พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การเข้าสู่ชีวิต | บทตัดตอน 383

วันที่ 11 เดือน 08 ปี 2021

การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของคนเราไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม อีกทั้งไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่เสแสร้งจากภายนอกหรือการปรับเปลี่ยนชั่วคราวที่ทำขึ้นเพราะความกระตือรือร้น ตรงกันข้าม มันเป็นการเปลี่ยนสภาพอุปนิสัยที่จริงแท้ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมเช่นนั้นไม่เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงที่ถูกจัดแสดงในพฤติกรรมและการกระทำภายนอกของบุคคลหนึ่ง การเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัยหมายความว่าเจ้ามีความเข้าใจและได้รับประสบการณ์กับความจริง และว่าความจริงได้กลายมาเป็นชีวิตของเจ้าแล้ว ในอดีต เจ้าได้เข้าใจความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เจ้าไร้ความสามารถที่จะนำความจริงไปปฏิบัติ ความจริงเป็นเพียงคำสอนสำหรับเจ้าที่ไม่ได้ยึดติด บัดนี้อุปนิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนสภาพแล้ว เจ้าไม่เพียงเข้าใจความจริงเท่านั้น แต่เจ้ายังปฏิบัติโดยสอดคล้องกับความจริงด้วย บัดนี้เจ้ามีความสามารถที่จะปล่อยสิ่งทั้งหลายที่เจ้าชื่นชอบในอดีตไป สิ่งทั้งหลายที่เจ้าเคยเต็มใจทำ จินตนาการของเจ้า และมโนคติที่หลงผิดของเจ้า บัดนี้เจ้ามีความสามารถที่จะปล่อยสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่มีความสามารถที่จะปล่อยมันไปได้ในอดีต นี่คือการเปลี่ยนสภาพของอุปนิสัย และยังเป็นกระบวนการของการเปลี่ยนสภาพอุปนิสัยของเจ้าด้วยเช่นกัน อาจจะฟังดูเรียบง่ายทีเดียว แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ใครบางคนที่อยู่ในท่ามกลางกระบวนการนี้ต้องทนทุกข์กับความยากลำบากมากมาย ต้องเอาชนะร่างกายของเขา และต้องละทิ้งแง่มุมทั้งหลายแห่งเนื้อหนังที่เป็นส่วนหนึ่งในธรรมชาติของเขา บุคคลเช่นนั้นต้องก้าวผ่านการจัดการและการตัดแต่ง การตีสอนและการพิพากษา และบททดสอบและกระบวนการถลุงด้วยเช่นกัน มีเพียงหลังจากการได้รับประสบการณ์กับทั้งหมดนี้แล้วเท่านั้น บุคคลหนึ่งจึงสามารถเข้าใจธรรมชาติของเขาเองพอสมควร แม้กระนั้นการมีความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของเขาเองอยู่บ้าง ก็ไม่ใช่หมายความว่าคนเราจะมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ในทันทีทันใด คนเราต้องสู้ทนกับความยากลำบากในกระบวนการนี้ ในทำนองเดียวกันนั้น เจ้าจะเพียงแค่เริ่มต้นปฏิบัติในทันทีทันใดหลังจากได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งได้หรือไม่? เจ้าไม่สามารถเริ่มปฏิบัติได้ในทันที ขณะที่เจ้าครองความเข้าใจ ผู้อื่นตัดแต่งเจ้าและจัดการกับเจ้า และแล้วสภาพแวดล้อมของเจ้าก็บังคับเจ้าและใช้กำลังบังคับให้เจ้ากระทำการโดยสอดคล้องกับความจริงหลักธรรม บางครั้งผู้คนไม่เต็มใจที่จะก้าวผ่านการนี้ โดยกล่าวว่า "เหตุใดฉันจึงไม่สามารถทำการนี้ด้วยหนทางนั้นได้? ฉันต้องทำการนี้ด้วยหนทางนี้หรือ?" ผู้อื่นกล่าวว่า "หากท่านเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วท่านก็ควรทำการนี้ด้วยหนทางนี้ การทำการนี้ด้วยหนทางนี้คือการทำโดยสอดคล้องกับความจริง" เมื่อผู้คนไปถึงจุดใดจุดหนึ่งซึ่งพวกเขาได้รับประสบการณ์กับการทดสอบบางอย่างและลงเอยด้วยการเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและความจริงบางอย่าง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมีความสุขบ้างและเต็มใจกระทำการโดยสอดคล้องกับความจริงหลักธรรม ณ จุดเริ่มต้น ผู้คนลังเลที่จะปฏิบัติความจริง ขอให้ดูการทำหน้าที่ของคนเราให้ลุล่วงอย่างซื่อสัตย์เป็นตัวอย่าง กล่าวคือ เจ้ามีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงและการอุทิศตนเพื่อพระเจ้า และเจ้าเข้าใจความจริงที่เกี่ยวข้องนั้นด้วยเช่นกัน แต่เมื่อใดเล่าที่เจ้าจะมีความสามารถที่จะอุทิศตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ได้? เมื่อใดเจ้าจะมีความสามารถที่จะทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงได้ทั้งในนามและการกระทำ? การนี้พึงจะต้องมีกระบวนการหนึ่ง ในระหว่างกระบวนการนี้ เจ้าอาจทนทุกข์กับความยากลำบากมากมาย ผู้คนบางคนอาจจัดการกับเจ้า และผู้อื่นอาจวิพากษ์วิจารณ์เจ้า ดวงตาของทุกคนจะจับจ้องที่เจ้า และเมื่อนั้นเท่านั้นที่เจ้าจะเริ่มต้นตระหนักว่าเจ้าเป็นคนผิดและว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าเป็นผู้ที่ได้ทำไม่ดีพอ ว่าการขาดพร่องการเฝ้าเดี่ยวในการทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงคือสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ และว่าเจ้าต้องไม่ขาดความเอาใจใส่หรือทำอย่างขอไปที พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าจากภายใน และตำหนิเจ้าเมื่อเจ้าทำความผิดพลาด ในระหว่างกระบวนการนี้ เจ้าจะเข้าใจสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับตัวเจ้าเองบ้าง และจะรู้ว่าเจ้ามีราคีมากเกินไป เจ้าเก็บงำสิ่งจูงใจส่วนตัวมากเกินไป และมีความอยากอันเลยเถิดมากเกินไปเมื่อกำลังทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง ทันทีที่เจ้าได้เข้าใจแก่นแท้ของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เจ้าจะสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในการอธิษฐานและในการกลับใจอย่างแท้จริงได้ ด้วยหนทางนี้ เจ้าจะสามารถได้รับการชำระให้สะอาดจากราคีเหล่านั้น หากเจ้าแสวงหาความจริงในลักษณะนี้อยู่บ่อยครั้งเพื่อแก้ปัญหาที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของเจ้าเอง เจ้าจะค่อยๆ ย่างเท้าลงบนเส้นทางแห่งความเชื่อที่ถูกต้อง ยิ่งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของใครบางคนได้รับการชำระให้บริสุทธิ์มากขึ้นเท่าใด อุปนิสัยชีวิตของพวกเขาก็จะเปลี่ยนสภาพมากขึ้นเท่านั้น

ในแก่นแท้นั้น ตอนนี้เจ้ากำลังลุล่วงหน้าที่ของเจ้ามากเพียงใด? เจ้ากำลังลุล่วงหน้าที่ของเจ้าโดยสอดคล้องกับความจริงมากเพียงใด หลังจากอุปนิสัยของเจ้าได้ถูกแปลงสภาพไปแล้ว? โดยการตรวจสอบการนี้ เจ้าสามารถรู้ได้ว่า แท้ที่จริงแล้วอุปนิสัยของเจ้าได้ถูกแปลงสภาพไปแล้วมากเพียงใด การสัมฤทธิ์การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยของคนเราไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย นั่นไม่ได้หมายถึงแค่มีการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมไม่กี่อย่าง การได้รับความรู้เกี่ยวกับความจริงบ้าง การมีความสามารถที่จะพูดคุยเล็กน้อยเกี่ยวกับประสบการณ์ของคนเรากับทุกแง่มุมของความจริง หรือการเปลี่ยนแปลงบ้าง หรือกลายมาเป็นเชื่อฟังเล็กน้อยหลังจากได้รับการบ่มวินัย สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้ประกอบกันขึ้นเป็นการเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยชีวิตของคนเรา เหตุใดเราจึงกล่าวการนี้? แม้ว่าเจ้าอาจได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว แต่เจ้ายังคงไม่นำความจริงไปสู่การปฏิบัติ บางทีเนื่องจากเจ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมอยู่พักหนึ่ง และสถานการณ์ที่เอื้ออำนวย หรือรูปการณ์แวดล้อมปัจจุบันของเจ้าได้บังคับเจ้า เจ้าจึงได้ประพฤติตนในหนทางนี้ นอกจากนี้ เมื่อสภาวะจิตใจของเจ้ามั่นคงและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติพระราชกิจ เจ้าก็มีความสามารถที่จะปฏิบัติได้ หากเจ้าได้ก้าวผ่านการทดสอบและทนทุกข์โดยผ่านทางการทดสอบเหล่านั้นเช่นเดียวกับที่โยบได้ก้าวผ่าน หรือดังเช่นเปโตรผู้ที่พระเจ้าทรงขอให้เขาตาย เจ้าจะมีความสามารถที่จะกล่าวว่า "ต่อให้ข้าพระองค์ต้องตายหลังจากที่ได้ทำความรู้จักพระองค์แล้ว นั่นก็จะไม่เป็นอะไรเลย" ได้หรือไม่? การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยไม่ได้เกิดขึ้นชั่วข้ามคืน และทันทีที่เจ้าเข้าใจความจริงแล้ว เจ้าก็ไม่สามารถนำความจริงนั้นไปปฏิบัติภายในทุกสภาพแวดล้อมได้ นี่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติของมนุษย์ บางครั้งมันอาจดูราวกับว่าเจ้ากำลังนำความจริงไปปฏิบัติ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ธรรมชาติของการกระทำของเจ้าไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเจ้ากำลังทำเช่นนั้นอยู่ ผู้คนมากมายมีหนทางใดหนทางหนึ่งในพฤติกรรมภายนอกทั้งหลาย อาทิเช่น การมีความสามารถที่จะตัดครอบครัวและอาชีพการงานของพวกเขาทิ้งและทำหน้าที่ของพวกเขาให้ลุล่วง และดังนั้นพวกเขาจึงเชื่อว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริงอยู่ อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงระลึกได้ว่าพวกเขากำลังปฏิบัติความจริง หากทุกสิ่งที่เจ้าทำมีสิ่งจูงใจส่วนตัวอยู่เบื้องหลังการกระทำนั้นและถูกปลอมปน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้กำลังปฏิบัติความจริง เจ้าเพียงกำลังจัดแสดงการประพฤติอย่างฉาบฉวย พูดอย่างตรงๆ ได้ว่าการประพฤติของเจ้าคงจะถูกกล่าวโทษโดยพระเจ้า มันจะไม่ได้รับการสรรเสริญหรือจดจำโดยพระองค์ เมื่อทำการชำแหละเรื่องนี้เพิ่มเติม เจ้าก็กำลังทำชั่วและการประพฤติของเจ้าอยู่ฝ่ายตรงข้ามพระเจ้า จากภายนอก เจ้าไม่ได้กำลังขัดจังหวะหรือรบกวนสิ่งใดและเจ้าก็ยังไม่ได้ทำความเสียหายแท้จริงหรือล่วงละเมิดความจริงใดๆ มันดูเหมือนจะมีเหตุผลและสมเหตุสมผล ถึงกระนั้นแก่นแท้ของการกระทำของเจ้าก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำชั่วและการต้านทานพระเจ้า ดังนั้น เมื่อพิจารณาจากพระวจนะของพระเจ้า เจ้าควรที่จะกำหนดว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเจ้าแล้วหรือยังและเจ้ากำลังนำความจริงไปปฏิบัติหรือไม่โดยการมองดูที่สิ่งจูงใจเบื้องหลังการกระทำของเจ้า มันไม่ได้ขึ้นกับทรรศนะของมนุษย์ว่าการกระทำของเจ้าคล้อยตามจินตนาการแบบมนุษย์และเจตนาของมนุษย์หรือไม่ หรือว่าการกระทำเหล่านั้นเหมาะสมกับรสนิยมของเจ้าหรือไม่ สิ่งทั้งหลายเช่นนั้นไม่สำคัญเลย ตรงกันข้าม มันขึ้นอยู่กับการตรัสของพระเจ้าว่าเจ้ากำลังคล้อยตามน้ำพระทัยของพระองค์หรือไม่ ว่าการกระทำของเจ้าครองความจริงความเป็นจริงหรือไม่ และว่าการกระทำเหล่านั้นเป็นไปตามข้อพึงประสงค์และมาตรฐานของพระองค์หรือไม่ การประเมินวัดตัวเจ้าเองกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้นจึงจะถูกต้องแม่นยำ การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยและการนำความจริงมาปฏิบัติไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายและง่ายดายอย่างที่ผู้คนจินตนาการ เจ้าเข้าใจถึงการนี้ในตอนนี้หรือไม่? เจ้ามีประสบการณ์ใดๆ กับการนี้หรือไม่? เมื่อพูดถึงแก่นแท้ของปัญหา พวกเจ้าอาจไม่เข้าใจมัน การเข้าสู่ของพวกเจ้าได้เป็นไปโดยผิวเผินอย่างเกินควร พวกเจ้าวิ่งวุ่นดำเนินงานทั้งวัน จากรุ่งอรุณจนถึงพลบค่ำ ตื่นแต่เช้าตรู่และเข้านอนดึก ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังไม่สัมฤทธิ์การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัยชีวิตของเจ้า และเจ้าไม่สามารถจับความเข้าใจได้ว่าการเปลี่ยนสภาพเช่นนั้นเกี่ยวข้องกับสิ่งใด นี่หมายถึงการเข้าสู่ของเจ้านั้นตื้นเขินเกินไป ใช่หรือไม่? ไม่ว่าเจ้าจะได้เชื่อพระเจ้ามานานเพียงใด พวกเจ้าอาจไม่สำนึกรับรู้ถึงแก่นแท้และสิ่งทั้งหลายที่ลึกซึ้งที่เกี่ยวข้องกับการสัมฤทธิ์การเปลี่ยนสภาพในอุปนิสัย อาจกล่าวได้หรือไม่ว่าอุปนิสัยของเจ้าได้เปลี่ยนแปลงแล้ว? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้าทรงสรรเสริญเจ้าหรือไม่? อย่างน้อยที่สุด เจ้าจะรู้สึกมั่นคงเป็นพิเศษหรือเป็นธรรมดาเกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำ และเจ้าจะรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำและให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าและทรงพระราชกิจในตัวเจ้า ขณะที่เจ้ากำลังทำหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วง ขณะที่เจ้ากำลังทำงานใดๆ ในพระนิเวศของพระเจ้า การประพฤติของเจ้าจะเข้ากันได้อย่างกลมเกลียวกับพระวจนะของพระเจ้า และทันทีที่เจ้าได้รับประสบการณ์ในระดับใดระดับหนึ่งแล้ว เจ้าจะรู้สึกว่าวิธีที่เจ้ากระทำการในอดีตนั้นค่อนข้างจะเหมาะสม อย่างไรก็ตาม หากหลังจากที่ได้รับประสบการณ์เป็นระยะเวลาหนึ่ง เจ้ารู้สึกว่าสิ่งทั้งหลายบางอย่างที่เจ้าได้ทำในอดีตไม่เหมาะสม และเจ้าไม่พึงพอใจกับสิ่งเหล่านั้น และรู้สึกว่าโดยแท้จริงแล้วไม่มีความจริงในสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้ทำเลย เช่นนั้นแล้วนี่พิสูจน์ให้เห็นว่าทุกสิ่งที่เจ้าได้ทำนั้นได้ถูกกระทำไปในการต้านทานพระเจ้า เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าการปรนนิบัติของเจ้าเต็มไปด้วยการเป็นกบฏ การต้านทานและหนทางแห่งการกระทำของมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับการแปลงสภาพอุปนิสัยของคนเรา

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger