พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การเข้าสู่ชีวิต | บทตัดตอน 559

วันที่ 23 เดือน 08 ปี 2021

เจ้าเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์อย่างไรหรือ? ตามจริงแล้ว การเข้าใจธรรมชาติของเจ้านั้นหมายถึงการชำแหละส่วนลึกในดวงจิตของเจ้า นั่นเกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ในชีวิตเจ้า นั่นคือตรรกะของซาตานและทัศนคติของซาตานที่เจ้าใช้ในการดำเนินชีวิตมาโดยตลอด นั่นก็คือ ชีวิตของซาตานนั่นเองที่เจ้าใช้ในการดำเนินชีวิตมาโดยตลอด เฉพาะด้วยการพลิกแผ่นดินให้เจอส่วนทั้งหลายที่อยู่ลึกลงไปในดวงจิตของเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถเข้าใจธรรมชาติของเจ้าได้ จะพลิกแผ่นดินหาสิ่งเหล่านี้เจอได้อย่างไรหรือ? สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถถูกชำแหละและพลิกแผ่นดินหาจนเจอได้โดยผ่านทางแค่หนึ่งหรือสองเหตุการณ์ นั่นก็คือ หลายคราว หลังจากที่เจ้าทำบางสิ่งบางอย่างแล้วเสร็จ เจ้าก็ยังคงไม่ได้มาถึงความเข้าใจหนึ่งเลย อาจสามารถใช้เวลาสามถึงห้าปีกว่าที่เจ้าจะมีความสามารถได้รับแม้แค่เสี้ยวเล็กจิ๋วของการตระหนักและการเข้าใจ ในสถานการณ์มากมาย เจ้าต้องทบทวนตัวเองและมารู้จักตัวเอง และเฉพาะเมื่อเจ้าฝึกฝนปฏิบัติในการขุดลึกลงไปเท่านั้น เจ้าจึงจะมามองเห็นผลลัพธ์ ขณะที่ความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับความจริงทั้งหลายเติบโตลุ่มลึกมากขึ้นทุกที เจ้าก็จะค่อยๆ มารู้จักธรรมชาติแก่นแท้ของตัวเจ้าเองโดยผ่านทางการทบทวนตัวเองและความรู้จักตัวเอง เพื่อที่จะรู้จักธรรมชาติของเจ้า เจ้าต้องทำบางสิ่งสองสามอย่างให้บรรลุผลสำเร็จลุล่วง สิ่งแรกก็คือ เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าชอบ นี่มิใช่อ้างอิงถึงสิ่งที่เจ้าชอบกินหรือชอบสวมใส่ แต่ในทางกลับกัน นั่นหมายถึงสิ่งประเภททั้งหลายที่เจ้าชื่นชม สิ่งทั้งหลายที่เจ้าริษยา สิ่งทั้งหลายที่เจ้าเคารพบูชา สิ่งทั้งหลายที่เจ้าแสวงหา และสิ่งทั้งหลายที่เจ้าให้ความสนใจในหัวใจของเจ้า ชนิดของผู้คนที่เจ้าชื่นชมในการเข้ามาติดต่อสัมพันธ์ด้วย ชนิดของสิ่งที่เจ้าชอบทำ และชนิดของผู้คนที่เจ้าชื่นชูในหัวใจ ตัวอย่างเช่น ผู้คนส่วนใหญ่ชอบผู้คนที่มีจุดยืนยิ่งใหญ่ ผู้คนซึ่งมีความงามสง่าอยู่ในกิริยาท่าทางและวาทะของพวกเขา หรือชอบพวกที่พูดคำยกยอแบบมีวาทศิลป์ หรือพวกที่แสร้งสวมบทบาท ที่พาดพิงถึงไปก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้คนใดที่พวกเขาชอบมีปฏิกิริยาด้วย สำหรับสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนชื่นชมนั้น สิ่งเหล่านี้รวมไปถึงการเต็มใจทำสิ่งเฉพาะบางอย่างที่ทำได้ง่ายดาย การชื่นชมในสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นคิดว่าดี และที่คงจะเป็นเหตุให้ผู้คนขับร้องคำสรรเสริญและให้คำชม ในธรรมชาติทั้งหลายของผู้คนนั้นมีคุณลักษณะเฉพาะธรรมดาทั่วไปของสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาชอบอยู่ นั่นก็คือ พวกเขาชอบผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นรู้สึกอิจฉาโดยเนื่องมาจากรูปลักษณ์ภายนอก พวกเขาชอบผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายที่มองดูสวยงามและหรูหรา และพวกเขาชอบผู้คน เหตุการณ์และสิ่งทั้งหลายที่ทำให้ผู้อื่นเคารพบูชาพวกเขาโดยเนื่องมาจากรูปลักษณ์ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่ผู้คนชื่นชอบนั้นยิ่งใหญ่ ละลานตา งามหรู และโอฬาร ผู้คนล้วนเคารพบูชาสิ่งเหล่านี้ สามารถเห็นได้ว่า ผู้คนไม่ครองความจริงอันใดเลย ทั้งพวกเขายังไม่มีสภาพเสมือนมนุษย์แท้อีกด้วย ไม่มีนัยสำคัญแม้ระดับน้อยนิดที่สุดอยู่ในการเคารพบูชาสิ่งเหล่านี้ ทว่าผู้คนก็ยังชอบสิ่งเหล่านั้น…สิ่งที่เจ้าชอบ สิ่งที่เจ้ามุ่งเน้น สิ่งที่เจ้าเคารพบูชา สิ่งที่เจ้าอิจฉา และสิ่งที่เจ้าคิดในหัวใจของเจ้าทุกวันล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนธรรมชาติของเจ้า นั่นเพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่าธรรมชาติของเจ้าชื่นชอบความไม่ชอบธรรม และในสถานการณ์ที่รุนแรง ธรรมชาติของเจ้านั้นชั่วและไม่สามารถเยียวยารักษาได้ เจ้าควรวิเคราะห์ธรรมชาติของเจ้าในหนทางนี้ กล่าวคือ จงตรวจสอบว่าเจ้าชื่นชอบสิ่งใดและเจ้าละทิ้งสิ่งใดในชีวิตของเจ้า เจ้าอาจจะดีต่อใครบางคนเป็นครั้งคราว แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าชื่นชอบพวกเขา แน่นอนว่าสิ่งที่เจ้าชื่นชอบอย่างแท้จริงก็คือสิ่งที่อยู่ในธรรมชาติของเจ้า ต่อให้กระดูกของเจ้าหัก เจ้าก็คงจะยังคงชื่นชมมันและไม่มีวันจะสามารถละทิ้งมันได้ นี่ไม่ง่ายเลยที่จะเปลี่ยนแปลง จงดูการหาคู่เป็นตัวอย่าง หากผู้หญิงคนหนึ่งตกหลุมรักกับใครบางคนจริงๆ เช่นนั้นแล้ว ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถหยุดเธอได้ ต่อให้ขาทั้งสองของเธอถูกหัก เธอก็คงจะยังคงต้องการอยู่กับเขา เธอก็คงจะต้องการสมรสกับเขาต่อให้นั่นหมายถึงการที่เธอต้องตาย นี่สามารถเป็นไปได้อย่างไรกัน? นั่นเป็นเพราะไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผู้คนมีอยู่ลึกๆ ภายในตัวพวกเขาเองได้ ต่อให้บุคคลหนึ่งต้องตาย ดวงจิตของเขาก็คงจะยังคงชอบสิ่งเดิมๆ นั่นคือ สิ่งทั้งหลายที่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ และสิ่งเหล่านี้เป็นตัวแทนแก่นแท้ของบุคคล สิ่งทั้งหลายที่ผู้คนชื่นชอบบรรจุไปด้วยความไม่ชอบธรรมอยู่บ้าง บางคนก็ชัดเจนในความชื่นชอบของพวกเขาที่มีต่อสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น ในขณะที่บางคนไม่ชัดเจน บางคนมีความชอบอย่างแรงกล้าต่อสิ่งเหล่านั้น ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่มี ผู้คนบางคนมีการควบคุมตัวเอง ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่สามารถควบคุมตัวพวกเขาเองได้ ผู้คนบางคนหมิ่นเหม่ที่จะจมลงไปสู่สิ่งมืดทั้งหลาย ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้ครองแม้กระทั่งเสี้ยวกระผีกของชีวิต หากผู้คนมีความสามารถที่จะไม่ถูกสิ่งเหล่านั้นยึดครองและจำกัดควบคุม นั่นพิสูจน์ให้เห็นว่าอุปนิสัยของพวกเขาได้รับการแปลงสภาพไปแล้วเล็กน้อย และว่าพวกเขามีวุฒิภาวะเล็กน้อย ผู้คนบางคนเข้าใจความจริงบางอย่างและรู้สึกว่าพวกเขามีชีวิตและรู้สึกว่าพวกเขารักพระเจ้า โดยแท้จริงแล้ว การนั้นยังคงเร็วเกินไป และการก้าวผ่านการแปลงสภาพในอุปนิสัยของคนเราไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย ธรรมชาติของคนเราง่ายที่จะเข้าใจกระนั้นหรือ? ต่อให้เจ้าเข้าใจมันเล็กน้อย ธรรมชาตินั้นก็คงจะไม่ง่ายที่จะเปลี่ยนแปลง นี่คือพื้นที่ของความลำบากยากเย็นสำหรับผู้คน ไม่ว่าผู้คน เรื่องราว หรือสิ่งของทั้งหลายรอบตัวเจ้าอาจเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และไม่ว่าโลกอาจพลิกกลับหัวอย่างไร หากความจริงกำลังนำทางเจ้าจากภายใน หากสิ่งนั้นได้ฝังรากอยู่ภายในตัวเจ้าแล้ว และพระวจนะของพระเจ้านำทางชีวิตของเจ้า การเลือกชอบของเจ้า ประสบการณ์ของเจ้า และการดำรงอยู่ของเจ้า ณ จุดนั้นเจ้าจะได้แปลงสภาพไปแล้วอย่างแท้จริง บัดนี้ การแปลงสภาพที่ว่านี้เป็นแค่การที่ผู้คนให้ความร่วมมือเล็กน้อยและมีความกระตือรือร้นและความเชื่อสักนิดหน่อย แต่นี่ไม่สามารถพิจารณาว่าเป็นการแปลงสภาพได้ และมันไม่ได้พิสูจน์ว่าผู้คนมีชีวิต นั่นเป็นแค่การเลือกชอบของผู้คน—ไม่มีสิ่งใดมากกว่านั้น

นอกเหนือจากการพลิกแผ่นดินค้นหาสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนโปรดปรานในธรรมชาติของพวกเขา แง่มุมอื่นๆ อันเกี่ยวข้องกับธรรมชาติของพวกเขายังจำเป็นต้องถูกพลิกแผ่นดินค้นหาเช่นกัน ตัวอย่างเช่น ทัศนคติของผู้คนเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลาย วิธีการและเป้าหมายในชีวิตของผู้คน คุณค่าชีวิตและทรรศนะเกี่ยวกับชีวิตของผู้คน ตลอดจนทรรศนะเกี่ยวกับสิ่งทั้งปวงที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความจริง เหล่านี้คือสรรพสิ่งทั้งมวลลึกลงไปภายในดวงจิตของผู้คน และสิ่งเหล่านั้นมีสัมพันธภาพโดยตรงกับการแปลงสภาพของอุปนิสัย เช่นนั้นแล้ว ทรรศนะชีวิตของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามคือสิ่งใด? สามารถกล่าวได้ว่านั่นเป็นดังนี้ นั่นคือ "มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม" ผู้คนทั้งปวงดำรงชีวิตเพื่อตัวพวกเขาเอง หากจะพูดอย่างชัดแจ้งขึ้น พวกเขากำลังดำรงชีวิตเพื่อเนื้อหนัง พวกเขากำลังดำรงชีวิตเพียงเพื่อใส่อาหารเข้าในปากของพวกเขาเท่านั้น การดำรงอยู่แบบนี้แตกต่างจากการดำรงอยู่ของสัตว์ทั้งหลายอย่างไร? ไม่มีคุณค่าอันใดเลยในการดำรงชีวิตเช่นนี้ ไม่ต้องกล่าวถึงความหมายอันใด ทรรศนะชีวิตของคนเราเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าพึ่งพาเพื่อดำรงชีวิตในโลกนี้ สิ่งที่เจ้าดำรงชีวิตเพื่อมัน และวิธีที่เจ้าดำรงชีวิต—และเหล่านี้คือสิ่งทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับแก่นแท้ของธรรมชาติแบบมนุษย์ โดยผ่านทางการชำแหละธรรมชาติของผู้คนนั้น เจ้าจะมองเห็นว่าผู้คนล้วนกำลังต้านทานพระเจ้า พวกเขาล้วนเป็นเหล่ามาร และไม่มีบุคคลที่ดีอย่างจริงแท้เลย มีเพียงโดยการชำแหละธรรมชาติของผู้คนเท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถรู้จักแก่นแท้และความเสื่อมทรามของมนุษย์ได้อย่างแท้จริง และเข้าใจว่าแท้ที่จริงแล้วผู้คนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งใด ผู้คนขาดพร่องสิ่งใดอย่างแท้จริง พวกเขาควรมีสิ่งใดไว้ติดตัว และพวกเขาควรดำรงชีวิตไปตามสภาพเสมือนของมนุษย์อย่างไร การชำแหละธรรมชาติของมนุษย์อย่างแท้จริงไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่สามารถทำได้โดยปราศจากการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าหรือการมีประสบการณ์ที่แท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการแปลงสภาพอุปนิสัยของคนเรา

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger