พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 120

วันที่ 26 เดือน 02 ปี 2024

การเข้าใจสิทธิอำนาจของพระเจ้าจากมุมมองระดับมหัพภาคและจุลภาค

สิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นมีเอกลักษณ์ เป็นการแสดงออกถึงคุณลักษณะเฉพาะของพระเจ้าและเป็นแก่นแท้ที่พิเศษของพระเจ้า พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง ชนิดที่ไม่มีในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและไม่ได้ทรงสร้างใดๆ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจประเภทนี้ กล่าวคือ มีเพียงพระผู้สร้าง—พระเจ้าพระผู้ทรงเอกลักษณ์—ที่แสดงออกในหนทางนี้และมีแก่นแท้นี้ ดังนั้นแล้ว เหตุใดพวกเราจึงควรพูดคุยเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้ากันเล่า? สิทธิอำนาจของพระเจ้าพระองค์เองนั้นแตกต่างจาก "สิทธิอำนาจ" ที่มนุษย์คิดฝันในใจของเขาอย่างไร? สิทธิอำนาจมีสิ่งใดพิเศษกระนั้นหรือ? เหตุใดการพูดคุยเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าในที่นี้จึงมีนัยสำคัญเป็นพิเศษ? พวกเจ้าแต่ละคนต้องพิจารณาประเด็นปัญหานี้อย่างรอบคอบ สำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว "สิทธิอำนาจของพระเจ้า" เป็นแนวคิดที่คลุมเครือ เป็นแนวความคิดที่พึงต้องใช้ความพยายามอันใหญ่หลวงที่จะทำความเข้าใจ และการเสวนาใดๆ ในเรื่องนี้ก็มีแนวโน้มไปในเชิงนามธรรม ด้วยเหตุนั้นจึงมักจะมีช่องว่างระหว่างความรู้ที่มนุษย์สามารถมีได้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าและแก่นแท้ของสิทธิอำนาจของพระเจ้าอยู่เสมอ ในการที่จะเชื่อมช่องว่างนี้เข้าด้วยกัน ทุกคนต้องค่อยๆ มาทำความรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้าโดยผ่านทางผู้คน เหตุการณ์ต่างๆ สิ่งต่างๆ และปรากฏการณ์หลากหลายที่อยู่ภายในขอบเขตของการเอื้อมถึงของมนุษย์และภายในความสามารถที่จะเข้าใจของมนุษย์ในชีวิตจริงของพวกเขา แม้ว่าวลี "สิทธิอำนาจของพระเจ้า" อาจดูเหมือนมิอาจหยั่งลึกได้ แต่สิทธิอำนาจของพระเจ้าก็ไม่ได้เป็นนามธรรมแต่อย่างใด พระองค์สถิตอยู่กับมนุษย์โดยตลอดทุกนาทีของชีวิตมนุษย์ ทรงนำทางเขาโดยตลอดในทุกๆ วัน ดังนั้น ในชีวิตจริงแล้ว บุคคลทุกคนจำเป็นจะต้องมองเห็นและมีประสบการณ์กับแง่มุมที่จับต้องได้มากที่สุดแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า แง่มุมที่จับต้องได้นี้คือข้อพิสูจน์ที่เพียงพอว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้ามีอยู่จริง และยังเปิดโอกาสให้คนเราระลึกรู้และจับใจความได้อย่างครบถ้วนในข้อเท็จจริงที่ว่า พระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจดังกล่าว

พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมา และหลังจากที่ได้ทรงสร้างแล้ว พระองค์ก็ทรงมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง นอกเหนือจากการมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่งแล้ว พระเจ้ายังทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง แนวคิดที่ว่า "พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง" นี้หมายความว่าอย่างไร? จะสามารถอธิบายแนวคิดนี้ได้อย่างไร? แนวคิดนี้ใช้ได้อย่างไรกับชีวิตจริง? การเข้าใจข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างนั้นจะสามารถนำไปสู่การเข้าใจสิทธิอำนาจของพระองค์ได้อย่างไร? จากวลีที่ว่า "พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง" นี้นี่เองที่พวกเราควรมองเห็นว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงควบคุมนั้นหาใช่ส่วนหนึ่งของหมู่ดาวเคราะห์หรือส่วนหนึ่งของสิ่งทรงสร้างไม่ และยิ่งไม่ใช่ส่วนหนึ่งของมวลมนุษย์ แต่เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง กล่าวคือ จากสิ่งที่มีขนาดใหญ่โตไปจนถึงสิ่งที่เล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จากสิ่งที่มองเห็นได้ไปจนถึงสิ่งที่มองไม่เห็น จากหมู่ดาวแห่งห้วงจักรวาลไปจนถึงสิ่งต่างๆ ที่มีชีวิตบนแผ่นดินโลก ตลอดจนเหล่าจุลชีพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่ดำรงอยู่ในรูปแบบอื่นๆ นี่คือนิยามอันเที่ยงตรงของ "ทุกสิ่งทุกอย่าง" ที่พระเจ้าทรง "ควบคุม" เป็นวงเขตแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์ ขอบข่ายแห่งอธิปไตยและกฎเกณฑ์ของพระองค์

ก่อนที่มนุษยชาตินี้จะเกิดขึ้น ห้วงจักรวาล—กล่าวคือ ดาวเคราะห์ทั้งมวลและหมู่ดาวทั้งหมดในฟ้าสวรรค์—ได้ดำรงอยู่มาก่อนแล้ว ในระดับมหัพภาค เทห์ฟากฟ้าเหล่านี้มีการโคจรอย่างเป็นปกติตลอดมาภายใต้การควบคุมของพระเจ้าสำหรับการดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของพวกมัน ไม่ว่าจะผ่านไปหลายปีดีดักอย่างไรก็ตาม ดาวเคราะห์ใดไปถึงจุดใด ณ เวลาจำเพาะใด ดาวเคราะห์ใดทำหน้าที่ใดและเมื่อใด ดาวเคราะห์ใดโคจรไปตามวงโคจรใด และมันจะอันตรธานหรือถูกแทนที่เมื่อใด—สิ่งทั้งมวลเหล่านี้ดำเนินไปโดยไม่มีความผิดพลาดแม้แต่น้อย ตำแหน่งของดาวเคราะห์และระยะห่างระหว่างดาวเคราะห์ทั้งหมดเป็นไปตามแบบแผนต่างๆ อันรัดกุม ซึ่งทั้งหมดนั้นสามารถใช้ข้อมูลอันเที่ยงตรงมาพรรณนาได้ ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางที่ดาวเคราะห์เดินทางร่วมกันไป ความเร็วและรูปแบบของวงโคจร เมื่อใดดาวเคราะห์จะไปอยู่ตรงตำแหน่งใด—ทั้งหมดนี้สามารถคำนวณได้อย่างเที่ยงตรงและอธิบายด้วยกฎพิเศษต่างๆ ได้ ดาวเคราะห์ทั้งหลายได้ดำเนินตามกฎเหล่านี้มาหลายกัปหลายกัลป์โดยปราศจากการเบี่ยงเบนแม้แต่น้อย ไม่มีอำนาจใดสามารถเปลี่ยนหรือขัดขวางวงโคจรของพวกมันหรือแบบแผนที่พวกมันดำเนินตามได้ เนื่องเพราะกฎพิเศษต่างๆ ที่กำกับดูแลการเคลื่อนไหวของพวกมันและข้อมูลอันเที่ยงตรงที่อธิบายกฎเหล่านั้นถูกสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว ดาวเคราะห์ทั้งหลายจึงทำตามกฎเหล่านี้โดยอัตโนมัติภายใต้อธิปไตยและการควบคุมของพระผู้สร้าง ในระดับมหัพภาค ไม่เป็นการยากที่มนุษย์จะค้นพบแบบแผนบางอย่าง ข้อมูลบางอย่าง และกฎหรือปรากฏการณ์อันแปลกประหลาดและไม่สามารถอธิบายได้บางอย่าง แม้มนุษยชาติไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง และไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างได้ทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นมาและทรงมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้ระลึกรู้ถึงการดำรงอยู่แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง กระนั้นก็ตาม เหล่านักวิทยาศาสตร์ นักดาราศาสตร์ และนักฟิสิกส์ทั้งหลายของมนุษย์ก็กำลังค้นพบกันมากขึ้นทุกทีว่า การดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งในจักรวาล และหลักการกับแบบแผนที่บงการการเคลื่อนที่ของพวกมันทั้งหมดนั้น ถูกกำกับดูแลและควบคุมโดยพลังงานมืดอันไพศาลและมองไม่เห็นอย่างหนึ่ง ข้อเท็จจริงนี้บีบให้มนุษย์ยอมเผชิญหน้าและยอมรับรู้ว่า มีองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงฤทธิ์ในท่ามกลางแบบแผนการเคลื่อนที่เหล่านี้ที่คอยจัดวางเรียบเรียงทุกสิ่งทุกอย่าง ฤทธานุภาพของพระองค์นั้นเหนือปกติ และแม้ว่าไม่มีใครสามารถมองเห็นโฉมพระพักตร์ที่แท้จริงของพระองค์ได้ พระองค์ก็ทรงกำกับดูแลและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างในทุกชั่วขณะ ไม่มีมนุษย์หรือกำลังบังคับใดที่สามารถล่วงพ้นอธิปไตยของพระองค์ได้ ครั้นได้เผชิญกับข้อเท็จจริงนี้แล้ว มนุษย์ย่อมต้องระลึกรู้ว่า กฎต่างๆ ที่กำลังกำกับดูแลการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่งนั้นไม่สามารถถูกมนุษย์ควบคุมได้ ไม่สามารถถูกใครก็ตามเปลี่ยนแปลงได้ เขาต้องยอมรับอีกด้วยว่า มนุษย์นั้นไม่สามารถเข้าใจกฎเหล่านี้ได้อย่างครบถ้วน และกฎเหล่านี้ไม่ได้กำลังเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่ถูกบงการโดยองค์อธิปไตยองค์หนึ่ง เหล่านี้คือการแสดงออกทั้งหมดของสิทธิอำนาจแห่งพระเจ้าที่มวลมนุษย์สามารถรับรู้ได้ในระดับมหัพภาค

ในระดับจุลภาคนั้น ภูเขา แม่น้ำ ทะเลสาบ ทะเล และผืนแผ่นดินทั้งหมดที่มนุษย์อาจมองเห็นบนแผ่นดินโลก ทุกฤดูกาลที่เขาผ่านประสบการณ์ ทุกสรรพสิ่งที่อาศัยแผ่นดินโลกอยู่ รวมถึงพืชพรรณ สัตว์ จุลชีพ และมนุษย์ ล้วนอยู่ภายใต้อธิปไตยและการควบคุมของพระเจ้า ภายใต้อธิปไตยและการควบคุมของพระเจ้านั้น ทุกสรรพสิ่งเกิดขึ้นหรืออันตรธานไปโดยสอดคล้องกับพระดำริของพระองค์ กฎทั้งหลายเกิดขึ้นมาเพื่อกำกับดูแลการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านี้ และสิ่งเหล่านี้ก็เจริญเติบโตและเพิ่มทวีคูณโดยเป็นไปตามกฎเหล่านี้ ไม่มีมนุษย์หรือสิ่งใดอยู่เหนือกฎเหล่านี้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? มีเพียงคำตอบเดียวก็คือ เป็นเพราะสิทธิอำนาจของพระเจ้า หรือพูดอีกอย่างว่า เป็นเพราะพระดำริของพระเจ้าและพระวจนะของพระเจ้า เพราะการกระทำส่วนพระองค์ของพระเจ้าพระองค์เอง นี่หมายความว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้าและพระกมลของพระเจ้านี่เองที่ให้กำเนิดกฎเหล่านี้ซึ่งขยับย้ายและเปลี่ยนแปลงไปตามพระดำริแห่งพระองค์ การขยับย้ายและการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นหรือเลือนหายไปก็เพื่อประโยชน์แห่งแผนการของพระองค์ ตัวอย่างเช่น การเกิดโรคระบาด โรคเกิดแพร่ระบาดโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ไม่มีผู้ใดรู้จุดกำเนิดของพวกมันหรือเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดโรคระบาดจึงเกิดขึ้น และเมื่อใดก็ตามที่โรคหนึ่งแพร่ระบาดไปถึงบางสถานที่ พวกที่ถูกชี้ชะตาไว้ย่อมไม่สามารถหลีกหนีจากหายนะได้ วิทยาศาสตร์ของมนุษย์เข้าใจว่าโรคระบาดทั้งหลายเกิดจากการแพร่กระจายของจุลินทรีย์ที่ร้ายแรงหรือเป็นอันตราย และวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ไม่สามารถคาดคะเนหรือควบคุมความเร็ว แนวเขต และวิธีการแพร่เชื้อของพวกมันได้ แม้ผู้คนต่อต้านโรคระบาดโดยใช้ทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถควบคุมได้ว่าผู้คนหรือสัตว์ใดจะได้รับผลกระทบอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงเมื่อเกิดการระบาดของโรค สิ่งเดียวที่มนุษย์ทำได้ก็คือ พยายามป้องกันโรค ต้านทานโรคเอาไว้ และศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับพวกมัน แต่ไม่มีใครรู้มูลเหตุที่อธิบายการเกิดขึ้นหรือการสิ้นสุดของโรคระบาดแต่ละโรค และไม่มีใครสามารถควบคุมพวกมันได้ ครั้นได้เผชิญกับการเกิดขึ้นและการแพร่กระจายของโรคระบาดแล้ว มาตรการแรกที่มนุษย์ใช้ก็คือ การพัฒนาวัคซีนขึ้นมา แต่บ่อยครั้งที่โรคระบาดวายไปเองก่อนที่วัคซีนจะพร้อมใช้ เหตุใดเล่าโรคระบาดจึงสลายตัว? บ้างก็พูดว่าพวกเชื้อโรคถูกควบคุมไว้ได้แล้ว ในขณะที่คนอื่นพากันพูดว่า พวกมันหายสูญไปก็เพราะการเปลี่ยนไปของฤดูกาล…ในส่วนที่ว่าการคาดเดาส่งเดชเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่นั้น วิทยาศาสตร์กลับไม่สามารถให้คำอธิบายและไม่สามารถให้คำตอบที่แน่ชัดได้ มนุษยชาติต้องไม่เพียงให้ความสำคัญกับการคาดเดาเหล่านี้ แต่ต้องให้ความสำคัญกับการขาดความเข้าใจและความหวาดกลัวที่มวลมนุษย์มีต่อโรคระบาดด้วย ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย ไม่มีผู้ใดรู้สาเหตุที่โรคระบาดก่อตัวหรือสาเหตุที่พวกมันจบลง เนื่องจากมนุษยชาติมีความเชื่อแต่ในวิทยาศาสตร์ วางใจในวิทยาศาสตร์จนหมดสิ้น และไม่ระลึกรู้ถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างหรือยอมรับอธิปไตยของพระองค์ พวกเขาย่อมจะไม่มีวันได้มาซึ่งคำตอบ

ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า ทุกสรรพสิ่งถือกำเนิด ใช้ชีวิต และพินาศไปก็เพราะสิทธิอำนาจแห่งพระองค์และการบริหารจัดการของพระองค์ บางสิ่งมาแล้วก็ไปอย่างเงียบเชียบ และมนุษย์ไม่สามารถบอกได้ว่าพวกมันมาจากไหนหรือจับความเข้าใจในแบบแผนที่พวกมันดำเนินตามได้ นับประสาอะไรที่จะเข้าใจเหตุผลต่างๆ ว่าเหตุใดพวกมันจึงมาและไป แม้ว่ามนุษย์สามารถมองเห็นทั้งหมดที่ผ่านเข้ามาท่ามกลางทุกสรรพสิ่งด้วยตาของเขาเอง และสามารถได้ยินด้วยหูของเขา และสามารถมีประสบการณ์กับมันด้วยร่างกายของเขาเอง แม้ว่าทั้งหมดนั้นมีความเชื่อมโยงกับมนุษย์ และแม้ว่าจิตใต้สำนึกของมนุษย์จะจับความเข้าใจในความไม่ปกติ ความเป็นปกติ หรือแม้แต่ความแปลกประหลาดอันสัมพัทธ์ของนานาปรากฏการณ์ แต่เขาก็ยังคงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเบื้องหลังของปรากฏการณ์เหล่านั้น ซึ่งก็คือน้ำพระทัยและพระกมลของพระผู้สร้าง มีเรื่องเล่ามากมายเบื้องหลังปรากฏการณ์เหล่านี้ หลายความจริงที่ถูกซ่อนไว้ เนื่องเพราะมนุษย์ได้พเนจรห่างไกลไปจากพระผู้สร้าง และเนื่องเพราะเขาไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า สิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างกำกับดูแลทุกสรรพสิ่ง เขาก็จะไม่มีวันรู้และจับใจความทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายใต้อธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้ ส่วนใหญ่แล้ว การควบคุมและอธิปไตยของพระเจ้าอยู่เหนือขอบเขตแห่งจินตนาการของมนุษย์ ขอบเขตแห่งความรู้ของมนุษย์ ขอบเขตแห่งความเข้าใจของมนุษย์ และขอบเขตของสิ่งที่วิทยาศาสตร์ของมนุษย์จะสามารถสัมฤทธิ์ นั่นก็คืออยู่เหนือขอบเขตการล่วงรู้ของมนุษยชาติที่ทรงสร้าง บางคนกล่าวว่า "ในเมื่อเจ้าไม่เคยได้เป็นพยานในอธิปไตยของพระเจ้าด้วยตัวเจ้าเอง เจ้าจะสามารถเชื่อได้อย่างไรว่าทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจแห่งพระองค์?" การมองเห็นไม่ใช่การเชื่อเสมอไป ทั้งยังไม่ใช่การระลึกรู้และการเข้าใจเสมอไป ดังนั้นแล้วการเชื่อมาจากแห่งหนใด? เราสามารถกล่าวได้อย่างมั่นใจว่า "การเชื่อมาจากประสบการณ์ และมาจากระดับและความลึกซึ้งของการจับความของผู้คนเกี่ยวกับความเป็นจริงและมูลเหตุของสิ่งต่างๆ" หากเจ้าเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง แต่เจ้าไม่สามารถระลึกรู้ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสามารถล่วงรู้ได้ถึงข้อเท็จจริงแห่งการควบคุมของพระเจ้าและอธิปไตยของพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งแล้วไซร้ ในหัวใจของเจ้า เจ้าก็จะไม่มีวันยอมรับว่าพระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจประเภทนี้ ว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นมีเอกลักษณ์ เจ้าจะไม่มีวันยอมรับพระผู้สร้างว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าและพระเจ้าของเจ้าอย่างแท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger