พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การเข้าสู่ชีวิต | บทตัดตอน 566

วันที่ 13 เดือน 08 ปี 2021

ทุกวันนี้ ผู้คนส่วนใหญ่มีความเข้าใจอันผิวเผินมากเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง พวกเขายังไม่ได้มารู้จักอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งเป็นส่วนของธรรมชาติของพวกเขาเลยทั้งสิ้น พวกเขาเพียงมีความรู้เกี่ยวกับสภาวะอันเสื่อมทรามของพวกเขาไม่กี่อย่าง เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งพวกเขามีแนวโน้มที่จะทำ หรือข้อบกพร่องไม่กี่อย่างของพวกเขาเท่านั้นเอง และนี่ทำให้พวกเขาเชื่อว่า พวกเขารู้จักตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขายึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ไม่กี่อย่าง มั่นใจว่าพวกเขาไม่ทำผิดพลาดในด้านเฉพาะใดๆ และหลีกเลี่ยงการกระทำการล่วงละเมิดเฉพาะอย่างได้สำเร็จ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็พิจารณาว่าตัวพวกเขานั้นครองความเป็นจริงในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา และทึกทักไปว่าพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด นี่เป็นจินตนาการแบบมนุษย์อย่างครบบริบูรณ์ หากเจ้ายึดปฏิบัติตามสิ่งเหล่านั้น เจ้าจะกลายเป็นมีความสามารถที่จะงดเว้นจากการกระทำการล่วงละเมิดอันใดจริงหรือ? เจ้าจะได้บรรลุการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในอุปนิสัยแล้วกระนั้นหรือ? เจ้าจะกำลังใช้ชีวิตในสภาพเสมือนของมนุษย์คนหนึ่งจริงหรือ? เจ้าสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างจริงแท้แบบนั้นได้หรือ? แน่นอนเลยว่าไม่ใช่อย่างสิ้นเชิง การเชื่อในพระเจ้าได้ผลเพียงเมื่อคนเรามีมาตรฐานสูง และได้บรรลุความจริงและการแปลงสภาพบางอย่างในอุปนิสัยของชีวิตคนเราแล้วเท่านั้น ดังนั้น หากความรู้ของผู้คนเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองนั้นตื้นเขินเกินไป พวกเขาก็จะพบว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะแก้ปัญหาทั้งหลาย และอุปนิสัยในชีวิตของพวกเขาก็ย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา จึงจำเป็นที่ต้องรู้จักตัวคนเราเองในระดับที่ลุ่มลึก ซึ่งหมายถึงการรู้จักธรรมชาติของคนเราเองว่า องค์ประกอบใดที่รวมอยู่ในธรรมชาตินั้น สิ่งเหล่านี้ก่อกำเนิดขึ้นอย่างไร และสิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด ที่มากกว่านั้นก็คือ เจ้ามีความสามารถที่จะเกลียดชังสิ่งเหล่านี้ได้จริงหรือไม่? เจ้าได้เห็นดวงจิตอันอัปลักษณ์ของเจ้าเองกับธรรมชาติชั่วของเจ้าแล้วหรือไม่? หากเจ้ามีความสามารถอย่างแท้จริงที่จะมองเห็นความจริงเกี่ยวกับตัวเจ้าเองแล้วไซร้ เจ้าย่อมเริ่มที่จะเกลียดตัวเอง เมื่อเจ้าเกลียดตัวเจ้าเอง แล้วจากนั้นก็นำพระวจนะของพระเจ้ามาฝึกฝนปฏิบัติ เจ้าก็จะสามารถละทิ้งเนื้อหนังและมีความแข็งแกร่งที่จะดำเนินความจริงโดยปราศจากความลำบากยากเย็น เหตุใดเล่าผู้คนมากมายจึงทำตามความเลือกชอบทางเนื้อหนังของพวกเขา? ก็เพราะพวกเขาพิจารณาว่าตัวพวกเขาเองช่างดีงามนัก พลางรู้สึกว่าการกระทำของพวกเขานั้นถูกต้องและเป็นธรรม รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความผิดเลย และรู้สึกกระทั่งว่า พวกเขาถูกต้องอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะฉะนั้น พวกเขาจึงมีความสามารถที่จะปฏิบัติตนด้วยข้อสันนิษฐานที่ว่าความยุติธรรมนั้นอยู่ข้างพวกเขา เมื่อคนเราระลึกได้ถึงสิ่งที่ธรรมชาติของคนเราเป็น—อัปลักษณ์อย่างไร น่าดูหมิ่นอย่างไร และน่าเวทนาอย่างไร—เมื่อนั้นคนเราก็จะไม่ภาคภูมิใจในตัวเองอย่างเกินขนาด ไม่โอหังอย่างลำพองเหลือเกิน และไม่ยินดีกับตัวเองเหลือเกินดังก่อนหน้านี้ บุคคลเช่นนั้นรู้สึกว่า "ฉันต้องจริงจังตั้งใจและติดดิน และนำพระวจนะของพระเจ้ามาฝึกฝนปฏิบัติบ้าง หาไม่แล้ว ฉันย่อมจะไม่ดีพอที่จะไปถึงมาตรฐานของการเป็นมนุษย์ และจะอดสูที่จะดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า" เช่นนั้นแล้ว คนเราจึงมองเห็นตัวเองอย่างแท้จริงว่าไม่มีความสลักสำคัญ ไร้นัยสำคัญอย่างแท้จริง ณ เวลานี้ ย่อมกลับกลายเป็นง่ายที่คนเราจะดำเนินความจริงให้เสร็จสิ้น และคนเราจะปรากฏเป็นเหมือนที่มนุษย์ควรเป็นอยู่บ้าง มีเพียงเมื่อผู้คนเกลียดตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริงเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีความสามารถที่จะละทิ้งเนื้อหนัง หากพวกเขาไม่เกลียดตัวพวกเขาเอง พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะละทิ้งเนื้อหนังได้ การที่คนเราเกลียดชังตัวเองอย่างแท้จริงนั้นประกอบด้วยสองสามสิ่ง กล่าวคือ สิ่งแรก การรู้จักธรรมชาติของตัวคนเราเอง และสิ่งที่สอง การมองเห็นตัวคนเราเองอัตคัดขัดสนและน่าเวทนา การมองเห็นตัวคนเราเองเล็กและไร้นัยสำคัญอย่างสุดขั้ว และการมองเห็นดวงจิตอันสกปรกและน่าเวทนาของคนเราเอง เมื่อคนเราเห็นสิ่งที่คนเราเป็นอย่างแท้จริงโดยครบถ้วน และได้สัมฤทธิ์บทอวสานนี้แล้ว ถึงตอนนั้น คนเราจึงจะสามารถได้รับความรู้เกี่ยวกับตัวคนเราเองอย่างแท้จริง และสามารถพูดได้ว่า คนเราได้มารู้จักตัวคนเราเองอย่างครบถ้วนแล้ว เมื่อนั้นเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถเกลียดชังตัวคนเราเองได้อย่างแท้จริง โดยไปไกลถึงขั้นสาปแช่งตัวเอง และรู้สึกอย่างแท้จริงว่า คนเราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างถลำลึกจนถึงขนาดที่คนเราไม่สามารถแม้กระทั่งมีความคล้ายคลึงกับมนุษย์คนหนึ่ง เช่นนั้นแล้ว สักวันหนึ่ง เมื่อการคุกคามแห่งความตายปรากฏขึ้น บุคคลเช่นนั้นย่อมจะคิดว่า "นี่คือการลงโทษอันชอบธรรมของพระเจ้า พระเจ้าทรงชอบธรรมโดยแท้ ฉันควรตายจริง!" ณ จุดนี้ เขาจะไม่ยื่นเรื่องร้องทุกข์ นับประสาอะไรที่จะติเตียนพระเจ้า ด้วยรู้สึกเพียงว่า เขาช่างขัดสนและน่าเวทนายิ่งนัก โสมมและเสื่อมทรามยิ่งนักจนเขาสมควรแล้วที่จะถูกกวาดล้างโดยพระเจ้า และดวงจิตเช่นของเขานั้นไม่เหมาะที่จะดำรงชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลก ณ จุดนี้ บุคคลผู้นี้จะไม่ต้านทานพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะทรยศพระเจ้า หากใครคนหนึ่งไม่รู้จักตัวเอง และยังคงพิจารณาตัวเองว่าดีมาก เช่นนั้นแล้วเมื่อความตายมาเคาะประตู บุคคลนี้จะคิดว่า "ฉันได้ทำดีเหลือเกินในความเชื่อของฉัน ฉันได้แสวงหาหนักเพียงใด! ฉันได้ให้มากมายเหลือเกิน ฉันได้ทนทุกข์มากมายเหลือเกิน กระนั้นในที่สุดแล้ว ตอนนี้พระเจ้ากำลังทรงขอให้ฉันตาย ฉันไม่รู้ว่าความชอบธรรมของพระเจ้าอยู่ที่ใด เหตุใดพระองค์จึงกำลังทรงขอให้ฉันตาย? หากแม้กระทั่งบุคคลหนึ่งเช่นฉันต้องตาย เช่นนั้นแล้วใครเล่าจะได้รับการช่วยให้รอด? เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มาถึงบทอวสานหรอกหรือ?" อย่างแรก บุคคลนี้มีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า ประการที่สอง บุคคลนี้กำลังพร่ำบ่น และไม่ได้กำลังแสดงให้เห็นการนบนอบใดๆ แต่อย่างใดเลย นี่เหมือนกันไม่มีผิดกับเปาโล กล่าวคือ เมื่อเขากำลังจะตาย เขาไม่รู้จักตัวเขาเอง และเมื่อถึงเวลาที่การลงโทษของพระเจ้าใกล้มาถึง นั่นก็สายเกินไปแล้วที่จะกลับใจ

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger