พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การเข้าสู่ชีวิต | บทตัดตอน 556

วันที่ 25 เดือน 09 ปี 2021

มีเพียงโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น คนเราจึงสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้ กล่าวคือ นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนต้องจับใจความและทำความเข้าใจอย่างถี่ถ้วน หากเจ้าไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงอย่างเพียงพอ เจ้าจะลื่นล้มและหลุดออกนอกลู่นอกทางได้อย่างง่ายดาย หากเจ้าต้องการที่จะเติบโตในชีวิต เจ้าต้องแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่สำคัญว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าควรจะแสวงหาจนพบวิธีที่จะประพฤติตนเพื่อที่จะอยู่ในแนวเดียวกันกับความจริง และค้นพบว่าความแปดเปื้อนซึ่งดำรงอยู่ภายในตัวเจ้าอันใดที่ล่วงละเมิดความจริง เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใด เจ้าควรพิจารณาว่าสิ่งนั้นมีคุณค่าหรือไม่ เจ้าสามารถทำสิ่งทั้งหลายที่มีความหมาย แต่เจ้าต้องไม่ทำสิ่งทั้งหลายที่ไม่มีความหมาย เมื่อคำนึงถึงสิ่งทั้งหลายที่เจ้าสามารถที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้นั้น หากสิ่งเหล่านั้นสามารถถูกปล่อยไปได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรที่จะปล่อยสิ่งเหล่านั้นไป หรือไม่เช่นนั้น หากเจ้าทำสิ่งเหล่านี้อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง และต่อมาก็พบว่าเจ้าควรจะปล่อยสิ่งเหล่านั้นไป เช่นนั้นแล้วก็จงรีบทำการตัดสินใจโดยไวและปล่อยสิ่งเหล่านั้นไปให้รวดเร็ว นี่คือหลักธรรมที่เจ้าควรปฏิบัติตามในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ ผู้คนบางคนยกคำถามนี้ขึ้นว่า เหตุใดการแสวงหาความจริงและนำความจริงมาสู่การปฏิบัติจึงลำบากยากเย็นมากเหลือเกิน—ราวกับว่าเจ้ากำลังพายเรือทวนน้ำ และคงจะลอยคว้างกลับไปทางด้านหลังหากเจ้าหยุดแจวไปข้างหน้า? เหตุใดเล่า การทำสิ่งทั้งหลายที่ชั่วและไร้ความหมายจึงง่ายกว่าอย่างมากมายจริงๆ—ง่ายดายราวกับการลอยเรือล่องลงไปตามกระแสน้ำ? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า? นั่นเป็นเพราะธรรมชาติของมนุษยชาติคือการทรยศพระเจ้า ธรรมชาติของซาตานได้มีบทบาทที่โดดเด่นภายในพวกมนุษย์ และนี่คือกำลังบังคับเชิงปฏิกิริยา แน่นอนว่าพวกมนุษย์ซึ่งมีธรรมชาติที่ทรยศพระเจ้านั้น หมิ่นเหม่อย่างยิ่งที่จะทำสิ่งทั้งหลายที่ทรยศพระองค์ และก็เป็นธรรมดาที่การกระทำในเชิงบวกนั้นลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะปฏิบัติ การนี้ถูกตัดสินอย่างเบ็ดเสร็จโดยธรรมชาติแก่นแท้ของมนุษยชาติ ทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงอย่างแท้จริงและเริ่มที่จะรักความจริงจากภายในตัวเจ้าเอง เจ้าก็จะมีความเข้มแข็งที่จะทำสิ่งทั้งหลายที่คล้อยตามความจริง แล้วจากนั้น นี่จึงกลายมาเป็นสิ่งปกติ และถึงขั้นไม่ต้องใช้ความพยายามและเป็นที่น่ายินดี และเจ้ารู้สึกว่าการทำสิ่งใดก็ตามที่เป็นเชิงลบพึงจะต้องใช้ความพยายามอย่างมากมายมหาศาล นี่เป็นเพราะความจริงได้มีบทบาทโดดเด่นในหัวใจของเจ้าแล้ว หากเจ้าเข้าใจจริงๆ ถึงความจริงเกี่ยวกับชีวิตแบบมนุษย์และเกี่ยวกับการที่จะเป็นบุคคลประเภทใด—วิธีที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อตรงเปิดเผยและเถรตรง เป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เป็นใครบางคนที่เป็นพยานแด่พระเจ้าและรับใช้พระองค์—เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันสามารถก่อการกระทำชั่วที่เยาะเย้ยท้าทายพระองค์ได้อีก อีกทั้งเจ้าจะไม่แสดงบทบาทของผู้นำเทียมเท็จ คนทำงานเทียมเท็จ หรือศัตรูของพระคริสต์อีกเลย ต่อให้ซาตานหลอกลวงเจ้า หรือใครบางคนที่ชั่วยุแหย่เจ้า เจ้าก็จะไม่ทำการนั้น ไม่สำคัญว่าผู้ใดพยายามที่จะบังคับขู่เข็ญเจ้า เจ้าก็จะยังคงไม่ปฏิบัติตนในหนทางนั้นอยู่ดี หากผู้คนได้รับความจริง และความจริงกลายเป็นชีวิตของพวกเขา พวกเขาก็กลายเป็นสามารถที่จะเกลียดความชั่วและรู้สึกถึงความขยะแขยงจากภายในที่มีต่อสิ่งที่เป็นเชิงลบทั้งหลาย นั่นคงจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะกระทำความชั่ว เพราะอุปนิสัยในการดำเนินชีวิตของพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และพวกเขาได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าแล้ว

หากเจ้าครองความจริงภายในเจ้าจริงๆ เส้นทางที่เจ้าเดินนั้นย่อมจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้องไปเอง หากปราศจากความจริง ย่อมง่ายดายที่จะทำชั่ว และเจ้าจะทำสิ่งนั้นไปทั้งที่เจ้าไม่ตั้งใจ ตัวอย่างเช่น หากความโอหังและความทะนงตนมีอยู่ภายในตัวเจ้า เจ้าก็คงจะพบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะเลี่ยงการไม่เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า เจ้าคงจะรู้สึกถูกบีบให้จำยอมเยาะเย้ยท้าทายพระองค์ เจ้าคงจะไม่ทำสิ่งนั้นโดยมีจุดประสงค์ เจ้าคงจะทำสิ่งนั้นไปภายใต้การครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของเจ้า ความโอหังและความทะนงตนของเจ้าคงจะทำให้เจ้าดูแคลนพระเจ้าและเห็นพระองค์ทรงไร้ค่าไม่สำคัญ สิ่งเหล่านั้นคงจะเป็นเหตุให้เจ้ายกย่องตัวเจ้าเอง อวดแสดงตัวเองอยู่เป็นนิตย์ และในที่สุดก็นั่งในที่ของพระเจ้า และให้คำพยานสำหรับตัวเจ้าเอง ในที่สุด เจ้าก็คงจะแปรแนวคิดของเจ้าเอง การคิดของเจ้าเอง และมโนคติที่หลงผิดของตัวเจ้าเองไปเป็นความจริงเพื่อที่จะได้รับการนมัสการ จงดูเถิดว่า ผู้คนทำความชั่วไปมากเพียงใดภายใต้ภาวะครอบงำของธรรมชาติที่โอหังและทะนงตนของพวกเขา! เพื่อที่จะแก้ไขการปฏิบัติตนชั่วของพวกเขา พวกเขาจะต้องแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติของพวกเขาเสียก่อน หากปราศจากการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัย คงจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะนำพาการแก้ไขขั้นพื้นฐานมาสู่ปัญหานี้ เมื่อเจ้ามีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า เมื่อเจ้าสามารถมองเห็นความเสื่อมทรามของเจ้าเอง และระลึกได้ถึงการดูหมิ่นเหยียดหยามและความน่าเกลียดของความโอหังและการทะนงตน เมื่อนั้นเจ้าจะรู้สึกขยะแขยง คลื่นเหียน และทุกข์โศก เจ้าจะสามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้อย่างมีจิตสำนึก และในการทำเช่นนี้จะรู้สึกสบายใจ เจ้าจะสามารถเป็นพยานต่อพระเจ้าได้อย่างมีจิตสำนึก และในการทำเช่นนี้ จะรู้สึกถึงความชื่นชมยินดี เจ้าจะถอดหน้ากากตัวเองอย่างมีจิตสำนึก โดยเปิดโปงความน่าเกลียดของเจ้าเอง และด้วยการทำเช่นนี้ เจ้าจะรู้สึกดีอยู่ภายในและรู้สึกว่าตัวเจ้าเองอยู่ในสภาวะจิตใจที่ปรับปรุงดีขึ้น เพราะฉะนั้น ขั้นตอนแรกของการแสวงหาการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าก็คือการพยายามที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและพยายามที่จะเข้าสู่ความจริง มีเพียงโดยการเข้าใจความจริงเท่านั้นเจ้าจึงสามารถที่จะบรรลุถึงการหยั่งรู้ได้ มีเพียงด้วยการมีการหยั่งรู้เท่านั้นเจ้าจึงสามารถเข้าใจสิ่งทั้งหลายได้อย่างถี่ถ้วน มีเพียงโดยการเข้าใจสิ่งทั้งหลายอย่างถี่ถ้วนเท่านั้นเจ้าจึงสามารถตัดขาดจากเนื้อหนังได้ และอยู่ในร่องครรลองที่ถูกต้องกับการเชื่อของเจ้าในพระเจ้าทีละขั้นตอน การนี้เชื่อมโยงกับการที่ผู้คนมีความเด็ดเดี่ยวเพียงใดเมื่อไล่ตามเสาะหาความจริง หากใครบางคนมุ่งมั่นอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว หลังจากหกเดือนหรือปีหนึ่งพวกเขาก็จะเริ่มอยู่บนร่องครรลองที่ถูกต้อง ภายในสามหรือห้าปี พวกเขาจะมองเห็นผลลัพธ์ และจะรู้สึกว่าพวกเขากำลังมีความก้าวหน้าในชีวิต หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถเชื่อเป็นเวลาสิบปีได้โดยไม่ได้รับประสบการณ์กับการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในที่สุด เจ้าจะคิดว่านี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของการเชื่อในพระเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าจะคิดว่านั่นเหมือนกันอย่างมากกับวิธีที่เจ้ากำลังดำรงชีวิตอยู่ในโลกก่อนหน้านี้ และคิดว่าการมีชีวิตอยู่นั้นไร้ความหมาย นี่แสดงให้เห็นอย่างแท้จริงว่า หากไม่มีความจริง ชีวิตก็ว่างเปล่า เจ้าอาจจะสามารถพูดคำพูดบางคำที่เป็นคำสอน แต่เจ้าจะยังคงรู้สึกไม่สบายใจและลำบากใจ หากผู้คนมีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอยู่บ้าง รู้วิธีที่จะดำรงชีวิตอย่างมีความหมาย และสามารถทำสิ่งทั้งหลายบางอย่างที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะรู้สึกว่านี่คือชีวิตจริง รู้สึกว่ามีเพียงโดยการดำรงชีวิตในหนทางนี้เท่านั้นชีวิตของพวกเขาจึงจะมีความหมาย และรู้สึกว่าพวกเขาต้องดำรงชีวิตในหนทางนี้เพื่อที่จะนำความพึงพอพระทัยมาสู่พระเจ้าสักเล็กน้อยและรู้สึกยินดี หากพวกเขาสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย นำความจริงมาปฏิบัติ ตัดขาดจากตัวพวกเขาเอง ละทิ้งแนวคิดของพวกเขาเอง และเชื่อฟังกับคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าได้โดยมีจิตสำนึก—หากพวกเขาสามารถที่จะทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ได้โดยมีจิตสำนึก—เช่นนั้นแล้ว นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของการนำความจริงมาปฏิบัติอย่างถูกต้องแม่นยำ และการนำความจริงมาปฏิบัติอย่างจริงแท้ และการนี้ไม่เหมือนกันอย่างยิ่งกับการที่พวกเขาพึ่งพาจินตนาการของพวกเขาและยึดติดกับคำสอนและกฎเกณฑ์ทั้งหลายของพวกเขาก่อนหน้านี้ โดยแท้ที่จริงแล้ว น่าเอือมระอาที่จะทำสิ่งใดเมื่อพวกเขาไม่เข้าใจความจริง น่าเอือมระอาที่จะยึดมั่นกับคำสอนและกฎเกณฑ์ทั้งหลาย และน่าเอือมระอาที่จะไม่มีเป้าหมายและที่จะทำสิ่งทั้งหลายอย่างมืดบอด มีเพียงด้วยความจริงเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถเป็นอิสระได้—การนี้ไม่มีโกหก—และด้วยความจริงนั้น พวกเขาสามารถทำสิ่งทั้งหลายได้อย่างง่ายดายและมีความสุข บรรดาผู้ที่ครองสภาวะแบบนี้คือผู้คนที่ครองความจริง พวกเขาคือบรรดาผู้ที่อุปนิสัยของพวกเขาได้รับการแปลงสภาพแล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, โดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยได้

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger