พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 28

วันที่ 30 เดือน 05 ปี 2020

พระเจ้าทรงใช้สายรุ้งเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาของพระองค์กับมนุษย์

ปฐมกาล 9:11-13 "เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป" พระเจ้าตรัสว่า "นี่แหละเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา ซึ่งเราให้ไว้ระหว่างเรากับพวกเจ้า และกับสัตว์มีชีวิตทั้งปวงที่อยู่กับพวกเจ้าสืบไปทุกชั่วอายุ คือเราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก"

ถัดไปพวกเรามาดูที่ข้อพระคัมภีร์ส่วนนี้เกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าได้ทรงใช้สายรุ้งเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธสัญญาของพระองค์กับมนุษย์

ผู้คนส่วนใหญ่รู้ว่าสายรุ้งคืออะไรและได้ยินเรื่องราวบางอย่างที่เกี่ยวโยงกับสายรุ้งมาบ้างแล้ว สำหรับเรื่องราวเกี่ยวกับสายรุ้งในพระคัมภีร์นั้น ผู้คนบางคนเชื่อ และบางคนถือว่าเป็นตำนาน ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่เชื่อเลย ไม่ว่าจะอย่างไร เหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นซึ่งเกี่ยวโยงกับสายรุ้งเป็นพระราชกิจของพระเจ้า และได้เกิดขึ้นในกระบวนการของการบริหารจัดการมนุษย์ของพระเจ้า เหตุการณ์เหล่านี้ได้รับการบันทึกอย่างแม่นยำในพระคัมภีร์ บันทึกเหล่านี้ไม่ได้บอกพวกเราว่าพระเจ้าทรงอยู่ในพระอารมณ์ใด ณ เวลานั้น หรือเจตนารมณ์เบื้องหลังพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ตรัส ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีผู้ใดสามารถซาบซึ้งในสิ่งที่พระเจ้าทรงกำลังรู้สึกเมื่อพระองค์ได้ตรัสพระวจนะเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม สภาวะจิตใจของพระเจ้าเกี่ยวกับเหตุการณ์ทั้งปวงนี้ถูกเปิดเผยในระหว่างบรรทัดของข้อความ เป็นราวกับว่าพระดำริของพระองค์ ณ เวลานั้นกระโดดออกจากหน้าหนังสือโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้าแต่ละคำและแต่ละวลี

พระดำริของพระเจ้าคือสิ่งที่ผู้คนควรห่วงใย และเป็นสิ่งที่พวกเขาควรพยายามทำความรู้จักมากที่สุด นี่เป็นเพราะพระดำริของพระเจ้าเกี่ยวโยงอย่างแยกไม่ออกกับความเข้าใจพระเจ้าของมนุษย์ และความเข้าใจพระเจ้าของมนุษย์เป็นข้อต่อที่ขาดไม่ได้ต่อการเข้าสู่ชีวิตของมนุษย์ ดังนั้นพระเจ้าทรงกำลังดำริอะไร ณ เวลานั้นเมื่อเหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้น?

แต่เดิมนั้นพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษยชาติซึ่งในสายพระเนตรของพระองค์นั้นดีและใกล้ชิดกับพระองค์มาก แต่พวกเขาได้ถูกทำลายด้วยน้ำท่วมหลังจากได้ทำการกบฏต่อพระองค์ การที่มนุษยชาติเช่นนี้หายวับไปในทันทีอย่างนั้นได้ทำให้พระเจ้าทรงเจ็บปวดหรือไม่? แน่นอนพระองค์ทรงเจ็บปวด! ดังนั้นอะไรคือการแสดงออกของพระองค์ถึงความเจ็บปวดนี้? มันถูกบันทึกในพระคัมภีร์อย่างไร? ได้มีการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ด้วยพระวจนะเหล่านี้ว่า "เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป" ประโยคเรียบง่ายนี้เปิดเผยพระดำริของพระเจ้า การทำลายล้างโลกครั้งนี้ได้ทำให้พระองค์เจ็บปวดอย่างมาก ในคำพูดของมนุษย์ พระองค์ได้ทรงโศกเศร้ามาก เราสามารถจินตนาการได้ว่า แผ่นดินโลกที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยชีวิตชีวาดูเป็นอย่างไรหลังจากถูกน้ำท่วมทำลาย? แผ่นดินโลก ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเต็มไปด้วยมนุษย์ ดูเหมือนอะไร ณ เวลานั้น? ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่เลย ไม่มีสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิต มีน้ำอยู่ทุกหนแห่ง และความย่อยยับถึงที่สุดบนผิวน้ำ ฉากเช่นนี้เป็นเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างแผ่นดินโลกหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน! เจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระเจ้าคือการได้เห็นชีวิตทั่วทั้งแผ่นดินโลก การได้เห็นมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างนมัสการพระองค์ ไม่ใช่เพียงเพื่อให้โนอาห์เป็นผู้เดียวที่นมัสการพระองค์ หรือเป็นผู้เดียวที่สามารถตอบรับการทรงเรียกของพระองค์เพื่อทำให้สิ่งที่ได้ทรงวางพระทัยมอบหมายให้เขาครบบริบูรณ์ได้ เมื่อมนุษยชาติได้หายไป พระเจ้าก็ไม่ทรงได้เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงเจตนาไว้แต่เดิม แต่กลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง พระทัยของพระองค์จะทรงสามารถไม่เจ็บปวดได้อย่างไร? ดังนั้นเมื่อพระองค์ทรงกำลังเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ และแสดงพระอารมณ์ของพระองค์ พระเจ้าได้ทรงทำการตัดสินพระทัยแล้ว การตัดสินพระทัยแบบใดกันที่พระองค์ได้ทรงทำ? ทรงทำรุ้งในเมฆ (นั่นคือสายรุ้งที่เราเห็นกัน) เป็นพันธสัญญากับมนุษย์ เป็นพระสัญญาว่าพระเจ้าจะไม่ทรงทำลายมวลมนุษย์ด้วยน้ำท่วมอีก ในเวลาเดียวกันก็เป็นการบอกกับผู้คนอีกด้วยว่าพระเจ้าได้ทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วม เพื่อที่มวลมนุษย์จะได้จดจำตลอดไปว่าเหตุใดพระเจ้าจึงจะทำการเช่นนั้น

การทำลายโลก ณ เวลานั้นเป็นบางสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงต้องประสงค์หรือไม่? แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงต้องประสงค์ พวกเราอาจสามารถจินตนาการส่วนเล็กๆ ของภาพที่น่าสังเวชของแผ่นดินโลกหลังจากการทำลายโลกได้ แต่พวกเราไม่สามารถจินตนาการได้แม้แต่น้อยว่าฉากนี้เป็นเหมือนอะไร ณ เวลานั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า พวกเราสามารถพูดได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นผู้คนในปัจจุบันหรือเวลานั้น ไม่มีผู้ใดสามารถจินตนาการหรือซาบซึ้งได้ในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงรู้สึกเมื่อพระองค์ได้ทรงเห็นฉากนั้น ภาพนั้นของโลกหลังการทำลายโดยน้ำท่วม พระเจ้าทรงถูกบังคับให้ทำเช่นนี้โดยการไม่เชื่อฟังของมนุษย์ แต่ความเจ็บปวดที่พระทัยของพระเจ้าได้ทนทุกข์จากการทำลายโลกด้วยน้ำท่วมครั้งนี้เป็นความเป็นจริงที่ไม่มีผู้ใดสามารถหยั่งลึกหรือซาบซึ้งได้ นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับมวลมนุษย์ ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งเป้าที่จะใช้บอกผู้คนให้จดจำว่าครั้งหนึ่งพระเจ้าได้ทรงทำบางสิ่งเช่นนี้ และสาบานกับพวกเขาว่าพระเจ้าจะไม่มีวันทรงทำลายโลกด้วยวิธีเช่นนี้อีก ในพันธสัญญานี้พวกเราเห็นพระทัยของพระเจ้า—เราเห็นว่าพระทัยของพระเจ้าได้อยู่ในความเจ็บปวดเมื่อพระองค์ได้ทรงทำลายมนุษยชาตินี้ ในภาษาของมนุษย์ เมื่อพระเจ้าได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ และได้ทรงเห็นมวลมนุษย์หายไป พระทัยของพระองค์ก็กำลังร่ำไห้และหลั่งพระโลหิต นั่นไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดที่จะบรรยายเรื่องนั้นหรอกหรือ? พระวจนะเหล่านี้ถูกใช้โดยพวกมนุษย์เพื่อแสดงให้เห็นอารมณ์มนุษย์ แต่ในเมื่อภาษาของมนุษย์บกพร่องเกินไป การใช้พระวจนะเหล่านั้นเพื่อบรรยายความรู้สึกและพระอารมณ์ของพระเจ้าดูเหมือนจะไม่แย่เกินไปสำหรับเรา และก็ไม่มากเกินไปด้วย อย่างน้อยมันก็ให้พวกเจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนมากและฉลาดมากว่าพระอารมณ์ของพระเจ้าเป็นเหมือนอะไร ณ เวลานั้น บัดนี้เจ้าจะนึกถึงอะไรเมื่อพวกเจ้าเห็นสายรุ้งอีกครั้ง? อย่างน้อยเจ้าก็จะจดจำว่าพระเจ้าได้ทรงเคยอยู่ในความโศกเศร้าอย่างไรกับการทำลายโลกด้วยน้ำท่วม เจ้าจะจดจำว่าพระทัยของพระองค์กำลังเจ็บปวด กำลังดิ้นรนเพื่อปล่อยวาง กำลังรู้สึกฝืนพระทัย และกำลังพบว่ามันยากที่จะทนอย่างไร แม้ว่าพระเจ้าได้ทรงเกลียดชังโลกนี้และดูหมิ่นมนุษยชาตินี้ เมื่อพระองค์ได้ทรงทำลายมนุษย์ที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ความสบายพระทัยเพียงอย่างเดียวของพระองค์อยู่ในครอบครัวแปดคนของโนอาห์ เป็นความร่วมมือของโนอาห์นั่นเองที่ทำให้ความพยายามอย่างอุตสาหะของพระองค์ที่ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งไม่สูญเปล่า ณ เวลานั้นเมื่อพระเจ้าทรงกำลังทนทุกข์ นี่เป็นสิ่งเดียวที่สามารถชดเชยความเจ็บปวดของพระองค์ได้ จากจุดนั้นพระเจ้าได้ทรงวางความคาดหมายทั้งหมดของพระองค์ต่อมนุษยชาติไว้ในครอบครัวของโนอาห์ โดยหวังว่าพวกเขาจะสามารถมีชีวิตภายใต้พระพรของพระองค์และไม่ใช่คำสาปแช่งของพระองค์ โดยหวังว่าพวกเขาจะไม่มีวันเห็นพระเจ้าทรงทำลายโลกด้วยน้ำท่วมอีก และโดยหวังเช่นกันว่าพวกเขาจะไม่ถูกทำลาย

พวกเราควรเรียนรู้เกี่ยวกับส่วนใดของพระอุปนิสัยของพระเจ้าจากการนี้? พระเจ้าได้ทรงดูหมิ่นมนุษย์เพราะมนุษย์เป็นปรปักษ์กับพระองค์ แต่ในพระทัยของพระองค์นั้น ความใส่ใจ ความห่วงใย และความกรุณาของพระองค์ต่อมนุษยชาติยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แม้ในเวลาที่พระองค์ได้ทรงทำลายมวลมนุษย์ พระทัยของพระองค์ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อมนุษยชาติเต็มไปด้วยความเสื่อมทรามและการไม่เชื่อฟังพระเจ้าในระดับที่มีเจตนาร้าย พระเจ้าก็ทรงต้องทำลายมนุษยชาตินี้ เพราะพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ และโดยสอดคล้องกับหลักการของพระองค์ แต่เพราะแก่นแท้ของพระเจ้า พระองค์ยังคงทรงสงสารมวลมนุษย์ และทรงถึงกับต้องการใช้วิธีสารพัดเพื่อไถ่บาปมวลมนุษย์เพื่อที่พวกเขาจะได้สามารถมีชีวิตต่อไปได้ อย่างไรก็ตามมนุษย์ได้ต่อต้านพระเจ้า ไม่เชื่อฟังพระเจ้าต่อไป และปฏิเสธที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้า นั่นคือ ปฏิเสธที่จะยอมรับเจตนารมณ์ดีของพระองค์ ไม่สำคัญว่าพระเจ้าได้ทรงเรียกหาพวกเขา เตือนความจำพวกเขา หล่อเลี้ยงพวกเขา ช่วยเหลือพวกเขา หรือยอมผ่อนปรนต่อพวกเขาอย่างไร มนุษย์ก็ไม่ได้เข้าใจหรือซาบซึ้ง และพวกเขาก็ไม่ให้ความสนใจด้วย ในความเจ็บปวดของพระองค์ พระเจ้ายังคงไม่ทรงลืมที่จะประทานความยอมผ่อนปรนสูงสุดของพระองค์แก่มนุษย์ เพื่อรอให้มนุษย์เลี้ยวกลับ หลังจากพระองค์ได้ทรงไปถึงขีดจำกัดแล้ว พระองค์ก็ได้ทรงทำในสิ่งที่พระองค์ทรงต้องทำโดยไม่มีความลังเลอันใด กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ มีช่วงเวลาและกระบวนการเฉพาะเจาะจงตั้งแต่ชั่วขณะที่พระเจ้าได้ทรงวางแผนที่จะทำลายมวลมนุษย์จนถึงจุดเริ่มต้นของพระราชกิจของพระองค์ในการทำลายมวลมนุษย์ กระบวนการนี้ได้ดำรงอยู่เพื่อจุดประสงค์ในการทำให้มนุษย์สามารถเลี้ยวกลับได้ และนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่พระเจ้าได้ทรงให้แก่มนุษย์ ดังนั้นพระเจ้าได้ทรงทำอะไรในช่วงเวลานี้ก่อนที่จะทำลายมวลมนุษย์? พระเจ้าได้ทรงทำพระราชกิจแห่งการเตือนความจำและเตือนสติในปริมาณมาก ไม่สำคัญว่าพระทัยของพระเจ้าได้อยู่ในความเจ็บปวดและความเศร้าโศกมากเพียงใด พระองค์ก็ยังทรงมอบความใส่พระทัย ความห่วงใย และความกรุณาอันอุดมของพระองค์ให้แก่มนุษยชาติต่อไป พวกเราเห็นอะไรจากการนี้? ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเราเห็นว่าความรักของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์นั้นเป็นจริงและไม่ใช่บางสิ่งที่พระองค์เพียงตรัสสนับสนุนอย่างไม่จริงใจ ความรักของพระเจ้าเป็นจริง จับต้องได้ และซาบซึ้งได้ ไม่ถูกปลอมแปลง ไม่มีสิ่งเจือปน ไม่หลอกลวงหรือเสแสร้ง พระเจ้าไม่มีวันทรงใช้การหลอกลวงอันใด หรือสร้างภาพเท็จเพื่อทำให้ผู้คนเห็นว่าพระองค์ทรงน่ารักน่าชื่นชอบ พระองค์ไม่มีวันทรงใช้คำพยานเท็จเพื่อให้ผู้คนเห็นความน่ารักน่าชื่นชมของพระองค์ หรือเพื่ออวดความน่ารักน่าชื่นชมและความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ แง่มุมเหล่านี้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าไม่มีค่าคู่ควรกับความรักของมนุษย์หรอกหรือ? ไม่มีค่าคู่ควรต่อการนมัสการหรอกหรือ? ไม่มีค่าคู่ควรต่อการทะนุถนอมหรอกหรือ? ณ จุดนี้เราต้องการถามพวกเจ้าว่า หลังจากได้ยินพระวจนะเหล่านี้ พวกเจ้าคิดว่าความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเป็นเพียงคำพูดไร้สาระบนกระดาษแผ่นหนึ่งหรือไม่? ความน่ารักน่าชื่นชมของพระเจ้าเป็นเพียงคำพูดไร้สาระหรือไม่? ไม่ใช่! ไม่ใช่อย่างแน่นอน! พระอำนาจสูงสุด ความยิ่งใหญ่ ความศักดิ์สิทธิ์ ความยอมผ่อนปรน ความรัก และอื่นๆ ของพระเจ้า—ทุกรายละเอียดของทุกๆด้านที่แตกต่างกันของพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าได้รับการแสดงออกในทางปฏิบัติทุกครั้งที่พระองค์ทรงทำพระราชกิจของพระองค์ ถูกรวบรวมอยู่ในน้ำพระทัยของพระองค์ต่อมนุษย์ และได้ถูกทำให้ลุล่วงและสะท้อนอยู่ในทุกๆ ผู้คนอีกด้วย โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้าได้รู้สึกถึงมันมาก่อนหรือไม่ พระเจ้าทรงกำลังใส่พระทัยในบุคคลทุกคนในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ โดยใช้พระทัยที่จริงใจ พระปรีชาญาณ และวิธีการทั้งหลาย ของพระองค์ เพื่อทำให้หัวใจของแต่ละบุคคลอบอุ่น และปลุกวิญญาณของแต่ละบุคคลให้ตื่น นี่คือข้อเท็จจริงที่เถียงไม่ได้

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger