเจ้าได้ทรงทำลายเมืองนี้ด้วยวิธีใด? ด้วยไฟ และเหตุใดพระองค์จึงได้ทรงทำลายมันโดยใช้ไฟ? เมื่อเจ้ามองเห็นบางสิ่งบางอย่างกำลังถูกเผาไหม้ด้วยไฟ หรือเมื่อเจ้ากำลังจะเผาบางสิ่งบางอย่าง เจ้ารู้สึกอย่างไรกับมัน? เหตุใดเจ้าจึงต้องการที่จะเผามัน? เจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่จำเป็นต้องมีมันอีกต่อไปแล้ว ว่าเจ้าไม่ปรารถนาที่จะมองดูมันอีกต่อไปแล้วใช่หรือไม่? เจ้าต้องการละทิ้งมันใช่หรือไม่? การที่พระเจ้าทรงใช้ไฟหมายถึงการละทิ้ง และการเกลียดชัง และหมายความว่าพระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะทอดพระเนตรเห็นเมืองโสโดมอีกต่อไป นี่คืออารมณ์ที่ทำให้พระเจ้าทรงเผาผลาญเมืองโสโดมด้วยไฟ การใช้ไฟเป็นสิ่งแทนแค่ว่าพระเจ้าทรงกริ้วเพียงใด ความกรุณาและความยอมผ่อนปรนของพระเจ้ามีอยู่จริง แต่ความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ออกมาก็แสดงให้มนุษย์เห็นด้านที่พระเจ้าไม่ทรงยอมทนต่อการทำให้ขุ่นเคืองด้วยเช่นกัน เมื่อมนุษย์มีความสามารถเต็มที่ในการเชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้าและกระทำการสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ต่างๆ ของพระเจ้า พระเจ้าก็ทรงเปี่ยมล้นไปด้วยความกรุณาของพระองค์ต่อมนุษย์ เมื่อมนุษย์เต็มไปด้วยความเสื่อมทราม ความเกลียดชังและความเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ พระเจ้าก็ทรงกริ้วอย่างล้ำลึก พระองค์ทรงกริ้วอย่างล้ำลึกถึงระดับใด? พระพิโรธของพระองค์จะมีอยู่จนกระทั่งพระเจ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นการต้านทานและความประพฤติต่างๆ ที่ชั่วร้ายของมนุษย์อีกต่อไป จนกระทั่งพวกเขาไม่อยู่ในสายพระเนตรของพระองค์อีกต่อไป เมื่อนั้นเท่านั้นที่ความกริ้วของพระเจ้าจะหายไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่สำคัญว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร หากหัวใจของพวกเขากลายเป็นห่างไกลจากพระเจ้าและหันไปจากพระเจ้า โดยไม่มีวันย้อนกลับมา เช่นนั้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะปรารถนาที่จะนมัสการและติดตามและเชื่อฟังพระเจ้าในกายของพวกเขาหรือในการคิดของพวกเขาในทุกการปรากฏหรือในแง่ของความปรารถนาที่อยู่ในใจของพวกเขาอย่างไรก็ตาม พระพิโรธของพระเจ้าก็จะถูกปลดปล่อยออกมาโดยไม่มีหยุด มันจะเป็นจนถึงขั้นที่เมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยความกริ้วของพระองค์ออกมาอย่างลึกซึ้ง เมื่อได้ให้โอกาสอย่างล้นเหลือกับมนุษย์แล้ว ทันทีที่มันถูกปลดปล่อยออกมาก็จะไม่มีหนทางใดที่จะเอามันกลับไปได้ และพระองค์จะไม่มีวันทรงกรุณาและยอมผ่อนปรนให้กับมวลมนุษย์เช่นนั้นอีกครั้ง นี่คือด้านหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ไม่ยอมผ่อนปรนต่อการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ ณ ที่นี้ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้คนที่พระเจ้าจะทรงทำลายเมืองหนึ่ง เพราะในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว เมืองหนึ่งที่เต็มไปด้วยบาปจะไม่สามารถดำรงอยู่และคงอยู่ต่อไปได้ และมันสมเหตุสมผลที่มันจะต้องถูกพระเจ้าทรงทำลาย แต่กระนั้นในสิ่งที่ได้เกิดขึ้นก่อนหน้าและหลังจากการทำลายล้างเมืองโสโดมของพระองค์ พวกเราก็มองเห็นความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระอุปนิสัยของพระเจ้า พระองค์ทรงยอมผ่อนปรนและทรงกรุณาต่อสิ่งต่างๆ ที่ใจดีและสวยงามและดี สำหรับสิ่งทั้งหลายที่ชั่วร้าย เต็มไปด้วยบาป และเลวทรามนั้น พระเจ้าทรงพิโรธอย่างล้ำลึก จนถึงขั้นที่พระองค์จะไม่ทรงหยุดพระพิโรธของพระองค์ เหล่านี้คือสองแง่มุมที่เป็นหลักการและเด่นชัดมากที่สุดจากพระอุปนิสัยของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านี้ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนจบ นั่นคือ ความกรุณาอันล้นเหลือและพระพิโรธที่ล้ำลึก พวกเจ้าส่วนใหญ่ได้รับประสบการณ์กับบางสิ่งบางอย่างจากความกรุณาของพระเจ้าแล้ว แต่พวกเจ้าน้อยคนนักที่ได้ซึ้งคุณค่ากับพระพิโรธของพระเจ้า ความกรุณาและความรักมั่นคงของพระเจ้าสามารถมองเห็นได้ในทุกบุคคล กล่าวคือ พระเจ้าทรงกรุณาอย่างล้นเหลือต่อทุกบุคคล แต่กระนั้นก็สามารถกล่าวได้ว่า พระเจ้าแทบจะไม่หรือไม่เคยที่จะกริ้วอย่างล้ำลึกต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือผู้คนส่วนใดๆ ท่ามกลางพวกเจ้า จงผ่อนคลายเถิด! ไม่ช้าก็เร็ว ทุกบุคคลจะได้เห็นและได้รับประสบการณ์กับพระพิโรธของพระเจ้า แต่บัดนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ นั่นเป็นเพราะเมื่อพระเจ้าทรงกริ้วใครบางคนอยู่เป็นนิตย์ กล่าวคือ เมื่อพระเจ้าทรงปลดปล่อยพระพิโรธอันล้ำลึกของพระองค์ต่อพวกเขา นี่หมายความว่าพระองค์ได้ทรงรังเกียจและปฏิเสธบุคคลผู้นี้มานานแล้ว ว่าพระองค์ทรงชิงชังการดำรงอยู่ของพวกเขา และว่าพระองค์ไม่ทรงสามารถทนต่อการดำรงอยู่ของพวกเขาได้ ทันทีที่ความกริ้วของพระองค์เกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาจะหายไป วันนี้ พระราชกิจของพระเจ้ายังไม่มาถึงจุดนั้น ไม่มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้าจะสามารถแบกรับมันเมื่อพระเจ้าทรงกลับกลายเป็นกริ้วอย่างล้ำลึก เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าจึงเห็นว่า ณ เวลานี้ พระเจ้าทรงเพียงแต่กรุณาอย่างล้นเหลือต่อพวกเจ้าทุกคน และพวกเจ้ายังไม่ได้เห็นความกริ้วที่ล้ำลึกของพระองค์ หากยังมีผู้คนที่ยังคงไม่เชื่อ พวกเจ้าสามารถขอให้พระพิโรธของพระเจ้าเกิดขึ้นแก่พวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจจะได้รับประสบการณ์ว่าความกริ้วของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระองค์ที่ไม่ยอมทนให้มนุษย์ทำให้ขุ่นเคืองนั้นมีอยู่จริงๆ หรือไม่ พวกเจ้ากล้าหรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger