ธรรมชาติอันโอหังคือรากเหง้าของการที่มนุษย์ต้านทานพระเจ้า (ตอนที่สอง)

ครั้งหนึ่ง เราเคยผ่านไปยังคริสตจักรหลายแห่ง ได้เห็นครอบครัวเจ้าบ้านทุกประเภทและผู้เชื่อในพระเจ้าทุกรูปแบบ ทำไมเราจึงไม่เต็มใจอีกต่อไปที่จะติดต่อกับผู้คนมากจนเกินไป? เพราะผู้คนเลวทรามยิ่งนัก ผู้คนส่วนใหญ่ไม่มีมโนธรรมและเหตุผล พวกเขาไม่มีที่ว่างให้พระเจ้า และมักวางอุบายกับพระองค์เสมอ ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะอยู่ห่างจากผู้คนและทำงานที่เราควรทำเท่านั้น ผู้คนบางคนพูดว่า “พระเจ้าไม่ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางมนุษย์หรือ?” เราอยู่ท่ามกลางมนุษย์ นั่นไม่ผิด แต่เราไม่สามารถอยู่ท่ามกลางคนเลวได้ นั่นอันตรายเกินไป คงจะดีหากเรามีร่างกายฝ่ายวิญญาณ เช่นนั้นเราคงสามารถทำสิ่งใดก็ได้ท่ามกลางผู้คน—ร่างกายฝ่ายวิญญาณเช่นพระเยซูก็ดี พระองค์ทรงปฏิบัติตามที่พระองค์พอพระทัย และผู้คนก็ไม่กล้าข่มเหง—แต่บัดนี้เรามีเพียงร่างกายธรรมดาฝ่ายเนื้อหนัง ร่างกายที่เป็นเนื้อหนังธรรมดาเท่านั้น ไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติเลย ดังนั้นผู้คนจึงไม่สามารถยอมรับเรื่องนี้ได้ พวกเขามีมโนคติอันหลงผิดและต้องการตรวจสอบพระเจ้าเสมอ หากบุคคลประเภทที่มีอุปนิสัยเช่นนี้ถูกให้การบ่มวินัยและการลงโทษเล็กน้อย ทำให้ปวดหัวไปสักหนึ่งเดือน พวกเจ้าคิดว่าจะมีประโยชน์หรือไม่? นั่นย่อมไร้ประโยชน์ พวกเขาคงจะลุกขึ้นยืนหลังจากปวดหัวมาตลอดทั้งเดือนและระบายความโกรธของพวกเขาออกมา พวกเจ้าคิดว่าการบ่มวินัยเพียงอย่างเดียวสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงได้หรือ? ไม่สามารถ ดังนั้น มีผู้คนมากมายที่เราได้เข้ามาติดต่อด้วยในอดีต แต่มีน้อยคนนักที่รักความจริง เราสามารถกล่าวกับพวกเจ้าได้เพียงว่าผู้คนไม่ควรเชื่อในพระเจ้าเพื่อรับบางสิ่งจากพระองค์ เจ้าควรเพียงสนใจเกี่ยวกับการทำหน้าที่ของเจ้าให้ดี เกี่ยวกับการใช้พลังงานทั้งหมดของเจ้า หากขีดความสามารถของเจ้าต่ำเกินไป ไม่เหมาะสมในการใช้งาน เช่นนั้นเจ้าควรเร่งรีบและลดระดับขั้นของตนเองลงมา เจ้าควรเชื่อฟังและประพฤติตนให้ดี ทำในสิ่งที่เจ้าสมควรทำ ไม่ทำในสิ่งที่เจ้าไม่สมควร และเจ้าควรมีเหตุผล เจ้าเป็นบุคคลหนึ่ง หากพระเจ้ามิได้ประทานลมหายใจ ชีวิต และพลังงานแก่เจ้า เจ้าย่อมจะไม่สามารถทำสิ่งใดได้เลย ผู้คนไม่ควรขอสิ่งใด ไม่ควรเปรียบเทียบคุณสมบัติต่างๆ เพราะการมีคุณสมบัตินั้นไร้ประโยชน์สำหรับเจ้า! หากคริสตจักรหนึ่งแต่งตั้งให้เจ้าเป็นผู้นำ เช่นนั้น นั่นคือความรับผิดชอบของเจ้า และหากมีผู้อื่นถูกให้เป็นผู้นำ เช่นนั้น นั่นก็เป็นความรับผิดชอบของพวกเขา แน่นอนว่าในขณะที่งานดำเนินไป เจ้าก็ควรร่วมสามัคคีธรรม แต่เจ้าไม่ควรเปรียบเทียบคุณสมบัติทั้งหลาย โดยคิดว่า “ฉันได้เป็นผู้มีคุณสมบัติที่คริสตจักรแห่งนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว พวกเขาควรนับถือฉัน ฉันเป็นผู้ที่อาวุโสที่สุด ส่วนคุณเป็นอันดับที่สอง” อย่าพูดแบบนั้น นั่นไม่มีเหตุผลเกินไป ผู้คนบางคนพูดอีกด้วยว่า “ฉันได้กันงานของฉันออกไปเพื่อที่ฉันจะสละตนเองเพื่อพระเจ้า ฉันได้กันครอบครัวของฉันออกไป แล้วฉันได้รับอะไรบ้าง? ฉันไม่ได้อะไรเลย และพระเจ้าทรงยังคงอบรมสั่งสอนผู้คนอยู่” เจ้าคิดเห็นอย่างไรกับถ้อยคำเหล่านี้? ผู้คนควรยืนอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องและเข้าใจชัดเจนเสียก่อนเกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ ซึ่งพวกเขายังคงเป็นมวลมนุษย์ที่ถูกทำให้เสื่อมทราม หากเจ้าถูกให้เป็นผู้นำ เช่นนั้นจงเป็นผู้นำ หากเจ้าไม่ได้ถูกให้เป็นผู้นำ ก็จงเป็นผู้ตามธรรมดาไป หากเจ้าได้รับมอบหมายงานให้ทำ เช่นนั้นเจ้าก็มีโอกาสที่จะได้ทำอะไรบางอย่าง หากเจ้าไม่ได้รับมอบหมายให้ทำงานอะไร เจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้เลย จงอย่าโอ้อวด—การโอ้อวดนั้นเป็นสัญญาณไม่ดี นั่นพิสูจน์ว่าเจ้ากำลังเดินไปสู่ขั้นสุด ไปสู่ความตาย อย่าโอ้อวดโดยพูดว่า “ฉันได้รับผู้คนกลุ่มหนึ่งมาจากที่แห่งหนึ่ง พวกเขาเป็นผลงานของฉัน หากฉันไม่ได้ไปยังที่แห่งนั้น ก็คงไม่มีใครทำสิ่งนี้ได้ เมื่อคราวที่ฉันไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงพระราชกิจอันยิ่งใหญ่” อย่าโอ้อวดในลักษณะนี้ หากแต่เจ้าควรพูดว่า “การได้รับผู้คนเหล่านี้ได้นั้นเป็นผลมาจากการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ บุคคลหนึ่งสามารถทำงานได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากพวกเราเผยแผ่ข่าวประเสริฐเสร็จแล้ว และพระเจ้าทรงส่งพวกเรากลับบ้าน เช่นนั้นพวกเราก็จะกลับบ้าน” อย่าพูดว่า “นี่ฉันทำอะไรผิดหรือจึงทำให้พระองค์ทรงส่งฉันกลับบ้าน? หากพระองค์ไม่ทรงสามารถบอกเหตุผล เช่นนั้นฉันก็จะไม่กลับบ้าน!” จงอย่ามีข้อพึงประสงค์นี้ หากเจ้ามีข้อพึงประสงค์นี้ ก็ย่อมพิสูจน์ว่าอุปนิสัยของเจ้านั้นโอหังเป็นอย่างยิ่ง หากเจ้ามิได้ทำความผิดพลาด เจ้าไม่สามารถถูกส่งกลับบ้านเช่นนั้นหรือ? ต่อให้เจ้ากระทำการอย่างถูกต้องและทำได้ดี หากเจ้าถูกส่งให้กลับบ้าน เจ้าก็ต้องกลับบ้าน หากเจ้าถูกตัดแต่ง เจ้าต้องยอมรับและนบนอบ นี่เป็นภาระผูกพัน เป็นความรับผิดชอบ และเจ้าไม่ควรปกป้องตนเอง โยบได้เชื่อในพระเจ้าและมุ่งความสนใจไปที่การยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วเท่านั้น โยบไม่ได้ขอสิ่งใดเลย และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรเขา ผู้คนบางคนพูดว่า “นั่นก็เพราะว่าโยบนั้นดีกับพระเจ้า ดังนั้นแน่นอนว่าพระเจ้าทรงอวยพรเขา และการที่พระองค์ทรงอวยพรนั่นก็เป็นการตอบแทนต่อความเชื่อและงานที่ชอบธรรมของโยบ” นี่ไม่ถูกต้อง นี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยน นี่เป็นการที่ว่าพระยาห์เวห์ทรงประสงค์ที่จะอวยพรเขา ทำไมโยบจึงไม่พร่ำบ่นเมื่อพระยาห์เวห์ทรงเอาทุกสิ่งไปจากเขา? เหตุใดเขาจึงไม่พูดว่า “ข้าพระองค์กระทำการอย่างชอบธรรม ข้าพระองค์มีคุณสมบัติที่ดียิ่งนัก เช่นนั้นพระองค์ไม่ควรปฏิบัติต่อข้าพระองค์เช่นนี้”? นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่าควรและไม่ควร! เมื่อมาถึงเรื่องความเชื่อในพระเจ้า หากผู้คนมีทางเลือกเป็นของตนเองอยู่เสมอ และเอาแต่พูดเกี่ยวกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์และคำสอนทั้งหลาย นั่นย่อมไม่ถูกต้อง นี่คือความโอหังและการเป็นกบฏของมวลมนุษย์ ทางเลือกของมนุษย์ก็คือการปลอมปนความเป็นมนุษย์นั่นเอง

เมื่อพวกเจ้าเปิดเผยอุปนิสัยอันโอหังของตัวเอง พวกเจ้าตระหนักรู้ในเรื่องนี้หรือไม่? ผู้คนบางคนไม่รู้ตัว พวกเขาจึงพูดว่า “ฉันไม่โอหัง ฉันไม่เคยกล่าวสิ่งใดที่โอหังมาก่อนเลย” แท้จริงแล้ว ต่อให้เจ้าไม่รู้ตัว เจ้าก็ยังมีอุปนิสัยอันโอหัง เพียงแต่มันมิได้พรั่งพรูออกมา ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าไม่ได้เปิดเผยอุปนิสัยนั้นออกมาสู่ภายนอก ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่มีอุปนิสัยอันโอหัง เป็นไปได้ว่าหัวใจของเจ้าโอหังมากกว่าผู้อื่น เพียงแต่เจ้ารู้วิธีเสแสร้งแกล้งทำ เช่นนั้นความโอหังจึงไม่พรั่งพรูออกมา แต่ผู้คนที่มีวิจารณญาณย่อมสามารถมองออก ดังนั้น บุคคลทุกคนมีอุปนิสัยอันโอหัง นี่เป็นธรรมชาติที่เหมือนกันทั่วไปของมวลมนุษย์ ผู้คนที่มีธรรมชาติอันโอหังสามารถที่จะไม่เชื่อฟังพระเจ้า ขัดขืนต่อพระองค์ กระทำการในการปฎิบัติตนทั้งหลายที่ตัดสินพระองค์และทรยศพระองค์ และทำสิ่งทั้งหลายที่ยกย่องตัวพวกเขาเอง รวมถึงความพยายามที่จะจัดตั้งอาณาจักรอิสระของพวกเขาเอง สมมุติว่ามีผู้คนหลายหมื่นคนในประเทศหนึ่งซึ่งยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า และพระนิเวศของพระเจ้าได้ส่งเจ้าไปที่นั่นเพื่อนำทางและเป็นผู้เลี้ยงให้กับผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร และสมมุติว่าพระนิเวศของพระเจ้าได้มอบสิทธิอำนาจให้แก่เจ้า และเปิดโอกาสให้เจ้าทำงานด้วยตนเอง โดยไม่มีเราหรือผู้อื่นคอยควบคุมดูแล หลายเดือนหลังจากนั้น เจ้าย่อมจะกลายเป็นเหมือนผู้ปกครองเหนือหัว อำนาจทั้งหมดจะอยู่ในมือของเจ้า เจ้าจะมีอำนาจฟันธง ผู้ที่ทรงเลือกสรรทั้งหมดจะเคารพเจ้า บูชาเจ้า เชื่อฟังเจ้า ราวกับว่าเจ้าคือพระเจ้า ขับร้องบทเพลงสรรเสริญเจ้าด้วยทุกคำพูด โดยกล่าวว่าเจ้านั้นประกาศอย่างเต็มไปด้วยความรู้ความเข้าใจเชิงลึก และกล่าวอ้างอย่างไม่ลดละว่าถ้อยคำของเจ้าคือสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขา ว่าเจ้าสามารถจัดเตรียมให้แก่พวกเขา นำทางพวกเขาได้ และหัวใจของพวกเขานั้นย่อมไม่มีที่ทางให้สำหรับพระเจ้า งานประเภทนี้จะไม่เป็นปัญหาหรอกหรือ? เจ้าจะทำงานนี้ให้เสร็จลงได้อย่างไร? การที่ผู้คนเหล่านี้สามารถมีปฏิกิริยาเช่นนั้นได้ ย่อมจะพิสูจน์ว่างานที่เจ้ากำลังทำอยู่นั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเป็นคำพยานให้แก่พระเจ้าแต่อย่างใดเลย แต่กลับเป็นเพียงคำพยานให้ตัวเจ้าเองและเป็นการอวดตัวเจ้าเองเท่านั้น เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ผลสืบเนื่องแบบนั้นได้อย่างไร? ผู้คนบางคนพูดว่า “สิ่งที่ฉันสามัคคีธรรมคือความจริง แน่นอนว่าฉันไม่เคยให้การเป็นพยานแก่ตัวฉันเองเลย!” ท่าทีนั้นของเจ้า—ลักษณะท่าทางนั้น—เป็นท่าทีของการพยายามที่จะสามัคคีธรรมกับผู้คนจากตำแหน่งของพระเจ้า และนั่นไม่ใช่ท่าทีของการยืนในตำแหน่งมนุษย์ผู้เสื่อมทราม ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าพูดคือการพูดแบบคุยโม้และสร้างข้อเรียกร้องต่อผู้อื่น ไม่มีอะไรที่เกี่ยวกับตัวเจ้าเองเลย เพราะฉะนั้น ผลที่เจ้าจะสัมฤทธิ์ก็คือการให้ผู้คนบูชาเจ้า อิจฉาริษยาเจ้า จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็นบนอบต่อเจ้า เป็นพยานยืนยันให้เจ้า ยกย่องเจ้า และยกยอปอปั้นเจ้าเป็นการใหญ่ เมื่อการนั้นเกิดขึ้น เจ้าย่อมจะจบสิ้นแล้ว เจ้าย่อมจะล้มเหลวแล้ว! นี่ไม่ใช่เส้นทางที่พวกเจ้าทั้งหมดเดินอยู่ในตอนนี้หรอกหรือ? หากเจ้าถูกขอให้นำทางผู้คนสองสามพันคนหรือสองสามหมื่นคน เจ้าย่อมจะรู้สึกอิ่มเอมใจ และแล้วเจ้าก็จะเกิดความโอหังและเริ่มพยายามที่จะยึดครองตำแหน่ง การตรัสและการแสดงท่าทางของพระเจ้า และเจ้าย่อมจะไม่รู้ว่าจะสวมใส่อะไร จะกินสิ่งใด หรือจะเดินอย่างไร เจ้าจะครื้นเครงไปกับสิ่งชูใจในชีวิตและทำตัวสูงส่ง ไม่ลดตัวลงมาพบปะพี่น้องชายหญิงที่ธรรมดาสามัญ เจ้าจะเสื่อมสภาพอย่างที่สุด จะถูกเปิดเผยและถูกกำจัดออกไป รวมถึงถูกบดขยี้ดุจเดียวกับหัวหน้าทูตสวรรค์ พวกเจ้าทุกคนล้วนมีความสามารถในการนี้ หรือเจ้าไม่สามารถเล่า? ดังนั้น พวกเจ้าควรทำอย่างไร? หากวันหนึ่ง มีการจัดการเตรียมการเพื่อให้พวกเจ้ารับผิดชอบงานแห่งข่าวประเสริฐในทุกๆ ประเทศ และพวกเจ้าก็มีความสามารถในการเดินไปบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วงานนั้นจะสามารถขยับขยายไปได้อย่างไร? นี่จะไม่ก่อปัญหาหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้ว ใครเล่าจะกล้าปล่อยพวกเจ้าไปที่นั่น? หลังจากถูกส่งไปที่นั่น เจ้าคงจะไม่มีวันกลับมา เจ้าคงจะไม่สนใจสิ่งอันใดที่พระเจ้าตรัสไว้ และเจ้าคงจะแค่อวดตัวและเป็นคำพยานให้ตัวเจ้าเองเรื่อยไป ราวกับว่าเจ้ากำลังนำความรอดมาสู่ผู้คน ทำพระราชกิจของพระเจ้า และทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าพระเจ้าได้ทรงปรากฏแล้วและทำพระราชกิจอยู่ตรงนี้—และขณะที่ผู้คนบูชาเจ้า เจ้าคงจะชื่นบานเป็นล้นพ้น และเจ้าคงจะถึงขั้นยินยอมหากพวกเขาปฏิบัติต่อเจ้าดั่งพระเจ้า ทันทีที่เจ้าไปถึงช่วงระยะนั้น เจ้าย่อมจะจบสิ้นแล้ว เจ้าจะกลายเป็นเศษเดน หากเจ้าไม่ตระหนักถึงการนั้น ธรรมชาติอันโอหังประเภทนี้ก็จะลงเอยเป็นความย่อยยับของเจ้า นี่คือตัวอย่างของบุคคลที่เดินบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์ พวกที่มาถึงจุดนี้ได้สูญเสียการตระหนักรู้โดยสิ้น มโนธรรมและสำนึกของพวกเขาได้หยุดทำงานลง และพวกเขาไม่รู้แม้กระทั่งการอธิษฐานหรือการตรวจค้น จงอย่ารอให้ถึงตอนนั้นแล้วจึงคิดได้ว่า “ฉันต้องหมั่นสำรวจตัวเองอย่างใกล้ชิด ฉันต้องอธิษฐานอย่างจริงจังตั้งใจ!” เมื่อถึงเวลานั้นก็จะสายเกินไปเสียแล้ว เจ้าจำเป็นต้องรู้ถึงการนี้ล่วงหน้า เจ้าจำเป็นต้องแสวงหา “ฉันควรปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อเป็นพยานยืนยันให้แก่พระเจ้า เพื่อทำงานของฉันให้ดี โดยไม่เป็นพยานยืนยันแก่ตัวฉันเอง? ฉันต้องใช้วิธีการใดที่จะสามัคคีธรรมร่วมกับผู้อื่น ที่จะนำทางพวกเขา?” นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องตระเตรียม หากวันหนึ่ง มีการจัดการเตรียมการเพื่อให้เจ้าได้ออกไปและทำงานจริงๆ และพวกเจ้ายังคงมีความสามารถในการยกย่องและเป็นพยานยืนยันให้แก่ตนเอง อันนำทางไปสู่ความย่อยยับของผู้คนจำนวนมากที่อยู่ในมือเจ้า เจ้าจะเดือดร้อนและจะทนทุกข์กับการลงโทษของพระเจ้าในภายหลัง! หากเราไม่กล่าวคำเหล่านี้แก่พวกเจ้า ก็ไม่เป็นไรเช่นนั้นหรือ? ก่อนที่เราได้พูดไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเจ้าได้มีความสามารถในการทำเช่นนั้น ดังนั้น หากพวกเจ้ายังคงมีความสามารถในการทำเช่นนั้นได้อีกหลังจากที่เราบอกพวกเจ้าไปแล้ว พวกเจ้าจะไม่เดือดร้อนหรอกหรือ? พวกเจ้าทุกคนต้องคิดเกี่ยวกับวิธีทำงานของเจ้า วิธีที่พวกเจ้าประพฤติปฏิบัติอย่างพอเหมาะพอควรที่สุด ทุกสิ่งที่เจ้าพูดและทำ ทุกการปฏิบัติตนและทุกการเคลื่อนไหว ทุกคำพูดและความประพฤติ และทุกเจตนาในหัวใจของเจ้าต้องไปเป็นตามมาตรฐานทั้งหมด ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดที่สามารถตกหล่นไปได้ และเจ้าไม่สามารถหาประโยชน์จากช่องโหว่ใดๆ ถึงแม้ความโอหังคือธรรมชาติของมนุษย์ และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปลี่ยนแปลง ผู้คนยังคงจำเป็นต้องรู้จักอุปนิสัยอันโอหังของพวกเขา เพื่อให้มีหลักธรรมในการปฏิบัติ เจ้าต้องเข้าใจว่า “ถ้าฉันได้รับคริสตจักรบางแห่งจริงๆ ฉันจะจำเป็นต้องปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อไม่ไปครองตำแหน่งของพระเจ้า? ฉันจะจำเป็นต้องปฏิบัติตนอย่างไรให้ไม่โอหัง? ฉันจะปฏิบัติตนอย่างไรให้พอเหมาะพอควร? ฉันจะปฏิบัติตนอย่างไรเพื่อนำผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เพื่อเป็นพยานยืนยันให้แก่พระองค์?” เจ้าต้องไตร่ตรองเรื่องเหล่านี้จนกว่าจะกระจ่างแจ้ง สมมุติว่ามีบางคนถามว่า “คุณสามารถนำทางคริสตจักรต่างๆ ได้ดีหรือไม่?” และเจ้าพูดว่า “ฉันทำได้” แต่เจ้ากลับนำผู้คนเข้ามาอยู่ต่อหน้าของเจ้าเสียเอง—พวกเขาย่อมนบนอบต่อเจ้า แต่ไม่นบนอบต่อพระเจ้า—นี่จะไม่เป็นปัญหาหรอกหรือ? ในฐานะผู้นำหรือคนทำงานคนหนึ่ง หากเจ้าไม่รู้ว่าการนำพาผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าคืออะไร หรือไม่รู้ว่าการนำพาพวกเขามาอยู่ต่อหน้าของเจ้าเองคืออะไร เช่นนั้นแล้วเจ้าจะสามารถรับใช้พระเจ้าได้อย่างไร? เจ้าจะสามารถมีความเหมาะสมต่อการที่พระเจ้าทรงใช้หรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน พวกที่มีความสามารถในการนำพาผู้คนอื่นๆ มาอยู่ต่อหน้าตนเองมิใช่พวกศัตรูของพระคริสต์ทั้งหมดหรอกหรือ? หากบางคนเชื่อในพระเจ้า แต่พวกเขาไม่มีที่ทางสำหรับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา พวกเขาก็ไม่ยำเกรงพระองค์ พวกเขาไม่มีหัวใจที่นบนอบต่อพระองค์ หรือความตั้งใจที่จะนบนอบต่อพระองค์ เช่นนั้นบุคคลดังกล่าวก็ไม่เชื่อในพระเจ้า ดังนั้น จริงๆ แล้วพวกเขาเชื่อใครกัน? เจ้าจงวิเคราะห์เอาเองเถิด จงอย่าพูดภายหลังว่า “ฉันไม่โอหัง ฉันเป็นคนดี ฉันทำแต่สิ่งที่ดีงามเท่านั้น”—คำพูดเหล่านี้นั้นเหมือนเด็กไม่รู้ความ! คนอื่นทุกคนล้วนโอหัง แต่เจ้าไม่โอหังหรือไร? เจ้าได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้วในแบบนั้น แต่เจ้ายังคงไม่รู้จักตัวเอง และเจ้ายังคงพูดว่าเจ้าไม่โอหัง—เจ้าช่างไร้ยางอายเหลือเกิน! เจ้าด้านชามากเสียจนไม่สำคัญเลยว่าเจ้าถูกเปิดเผยไปมากเพียงใด! พวกเจ้ารู้จุดประสงค์ที่เรากล่าวคำเหล่านี้หรือไม่? เพราะเหตุใดเราจึงเปิดโปงผู้คนเช่นนี้? หากเราไม่เปิดโปงเช่นนี้ พวกเขาจะรู้จักตัวตนของพวกเขาหรือไม่? หากเราไม่เปิดโปงเช่นนี้ ผู้คนจะยังคงคิดว่าพวกเขานั้นค่อนข้างดี ว่าพวกเขาก็ทำงานของตนอย่างใช้ได้ทีเดียว ว่าพวกเขานั้นไม่มีที่ติที่จะชี้ให้เห็นเลย และคิดไปว่าตนนั้นดีรอบด้าน ต่อให้พวกเขาดีทุกอย่าง พวกเขาก็ไม่ควรอยู่ในสภาวะอันโอหัง ไม่ควรคิดว่าพวกเขามีคุณวุฒิ และไม่ควรโอ้อวดด้วย เราเปิดโปงสภาวะของผู้คนเช่นนี้มิใช่เพื่อตัดสินโทษให้พวกเขาไปสู่ความตาย หรือเพื่อบอกว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอด หากแต่เพื่อช่วยให้พวกเขาได้รู้จักตัวเองได้อย่างแท้จริง เพื่อเข้าใจถึงแก่นแท้อันเสื่อมทรามของพวกเขาเองและธรรมชาติของตน เพื่อให้พวกเขาสามารถสัมฤทธิ์ถึงความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับตัวเอง การนี้เป็นประโยชน์เมื่อพวกเขาพยายามทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเองไป หากพวกเจ้าสามารถปฏิบัติในหนทางที่ถูกต้องต่อวาจาของเราที่เกี่ยวกับเปิดโปงและการตัดแต่งผู้คน หากเจ้าสามารถหลีกเลี่ยงการกลายเป็นคิดลบ สามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้อย่างเป็นปกติ สามารถทำให้เรื่องในพระนิเวศของพระเจ้าเป็นเรื่องของเจ้าเอง และหากเจ้าสามารถรับผิดชอบได้โดยปราศจากการทำแบบขอไปที หากเจ้าสามารถจงรักภักดีต่อพระเจ้า เช่นนั้นก็เป็นท่าทีที่ถูกต้อง และเจ้าจะสามารถทำหน้าที่ของเจ้าได้เป็นอย่างดี

มีผู้คนบางคนที่มักละเมิดหลักธรรมในยามที่พวกเขาปฏิบัติตน พวกเขาไม่ยอมรับการตัดแต่ง ซึ่งพวกเขารู้อยู่ในหัวใจของตนว่าสิ่งทั้งหลายที่ผู้อื่นพูดนั้นสอดคล้องกับความจริง แต่พวกเขากลับไม่ยอมรับ ผู้คนเช่นนี้โอหังเหลือเกินและคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมอ! ทำไมถึงกล่าวว่าพวกเขาโอหังเช่นนั้น? หากพวกเขาไม่ยอมรับการตัดแต่ง เช่นนั้นพวกเขาก็ไม่เชื่อฟัง และการไม่เชื่อฟังมิใช่ความโอหังหรอกหรือ? พวกเขาคิดว่าตนเองกำลังทำได้ดีและไม่คิดว่าตนเองทำข้อผิดพลาด นั่นหมายความว่าพวกเขาไม่รู้จักตัวเอง ซึ่งนั่นก็คือความโอหัง ดังนั้น มีบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าจำเป็นต้องวิเคราะห์อย่างจริงจังตั้งใจ เพื่อจะเจาะลึกลงไปทีละเล็กทีละน้อย ในขณะที่พวกเจ้าทำงานของคริสตจักร หากเจ้าบรรลุความเลื่อมใสจากผู้อื่น และพวกเขาให้ข้อเสนอแนะและเปิดใจในการสามัคคีธรรมกับเจ้า นี่พิสูจน์ว่าเจ้าได้ทำงานของเจ้าเป็นอย่างดี แต่ถ้าผู้คนถูกเจ้าจำกัดควบคุมเสมอ เช่นนั้นพวกเขาจะค่อยๆ หยั่งรู้ตัวตนของเจ้า และพวกเขาก็จะตีตัวออกห่างจากเจ้า ซึ่งพิสูจน์ว่าเจ้าปราศจากความเป็นจริงของความจริง เช่นนั้นก็แน่นอนเลยว่า ทุกสิ่งที่เจ้าพูดเป็นแค่คำพูดที่เป็นคำสอนซึ่งหมายที่จะจำกัดควบคุมผู้อื่น ผู้นำคริสตจักรบางคนถูกแทนที่ และเหตุใดเล่าพวกเขาจึงถูกแทนที่? นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเอาแต่กล่าวคำพูดที่เป็นคำสอน อวดตัวเองและเป็นพยานยืนยันให้แก่ตนเองอยู่เสมอ พวกเขาพูดว่าการขัดขืนพวกเขาก็คือการขัดขืนพระเจ้า และใครก็ตามที่รายงานสถานการณ์ไปยังเบื้องบนกำลังรบกวนงานของคริสตจักร นี่เป็นปัญหาประเภทใดกัน? ผู้คนเหล่านี้ได้กลายเป็นโอหังจนถึงขั้นไร้สำนึกไปเสียแล้ว นี่มิได้แสดงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาในฐานะศัตรูของพระคริสต์หรือ? การนี้จะไม่พัฒนาไปสู่การเริ่มจัดตั้งอาณาจักรอิสระของตนเองหรือ? ผู้คนบางคนที่เพิ่งเริ่มเชื่อได้ไม่นานจะบูชาและเป็นพยานยืนยันแก่คนเหล่านี้ และพวกเขาก็จะชื่นชมยินดีเป็นอันมากและรู้สึกพอใจเป็นล้นพ้น บางคนที่โอหังเช่นนี้ได้ถูกชี้ชะตาไปแล้ว บางคนที่สามารถพูดว่า “การขัดขืนฉันก็คือการขัดขืนพระเจ้า” ได้กลายเป็นเปาโลในยุคสมัยใหม่ไปเสียแล้ว กล่าวคือ คำพูดนี้มิได้แตกต่างไปจากสิ่งที่เปาโลได้พูดว่า “สำหรับข้าพเจ้า การมีชีวิตอยู่คือพระคริสต์” ผู้คนที่พูดถ้อยคำเช่นนี้กำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวงมิใช่หรือ? ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ได้จัดตั้งอาณาจักรอิสระ พวกเขาก็ยังคงเป็นศัตรูของพระคริสต์อย่างแท้จริง หากบุคคลเช่นนี้ได้เป็นผู้นำคริสตจักร คริสตจักรแห่งนั้นย่อมกลายเป็นอาณาจักรแห่งศัตรูของพระคริสต์อย่างรวดเร็ว หลังจากที่ผู้คนบางคนได้กลายเป็นผู้นำคริสตจักรแล้ว พวกเขาจะมุ่งเน้นในการกล่าวบทเทศน์ที่เลิศหรูและอวดตัวเองเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพูดเกี่ยวกับความล้ำลึกเพื่อให้ผู้คนเคารพยกย่องพวกเขา และผลลัพธ์ก็คือพวกเขายิ่งห่างไกลออกไปทุกทีจากความเป็นจริงของความจริง การนี้นำให้ผู้คนส่วนใหญ่บูชาทฤษฎีฝ่ายวิญญาณ บุคคลใดก็ตามที่กล่าวคำเลิศหรู ผู้คนก็จะฟังคนผู้นั้น บุคคลใดก็ตามที่พูดเกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิต ผู้คนก็จะไม่ให้ความสนใจแก่ผู้นั้น นี่คือการนำทางให้ผู้คนหลงเจิ่นมิใช่หรือ? หากบางคนสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความเป็นจริงของความจริง แล้วไม่มีผู้ใดฟัง นั่นก็เป็นปัญหา ไม่มีใครพูดว่าคนผู้นี้สามารถนำทางคริสตจักร เพราะทุกคนบูชาทฤษฎีฝ่ายวิญญาณ กล่าวคือผู้ที่พูดเกี่ยวกับทฤษฎีฝ่ายวิญญาณไม่ได้ก็มิอาจตั้งมั่นได้ คริสตจักรเช่นนี้ยังสามารถรับพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หรือ? ผู้คนสามารถเข้าไปสู่ความเป็นจริงของความจริงได้หรือ? เหตุใดหรือการสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงและการพูดเกี่ยวกับประสบการณ์จริงจึงถูกปฏิเสธจนถึงจุดที่พวกเขาไม่เต็มใจที่จะฟังเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง? การนี้พิสูจน์ว่าผู้นำเหล่านี้ได้ควบคุมและชักพาผู้คนเหล่านี้ให้หลงผิดไปแล้ว ผู้คนเหล่านี้ฟังและนบนอบต่อพวกเขาแทนที่จะนบนอบต่อพระเจ้า เห็นได้ชัดว่าผู้คนเหล่านี้เป็นประเภทที่นบนอบต่อผู้นำของพวกเขาแทนที่จะนบนอบต่อพระเจ้า เพราะผู้คนที่เชื่อพระเจ้าอย่างจริงใจและไล่ตามเสาะหาความจริงนั้นไม่ใช่ประเภทที่บูชาหรือติดตามมนุษย์ กล่าวคือพวกเขามีที่ทางในหัวใจของพวกเขาสำหรับพระเจ้าและพวกเขายำเกรงพระเจ้า เช่นนั้นพวกเขาถูกจำกัดควบคุมโดยมนุษย์ได้อย่างไรเล่า? พวกเขาจะสามารถนบนอบอย่างเชื่อฟังต่อผู้นำเทียมเท็จที่ไม่มีความเป็นจริงของความจริงอย่างนั้นหรือ? สิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จกลัวที่สุดก็คือใครบางคนที่มีความเป็นจริงของความจริง ใครบางคนที่ยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว หากใครบางคนไม่มีความจริงแต่ยังต้องการทำให้ผู้อื่นเชื่อฟังพวกเขา เป็นไปได้หรือไม่ว่านั่นก็คือมารหรือซาตานจอมโอหังที่สุด? หากเจ้าผูกขาดคริสตจักรหรือควบคุมประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร เช่นนั้นเจ้าก็ได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและได้ทำตัวเองให้ย่อยยับ และเจ้าอาจจะไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะกลับใจเสียด้วยซ้ำ พวกเจ้าทุกคนต้องระมัดระวัง นี่เป็นเรื่องที่อันตรายมาก เป็นสิ่งที่ใครๆ ก็ทำได้อย่างง่ายดายมาก อาจมีบางคนพูดว่า “ฉันจะไม่ทำอย่างนั้นหรอก ฉันจะไม่เป็นพยานยืนยันให้กับตัวฉันเอง!” นั่นก็เป็นเพราะว่าเจ้าได้ทำงานมาเป็นระยะเวลาเพียงสั้นๆ เท่านั้น ในเวลาต่อมาเจ้าก็จะกล้าที่จะทำเช่นนั้น เจ้าย่อมจะกลายเป็นกล้ามากขึ้นทุกที—กล่าวคือ ยิ่งเจ้าทำการนั้นมากขึ้นเท่าไหร่ เจ้าก็ยิ่งอาจหาญมากขึ้นเท่านั้น หากผู้คนที่เจ้านำทางนั้นคุยโวเกี่ยวกับเจ้าและฟังเจ้า เจ้าย่อมรู้สึกโดยธรรมชาติว่าเจ้าได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง รู้สึกว่าเจ้าช่างน่าทึ่ง: “ดูฉันสิ ฉันเก่งใช้ได้เลยนะ ฉันสามารถนำคนเหล่านี้ทั้งหมด และพวกเขาล้วนฟังฉันทั้งสิ้น สำหรับผู้คนที่ไม่ฟังฉัน ฉันก็จะทำให้เขาสยบลง นี่พิสูจน์ได้ว่าฉันมีความสามารถในการทำงาน และฉันก็ทัดเทียมเหมาะสมกับงานของฉัน” ครั้นเวลาผ่านไป องค์ประกอบอันโอหังแห่งธรรมชาติของเจ้าย่อมเริ่มจะพรั่งพรูออกมา และเจ้าย่อมกลายเป็นโอหังมากเสียจนเจ้าไร้เหตุผล และเจ้าย่อมตกอยู่ในอันตราย เจ้าสามารถมองเห็นการนี้ได้อย่างชัดเจนหรือไม่? เจ้าเดือดร้อนทันทีที่เจ้าเปิดเผยอุปนิสัยที่โอหังไม่เชื่อฟังของเจ้า เจ้าไม่ฟังแม้กระทั่งตอนที่เราพูด พระนิเวศของพระเจ้าแทนที่เจ้า และเจ้ายังอาจหาญที่จะพูดว่า “ให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยการนี้” ข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าจะพูดเช่นนั้นพิสูจน์ว่าเจ้าไม่ยอมรับความจริง ความเป็นกบฏของเจ้านั้นใหญ่หลวงเกินไป—ความเป็นกบฏของเจ้าได้เปิดเผยธรรมชาติและแก่นแท้ของเจ้า เจ้าไม่รู้จักพระเจ้าเลย ดังนั้น เรากล่าวทั้งหมดนี้แก่เจ้าในวันนี้ ก็เพื่อที่พวกเจ้าจะได้หมั่นสำรวจตัวเองอย่างใกล้ชิด จงอย่ายกย่องหรือเป็นพยานยืนยันให้แก่ตนเอง การนี้มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นกับผู้คนที่พยายามและก่อตั้งอาณาจักรอิสระของตน เพราะพวกเขาล้วนชอบตำแหน่ง ความมั่งคั่งและสง่าราศี ความถือดี เป็นผู้รับใช้ที่มีสถานะสูงส่ง และเพื่อสาธิตให้เห็นถึงอำนาจว่า “ดูสิ ฉันได้กล่าววาจาเหล่านั้นออกมาอย่างน่าเกรงขามแค่ไหน ตอนที่ฉันได้แสดงท่าข่มขู่ไปนั้น พวกเขาก็สติแตกและกลายเป็นว่าง่ายไปเลย” จงอย่าแสดงอำนาจประเภทนี้ นั่นไร้ประโยชน์และพิสูจน์อะไรมิได้เลย พิสูจน์ได้ก็แต่เพียงว่าเจ้าช่างโอหังเป็นพิเศษ และว่าเจ้ามีอุปนิสัยที่ต่ำ นั่นไม่พิสูจน์ว่าเจ้ามีความสามารถอันใด ยิ่งไม่ต้องพูดเลยว่าเจ้ามีความเป็นจริงของความจริง หลังจากฟังบทเทศน์มาสองสามปี พวกเจ้ารู้จักตัวเองทั้งหมดหรือไม่? เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าเจ้ากำลังตกอยู่ในรูปการณ์แวดล้อมที่อันตราย? หากมิใช่เพราะพระเจ้าที่ตรัสและทรงพระราชกิจในการช่วยมนุษย์ให้รอด พวกเจ้าจะไม่ก่อตั้งอาณาจักรอิสระของตนเองหรอกหรือ? เจ้าไม่ต้องการผูกขาดคริสตจักรที่พวกเจ้ารับผิดชอบ เพื่อที่จะนำพาผู้คนมาอยู่ภายใต้อิทธิพลของเจ้า เพื่อที่จะไม่มีผู้ใดที่สามารถหลบหนีไปจากการควบคุมของเจ้าได้ แล้วพวกเขาก็จำเป็นต้องเชื่อฟังเจ้าอย่างนั้นหรือ? หากเจ้าควบคุมผู้คนทันทีที่เจ้าทำการนี้ เจ้าก็คือมารซาตาน การมีความคิดเช่นนั้นเป็นสิ่งที่อันตรายมากสำหรับเจ้า กล่าวคือเจ้าได้ก้าวขึ้นไปบนเส้นทางของศัตรูของพระคริสต์แล้ว หากเจ้าไม่ทบทวนตนเองและหากเจ้าไม่สามารถสารภาพบาปของเจ้าต่อพระเจ้าและกลับใจ เช่นนั้นเจ้าจะถูกตัดออกอย่างแน่นอน และพระเจ้าจะไม่ใส่พระทัยในเจ้าเลย เจ้าควรรู้วิธีกลับใจ และวิธีกลับหลังหันเพื่อให้ตนเองอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อที่จะรับประกันว่าเจ้าไม่ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้า จงอย่ารอจนพระนิเวศของพระเจ้ากำหนดตัดสินว่าเจ้าเป็นศัตรูของพระคริสต์และเนรเทศขับไล่เจ้าออกไป—ถึงเวลานั้น มันก็จะสายเกินไปเสียแล้ว

ฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ.1997

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger