ฉันหยุดพูดโกหกอย่างไร
ก่อนฉันจะยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า ฉันจะโกหกและประจบผู้คนโดยไม่ไตร่ตรอง เพราะกลัวว่าถ้าบอกความจริง ฉันจะล่วงเกินและทำให้ผู้คนผิดหวัง ฉันมาเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เมื่อพฤศจิกายนปี 2018 และได้รู้จากพระวจนะว่าพระองค์ทรงเกลียดคนที่ชอบเอาใจคนอื่นและคนเจ้าเล่ห์ ฉันตัดสินใจนำพระวจนะไปสู่การปฏิบัติและเป็นคนซื่อสัตย์ และหลังจากพยายามบ้าง ฉันก็สามารถพูดอย่างตรงไปตรงมาได้เป็นส่วนใหญ่ ตัวอย่างเช่น ตอนที่ฉันควรจะจ่ายค่ายามากกว่าห้าสิบยูโร แต่ว่าเภสัชกรนับผิดและรับเงินไปครึ่งเดียว ฉันก็บอกไปโดยไม่คิดเลยค่ะว่าเขานับพลาด แต่เวลามีอะไรกระทบความมีหน้ามีตาหรือผลประโยชน์ส่วนตัวของฉัน ฉันก็ตรงไปตรงมาได้ยากขึ้นค่ะ
ปีนี้ช่วงดือนมีนาคม ตอนนั้น ฉันรับหน้าที่ผู้นำคริสตจักรและยุ่งตลอดเวลา บางครั้งฉันก็เหนื่อยมาก เพราะอดหลับอดนอน บ่ายวันหนึ่ง ตอนที่ฉันกำลังจะงีบ พี่หลี่ คู่ทำงานของฉัน ก็บอกว่าอยากคุยเรื่องงานของเรา พอเห็นข้อความ ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจมากนัก เพราะฉันรู้สึกเหนื่อย และไม่อยากหารืออะไร ตอนนั้นฉันคิดอยู่อย่างเดียวว่าอยากจะพักผ่อน แต่ฉันก็ไม่อยากจะบอกพี่หลี่ไปตรงๆ ฉันกลัวว่าเธอจะคิดกับฉันยังไง กลัวเธอจะคิดว่าฉันขี้เกียจ ห่วงความสุขสบายทางกายเกินไป และมองฉันไม่ดีไหม? ดังนั้นเพื่อรักษาภาพลักษณ์ ฉันจึงบอกเธอไปว่า “ขอโทษค่ะ ฉันมีนัดสำคัญ ต้องไปพบแพทย์ค่ะ” ฉันโพล่งคำโกหกออกมา โดยที่ไม่ได้คิดเลยด้วยซ้ำ พอโกหกไปแบบนั้น ฉันก็รู้สึกผิดอย่างมาก จนไม่ได้พักผ่อนเลย แต่รู้สึกแย่อยู่ตลอดเวลา พระเจ้าทรงชอบคนซื่อสัตย์ ฉันโกหกโดยไม่คิดได้ยังไง? อย่างนี้ใครจะเชื่อใจฉันได้? ฉันรู้ว่าการโกหกเพื่อความสุขสบายทางกายนั้นไม่ถูกต้อง นั่นไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงชอบ และฉันควรให้งานของคริสตจักรมาก่อน ดังนั้น ฉันจึงติดต่อหาพี่หลี่ทันที เธอถามฉันว่า ฉันกลับมาจากนัดของฉันแล้วหรือยัง ฉันไม่ได้บอกความจริงกับเธอ แต่กลับโกหกต่อไป เพราะไม่อยากจะดูไม่ดีในสายตาของเธอ และทำให้เธอคิดว่าฉันเป็นคนฉลาดแกมโกง ฉันบอกเธอไปว่า ฉันยังไม่ได้ไปพบแพทย์เลย เพราะเธอยกเลิกนัดในนาทีสุดท้ายเนื่องจากต้องไปที่คลีนิควัคซีน หลังจากนั้น บทสนทนาของเราก็เปลี่ยนเป็นเรื่องงาน แต่ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลยจริงๆ ฉันโกหกเธอไปครั้งหนึ่ง แล้วก็ไม่ยอมรับ แต่ยังคงโกหกต่อไป ฉันเห็นว่าอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉันร้ายแรงแค่ไหน และรู้สึกละอายใจตัวเอง ฉันแทบมองหน้าเธอไม่ติดเลยค่ะ ฉันหลอกลวงเธอ ซึ่งแปลว่าฉันเป็นคนไม่ซื่อสัตย์จริงๆ ในใจ มันเกิดความรู้สึกขัดแย้งขึ้นมา ถ้าฉันสารภาพออกไปว่าโกหก มันคงทำลายภาพลักษณ์ของฉันในสายตาเธอ แล้วเธอก็จะมองว่าฉันเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ แต่ถ้าฉันโกหกต่อไป พระเจ้าจะทรงรังเกียจ ดังนั้น ฉันจึงมาเฉพาะพระพักตร์เพื่อทบทวนตัวเอง ขณะที่ทบทวนนั้น ฉันตระหนักได้ว่าฉันกะล่อนและเจ้าเล่ห์มาก มีครั้งหนึ่ง ผู้นำคนหนึ่งถามฉันว่า ฉันบอกพี่โจวเรื่องงานชุมนุมในค่ำนั้นหรือยัง ฉันรู้ตัวว่าฉันยังไม่ได้บอกเธอเลย แต่ฉันก็ไม่ได้บอกความจริงกับผู้นำคนนั้น เพราะอยากจะรักษาภาพลักษณ์ที่เธอมองฉัน ฉันโกหกออกไป พูดว่า ฉันเพิ่งบอกเธอไปค่ะ จากนั้น ฉันก็ส่งข้อความไปบอกพี่โจวเรื่องงานชุมนุมทันที อีกอย่าง ปกติฉันจะออกไปจ่ายตลาดทุกเช้าวันศุกร์ ดังนั้น ในตอนนั้นฉันจึงไม่สามารถเข้าร่วมงานชุมนุมกระทันหันใดๆ ได้ ฉันไม่บอกความจริง และแค่บอกผู้นำไปตรงๆ ว่า ฉันต้องไปซื้ออาหารมาตุนในครัวสำหรับสองสามวันจากนั้น บอกว่ามันเป็นช่วงเดียวที่ฉันว่างไปจ่ายตลาดได้ ฉันจะบอกเธอว่า ฉันมีงานชุมนุมงานอื่น หรือไม่ก็มีนัดหมาย ซึ่งเป็นเหตุผลที่ฉันไปไม่ได้ ฉันกล่าวบิดเบือน เป็นคนฉลาดแกมโกงและหลอกลวง เพียงเพื่อจะปกป้องภาพลักษณ์ของตัวฉันเอง และทำให้ผู้นำคนนั้นคิดว่าฉันยุ่งอยู่กับหน้าที่ตลอดเวลา ฉันเห็นว่าความซื่อสัตย์ของฉันไม่ได้ใกล้เคียงข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าตรงไหนเลย ฉันจึงอธิษฐานว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ข้าพระองค์เสียใจที่โกหกและหลอกลวง ข้าพระองค์เลิกโกหกเพื่อความสุขสบายทางกายของตัวเองไม่ได้ ข้าพระองค์ไม่ใช่คนซื่อสัตย์สักนิด พระเจ้า โปรดทรงนำข้าพระองค์ และทรงช่วยให้ข้าพระองค์เข้าใจความจริง ให้เป็นอิสระจากความเสื่อมทรามนี้ด้วยเถิด”
จากนั้น ฉันก็อ่านพระวจนะบทตอนนี้ “ในชีวิตประจำวันของพวกเขา ผู้คนพูดสิ่งทั้งหลาย มากมายที่ไร้จุดหมาย ไม่แท้จริง ไม่รู้เท่าทัน โง่เง่า และเพื่อสร้างความชอบธรรม โดยรากเหง้านั้น พวกเขาพูดสิ่งเหล่านี้เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของความภาคภูมิใจของพวกเขาเอง เพื่อสนองความถือดีของพวกเขาเอง ทั้งนี้ ถ้อยคำโป้ปดมดเท็จเหล่านี้ของพวกเขาคือการพรั่งพรูออกมาของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา การแก้ไขความเสื่อมทรามนี้จะชำระหัวใจของเจ้าให้สะอาด และด้วยการนี้จึงทำให้เจ้าปราศจากราคีมากขึ้นทุกทีและซื่อสัตย์มากขึ้นทุกที ในข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนล้วนแต่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาจึงพูดโกหก กล่าวคือ นั่นเป็นไปเพื่อความมีเห็นแก่ประโยชน์ของความมีหน้ามีตาในสังคมของพวกเขา และในการเปรียบเทียบตัวพวกเขาเองกับผู้อื่น พวกเขาก็ทำเกินตัวมากเกินไปเพื่อรักษาศักดิ์ศรีและความมั่นคงของพวกเขาเอง แต่แล้วกลับลงเอยด้วยการเสียหน้า เสียความมั่นคง เสียศักดิ์ศรีของพวกเขา นั่นเป็นเพราะเจ้าพูดโกหกมากเหลือเกิน เพราะทุกๆ สิ่งที่เจ้ากล่าวคือคำโกหก ไม่มีสิ่งใดที่เจ้ากล่าวนั้นจริงแท้เลย เมื่อเจ้าพูดโกหก เจ้าอาจจะไม่เสียหน้าตรงนั้นและตอนนั้น แต่ในหัวใจของเจ้า เจ้ารู้สึกอัปยศอดสูอย่างถึงที่สุด ดังนั้นมโนธรรมของเจ้าจึงกล่าวหาเจ้าว่าไม่ซื่อสัตย์เช่นกัน ในหัวใจของเจ้า เจ้านับถือตัวเองน้อยลง เจ้าดูหมิ่นตัวเองว่า ‘ชีวิตของฉันน่าสมเพชเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? มันยากลำบากมากจริงๆ หรือที่จะพูดสักสิ่งหนึ่งอย่างซื่อสัตย์? ฉันต้องพูดคำโกหกเหล่านี้อยู่เสมอเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของความมีหน้ามีตาในสังคมของฉันกระนั้นหรือ? เหตุใดชีวิตของฉันจึงน่าเหนื่อยล้านัก?’ ชีวิตไม่จำเป็นต้องน่าเหนื่อยล้าเช่นนั้น แต่เจ้าไม่ได้เลือกเส้นทางของการดำรงชีวิตที่ง่ายและเป็นอิสระ เจ้าได้เลือกเส้นทางของการปกป้องความมีหน้าตามีตาในสังคมและความถือดีของเจ้าเอง—ดังนั้นแล้วชีวิตของเจ้าจึงน่าเหนื่อยหน่ายอย่างมาก อะไรคือหน้าตาที่เจ้าได้รับจากการพูดโกหก? นั่นคือบางสิ่งซึ่งว่างเปล่า บางสิ่งซึ่งไร้ค่าโดยสิ้นเชิง ในยามที่เจ้าโกหก เจ้ากำลังทรยศความสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรีของเจ้าเอง คำโกหกเหล่านี้ทำให้ผู้คนต้องสูญเสียศักดิ์ศรีของพวกเขา ทำให้ผู้คนต้องสูญเสียความสัตย์สุจริตของพวกเขา และการนี้ไม่น่ายินดีสำหรับพระเจ้า พระเจ้าทรงดูหมิ่นการนี้ นี่คุ้มค่ากันหรือไม่? นี่ใช่เส้นทางที่ถูกต้องหรือไม่? นี่ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่การดำรงชีวิตในความสว่าง ในยามที่เจ้าไม่ดำรงชีวิตในความสว่าง เจ้ารู้สึกเหนื่อยล้า เจ้าโกหกอยู่บ่อยครั้ง แล้วก็จำเป็นที่จะต้องหนุนหลังคำโกหกเหล่านี้ด้วยคำโกหกที่มากขึ้นอยู่บ่อยครั้ง เจ้าควานหาเรื่องเหลวไหลในสมองของเจ้ามากขึ้น ทำให้ตัวเจ้าเองอยู่ภายใต้การทรมานอันใหญ่หลวงก่อนที่ในท้ายที่สุดแล้วจะคิดกับตัวเจ้าเองว่า ‘ฉันต้องไม่โกหกอีกแล้ว ฉันต้องปิดปากเอาไว้ พูดให้น้อยลง’ แต่เจ้าไม่สามารถหยุดตัวเจ้าเองได้ เพราะเหตุใด? เจ้าไม่สามารถละวางความมีหน้าตามีตาในสังคมและภาพพจน์ของเจ้าได้ เจ้าสามารถทำได้เพียงพูดโกหกเพื่ออารักขาสิ่งเหล่านั้นเท่านั้น นั่นย่อมรู้สึกเหมือนว่าการพูดโกหกจะคุ้มครองสิ่งเหล่านั้น แต่จริงๆ แล้ว นั่นไม่ใช่กรณีเช่นนั้น ไม่เพียงแค่คำโกหกเหล่านี้ไม่ได้คุ้มครองความสุจริตและศักดิ์ศรีของเจ้าเท่านั้น แต่ที่สำคัญมากไปกว่านั้นอีกก็คือ เจ้าได้เสียโอกาสที่จะปฏิบัติตามความจริงไปแล้ว เจ้าอาจได้คุ้มครองความมีหน้ามีตาในสังคมและภาพพจน์ของเจ้าเอาไว้ แต่เจ้าก็ได้สูญเสียความจริงไปแล้ว เจ้าได้สูญเสียโอกาสที่จะปฏิบัติตามความจริงไปแล้ว เจ้าได้สูญเสียโอกาสเหมาะที่จะเป็นใครบางคนที่ซื่อสัตย์ไปแล้ว—และเหล่านี้คือความสูญเสียที่หนักหนาที่สุดในบรรดาความสูญเสียทั้งปวง” (“โดยการซื่อสัตย์เท่านั้นคนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเหมือนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) บทตอนนี้อธิบายตัวฉันอย่างหมดเปลือก ฉันเห็นว่าฉันฉลาดแกมโกงและหลอกลวง ตอนที่ฉันแค่อยากพักผ่อน แค่เรื่องที่เล็กน้อยมาก ฉันก็บอกความจริงไม่ได้ ฉันไม่ได้บอกคู่ทำงานตรงๆ ว่าฉันต้องการงีบหลับแล้วหลังจากนั้นสักพักฉันค่อยพบเธอ แต่ฉันกลับโกหกแทน แรงจูงใจของฉันก็คือเพื่อปกป้องหน้าตาและสถานะของตัวเอง เพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของฉันในสายตาของคนอื่น แต่พระเจ้าทรงเกลียดพฤติกรรมแบบนั้น และฉันก็รู้สึกผิดกับเรื่องนี้ด้วย ดังที่พระวจนะว่า “เมื่อเจ้าพูดโกหก เจ้าอาจจะไม่เสียหน้าตรงนั้นและตอนนั้น แต่ในหัวใจของเจ้า เจ้ารู้สึกอัปยศอดสูอย่างถึงที่สุด ดังนั้นมโนธรรมของเจ้าจึงกล่าวหาเจ้าว่าไม่ซื่อสัตย์เช่นกัน ในหัวใจของเจ้า เจ้านับถือตัวเองน้อยลง เจ้าดูหมิ่นตัวเองว่า ‘ชีวิตของฉันน่าสมเพชเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? มันยากลำบากมากจริงๆ หรือที่จะพูดสักสิ่งหนึ่งอย่างซื่อสัตย์? ฉันต้องพูดคำโกหกเหล่านี้อยู่เสมอเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของความมีหน้ามีตาในสังคมของฉันกระนั้นหรือ? เหตุใดชีวิตของฉันจึงน่าเหนื่อยล้านัก?’” (“โดยการซื่อสัตย์เท่านั้นคนเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตตามสภาพเหมือนมนุษย์ได้อย่างแท้จริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) ฉันช่างเหมือนกับที่พระวจนะกล่าวจริงๆ ฉันตระหนัก จริงๆ ว่าการพูดโกหกเพื่อปกป้องความมีหน้ามีตาของตัวเองนั้นเป็นวิธีใช้ชีวิตที่เหนื่อยมาก ฉันต้องโกหกไปเรื่อยๆ เพื่อปกปิดคำโกหกเริ่มแรกของตัวเอง แล้วสุดท้าย ฉันก็กลายเป็นคนเสแสร้งและอ้อมค้อมขึ้นเรื่อยๆ ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงเกลียดสิ่งนี้ เพราะพระองค์ทรงบริสุทธิ์และชอบธรรม คิดย้อนไปถึงความไม่ซื่อสัตย์ทั้งหมดของฉัน หลังจากโกหก มโนธรรมของฉันรู้สึกตกเป็นจำเลย ฉันเสียใจและร้องไห้เฉพาะพระพักตร์ และฉันรู้สึกละอายในการโกหกของตัวเอง แต่ว่าฉัน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะโกหกต่อไป ฉันช่างเสื่อมทราม และน่าละอายนัก! การโกหกกลายมาเป็นธรรมชาติของฉัน ฉันนึกถึงสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ “จริงก็จงว่าจริง ไม่ก็ว่าไม่ คำพูดที่เกินกว่านี้มาจากความชั่ว” (มัทธิว 5:37) “พวกท่านมาจากพ่อของท่านคือมาร และท่านอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อ มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรกและไม่ได้ตั้งอยู่ในสัจจะ เพราะมันไม่มีสัจจะ เมื่อมันพูดเท็จมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา” (ยอห์น 8:44) จริงค่ะ การโกหกเป็นนิตย์ของฉัน แสดงว่าฉันเป็นของมาร และฉันก็กำลังโกหกแค่เพื่อปกป้องภาพลักษณ์และความมีหน้ามีตาของตัวเอง แต่นั่นพรากลักษณะและศักดิ์ศรีทั้งหมดไปจากฉัน ฉันนี่ช่างโง่เขลาจริงๆ! พระเจ้าทรงวางโอกาสให้ฉันได้ปฏิบัติความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ เพื่อเป็นพยานและทำให้ซาตานอับอาย แต่ฉันหลงกลอุบายของซาตาน เป็นตัวตลกให้กับมัน แค่เพื่อความมีหน้ามีตาของฉัน และเพื่อปกปิดความเสื่อมทรามของตัวเอง ฉันไม่ได้เป็นคนที่ซื่อสัตย์ แต่เป็นคนหลอกลวงโดยธรรมชาติ
จากนั้น ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะ “พวกเจ้าควรที่จะรู้ว่าพระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์ โดยเนื้อแท้แล้ว พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อ และดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การกระทำของพระองค์นั้นไร้ข้อผิดและมิอาจตั้งคำถามได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดพระเจ้าจึงชอบคนจำพวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยสมบูรณ์ ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ) ฉันเห็นว่าการซื่อสัตย์หมายถึงในใจไม่มีความหลอกลวง ไม่ใช้ลิ้นพูดโกหก และไม่เคยโกงพระเจ้าหรือมนุษย์ในเรื่องใดๆ เลย ฉันรู้ตัวว่าฉันฉลาดแกมโกงกับพี่หลี่มาก่อนจริงๆ โกหกเพื่อปกป้องภาพลักษณ์และผลประโยช์ของตัวเองเสมอ ฉันเพลียและอยากงีบหลับ จึงไม่อยากหารือเรื่องงานของคริสตจักรกับเธอเดี๋ยวนั้น แต่กลับไม่พูดสิ่งที่อยู่ในใจ แล้วโกหกเรื่องมีนัดหมายแทน เพราะฉันไม่อยากให้เธอดูแคลนฉัน ฉันเลือกโกหกเพื่อเลี่ยงจากการพบปะนั้น แทนที่จะพูดว่าฉันเพลียและต้องการพักผ่อน แล้วพอเราพบปะกันจริงๆ ฉันก็ไม่ได้ยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง แต่กลับโกหกต่อไป โดยใช้ความเท็จอีกอันเพื่อปกปิดความเท็จอันแรก เมื่อผู้นำของฉันถามเรื่องงาน ฉันโกหกว่าฉันได้ทำบางอย่างไปแล้ว ทั้งที่ฉันยังไม่ได้ทำเลย และเมื่อฉันต้องไปจ่ายตลาดประจำสัปดาห์ซึ่งไปตรงกับเวลาชุมนุม ฉันก็โกหกว่าฉันมีนัด ฉันแค่ต้องการปกป้องภาพลักษณ์ของตัวเองในทุกเรื่อง ฉันเห็นว่าฉันมีธรรมชาติที่เจ้าเล่ห์และหลอกลวงจริงๆ ฉันบอกความจริงไม่ได้ แม้แต่เรื่องที่พื้นฐานที่สุด ฉันถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างหนัก ไม่ซื่อสัตย์แม้แต่นิดเดียว
จากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง “เฉพาะเมื่อผู้คนพยายามซื่อสัตย์เท่านั้น พวกเขาจึงสามารถรู้ว่าพวกเขาเสื่อมทรามลึกเพียงใด และพวกเขามีความเหมือนมนุษย์ใดๆ หรือไม่ มีเพียงเมื่อพวกเขากำลังปฏิบัติความซื่อสัตย์เท่านั้น พวกเขาจึงสามารถกลายเป็นตระหนักรู้ว่าพวกเขาพูดโกหกกี่ครั้งและความหลอกลวงและความไม่ซื่อสัตย์ของพวกเขาซ่อนเร้นอยู่ลึกเพียงใด ในขณะที่กำลังมีประสบการณ์ของการปฏิบัติการเป็นคนซื่อสัตย์เท่านั้น ผู้คนจึงสามารถค่อยๆ มารู้จักความจริงของความเสื่อมทรามของพวกเขาเอง และระลึกรู้ธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขาเอง และเมื่อนั้นเท่านั้นอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาจึงจะสามารถชำระให้บริสุทธิ์อยู่เนืองนิตย์ได้ เฉพาะในระหว่างที่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขากำลังถูกชำระให้บริสุทธิ์อยู่เนืองนิตย์เท่านั้นที่ผู้คนจะมีความสามารถที่จะได้รับความจริง จงใช้เวลาของพวกเจ้าตามสบายในการมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านี้ พระเจ้าไม่ทรงทำให้พวกที่หลอกลวงมีความเพียบพร้อม หากหัวใจของเจ้าไม่ซื่อสัตย์—หากเจ้าไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่มีวันทรงรับเจ้าไว้ ในทำนองเดียวกัน เจ้าจะไม่มีวันได้รับความจริง และจะไม่สามารถได้รับพระเจ้าอีกด้วย หากเจ้าไม่สามารถได้รับพระเจ้า และเจ้าไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วนี่หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเจ้าไม่เป็นมิตรต่อพระเจ้า เจ้าเข้ากันไม่ได้กับพระองค์ และพระองค์ไม่ทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า และหากพระเจ้าไม่ทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถบรรลุความรอดได้ หากเจ้าไม่สามารถบรรลุความรอดได้ เจ้าก็จะเป็นศัตรูที่ขมขื่นของพระเจ้าตลอดไป และบทอวสานของเจ้าก็จะถูกกำหนด ด้วยเหตุนั้น หากผู้คนปรารถนาที่จะได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นแล้วพวกเขาต้องเริ่มต้นด้วยการเป็นคนซื่อสัตย์ มีหมายสำคัญหนึ่งซึ่งบ่งบอกถึงบรรดาผู้ที่พระเจ้าจะทรงรับไว้ในท้ายที่สุด พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าคือสิ่งใด? สิ่งนี้ถูกเขียนไว้ในพระธรรมวิวรณ์ ในพระคัมภีร์ว่า ‘และในปากของพวกเขาไม่พบความเท็จ เขาเป็นคนที่ปราศจากตำหนิ’ (วิวรณ์ 14:5) ‘พวกเขา’ คือผู้ใด? พวกเขาคือบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมและทรงรับไว้ และได้รับการช่วยให้รอด พระเจ้าทรงพรรณนาผู้คนเหล่านี้ว่าอย่างไร? สิ่งใดคือคุณลักษณะเฉพาะและการแสดงออกของการกระทำของพวกเขา? (พวกเขาไม่มีตำหนิ พวกเขาไม่พูดโกหก) พวกเจ้าทั้งหมดควรเข้าใจและจับความเข้าใจว่าการไม่พูดโกหกหมายถึงสิ่งใด กล่าวคือ หมายถึงการเป็นคนซื่อสัตย์ สิ่งใดคือความหมายของการไม่มีตำหนิ? พระเจ้าทรงนิยามใครบางคนที่ไม่มีตำหนิไว้อย่างไร? ในสายพระเนตรของพระเจ้า ผู้ใดคือใครบางคนที่เพียบพร้อม? (ใครบางคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว) นั่นถูกต้องแล้ว ในสายพระเนตรของพระเจ้า แท้จริงแล้วย่อมเป็นใครบางคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ดังนั้น การมีความเพียบพร้อมเชื่อมโยงกับการปราศจากมลทินหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ใช่สิ่งเดียวกันหรือไม่? (ใช่) แน่นอนที่สุด ดังนั้น ‘การปราศจากมลทิน’ หมายถึงสิ่งใด? (ผู้คนที่เพียบพร้อม ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว) ถูกต้อง พวกเขาคือผู้คนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ผู้คนที่สามารถติดตามทางแห่งพระเจ้าได้ มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่ปราศจากมลทิน” (“หกข้อบ่งบอกความก้าวหน้าในชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) การคิดไตร่ตรองเรื่องนี้ทำให้ฉันกลัวจริงๆ พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้าไม่ใช่บุคคลที่ซื่อสัตย์—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่มีวันทรงรับเจ้าไว้ ในทำนองเดียวกัน เจ้าจะไม่มีวันได้รับความจริง และจะไม่สามารถได้รับพระเจ้าอีกด้วย” “หากเจ้าไม่สามารถบรรลุความรอดได้ เจ้าก็จะเป็นศัตรูที่ขมขื่นของพระเจ้าตลอดไป และบทอวสานของเจ้าก็จะถูกกำหนด” จริงที่พระเจ้าไม่ทรงช่วยคนหลอกลวงให้รอด ฉันรู้ว่าถ้าฉันไม่กลับใจ สุดท้ายฉันจะถูกพระเจ้าทรงกำจัดทิ้ง เป็นเพราะพระราชกิจของพระเจ้า ที่สุดท้ายฉันก็ได้เข้าใจตัวเองจริงๆ และรู้ว่าคำโกหกมาจากมาร และฉันโกหกเพราะวิธีที่ถูกเลี้ยงดูมา และอิทธิพลของสังคม แม่ของฉันบอกฉันมาตลอดว่า ไม่ว่าผมหรือเสื้อผ้าของคนคนหนึ่งจะดูแย่แค่ไหน ฉันก็ยังต้องพูดสิ่งดีๆ จะได้ไม่ทำร้ายจิตใจของพวกเขา ไม่อย่างนั้น เวลาที่ฉันต้องการความช่วยเหลือ ก็จะไม่มีใครช่วยฉันเลย ด้วยการศึกษาประเภทนั้น ฉันจึงไม่กล้าซื่อสัตย์ ฉันทำงานเพื่อรักษาภาพลักษณ์ที่ดี เพื่อให้ผู้คนชอบฉันและคิดว่าฉันเห็นอกเห็นใจผู้อื่น แต่ที่จริง ฉันลงเอยด้วยการเป็นคนเสแสร้ง และหลอกลวง ทำให้นึกถึงโยบ บทที่ 1 ข้อที่ 7 ในพระคัมภีร์ “พระยาห์เวห์ตรัสถามซาตานว่า ‘เจ้ามาจากไหน?’ ซาตานทูลตอบพระยาห์เวห์ว่า ‘จากไปๆ มาๆ บนแผ่นดินโลก และจากเดินไปเรื่อยๆ บนนั้น’” ถ้อยคำของซาตานฉลาดแกมโกง ไม่ตรงไปตรงมา และไม่ชัดเจนว่ามันพูดอะไรแน่ ฉันไม่ได้ฉลาดแกมโกง ด้วยการโกหกเหมือนกับซาตานเหรอ? ฉันรู้สึกละอายใจจริงๆ ด้วยเห็นว่าฉันมีธรรมชาติแบบเดียวกับซาตาน ฉันใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน และไม่อิสระจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของตัวเองเลย แล้วฉันจะเข้ากันได้กับพระคริสต์ หรือได้รับความเห็นชอบของพระเจ้าโดยทางนั้นได้ยังไง? ฉันมาเฉพาะพระพักตร์เพื่อกลับใจ และขอให้ทรงอภัย ฉันเกลียดตัวเองและซาตานจริงๆ และฉันรู้สึกผิดอย่างมาก พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม และฉันรู้ว่าจะโกหกและล่วงเกินพระองค์ต่อไปไม่ได้ อีกบทตอนหนึ่งที่ฉันทบทวนก็คือ “มีเครื่องหมายสำหรับบรรดาผู้ที่พระเจ้าจะทรงรับไว้ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นสิ่งใด? สิ่งนี้ถูกเขียนไว้ในพระธรรมวิวรณ์ ในพระคัมภีร์ว่า ‘และในปากของพวกเขาไม่พบความเท็จ เขาเป็นคนที่ปราศจากตำหนิ’ (วิวรณ์ 14:5) ‘พวกเขา’ คือผู้ใด? พวกเขาคือบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมและทรงรับไว้ และได้รับการช่วยให้รอด” (“หกข้อบ่งบอกความก้าวหน้าในชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระเจ้าทรงเห็นคุณค่าของผู้ที่ซื่อสัตย์ และคนไม่ซื่อสัตย์ก็ไม่มีทางได้เข้าสู่ราชอาณาจักร ฉันอยากเลิกโกหก และกลายเป็นคนที่ไร้มลทินจริงๆ แต่ฉันทำมันด้วยตัวเองไม่ได้ ฉันต้องแสวงหาให้พระเจ้าทรงช่วย ป้องกันไม่ให้ฉันร่วงลงสู่กับดักของซาตาน การบอกความจริงอาจจะน่าอับอายบางครั้ง แต่ฉันอยากเลิกพูดโกหก แล้วฉันก็อ่าน “หลักธรรมเกี่ยวกับการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ซ้ำ “(1) ในการฝึกฝนตนเองให้เป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์นั้น จำเป็นที่จะต้องพึ่งพาพระเจ้า จงมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระองค์ และยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ มีเพียงด้วยการนี้เท่านั้น เมื่อเวลาผ่าน คนเราจึงจะสามารถสลัดทิ้งคำโกหกและเล่ห์ลวงของพวกเขาได้ (2) จำเป็นที่จะต้องยอมรับความจริงและทบทวนทุกคำพูดและความประพฤติของตน จงชำแหละต้นกำเนิดและแก่นแท้ของความเสื่อมทรามที่เจ้าเผยออกมา และจงมารู้จักตัวเจ้าเอง (3) จำเป็นที่จะต้องเจาะลึกในเรื่องทั้งหลายที่คนเราได้ผลุดการโกหกออกมาและเก็บงำความมีเล่ห์ลวง จงกล้าที่จะชำแหละและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเจ้า ขอโทษและชดใช้…” (จาก 170 หลักธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติความจริง) ฉันรู้ว่าฉันต้องขอโทษพี่หลี่ ฉันช่างหลอกลวง โกหกเธอถึงสองครั้ง ฉันตัดสินใจว่า ฉันต้องเปิดใจกับเธอเกี่ยวกับความเสื่อมทรามและแรงจูงใจของฉัน เก็บงำไม่ได้ ฉันต้องบอกความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ว่ายังไง หลังจากอธิษฐานอีกหลายครั้ง ฉันก็รวบรวมความกล้าเพื่อตีแผ่ตัวเองกับพี่หลี่ ฉันบอกพี่หลี่โดยละเอียดว่าฉันหลอกลวงเธอยังไงบ้าง และบอกว่าฉันได้กลับใจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ฉันเลิกปกปิดคำโกหกของตัวเอง เพราะฉันรู้ว่าพระเจ้ากำลังทรงเฝ้ามองฉัน และฉันต้องแบ่งปันทุกอย่างอย่างละเอียด หลังจากฉันพูดจบ ก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก และรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก
หลังจากนั้น ฉันก็เริ่มมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ตลอดเวลา ขอให้ทรงพินิจพิเคราะห์หัวใจฉัน เมื่อฉันมีเจตนาฉลาดแกมโกงบางอย่าง หรือฉันไม่ซื่อสัตย์ หรือเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ก็ขอให้ทรงหยุดฉัน บ่มวินัยฉัน ฉันรู้ว่าปัญหาเรื่องการโกหกนั้นแก้ไขไม่ได้ในทันที และในชีวิตฉันไม่เคยเป็นคนซื่อสัตย์เลยจริงๆ ฉันต้องการแสวงหาต่อไปเพื่อกลายเป็นคนซื่อสัตย์ พระเจ้าทรงชอบและอวยพรคนที่ซื่อสัตย์ และคนซื่อสัตย์เท่านั้นที่ถูกช่วยให้รอดได้ ตั้งแต่นั้น เมื่อไรก็ตามที่ฉันรู้ตัวว่ากำลังมีความคิดอ้อมค้อม ฉันก็มาเฉพาะพระพักตร์และอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์เจอปัญหา และรู้สึกเหมือนไม่อาจผ่านมันไปโดยไม่โกหกได้ โปรดทรงให้ความรู้แจ้งให้เข้าใจความจริง และประทานกำลังให้ละทิ้งเนื้อหนังด้วยเถิด พระเจ้า ข้าพระองค์ต้องการปฏิบัติความจริง และเป็นคนซื่อสัตย์ โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ ขอบคุณพระเจ้า!”
ครั้งหนึ่ง หลังจากการชุมนุม ผู้นำได้ถามถึงความคิดเห็นของฉัน ที่จริง ฉันสังเกตว่าในการชุมนุมนั้นเขาเผด็จการมาก และการสามัคคีธรรมของเขาก็มีปัญหาอื่นอีก แต่ฉันกลัวว่าความจริงจะสร้างบาดแผลให้ความภาคภูมิใจของเขา แล้วจากนั้นเขาก็จะไม่ชอบฉัน ฉันไม่อยากซื่อสัตย์แล้วเปลี่ยนความคิดที่เขามีต่อฉัน ฉันจึงพูดว่า “มันเยี่ยมเลยละค่ะ” ทันทีที่ฉันพูดออกไป ฉันก็รู้สึกแย่มาก ฉันรู้ตัวว่าเพิ่งโกหกออกไป ฉันจึงอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงนำให้ฉันเป็นคนซื่อสัตย์และพูดความจริง จากนั้น ฉันจึงไปพูดกับผู้นำคนนั้นถึงปัญหาในการชุมนุมนั้น และรู้สึกสงบสุขขึ้นมาก การชุมนุมที่เขาจัดครั้งต่อมาดีขึ้นมากค่ะ ฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงฟังเมื่อเราอธิษฐานอย่างจริงใจ ฉันสังเกตเลยว่า ผ่านไปสักพัก ฉันก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป ก่อนนั้น ฉันโกหกอยู่เสมอเพื่อปกป้องหน้าตาและสถานะ แต่เมื่อฉันให้หัวใจแก่พระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงเฝ้าดูหัวใจของฉัน เฝ้าดูฉัน และคอยคุมฉัน ฉันเห็นสภาวะของตัวเองชัดเจนขึ้น ฉันมาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์ และปฏิบัติตัวเป็นคนซื่อสัตย์ นั่นอาจจะล่วงเกินผู้คนในบางครั้ง แต่การเป็นคนซื่อสัตย์เฉพาะพระพักตร์นั้นสำคัญสำหรับฉันมากกว่า
ก่อนหน้านั้นฉันมีนิสัยโกหกเพื่อให้คนอื่นพอใจ เพื่อปกป้องหน้าตาและสถานะของฉัน แต่ตอนนี้ฉันกำลังพยายามเป็นคนซื่อสัตย์ในสภาพแวดล้อมทุกอย่างที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้ ฉันขอบคุณพระเจ้าจริงๆ สำหรับประสบการณ์และความเข้าใจเหล่านี้ การพิพากษาของพระวจนะได้ช่วยให้ฉันเห็นความเสื่อมทรามและอัปลักษณ์ของตัวเอง และก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงบ้าง ฉันรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนิสัยขี้โกหกนั้นเป็นขั้นตอน และพระเจ้าทรงจัดวางสถานการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่าให้ฉันประสบ ฉันต้องตื่นตัวเพื่อจะไม่พูดโกหกที่พระเจ้าทรงรังเกียจ ที่สำคัญที่สุด คือการยอมรับการพิพากษาของพระวจนะ และพึ่งพาพระเจ้า เพื่อเป็นอิสระจากนิสัยขี้โกหกอย่างแท้จริง ขอพระสิริจงมีแด่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ