งานและการเข้าสู่ (2)

งานและการเข้าสู่ของพวกเจ้านั้นค่อนข้างย่ำแย่ มนุษย์ไม่ให้ความสำคัญกับงาน และแม้กระทั่งทำตามอำเภอใจมากยิ่งขึ้นอีกเกี่ยวกับเรื่องการเข้าสู่ มนุษย์ไม่ได้ถือว่าสิ่งเหล่านี้เป็นบทเรียนที่พวกเขาควรจะเข้าสู่ ดังนั้น ในประสบการณ์ของพวกเจ้า แทบทุกอย่างที่มนุษย์มองเห็นจึงเป็นเพียงภาพลวงตาอันว่างเปล่า พวกเจ้าไม่ได้ถูกร้องขอมากมายเลย เท่าที่เกี่ยวกับงาน ทว่าในฐานะของผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าแล้ว พวกเจ้าก็ควรที่จะเรียนรู้บทเรียนของเจ้าเกี่ยวกับการทำงานเพื่อพระเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าจะได้ประพฤติตนให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ในไม่ช้า ตลอดหลายยุคที่ผ่านมา บรรดาผู้ที่ได้ทำงานถูกเรียกขานว่าเป็นคนงานหรืออัครทูต ซึ่งเป็นคำที่หมายถึงคนจำนวนน้อยที่พระเจ้าทรงใช้งาน อย่างไรก็ตาม งานที่เราพูดถึงในวันนี้ไม่ได้หมายถึงเพียงเฉพาะคนงานหรืออัครทูตเหล่านั้น แต่ในทางตรงกันข้ามมุ่งหมายโดยตรงถึงบรรดาคนทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำให้มีความเพียบพร้อม เป็นไปได้ว่ามีหลายคนที่ให้ความสนใจต่อเรื่องนี้เพียงเล็กน้อย ทว่า เพื่อเห็นแก่การเข้าสู่แล้ว คงจะเป็นการดีที่สุดหากจะพูดถึงความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้

สำหรับเรื่องงานนั้น มนุษย์เชื่อว่างานนั้นคือการวิ่งสาละวนเพื่อพระเจ้า เทศนาไปทั่วทุกหนแห่ง และทุ่มเทเพื่อประโยชน์ของพระองค์ทั้งหมด แม้ความเชื่อนี้จะถูกต้อง แต่ก็เป็นเพียงด้านเดียวมากเกินไป สิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากมนุษย์นั้นไม่ใช่แค่การวิ่งสาละวนเพื่อพระองค์เท่านั้น นอกจากนี้แล้ว งานนี้เกี่ยวข้องกับพันธกิจและการจัดเตรียมภายในจิตวิญญาณ พี่น้องชายหญิงหลายคน แม้ภายหลังจากที่มีประสบการณ์กันมาหลายปีแล้วก็ตาม กลับไม่เคยคิดถึงเรื่องการทำงานเพื่อพระเจ้าเลย เนื่องจากงานตามที่มนุษย์คิดได้นั้นหาได้สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องไม่ เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงไม่มีความสนใจใดๆ เลยในเรื่องของงาน และนี่คือเหตุผลที่ชัดเจนว่าเหตุใดการเข้าสู่ของมนุษย์จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างมีลักษณะด้านเดียวเหมือนกัน พวกเจ้าทั้งหมดควรจะเริ่มต้นการเข้าสู่ของพวกเจ้าด้วยการทำงานเพื่อพระเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจจะก้าวผ่านทุกแง่มุมของประสบการณ์ได้ดีขึ้น นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรจะเข้าสู่ งานไม่ได้หมายถึงการวิ่งสาละวนเพื่อพระเจ้า แต่หมายถึงว่าชีวิตของมนุษย์และการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้นสามารถมอบความชื่นชมยินดีแก่พระเจ้าได้หรือไม่ งานหมายถึงการที่ผู้คนใช้การอุทิศตัวของตนแด่พระเจ้าและใช้ความรู้ของตนเกี่ยวกับพระเจ้าเพื่อเป็นพยานเกี่ยวกับพระเจ้า รวมทั้งเพื่อปรนนิบัติมนุษย์ด้วย นี่คือความรับผิดชอบของมนุษย์ และนี่คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรเข้าใจ เราอาจกล่าวได้ว่าการเข้าสู่ของพวกเจ้าคืองานของพวกเจ้า และว่าพวกเจ้ากำลังพยายามเข้าสู่ในช่วงระหว่างการทำงานเพื่อพระเจ้า การได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้มีความหมายแค่ว่าเจ้ารู้วิธีกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เจ้าต้องรู้วิธีเป็นพยานเกี่ยวกับพระเจ้า และสามารถรับใช้พระเจ้า และสามารถปรนนิบัติและจัดเตรียมให้มนุษย์ได้ นี่คืองาน และเป็นการเข้าสู่ของพวกเจ้าเช่นกัน นี่คือสิ่งที่ทุกคนควรจะสำเร็จลุล่วง มีหลายคนที่มุ่งเน้นเพียงแต่การวิ่งสาละวนเพื่อพระเจ้า และเทศนาไปทั่วทุกหนแห่ง แต่มองข้ามประสบการณ์ส่วนบุคคลของตนเองไป และเพิกเฉยต่อการเข้าสู่ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของตนเอง สิ่งนี้เองที่ได้นำพาบรรดาผู้ที่รับใช้พระเจ้าให้กลายเป็นพวกที่ต้านทานพระเจ้า คนเหล่านี้ที่เคยรับใช้พระเจ้าและปรนนิบัติเพื่อนมนุษย์มาตลอดหลายปีนี้ ได้ถือเพียงว่าการทำงานและการเทศนาเป็นการเข้าสู่ และไม่มีใครเลยที่ถือว่าประสบการณ์ฝ่ายจิตวิญญาณส่วนบุคคลของพวกเขาเป็นการเข้าสู่ที่สำคัญ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับนำความรู้แจ้งที่พวกเขาได้รับจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มาเป็นทุนเพื่อใช้สอนคนอื่นๆ ขณะเทศนา พวกเขารู้สึกเป็นภาระอย่างมากและรับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้ และด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็กำลังปลดปล่อยพระสุรเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในเวลานั้น บรรดาผู้ที่ทำงานเต็มไปด้วยความพึงพอใจ ราวกับว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นได้กลายเป็นประสบการณ์ฝ่ายจิตวิญญาณส่วนบุคคลของพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าทุกคำพูดที่พวกเขากำลังพูดนั้นเป็นของตัวตนส่วนบุคคลของพวกเขา แต่แล้วก็เป็นอีกครั้งที่เป็นราวกับว่าประสบการณ์ของพวกเขาเองไม่ชัดเจนอย่างที่พวกเขาได้บรรยายมา ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนจะพูด พวกเขาไม่ได้ระแคะระคายเลยว่าพวกเขาจะพูดอะไรบ้าง แต่เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา คำพูดของพวกเขาก็พรั่งพรูออกมาราวกับสายน้ำที่ไหลไม่หยุด ภายหลังจากที่เจ้าได้เทศนาแบบนั้นครั้งหนึ่งแล้ว เจ้าจะรู้สึกว่าวุฒิภาวะที่แท้จริงของเจ้านั้นไม่ได้เล็กน้อยอย่างที่เจ้าเคยเชื่อเลย และเช่นเดียวกับในสถานการณ์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงพระราชกิจในตัวเจ้าแล้วหลายครั้ง เจ้าจึงกำหนดพิจารณาว่าเจ้ามีวุฒิภาวะแล้ว และเชื่ออย่างผิดๆ ว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นคือการเข้าสู่ของเจ้าเองและเป็นสภาวะความมีตัวตนของเจ้าเอง เมื่อเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้อยู่เนืองนิตย์ เจ้าก็จะกลายเป็นหละหลวมเกี่ยวกับการเข้าสู่ของเจ้าเอง ไถลเข้าสู่ความเกียจคร้านโดยไม่ได้สังเกต และเลิกให้ความสำคัญใดๆ กับการเข้าสู่ส่วนตัวของเจ้า ด้วยเหตุนี้ เมื่อเจ้ากำลังปรนนิบัติคนอื่นๆ อยู่ เจ้าต้องแยกให้ชัดเจนระหว่างวุฒิภาวะของเจ้าและพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ การนี้สามารถช่วยเอื้อต่อการเข้าสู่ของเจ้าได้ดีขึ้นและยังประโยชน์แก่ประสบการณ์ของเจ้ามากขึ้น เมื่อมนุษย์รับเอาพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขา การนี้กลับกลายเป็นแหล่งความต่ำทราม นี่คือเหตุผลว่าเหตุใดเราจึงกล่าวว่า ไม่ว่าพวกเจ้าจะทำหน้าที่อะไรก็ตาม พวกเจ้าควรที่จะถือว่าการเข้าสู่ของพวกเจ้านั้นเป็นบทเรียนที่สำคัญยิ่ง

เราทำงานเพื่อทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อนำบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ได้ดังพระทัยของพระเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ เพื่อนำมนุษย์ไปสู่พระเจ้า และเพื่อแนะนำให้มนุษย์รู้จักพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงนำของพระเจ้า ด้วยการนั้นจึงเป็นการทำให้ดอกผลแห่งพระราชกิจของพระเจ้ามีความเพียบพร้อม เพราะฉะนั้น จึงจำเป็นที่พวกเจ้าจะต้องชัดเจนอย่างทะลุปรุโปร่งเกี่ยวกับเนื้อแท้ของงาน ในฐานะคนที่พระเจ้าทรงใช้งาน มนุษย์ทุกคนคู่ควรกับการทำงานเพื่อพระเจ้า กล่าวคือ ทุกคนมีโอกาสที่จะถูกใช้งานโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ อย่างไรก็ตาม มีจุดหนึ่งที่พวกเจ้าต้องตระหนัก นั่นคือ เมื่อมนุษย์ทำงานที่พระเจ้าทรงบัญชา มนุษย์ได้รับโอกาสที่จะถูกใช้โดยพระเจ้า ทว่าสิ่งที่มนุษย์พูดและรู้นั้นหาใช่วุฒิภาวะของมนุษย์ไม่โดยสิ้นเชิง ทั้งหมดที่พวกเจ้าสามารถทำได้คือ การรู้ถึงข้อบกพร่องของพวกเจ้าเองระหว่างการทำงานของเจ้าให้ดียิ่งขึ้น และมามีความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มากขึ้น ในหนทางนี้ พวกเจ้าก็จะสามารถได้รับการเข้าสู่ที่ดีขึ้นในครรลองของการทำงานของพวกเจ้า หากมนุษย์ถือว่าการทรงนำที่มาจากพระเจ้านั้นเป็นการเข้าสู่ของตนเอง และเป็นบางสิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติในตัวของพวกเขาเองอยู่แล้ว เช่นนั้นแล้วโอกาสที่วุฒิภาวะของมนุษย์จะเติบโตได้ย่อมไม่มีเลย ความรู้แจ้งว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในมนุษย์เกิดขึ้นเมื่อพวกเขาอยู่ในสภาวะปกติ แต่ในช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ผู้คนมักจะเข้าใจผิดไปว่าความรู้แจ้งที่พวกเขาได้รับนั้นเป็นวุฒิภาวะที่แท้จริงของตนเอง เนื่องจากวิธีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งนั้นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก และพระองค์ทรงใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีอยู่โดยธรรมชาติในตัวมนุษย์ เมื่อผู้คนทำงานหรือพูด หรือเมื่อพวกเขากำลังอธิษฐานและเฝ้าเดี่ยวทางวิญญาณ ความจริงก็จะกลับกลายเป็นกระจ่างแจ้งต่อพวกเขาในทันที อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริง สิ่งที่มนุษย์เห็นนั้นเป็นเพียงความรู้แจ้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (โดยธรรมชาติแล้ว ความรู้แจ้งนี้เชื่อมโยงกับความร่วมมือของมนุษย์) และหาได้เป็นตัวแทนวุฒิภาวะที่แท้จริงของมนุษย์ไม่ หลังจากช่วงเวลาหนึ่งของประสบการณ์ที่มนุษย์เผชิญกับความยากลำบากและการทดสอบทั้งหลายมาบ้าง วุฒิภาวะที่แท้จริงของมนุษย์กลับกลายเป็นชัดแจ้งภายใต้รูปการณ์แวดล้อมดังกล่าว เมื่อนั้นเท่านั้นเองที่มนุษย์จะค้นพบว่าวุฒิภาวะของเขานั้นไม่ได้ดีมากนัก และความเห็นแก่ตัว ข้อพิจารณาส่วนบุคคล และความละโมบของมนุษย์ต่างก็ผุดพรายขึ้นทั้งหมดทั้งมวล เพียงภายหลังจากที่ได้ผ่านวงจรแห่งประสบการณ์แบบนี้หลายรอบแล้วเท่านั้น ผู้คนจำนวนมากในบรรดาผู้ที่ตื่นรู้ภายในจิตวิญญาณของตนจะตระหนักได้ว่า สิ่งที่พวกเขาได้รับประสบการณ์ในอดีตนั้นไม่ใช่ความเป็นจริงของพวกเขาเองเลย แต่เป็นเพียงความกระจ่างชั่วขณะจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และว่ามนุษย์เพียงแต่ได้รับความสว่างนี้มา เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่มนุษย์เพื่อที่จะเข้าใจความจริง บ่อยครั้งจะเป็นไปในลักษณะที่ชัดแจ้งและโดดเด่น โดยไม่มีการอธิบายถึงที่มาและที่ไปของสิ่งทั้งหลาย กล่าวคือ แทนที่จะผนวกความยากลำบากของมนุษย์เข้ามาในการวิวรณ์นี้ พระองค์ทรงเปิดเผยความจริงนั้นโดยตรง เมื่อมนุษย์เผชิญความยากลำบากในกระบวนการการเข้าสู่ แล้วจึงผนวกความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าด้วยกัน นี่กลับกลายเป็นประสบการณ์ที่แท้จริงของมนุษย์ ยกตัวอย่างเช่น พี่น้องหญิงที่ยังไม่แต่งงานคนหนึ่งกล่าวในระหว่างการสามัคคีธรรมว่า “พวกเราไม่ได้แสวงหาเกียรติและความมั่งคั่ง หรือละโมบความสุขจากความรักระหว่างสามีและภรรยา พวกเรามุ่งแต่จะอุทิศหัวใจที่บริสุทธิ์และเด็ดเดี่ยวแด่พระเจ้า” เธอกล่าวต่อไปว่า “เมื่อผู้คนแต่งงาน มีหลายอย่างที่รุมเร้าพวกเขา และหัวใจรักของพวกเขาต่อพระเจ้าก็ไม่แท้จริงอีกต่อไป หัวใจของพวกเขาหมกมุ่นอยู่กับครอบครัวของพวกเขาและคู่สมรสของพวกเขาอยู่เสมอ และดังนั้นแล้วโลกภายในของพวกเขาจึงกลับกลายเป็นซับซ้อนมากขึ้น…” ขณะที่เธอกำลังพูด ราวกับว่าสิ่งที่ออกจากปากของเธอนั้นคือสิ่งที่เธอกำลังคิดอยู่ในใจ คำพูดของเธอกังวานก้องและทรงพลัง ราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอพูดนั้นมาจากส่วนลึกที่สุดในหัวใจของเธอ และราวกับว่านั่นคือความปรารถนาอันแรงกล้าของเธอที่จะอุทิศตนอย่างสิ้นเชิงแด่พระเจ้า และคือความหวังของเธอว่าบรรดาพี่น้องชายหญิงเยี่ยงเธอนั้นจะมีปณิธานเดียวกันกับเธอด้วย อาจกล่าวได้ว่าความรู้สึกของเจ้าเกี่ยวกับปณิธานและเกี่ยวกับการถูกขับเคลื่อนในชั่วขณะนี้มาจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยสิ้นเชิง เมื่อวิธีการของพระราชกิจของพระเจ้าเปลี่ยนไป เจ้าก็จะได้มีอายุมากขึ้นสองสามปีไปด้วย เจ้าได้เห็นว่าเพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนๆ วัยเดียวกันของเจ้าทุกคนมีสามีกันไปหมดแล้ว หรือเจ้าได้ยินว่าหลังจากคนคนหนึ่งแต่งงาน สามีของเธอได้พาเธอไปอยู่ในเมืองและเธอก็ได้งานทำที่นั่น เมื่อเจ้าพบเธอ เจ้าจะเริ่มรู้สึกอิจฉา เมื่อได้เห็นว่าเธอเต็มไปด้วยเสน่ห์และท่าทางที่สง่าตั้งแต่หัวจรดเท้าเช่นไร และเห็นว่าเวลาที่เธอพูดกับเจ้า เธอมีไหวพริบแบบที่เป็นสากลเช่นไร ไม่มีเค้าของสาวบ้านนอกในตัวเธออีกแล้ว การได้เห็นอย่างนี้ทำให้ความรู้สึกหลายๆ อย่างในตัวเจ้าปั่นป่วนขึ้น เมื่อได้ทุ่มเทให้พระเจ้าทั้งหมดตลอดมา เจ้าก็ไม่มีทั้งครอบครัวหรืออาชีพการงาน และเจ้าได้สู้ทนกับการถูกจัดการมากมาย เจ้าเข้าวัยกลางคนนานมาแล้ว และวัยเยาว์ของเจ้าก็ผ่านเลยไปอย่างเงียบๆ เนิ่นนานแล้ว ราวกับว่าเจ้าอยู่ในความฝัน ปัจจุบัน เมื่อผ่านวันเวลามาจนถึงตอนนี้ เจ้าไม่รู้ว่าจะปักหลักชีวิตที่ไหน ในชั่วขณะนี้ เจ้าติดอยู่ในวังวนแห่งความคิด ราวกับว่าเจ้าเสียสติไปแล้ว เมื่อต้องโดดเดี่ยวเดียวดายและไร้ความสามารถที่จะหลับลงได้ โดยนอนตื่นอยู่ตลอดคืนอันยาวนาน ก่อนที่เจ้าจะรู้ตัว เจ้าก็เริ่มคิดถึงเรื่องปณิธานของเจ้าและคำปฏิญาณอย่างสง่าต่อพระเจ้าของเจ้า และเหตุใด ถึงกระนั้น เจ้าจึงได้ตกอยู่ในสภาพน่าเศร้าเช่นนี้? โดยไม่รู้ตัว เจ้าก็ปล่อยให้น้ำตาอันเงียบกริบร่วงหล่นและเจ้าก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดอันบีบคั้นหัวใจ เมื่อมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน เจ้าก็หวนนึกถึงว่าเจ้าเคยอยู่อย่างใกล้ชิดและอย่างแยกจากกันไม่ได้เพียงใด ในวันเวลาเมื่อครั้งที่เจ้าอยู่กับพระเจ้า ฉากแล้วฉากเล่าผุดพรายขึ้นตรงหน้าเจ้า แล้วคำปฏิญาณที่เจ้ากล่าวในวันนั้นก็กังวานขึ้นในหูของเจ้าอีกครั้ง “พระเจ้าไม่ใช่คนสนิทเพียงหนึ่งเดียวของฉันหรอกหรือ?” ถึงตอนนี้ เจ้าก็ทรมานไปกับเสียงสะอื้นแล้ว “พระเจ้า! พระเจ้าที่รัก! ข้าพระองค์ได้มอบหัวใจแด่พระองค์ทั้งหัวใจ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะยึดมั่นในสัญญาต่อพระองค์ตลอดกาล และข้าพระองค์จะรักพระองค์อย่างแน่วแน่ตลอดชั่วชีวิตของข้าพระองค์…” ต่อเมื่อเพียงขณะที่เจ้าต่อสู้ดิ้นรนในความทุกข์อันรุนแรงนั้นเท่านั้น เจ้าจึงสำนึกรับรู้อย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงน่ารักน่าชื่นชมเพียงใด และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงตระหนักได้อย่างชัดเจนว่า ฉันได้มอบทุกอย่างของฉันให้กับพระเจ้านานมาแล้ว หลังจากผ่านความรวดร้าวนั้นมาได้ เจ้าก็เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นในเรื่องเหล่านี้ และเจ้าก็เห็นว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในเวลานั้นไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์มีไว้ในครอบครอง ในประสบการณ์ของเจ้าหลังจากจุดนี้ เจ้าจะไม่ถูกจำกัดอยู่ในแง่มุมนี้ของการเข้าสู่อีกต่อไป ราวกับว่ารอยแผลเป็นจากแผลเก่าของเจ้าได้ยังประโยชน์อย่างมากต่อการเข้าสู่ของเจ้า เมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าจะหวนคิดถึงน้ำตาที่เจ้าหลั่งออกมาในวันนั้นขึ้นมาทันที ราวกับว่าเจ้าได้อยู่ร่วมกับพระเจ้าอีกครั้งหลังจากที่แยกจากกันไป และกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าสัมพันธภาพของเจ้ากับพระเจ้าจะถูกตัดขาดอีกครั้ง และความผูกพันทางอารมณ์ (สัมพันธภาพปกติ) ระหว่างเจ้ากับพระเจ้าจะเสียหายไปอีก นี่คืองานของเจ้าและการเข้าสู่ของเจ้า ดังนั้น ขณะเดียวกับที่พวกเจ้ารับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไว้ พวกเจ้าควรที่จะให้ความสำคัญกับการเข้าสู่ของพวกเจ้ามากขึ้นไปอีก โดยการมองเห็นว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และการเข้าสู่ของพวกเจ้านั้นคืออะไรกันแน่ รวมถึงการผนวกพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้าไว้ในการเข้าสู่ของพวกเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ในหลายๆ ด้านกว่าเดิม และเพื่อที่เนื้อแท้ของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้ถูกสร้างขึ้นภายในตัวพวกเจ้า ในช่วงที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเจ้าจะมารู้จักพระวิญญาณบริสุทธิ์ รวมถึงตัวเจ้าเองด้วย และยิ่งกว่านั้น ใครจะรู้ ในท่ามกลางความทุกข์แสนสาหัสไม่รู้ว่ากี่รอบนั้น เจ้าจะพัฒนาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้า และสัมพันธภาพระหว่างเจ้ากับพระเจ้าจะใกล้ชิดขึ้นวันต่อวัน ภายหลังจากเหตุการณ์ทั้งหลายเกี่ยวกับการตัดแต่งและกระบวนการถลุงอย่างนับไม่ถ้วน เจ้าจะพัฒนาความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้า นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดพวกเจ้าจึงต้องตระหนักว่าความทุกข์ การเฆี่ยนตี และความทุกข์ลำบากนั้นไม่ใช่สิ่งที่พึงกลัว สิ่งที่น่าหวาดหวั่นนั้นคือการมีเพียงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แต่ไม่มีการเข้าสู่ของพวกเจ้า เมื่อวันนั้นมาถึงซึ่งพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้นลง เจ้าจะได้ลงแรงไปโดยเปล่าดาย กล่าวคือ แม้เจ้าจะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าจะไม่ได้มารู้จักพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือได้มีการเข้าสู่ของเจ้าเอง ความรู้แจ้งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในมนุษย์นั้น ไม่ใช่เพื่อค้ำจุนความหลงใหลของมนุษย์ไว้ แต่เพื่อเปิดเส้นทางสำหรับการเข้าสู่ของมนุษย์ รวมทั้งเพื่ออนุญาตให้มนุษย์ได้มารู้จักกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ และจากจุดนี้ ได้พัฒนาความรู้สึกเคารพและการรักใคร่บูชาที่มีต่อพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger