การกลับใจของคุณหมอ

วันที่ 12 เดือน 03 ปี 2022

โดย หยาง ฟาน, ประเทศจีน

สมัยที่เริ่มเป็นหมอ ฉันพยายามจะเป็นหมอที่ใจดีและเป็นมืออาชีพ ทำดีกับคนไข้ และวินิจฉัยโรคอย่างแม่นยำ ในไม่ช้า ฉันก็เป็นที่ไว้วางใจจากทุกคนในละแวกใกล้เคียง หลายปีต่อมา ฉันพบว่าเพื่อนหมอต่างก็ซื้อรถ ซื้อบ้านใหม่กันทั้งนั้น แต่ครอบครัวของฉันยังอยู่บ้านชั้นเดียวหลังเก่าๆ ฉันยังขี่มอเตอร์ไซค์อยู่เลย ลูกชายฝาแฝดของฉันโตเร็วมาก รายจ่ายก็มีอยู่เพียบ แต่ฉันไม่ได้มีเงินมากนัก เวลานึกถึงสภาพการเงินที่บ้าน ฉันก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ ฉันสงสัยว่า “ทำไมฉันแทบจะมีเงินไม่พอใช้ แต่หมอพวกนี้หาเงินได้มากมายกันทั้งนั้น”

แล้ววันหนึ่ง ในการประชุมหมอชนบท ฉันได้คุยกับเพื่อนๆ หมอที่ตำแหน่งเท่ากัน ฉันถามพวกเขาว่าหาเงินเยอะขนาดนั้นได้ยังไง แล้วพวกเขาก็เริ่มเล่าให้ฟัง หมอคนหนึ่งชื่อหมอซุน บอกว่า “เจ้าหน้าที่ส่วนกลางเคยบอกว่า ‘ไม่สำคัญหรอกว่าแมวจะตัวสีดำหรือขาว ตราบใดที่มันจับหนูได้’ เงินคือทุกอย่างในสังคมสมัยนี้ การหาเงินได้ถือเป็นทักษะในตัวมันเอง แต่ถ้าใช้จิตสำนึก คุณก็จะจนไปทั้งชีวิต!” หมออีกคนที่ชื่อหมอลี่บอกว่า “ถ้าอยากได้เงินเพิ่ม คุณต้องเลี้ยงคนไข้เอาไว้ เวลารักษาก็สั่งยาฮอร์โมนให้พวกเขาสักหน่อย มันจะช่วยให้หายเร็ว แถมไม่เป็นอันตรายด้วย คุณเองก็จะมีชื่อเสียงโด่งดัง มีคนไข้มาหาเยอะขึ้น เงินก็มากขึ้น” ส่วนหมออีกคนที่ชื่อหมอจิน บอกว่า “‘เป็นน้อยแต่รักษามาก’ ถ้ามีคนมาหาด้วยอาการไอเพราะเป็นหวัด การรักษาแบบปกติทำเงินได้ไม่มาก แถมยังกินเวลา รักษาเหมือนเป็นโรคปอดบวมดีกว่า วิธีนี้ได้ผล ได้เงินเยอะขึ้น แถมคนไข้ก็พอใจ งานนี้วินวินทั้งคู่” พวกเขาล้วนมีวิธีหาเงินในแบบของตัวเอง ฉันค่อนข้างตกใจ การหาเงินจากคนไข้อย่างไร้จิตสำนึกแบบนี้ คือสิ่งที่คนเป็นหมอควรทำเหรอ มันเป็นพฤติกรรมที่ต่ำช้ามากเลยไม่ใช่เหรอ แต่ฉันก็นึกถึงบ้านที่พวกเขาอยู่ รถที่พวกเขาขับ รวมถึงการพูดที่ดูมั่นอกมั่นใจ ขณะที่ฉันยังไปไหนมาไหนด้วยมอเตอร์ไซค์ แถมจนมาก ถ้าไม่ทำอย่างที่พวกเขาบอก ฉันจะหาเงินเยอะๆ ได้ยังไง ฉันจะทำให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดีได้ยังไง อีกอย่าง ทุกคนก็ดูทำแบบนี้กันหมด ถึงจะเป็นหมอที่มีจรรยาบรรณ ฉันก็เปลี่ยนสังคมไม่ได้อยู่ดี ด้วยคำมั่นว่าจะหาเงินให้เยอะขึ้น จิตสำนึกของฉันเริ่มถูกกลืน ฉันตัดสินใจ จะลองใช้วิธีที่เพื่อนหมอสอนมา ฉันรักษาคนไข้เกินความจำเป็น ขายยาให้คนไข้มากเกิน

วันหนึ่ง มีคนไข้มาหาด้วยอาการปวดฟัน เขาเป็นโรคเหงืออักเสบ ซึ่งรักษาได้ด้วยยาราคาถูกๆ แต่พอเห็นว่าคนไข้ปวดมากแค่ไหน ฉันก็นึกถึง ที่หมอจินเคยพูดว่า “เป็นน้อยแต่รักษามาก” ฉันก็เลยจ่ายยาให้ ทั้งยาฝรั่งและยาจีน แถมฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อให้ด้วย ฉันกลัวคนไข้จะปฏิเสธที่ให้ยาหลายตัว เลยทำเป็นเห็นใจและพูดว่า “ยาเยอะหน่อยนะคะ แต่รักษาได้ถึงต้นตอของอาการปวดเลย” คนไข้ได้แต่กุมแก้มพยักหน้า จ่ายเงิน แล้วกลับไปโดยไม่พูดอะไร ตอนที่มองเขาเดินออกไป ความวิตกที่ฉันเคยรู้สึก ก็ค่อยๆ กลับมา ฉันหาเงินได้เยอะกว่าเดิมมาก และถึงตอนแรกจะรู้สึกผิด แต่ไม่นานมันก็หายไป วันต่อมา มีคุณแม่พาลูกชายวัยห้าขวบมาหาฉัน เขาเป็นหวัดและไอ เลยต้องการแค่ยาถูกๆ ไปกินสักสองสามวัน แต่แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ ว่ารักษาแบบนี้คงได้เงินไม่มาก ฉันเลยบอกแม่ของเด็กไปว่า “ลูกชายคุณเป็นโรคหลอดลมอักเสบ เขาต้องรับยาทางหลอดเลือดด่วน ไม่งั้นจะกลายเป็นปอดบวมได้” เธอตกใจมาก แต่ก็เชื่อทุกอย่างที่ฉันบอกโดยไม่สงสัยอะไร แล้วฉันก็ให้ยาทางหลอดเลือดเด็กอยู่สี่วัน ตอนออกจากโรงพยาบาล เงินที่พวกเขาจ่ายมันมากกว่าที่ฉันเคยได้จากการรักษาโรคนี้ตั้งหลายเท่า ฉันรู้สึกผิด แต่ก็นึกถึงคำที่หมอคนอื่นๆ พูดขึ้นมาอีก “จิตสำนึกใช้จ่ายหนี้หรือซื้อข้าวกินไม่ได้นะ ถ้ามัวแต่เชื่อฟัง เธอก็จะจนอยู่ตลอดไป” พอนึกถึงสิ่งที่พวกเขาเคยบอก ความรู้สึกผิดก็หายไป บางครั้งเราก็ต้องโกหกเพื่อหาเงิน เพื่อเอาตัวรอดในสังคมนี้ ฉันไม่มีทางเลือกอื่นค่ะ

ต่อมา มีคนไข้มาหาฉันด้วยโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง อาการของเธอแค่ต้องกินยาธรรมดาๆ บางตัวเท่านั้น แต่แน่นอน ว่านั่นทำให้ฉันได้เงินไม่เยอะ ฉันเลยบอกเธอไปว่า “คุณต้องรับยาทางหลอดเลือด ไม่งั้นจะกลายเป็นถุงลมโป่งพองได้ค่ะ กรณีที่อาการหนัก จะทำให้เป็นโรคหัวใจได้เลย” พอฉันคะยั้นคะยอ เธอก็ยินดีจะรับยาทางหลอดเลือดเจ็ดวัน ฉันจำได้ว่าในวันสุดท้ายของการรักษา เธอกุมมือฉันแล้วบอกว่า “ขอบคุณนะคุณหมอ พอได้รักษากับหมอ ฉันก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย ถ้ากลายเป็นโรคถุงลมโป่งพองหรือโรคหัวใจขึ้นมา ฉันคงทรมานมาก” พอได้ยินคำนี้ มันกระทุ้งเข้าที่จิตสำนึกของฉัน และหน้าฉันก็แดงก่ำขึ้นมา แต่ฉันก็คิดอีกว่า “ในสังคมนี้มีใครที่ไม่โกหกหรือขี้โกงบ้าง การหาเงินได้คือทักษะในตัวมันเองนี่” พอคิดแบบนี้ ความไม่สบายใจและความกังวลทั้งหลาย ก็เริ่มมลายหายไป วิธีนี้ ทำให้ฉันติดหล่มแห่งการไล่ตามเงินทองลึกลงเรื่อยๆ ไม่กี่ปีฉันก็หาเงินได้เยอะมาก ฉันมีบ้านหลังใหญ่ขึ้น ลูกๆ ก็แต่งงานกันแล้ว และชีวิตก็สุขสบาย แต่ฉันกลับรู้สึกผิดและเจ็บปวดบ่อยๆ ฉันไม่รู้สึกถึงสันติสุขเลย ฉันอยู่ในสภาวะวิตกกังวลตลอด ฉันกังวลว่าจะมีคนจับได้ว่าฉันทำอะไร แล้วเอาไปเล่าต่อให้ทุกคนฟังลับหลังฉัน ความคิดนี้ มันยากเกินจะทนจริงๆ

วันหนึ่ง พี่สาวในหมู่บ้านของเราประกาศข่าวประเสริฐราชอาณาจักรของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้ฉันฟัง และฉันก็เริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าบ่อยขึ้น ครั้งหนึ่งในการชุมนุม เราอ่านพระวจนะที่ว่าด้วยความซื่อสัตย์บทตอนหนึ่ง “พวกเจ้าควรที่จะรู้ว่าพระเจ้าโปรดบรรดาผู้ที่มีความซื่อสัตย์ โดยเนื้อแท้แล้ว พระเจ้าทรงเปี่ยมไปด้วยความสัตย์ซื่อ และดังนั้น พระวจนะของพระเจ้าสามารถเชื่อถือไว้วางใจได้เสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การกระทำของพระองค์นั้นไร้ข้อผิดและมิอาจตั้งคำถามได้ ซึ่งเป็นเหตุผลว่า เหตุใดพระเจ้าจึงชอบคนจำพวกที่มีความซื่อสัตย์ต่อพระองค์โดยสมบูรณ์ ความซื่อสัตย์หมายถึงการมอบหัวใจของเจ้าให้แก่พระเจ้า จริงแท้ต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง เปิดกว้างต่อพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ไม่เคยซ่อนเร้นข้อเท็จจริง ไม่พยายามหลอกลวงบรรดาผู้ที่อยู่สูงกว่าและต่ำกว่าเจ้า และไม่ทำสิ่งต่างๆ เพียงเพื่อหวังประจบประแจงให้พระเจ้าทรงโปรดปราน กล่าวสั้นๆก็คือ การมีความซื่อสัตย์คือการปราศจากราคีในการกระทำและคำพูดทั้งหลาย และการไม่หลอกลวงทั้งพระเจ้าและมนุษย์ สิ่งที่เราพูดเป็นสิ่งที่เรียบง่ายมาก แต่สำหรับพวกเจ้า มันลำบากยากเข็ญเป็นเท่าทวีคูณ ผู้คนมากมายเลือกที่จะถูกประณามสาปแช่งให้ไปลงนรกดีกว่าให้พูดและกระทำด้วยความซื่อสัตย์ จึงไม่ต้องประหลาดใจที่เรามีวิธีปฏิบัติอีกแบบซึ่งเตรียมไว้สำหรับรับมือพวกคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์…ชะตากรรมของคนเราจะออกมาเป็นอย่างไรในบทอวสานนั้นแขวนอยู่กับการที่พวกเขามีหัวใจที่ซื่อสัตย์และเป็นสีแดงเข้มของเลือดหรือไม่ และพวกเขามีดวงจิตที่ปราศจากราคีหรือไม่ หากเจ้าเป็นใครบางคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์อย่างมาก ใครบางคนซึ่งมีหัวใจคิดร้าย ใครบางคนซึ่งมีดวงจิตที่ไม่สะอาด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จงมั่นใจได้เลยว่าจะได้พบจุดจบในสถานที่ที่มนุษย์ถูกลงโทษ ตามที่ถูกขีดเขียนไว้ในบันทึกชะตากรรมของเจ้านั่นเอง หากเจ้ากล่าวอ้างว่าตัวเองมีความซื่อสัตย์อย่างมาก แต่กระนั้นก็ยังไม่เคยบริหารจัดการที่จะปฏิบัติไปโดยสอดคล้องกับความจริงหรือกล่าวคำพูดที่เป็นความจริงได้สำเร็จเสียที เช่นนั้นแล้วเจ้ายังคงกำลังรอคอยให้พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จเจ้าอยู่อีกหรือ? เจ้ายังคงหวังให้พระเจ้าคำนึงถึงเจ้าดุจแก้วตาดวงใจของพระองค์อยู่อีกหรือ? การคิดเช่นนั้นไม่วิปริตหรอกหรือ? เจ้าหลอกลวงพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง แล้วพระนิเวศของพระเจ้าจะให้ที่พักแก่คนมือไม่สะอาดอย่างเจ้าได้เช่นไร?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตักเตือนสามประการ) พออ่านพระวจนะ ฉันก็ได้เข้าใจว่า เนื้อแท้ของพระเจ้านั้นสัตย์ซื่อ และพระองค์โปรดคนที่ซื่อสัตย์ พระเจ้าทรงขอให้เราเปิดเผยกับพระองค์ในคำพูดและการกระทำ ไม่ว่าจะต่อหน้าประตูที่เปิดกว้างหรือลับหลังประตูที่ปิดสนิท เราก็ต้องยอมรับ การพินิจพิเคราะห์ของพระเจ้า ไม่โกหกพระเจ้าหรือต่อผู้อื่น เราต้องเป็นคนซื่อสัตย์และไว้ใจได้ เพราะมีเพียงคนเช่นนั้นที่สามารถได้รับการช่วยให้รอดและได้เข้าสู่ราชอาณาจักร พอคิดถึงสิ่งที่พระเจ้ามีพระประสงค์จากเรา ฉันก็ตระหนักได้ว่า ในฐานะหมอ ฉันไม่ได้คิดเลยว่าจะรักษาหรือบรรเทาความทรมานของคนไข้ยังไง แต่กลับนึกว่าจะหาเงินให้มากขึ้นได้ยังไง ฉันหลอกเอาเงินจากผู้คน ตอนที่ควรจะช่วยรักษาพวกเขา ฉันใช้ประโยชน์จากความกลัวของคน ทำให้อาการเล็กๆ น้อยๆ กลายเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย และทำแบบนั้นเพื่อโขกค่ายาแพงๆ และทำให้การรักษายืดเยื้อ ฉันทำให้พวกเขาสิ้นเปลืองเงิน แต่พวกเขาก็ยังขอบคุณฉัน มันเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจและน่าละอายจริงๆ! ถึงฉันจะทำให้ตัวเอง มีชีวิตที่สุขสบายด้วยวิธีนี้ ฉันก็ระแวงและกังวลอยู่ตลอด ไม่เคยสบายใจเลย ฉันทำตัวแบบไร้จิตสำนึกโดยสิ้นเชิง พระวจนะแสดงให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเกลียดชังคนที่โกหก และหลอกลวงผู้อื่น และคนพวกนี้ ก็คงไม่มีตอนจบที่แสนสุข มีเพียงคนซื่อสัตย์ที่จะได้รับการสรรเสริญและความรอดจากพระเจ้า นับแต่นั้นมา ฉันก็ปรารถนาจะเป็นคนซื่อสัตย์ ฉันตัดสินใจว่า จะไม่คดโกงใครอีก และจะเลิกรักษาคนไข้มากเกินจำเป็น ฉันอยากเป็นหมอที่มีเกียรติและซื่อสัตย์ค่ะ

พอผ่านไปได้สักพัก ฉันก็ตระหนักได้ว่า ตั้งแต่เลิกหลอกและรักษาคนไข้เกินจำเป็น รายได้ของฉันก็น้อยลงมาก ตอนนั้น ผลงานของโรงพยาบาลรัฐขึ้นอยู่กับการขายยาของทางคลินิก วันหนึ่ง โรงพยาบาลสั่งให้มีการประชุมเพื่อประเมินการทำงาน ผู้บริหารโทษฉันว่าทำให้โรงพยาบาลตกต่ำ แถมยังปลดป้ายที่บอกว่าเราเป็น “คลินิกเชี่ยวชาญ” ลงอีก แล้วทางโรงพยาบาลก็เริ่มหาสิ่งจูงใจมาให้บุคคลากรด้วยค่ะ ตลอดในทุกๆ เดือน ถ้าหมอคนไหนทำยอดขายยาได้เกินเป้าที่กำหนดไว้ จะได้รับค่าคอมมิชชั่นห้าสิบเปอร์เซ็นของรายได้ที่เพิ่มขึ้นมา พอบวกลบดูก็ได้ความว่า ถ้าฉันกลับไปรักษาคนไข้เกินความจำเป็นอีก สุดท้ายฉันจะได้เงินเพิ่มอีกเดือนละสี่พันหยวน ซึ่งแปลว่า ได้เพิ่มอีกปีละห้าหมื่นหยวนเลยทีเดียว แต่ถ้าฉันไม่กลับไปรักษาเกินอาการ ฉันคงทำยอดได้ไม่ถึงเป้าอย่างที่ได้รับมอบหมาย และเงินจำนวนมากก็คงหลุดมือไป ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งคิดว่าการเป็นคนซื่อสัตย์ คือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลยในสายงานของฉัน ฉันต้องหลอกลวงผู้คนเพื่อหาเงิน และเป็นอีกครั้ง ที่ฉันทำในสิ่งที่ขัดต่อพระประสงค์ของพระเจ้า ฉันไม่สนเรื่องจิตสํานึกและกลับไปทำแบบเดิม

วันหนึ่ง มีคู่สามีภรรยาพาลูกชายมาหาฉัน เขาเป็นหวัด เลยทำให้ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ ซึ่งสามารถรักษาได้ด้วยยาไม่กี่ตัว ฉันแสร้งทำเป็นกังวล หยิบหูฟังออกมา แล้วฟังที่หน้าอกและหลังของเด็กคนนี้ หลังจากทำเป็นตรวจเสร็จ ฉันก็พูดกับพ่อแม่เด็กอย่างเคร่งเครียดว่า “ลูกคุณเป็นปอดบวมในเด็ก มันลามแล้วนะคะ คุณน่าจะมาหาหมอเร็วกว่านี้! ถ้ามาช้าไปอีกวันเดียว เขาจะต้องแย่แน่ๆ! โชคดีที่ยังพอมีเวลา เดี๋ยวหมอให้ยาทางหลอดเลือดสักสองสามวัน เดี๋ยวก็หายค่ะ” เท่ากับว่าฉันกลับไปหว่านล้อมเอาเงินจากคนไข้อีกแล้ว ฉันจงใจทำให้อาการของเด็กคนนี้ดูร้ายแรง หลังจากนั้น ฉันก็ตำหนิตัวเอง ฉันกลัวว่าสิ่งที่ตัวเองทำจะถูกเปิดโปง ฉันถึงได้วิตกกังวลอยู่ทุกวัน บางครั้ง ฉันจะบอกตัวเองว่านี่คือครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นจะเลิกทำแล้ว แต่ฉันก็ไม่อาจต้านทานแรงยั่วยุจากเงินได้ และฉันก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้ทำบาปเหล่านี้ได้ ชีวิตฉันเริ่มทุลักทุเล ฉันรู้ว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ให้เราซื่อสัตย์ แต่ฉันควบคุมหรือห้ามตัวเอง ไม่ให้หลอกคนไข้ไม่ได้

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่งที่ว่า “มนุษย์ซึ่งเกิดมาในดินแดนอันโสมมเช่นนั้น ได้ถูกสังคมทำให้มัวหมองอย่างรุนแรง เขาได้รับอิทธิพลจากจริยธรรมแบบศักดินา และเขาได้รับการสอน ณ ‘สถาบันอุดมศึกษา’ การคิดล้าหลัง ศีลธรรมอันเสื่อมทราม มุมมองชีวิตแบบคับแคบ ปรัชญาเพื่อการดำรงชีวิตที่น่ารังเกียจ การดำรงอยู่อันไร้ค่าอย่างที่สุด และรูปแบบการใช้ชีวิตและขนบธรรมเนียมทั้งหลายอันต่ำทราม—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้รุกล้ำเข้าไปในหัวใจของมนุษย์อย่างรุนแรง และได้บ่อนทำลายและโจมตีมโนธรรมของเขาอย่างรุนแรง ผลก็คือ มนุษย์ยิ่งอยู่ห่างไกลจากพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งต่อต้านพระองค์มากขึ้นเรื่อยๆ อุปนิสัยของมนุษย์กลายมาเป็นชั่วช้ามากขึ้นในแต่ละวัน และไม่มีสักคนที่จะเต็มใจยอมสละสิ่งใดๆ เพื่อพระเจ้า ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจเชื่อฟังพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีสักคนที่จะเต็มใจแสวงหาการทรงปรากฏของพระเจ้า แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ภายใต้แดนครอบครองของซาตาน มนุษย์ไม่ทำอะไรเลยนอกจากไล่ตามเสาะหาความยินดี โดยยอมให้ตัวเขาเองจมอยู่กับความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในดินแดนแห่งโคลน แม้คราที่พวกเขาได้ยินความจริง พวกที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดก็ไม่ได้ครุ่นคิดเรื่องการนำความจริงไปปฏิบัติ และพวกเขาก็ไม่มีแนวโน้มที่จะแสวงหาพระเจ้าแม้เมื่อพวกเขาได้เห็นการทรงปรากฏของพระองค์แล้วก็ตาม มนุษย์คนหนึ่งที่ต่ำทรามเช่นนั้นจะสามารถมีโอกาสแห่งความรอดได้อย่างไร? มนุษย์คนหนึ่งที่เสื่อมโทรมเช่นนั้นจะสามารถดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างได้อย่างไร?” “หลังจากหลายพันปีแห่งความเสื่อมทราม มนุษย์ด้านชาและปัญญาทึบ เขาได้กลายเป็นปีศาจตนหนึ่งซึ่งต่อต้านพระเจ้า จนถึงขนาดที่ความเป็นกบฏของมนุษย์ต่อพระเจ้านั้นได้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ทั้งหลาย และกระทั่งมนุษย์เองก็ไม่สามารถที่จะพรรณนาพฤติกรรมอันเป็นกบฏของเขาได้อย่างครบถ้วน—ด้วยเหตุที่มนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และได้ถูกซาตานพาออกนอกลู่นอกทางไปถึงขนาดที่ว่าเขาไม่รู้ว่าจะหันไปทางใด แม้กระทั่งวันนี้ มนุษย์ยังคงทรยศพระเจ้า กล่าวคือ เมื่อมนุษย์เห็นพระเจ้า เขาทรยศพระองค์ และเมื่อเขาไม่สามารถเห็นพระเจ้า เขาก็ทรยศพระองค์ด้วยเช่นกัน มีแม้กระทั่งพวกที่เมื่อได้เป็นประจักษ์พยานในคำสาปแช่งของพระเจ้าและพระพิโรธของพระเจ้าแล้ว ก็ยังคงทรยศพระองค์ และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าสำนึกรับรู้ของมนุษย์ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้ว และมโนธรรมของมนุษย์ก็ได้สูญเสียหน้าที่ดั้งเดิมของมันไปแล้วด้วยเช่นกัน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การมีอุปนิสัยที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า) พระวจนะของพระเจ้าเผยให้เห็นว่า สังคมที่เราอยู่และการศึกษาที่เราได้รับ ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม “ไม่มีความอุดมโภคทรัพย์ใดปราศจากเล่ห์กล” “เงินต้องมาก่อน” และ “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” หลักปรัชญาพวกนี้ล้วนมาจากซาตานทั้งนั้น ค่านิยมของเราบิดเบี้ยวเพราะอิทธิพลและยาพิษจากมุมมองเหล่านี้ เรายกให้เงินอยู่เหนือทุกสิ่งอย่าง เราละทิ้งจิตสำนึกและจริยธรรม เพื่อประโยชน์สูงสุดของตัวเอง เราโกหกและคดโกง กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว หลอกลวง โลภ และชั่วร้ายขึ้นเรื่อยๆ แถมสูญเสียความเป็นมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ หน้าที่ของหมอคือรักษาคนไข้ และมีจรรยาบรรณทางการแพทย์ นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับจิตสำนึกของมนุษย์ แต่เมื่อต้องมนตร์สะกดแห่งเงินตรา หมอส่วนใหญ่ก็รักษาคนไข้และสั่งจ่ายยา เกินที่จำเป็น ถึงกับหลอกคนไข้ให้ยอมใช้ฮอร์โมน ถึงตอนแรกพวกเขาจะไม่เห็นถึงความอันตราย แต่การใช้ยาและฮอร์โมนที่มากเกินไปนานเข้า ก็จะเป็นภัยต่อร่างกายอย่างรุนแรง สารพิษในยาที่สะสมในร่างกายคนไข้ บ่อยครั้งก็ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง มันคือการฆ่าให้ตายแบบช้าๆ ยิ่งคิดฉันก็ยิ่งกลัว ฉันนึกถึงตอนที่ยังเด็กและตัดสินใจจะเป็นหมอ เดิมทีฉันอยากช่วยคนธรรมดาทั่วไป แต่มุมมองเยี่ยงซาตานที่ว่า “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” “เงินต้องมาก่อน” และ “ไม่สำคัญหรอกว่าแมวจะตัวสีดำหรือขาว ตราบใดที่มันจับหนูได้” คำพูดเหล่านี้ เริ่มเข้ามาควบคุมฉัน จนฉันค่อยๆ เสียจิตสำนึกและเหตุผลไปช้าๆ ฉันทำให้อาการป่วยสามวันกลายเป็นห้าวัน แค่เพื่อหาเงิน ถ้ารักษาได้ด้วยเงินสลึง ฉันก็จะรักษาด้วยเงินบาท ซาตานทำให้ฉันเสื่อมทรามถึงขั้นสูญสิ้นทุกจิตสำนึกและเหตุผล อุปนิสัยของฉันชั่วร้ายขึ้นเรื่อยๆ ฉันกลายเป็นหมาป่าในร่างแกะ ที่สนใจแต่เรื่องเงินมากกว่าจิตสำนึก หลังยอมรับพระราชกิจ ฉันก็รู้ว่าพระเจ้าทรงประสงค์ให้เราเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ฉันก็ไม่อาจต้านทานแรงยั่วยุของเงินหรือผลประโยชน์ส่วนตัวได้ และเป็นอีกครั้ง ที่ฉันเริ่มโกงคนไข้ของตัวเอง ฉันได้เห็นว่า ยาพิษของซาตานกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของฉัน ถ้าไม่ได้การพิพากษาจากพระวจนะของพระเจ้า ที่ช่วยนำทางให้ฉันได้เห็นความน่ารังเกียจและอันตรายในคำโกหกของตัวเอง ฉันก็คงใช้ชีวิตแบบนักต้มตุ๋นต่อไป ฉันคงต้องเครียดและรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต และตกนรกเพราะถูกลงโทษจากพฤติกรรมที่ชั่วร้ายของฉัน ในที่สุด ฉันก็เข้าใจว่าการที่พระเจ้าทรงขอให้เราเป็นคนซื่อสัตย์นั้นสำคัญยังไง การเป็นคนซื่อสัตย์และประพฤติตนอย่างซื่อสัตย์ ทำให้เรามีคุณธรรมและศักดิ์ศรี การเป็นคนซื่อสัตย์ คือหนทางเดียวที่จะได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้าและทำให้หัวใจของเราสงบสุข พอได้เข้าใจน้ำพระทัยแล้ว ฉันก็อธิษฐานต่อพระองค์ ยินดีที่จะเริ่มเป็นคนใหม่ ยินดีละทิ้งตัวเอง เพื่อปฏิบัติความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์

วันหนึ่ง คนไข้จากอีกหมู่บ้านมาหาฉัน หลังจากตรวจอย่างถี่ถ้วน ฉันก็แน่ใจว่าเขาเป็นแผลเปื่อยที่ขาเพราะหลอดเลือดดำเสื่อม มันดื้อและรักษายากด้วยค่ะ แต่ฉันรู้วิธีลับในการจัดการโรคนี้ด้วยเงินแค่นิดเดียว คนไข้บอกว่าเขาเคยไปหาแพทย์ประจำมณฑลและพวกนักต้มตุ๋นมาแล้ว แถมหมดเงินอีกหลายหมื่นไปโดยเปล่าประโยชน์ ได้ยินแบบนี้ ฉันก็เริ่มคิดขึ้นมาว่า “เขาหมดเงินไปตั้งหลายหมื่นแล้ว ถ้าจะคิดเงินเขาอีกสักพันสองพัน ก็คงไม่แย่นักหรอก ถ้าปล่อยโอกาสนี้หลุดมือไปคงน่าเสียดายแย่เลย” ตอนที่คิดแบบนี้ ใจก็พลันเต้นตึกตัก “ฉันจะโกงคนนี้เป็นคนสุดท้าย แล้วฉันจะเป็นคนซื่อสัตย์” แต่ตอนที่ฉันกำลังเตรียมจ่ายยาให้เขา ฉันก็นึกถึงปณิธานที่เคยตั้งมั่นไว้กับพระเจ้า ฉันเลยเริ่มอธิษฐานว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ยังอยากโกหกอยู่เลย ข้าพระองค์รู้ว่าไม่ควรผิดสัญญาและทำให้พระองค์ผิดหวัง พระเจ้า โปรดทรงช่วยให้ข้าพระองค์ละวางผลประโยชน์ส่วนตัวและเป็นคนซื่อสัตย์ได้ทีเถิด” แล้วพระวจนะบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในความคิดว่า “ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าโดยแท้มักจะมีพระองค์อยู่ในหัวใจของพวกเขาตลอดเวลา และพวกเขาจะพกพาหัวใจที่เคารพพระเจ้า หัวใจที่รักพระเจ้า ไว้ภายในพวกเขาเสมอ บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าควรทำสิ่งต่างๆ อย่างสุขุมและรอบคอบ และทุกอย่างที่พวกเขาทำควรสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและสามารถทำให้สมดังพระทัยของพระองค์ได้ พวกเขาไม่ควรดื้อรั้น กระทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาพอใจ ที่ไม่เหมาะสมกับมารยาทอย่างวิสุทธิชน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง) พระวจนะบทตอนนี้แสดงให้ฉันเห็นว่า ผู้เชื่อแท้จริงย่อมเคารพพระเจ้าในหัวใจ เป็นคนซื่อสัตย์และพึ่งพาได้ พวกเขาทำสิ่งต่างๆ เปิดเผย ยอมรับการทรงพินิจพิเคราะห์ และไม่หลอกลวงผู้อื่น พวกเขาทำทุกอย่างด้วยความเหมาะสมดีงาม ทำตัวตามที่พระเจ้าทรงประสงค์ พวกเขาไม่หมิ่นพระเกียรติ เป็นกบฏ หรือทำสิ่งที่พระองค์ทรงเกลียดชัง แล้วฉัน ก็ตระหนักได้ว่า ซาตานพยายามใช้เงินเพื่อสะกดและทำให้ฉันเสื่อมทรามอีกครั้ง เพื่อทำให้ฉันเป็นคนโกหกชั่วร้ายต่อไป แต่ฉันรู้ว่าฉันจะเป็นกบฎต่อพระเจ้าและขัดพระประสงค์ต่อไปไม่ได้ ฉันขอบคุณการนำและความรู้แจ้งแห่งพระวจนะจริงๆ ค่ะ และฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าอีกครั้งว่า “พระเจ้า! พระองค์ทรงพาคนไข้ผู้นี้มาเพื่อทดสอบข้าพระองค์ เมื่อก่อนข้าพระองค์โกหกคดโกงเพื่อเงิน และใช้ชีวิตเหมือนซาตาน แต่จากวันนี้ไป ข้าพระองค์อยากเป็นคนซื่อสัตย์ ทำให้พระองค์พอพระทัย และทำให้ซาตานต้องอับอาย” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็พูดกับคนไข้อย่างจริงจังว่า “ถึงโรคนี้จะรักษายาก แต่หมอสั่งยาที่รับรองว่าช่วยรักษาคุณได้แน่ และค่ายาก็แค่นิดเดียวค่ะ” ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อก่อน และฉันต้องสั่งยาให้คนไข้รายนี้ ฉันคงเรียกเงินมากกว่านี้หลายเท่า แต่ตอนนี้พระวจนะ ได้มอบความมั่นใจในการปฏิบัติความจริง เพื่อเป็นคนซื่อสัตย์และซื่อตรงให้ฉัน ฉันจะไม่โกงใครเพื่อเอาเงินอีกต่อไป ฉันจำได้ว่าวันนั้น ตอนที่คนไข้กลับไปพร้อมยา ฉันก็รู้สึกมีความสุขและมีสันติสุขในหัวใจอย่างเหลือเชื่อเลย

สิบวันต่อมา คนไข้กลับมาและพูดด้วยความขอบคุณว่า “ที่ผ่านมา ผมไปรักษาโรคนี้มาทุกสารทิศก็ยังไม่หาย ผมยังใช้ยาที่หมอให้ไม่หมดด้วยซ้ำ แผลก็หายแล้ว! เป็นการรักษาที่มหัศจรรย์จริงๆ! ขอบคุณมากนะหมอ! ผมจะเอาเรื่องหมอไปเล่าให้ทุกคนที่รู้จักฟังเลย นอกจากหมอจะเก่งแล้ว ค่ารักษาก็ยังไม่แพงด้วย” ตอนที่ได้ยินคำขอบคุณของเขา ฉันก็รู้ว่า ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ ในตัวฉัน เป็นเพราะได้รับการนำจากพระวจนะของพระเจ้า

ฉันจำได้ที่เมื่อก่อนเคยคิดว่า “เงินต้องมาก่อน” “ไม่มีความอุดมโภคทรัพย์ใดปราศจากเล่ห์กล” และ “มนุษย์ทุกคนทำเพื่อตัวเอง ส่วนคนรั้งท้ายปล่อยให้มารพาไปตามยถากรรม” การหลงมัวเมาในยาพิษเหล่านี้ ทำให้ฉันเสียจิตสำนึก ความซื่อสัตย์สุจริต และจริยธรรมไป ฉันกลายเป็นคนใจดำ พระวจนะและความรอดของพระเจ้า ช่วยฟื้นฟูจิตสำนึกและเหตุผล และช่วยให้ฉันกลับมามีหลักปฏิบัติค่ะ นับจากวันนั้น ฉันก็ตั้งใจรักษาคนไข้ทุกคนที่มา ฉันจะรักษาแค่ตามที่จำเป็น และซื่อสัตย์เรื่องอาการของพวกเขา ฉันรักษามาตรฐานที่จะเป็นคนซื่อสัตย์ค่ะ หลังจากปฏิบัติทางนี้ได้สักพัก ฉันก็ได้เห็นพระพรของพระเจ้า ฉันรู้สึกสงบและมีสันติสุข แถมยังไม่เครียดด้วย อีกอย่าง คนไข้ที่ฉันรักษาก็เอาไปเล่าให้คนอื่นฟังต่อ ผู้คนจากหมู่บ้านข้างเคียงทั้งหลายต่างก็อยากให้ฉันรักษา ฉันรู้สึกว่า มีเพียงการพูดความจริงและเป็นคนซื่อสัตย์เท่านั้น ที่ทำให้คนเราเป็นมนุษย์ที่แท้จริง การปฏิเสธคำโกหกและพูดความจริง คือก้าวแรกของการเป็นคนซื่อสัตย์ และฉันก็รู้ว่า ฉันยังต้องทำงานหนักตามพระประสงค์ และแสวงหาที่จะเป็นคนซื่อสัตย์ที่แท้จริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เมื่อไม่ทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อเงินอีกต่อไป ฉันจึงพบชีวิตที่มีความสุข

โดย Dan Chun, อินโดนีเซีย “คุณกำลังประเมินตัวคุณเองสูงเกินไปจริงๆ หากคุณคิดว่าคุณสามารถส่งลูกของคุณเรียนมหาวิทยาลัยได้...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger