
พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 42
วันที่ 15 เดือน 05 ปี 2021
ปฏิกิริยาของโยบ
โยบ 1:20-21 แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ ท่านว่า "ข้ามาจากครรภ์มารดาตัวเปล่า และข้าจะกลับไปตัวเปล่า พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์"
การที่โยบตัดสินใจด้วยตัวเองที่จะคืนทั้งหมดที่เขาครอบครองกลับไปนั้นเกิดจากการที่เขามีความยำเกรงพระเจ้า
หลังจากพระเจ้าได้ตรัสกับซาตานว่า "ทุกสิ่งที่เขามีก็อยู่ในมือของเจ้า เพียงแต่อย่ายื่นมือแตะต้องตัวเขา" ซาตานก็ได้จากไป ซึ่งไม่นานหลังจากนั้นโยบก็ตกอยู่ภายใต้การโจมตีอย่างฉับพลันและรุนแรง กล่าวคือ ตอนแรก วัวและลาของเขาถูกปล้นและผู้รับใช้บางคนของเขาถูกฆ่า ต่อมา แกะของเขาและผู้รับใช้ของเขาจำนวนมากกว่านั้นก็ถูกไฟคลอก หลังจากนั้น อูฐของเขาถูกยึดและผู้รับใช้ของเขาก็ถูกสังหารเป็นจำนวนมากขึ้นไปอีก ในที่สุด ชีวิตบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาก็ถูกพรากไป การโจมตีที่ต่อเนื่องนี้คือความทรมานที่โยบได้ทนทุกข์ในช่วงระหว่างการทดลองครั้งแรก ในช่วงระหว่างการโจมตีเหล่านี้ซาตานเพียงแค่มุ่งเป้าหมายที่ทรัพย์สินของโยบและลูกๆ ของเขาเท่านั้น และไม่ได้ทำอันตรายตัวของโยบเองตามที่พระเจ้าได้ทรงบัญชาไว้ แต่ถึงอย่างไร โยบก็ถูกเปลี่ยนสภาพจากคนมั่งคั่งที่ครอบครองทรัพย์สมบัติยิ่งใหญ่ไปเป็นใครบางคนที่ไม่มีสิ่งใดเลยในทันที ไม่มีผู้ใดสามารถทนทานการโจมตีที่น่าตะลึงและน่าประหลาดใจนี้หรือมีปฏิกิริยากับมันอย่างเหมาะสมได้ แต่ทว่าโยบได้แสดงให้เห็นด้านที่เหนือธรรมดาของเขา ข้อพระคัมภีร์จัดเตรียมเรื่องราวดังต่อไปนี้ "แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ" นี่คือปฏิกิริยาแรกของโยบหลังจากที่ได้ยินว่าเขาได้สูญเสียลูกๆ และทรัพย์สินทั้งหมดของเขาไปแล้ว เหนือสิ่งอื่นใด เขาไม่ได้ปรากฏว่าประหลาดใจ หรือตื่นตระหนก นับประสาอะไรที่เขาจะแสดงความโกรธหรือเกลียด เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะเห็นว่าในหัวใจของเขานั้นเขาระลึกได้แล้วว่าความวิบัติเหล่านี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ หรือเกิดจากน้ำมือของมนุษย์ นับประสาอะไรที่สิ่งเหล่านั้นจะเป็นการมาถึงของการตอบแทนอันสาสมหรือการลงโทษ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การทดสอบของพระยาห์เวห์ได้เกิดขึ้นกับเขา พระยาห์เวห์นั่นเองที่เป็นผู้ทรงปรารถนาที่จะเอาทรัพย์สินและลูกๆ ของเขาไป โยบสงบใจและคิดได้ชัดเจนอย่างยิ่งในตอนนั้น สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีพร้อมและเที่ยงธรรมของเขาทำให้เขาสามารถทำการตัดสินและการตัดสินใจที่ถูกต้องแม่นยำอย่างมีเหตุผลและเป็นธรรมชาติเกี่ยวกับความวิบัติทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นกับเขา และด้วยเหตุนี้ เขาจึงประพฤติตนด้วยความสงบผิดปกติ นั่นคือ "แล้วโยบก็ลุกขึ้น ฉีกเสื้อคลุมของตน โกนศีรษะ กราบลงถึงดินนมัสการ" "ฉีกเสื้อคลุมของตน" หมายความว่า เขาถอดเสื้อผ้าออก และไม่ครอบครองสิ่งใดเลย "โกนศีรษะ" หมายความว่าเขาได้กลับคืนไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเหมือนดังเช่นทารกแรกเกิด "กราบลงถึงดินนมัสการ" หมายความว่าเขาได้มาสู่โลกนี้ตัวเปล่า และยังคงไม่มีสิ่งใดในวันนี้ เขาถูกส่งคืนกลับไปให้แก่พระเจ้าราวกับเป็นเด็กแรกเกิด ท่าทีของโยบที่มีต่อทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเขานั้นไม่มีสิ่งทรงสร้างใดของพระเจ้าที่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ ความเชื่อในพระยาห์เวห์ของเขาได้ไปไกลเกินกว่าอาณาจักรแห่งการเชื่อ นี่คือความยำเกรงพระเจ้าของเขา การเชื่อฟังพระเจ้าของเขา เขาไม่เพียงสามารถขอบคุณพระเจ้าสำหรับการประทานให้เขาเท่านั้น แต่ยังขอบคุณสำหรับการเอาไปจากเขาด้วย ยิ่งไปกว่านั้น เขาสามารถตัดสินใจด้วยตนเองที่จะคืนทั้งหมดที่เขาเป็นเจ้าของให้แก่พระเจ้า รวมทั้งชีวิตของเขา
ความยำเกรงและการเชื่อฟังของโยบที่มีต่อพระเจ้าเป็นตัวอย่างแก่มวลมนุษย์ และความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขาเป็นจุดสูงสุดแห่งสภาวะความเป็นมนุษย์ที่มนุษย์ควรจะครอบครอง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มองเห็นพระเจ้า แต่เขาก็ตระหนักว่าพระเจ้าทรงมีอยู่อย่างแท้จริง และเพราะการตระหนักนี้เขาจึงยำเกรงพระเจ้า และเนื่องจากความยำเกรงพระเจ้าของเขา เขาจึงสามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้ เขายอมให้พระเจ้าทรงเอาสิ่งใดก็ตามที่เขามีไปโดยอิสระ กระนั้นเขาก็ไม่มีการร้องทุกข์คร่ำครวญ และได้ทรุดลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทูลบอกกับพระองค์ว่า ณ ชั่วขณะนี้ ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงเอาเนื้อหนังของเขาไป เขาก็จะยินดียอมให้พระองค์ทำเช่นนั้น โดยไม่มีการร้องทุกข์คร่ำครวญ การประพฤติทั้งหมดทั้งมวลของเขานั้นเป็นไปเนื่องจากสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดีและเที่ยงธรรมของเขา กล่าวคือ ด้วยผลแห่งความไร้มลทิน ความซื่อสัตย์ และความใจดีของเขา โยบจึงไม่หวั่นไหวในความตระหนักและประสบการณ์กับการมีอยู่ของพระเจ้าของเขา และบนรากฐานนี้เองเขาจึงได้ทำข้อเรียกร้องกับตัวเขาเองและตั้งมาตรฐานการคิด พฤติกรรม การประพฤติ และหลักการในการกระทำของเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าให้สอดคล้องกับการทรงนำของพระเจ้าที่มีต่อเขาและกิจการทั้งหลายของพระเจ้าที่เขาได้มองเห็นท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง ตลอดเวลานั้น ประสบการณ์ของเขาได้ทำให้ในตัวเขานั้นเกิดความยำเกรงที่จริงและแท้ต่อพระเจ้าและทำให้เขาหลบเลี่ยงความชั่ว นี่คือแหล่งกำเนิดของความซื่อสัตย์ที่โยบยึดมั่น โยบครอบครองสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ซื่อสัตย์ ไร้มลทิน และใจดี และเขาได้มีประสบการณ์จริงแห่งการยำเกรงพระเจ้า การเชื่อฟังพระเจ้า และการหลบเลี่ยงความชั่ว ตลอดจนความรู้ว่า "พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย" เพราะสิ่งเหล่านี้เท่านั้นเขาจึงสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเขาได้ท่ามกลางการโจมตีที่โหดร้ายของซาตาน และเพราะการโจมตีเหล่านี้เท่านั้นเขาจึงสามารถไม่ทำให้พระเจ้าทรงผิดหวังได้และสามารถจัดเตรียมคำตอบที่น่าพึงพอพระทัยแก่พระเจ้าได้เมื่อการทดสอบของพระเจ้าเกิดขึ้นกับเขา ถึงแม้ว่าการประพฤติของโยบในช่วงระหว่างการทดลองครั้งนี้จะซื่อตรงอย่างยิ่ง แต่ชนหลายรุ่นต่อมาก็ไม่มั่นใจในการสัมฤทธิ์ความซื่อตรงเช่นนั้นแม้ภายหลังจากความเพียรพยายามชั่วชีวิต อีกทั้งพวกเขาคงจะไม่จำเป็นต้องครอบครองการประพฤติของโยบดังที่พรรณนาไปข้างต้น วันนี้ เมื่อได้เผชิญหน้ากับการประพฤติที่ซื่อตรงของโยบ และเมื่อเปรียบเทียบมันกับเสียงร้องและความมุ่งมั่นเกี่ยวกับ "การเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์และการจงรักภักดีจนตาย" ที่บรรดาผู้กล่าวอ้างว่าเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้าได้แสดงต่อพระเจ้า พวกเจ้ารู้สึกละอายอย่างลึกซึ้งหรือไม่รู้สึกกันแน่?
เมื่อเจ้าอ่านในข้อพระคัมภีร์เกี่ยวกับทั้งหมดที่โยบและครอบครัวของเขาได้ทนทุกข์ เจ้ามีปฏิกิริยาอย่างไร? เจ้ากลายเป็นตกอยู่ในภวังค์ความคิดหรือไม่? เจ้าประหลาดใจหรือไม่? การทดสอบที่ตกมาถึงโยบสามารถพรรณนาว่า "น่ากลัว" ได้หรือไม่? กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มันน่าตกใจพอแล้วกับการอ่านเกี่ยวกับการทดสอบโยบดังที่พรรณนาไว้ในข้อพระคัมภีร์ ไม่ต้องพูดถึงว่าการทดสอบเหล่านั้นจะเป็นอย่างไรในชีวิตจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะเห็นว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับโยบนั้นไม่ใช่ "การฝึกซ้อม" แต่เป็น "การสู้รบ" จริง ที่มี "ปืน" และ "กระสุน" จริง แต่เขาตกอยู่ภายใต้การทดสอบเหล่านี้ด้วยน้ำมือของผู้ใดเล่า? แน่นอนว่าการทดสอบเหล่านี้เป็นงานของซาตาน และซาตานทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ด้วยมือของมันเอง ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า พระเจ้าได้ตรัสบอกกับซาตานหรือไม่ว่าให้ทดลองโยบด้วยวิธีการใด? พระองค์ไม่ได้ตรัสบอก พระเจ้าเพียงแค่ทรงตั้งสภาพเงื่อนไขหนึ่งที่ซาตานต้องปฏิบัติตาม และแล้วการทดลองจึงได้เกิดขึ้นกับโยบ เมื่อการทดลองได้เกิดขึ้นกับโยบ มันให้ผู้คนได้มีสำนึกรับรู้ถึงความชั่วร้ายและความน่าเกลียดของซาตาน ถึงความมุ่งร้ายและความเกลียดชังที่มันมีต่อมนุษย์ และถึงความเป็นศัตรูต่อพระเจ้าของมัน ในการนี้พวกเรามองเห็นว่าพระวจนะต่างๆ ไม่สามารถพรรณนาได้ว่าการทดลองนี้โหดร้ายเพียงใด สามารถกล่าวได้ว่าธรรมชาติอันมุ่งร้ายที่ซาตานใช้ล่วงเกินมนุษย์ และใบหน้าที่น่าเกลียดของมันนั้น ถูกเปิดเผยอย่างเต็มที่ ณ ชั่วขณะนี้ ซาตานได้ใช้โอกาสนี้ โอกาสที่จัดเตรียมให้โดยการทรงอนุญาตของพระเจ้า เพื่อทำให้โยบตกอยู่ภายใต้การล่วงเกินที่รุ่มร้อนและไร้ความปรานี ซึ่งเป็นวิธีการและความโหดร้ายระดับที่ผู้คนวันนี้ทั้งไม่อาจจินตนาการได้และไม่อาจทนยอมรับได้โดยสิ้นเชิง แทนที่จะกล่าวว่าโยบถูกซาตานทดลอง และว่าเขาตั้งมั่นอยู่ในคำพยานของเขาในช่วงระยะการทดลองนี้ มันดีกว่าที่จะกล่าวว่าในการทดสอบที่พระเจ้าทรงกำหนดให้แก่เขานั้น โยบได้เริ่มต้นการแข่งขันกับซาตานเพื่อปกป้องความเพียบพร้อมและความเที่ยงธรรมของเขา และเพื่อป้องกันหนทางในการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ในการแข่งขันครั้งนี้ โยบได้สูญเสียแกะและฝูงปศุสัตว์ที่มีค่าเท่าภูเขา เขาได้สูญเสียทรัพย์สินทั้งหมดของเขา และเขาได้สูญเสียบุตรชายและบุตรสาวทั้งหลายของเขาไป อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้ละทิ้งความเพียบพร้อม ความเที่ยงธรรม หรือความยำเกรงพระเจ้าของเขา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ในการแข่งขันกับซาตานครั้งนี้ โยบเลือกที่จะลิดรอนทรัพย์สินและลูกๆ ของเขามากกว่าที่จะสูญเสียความเพียบพร้อม ความเที่ยงธรรม และความยำเกรงพระเจ้าของเขา เขาเลือกที่จะยึดมั่นกับรากเหง้าของสิ่งที่เป็นความหมายของการเป็นมนุษย์ ข้อพระคัมภีร์จัดเตรียมเรื่องราวที่รัดกุมเกี่ยวกับกระบวนการทั้งหมดทั้งมวลที่โยบได้สูญเสียสินทรัพย์ของเขา และยังบันทึกข้อมูลการประพฤติและท่าทีของโยบด้วย เรื่องราวที่สั้นและกระชับเหล่านี้ให้สำนึกรับรู้ว่าโยบเกือบจะผ่อนคลายในการเผชิญหน้ากับการทดลองนี้ แต่หากสิ่งที่ได้เกิดขึ้นจริงๆ จะถูกสร้างขึ้นใหม่—โดยพิจารณาถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับธรรมชาติมุ่งร้ายของซาตานด้วย—เช่นนั้นแล้ว สิ่งต่างๆ ก็คงจะไม่เรียบง่ายหรือง่ายดายดังเช่นที่พรรณนาไว้ในประโยคเหล่านี้ ความเป็นจริงนั้นโหดร้ายมากกว่าอย่างมาก เช่นนั้นคือระดับของความร้างเปล่าและความเกลียดที่ซาตานใช้ปฏิบัติกับมวลมนุษย์และพวกเหล่านั้นทั้งหมดที่พระเจ้าทรงอนุญาต หากพระเจ้าไม่ได้ทรงขอไว้ว่าไม่ให้ซาตานทำอันตรายโยบ ซาตานก็คงจะฆ่าเขาโดยไม่มีความเวทนาใดๆ อย่างไม่ต้องสงสัยไปแล้ว ซาตานไม่ต้องการให้ผู้ใดนมัสการพระเจ้า และมันไม่ปรารถนาที่จะให้บรรดาผู้ที่ชอบธรรมในสายพระเนตรของพระเจ้าและบรรดาผู้ที่มีความเพียบพร้อมและเที่ยงธรรมสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วต่อไปได้ เพราะการที่ผู้คนยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วหมายความว่าพวกเขาหลบเลี่ยงและละทิ้งซาตาน และดังนั้นซาตานจึงฉวยโอกาสจากการอนุญาตของพระเจ้าเพื่อสุมความโกรธและเกลียดของมันทั้งหมดที่มีต่อโยบโดยไม่มีความกรุณา เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะมองเห็นว่าความทรมานที่โยบได้ทนทุกข์ จากจิตใจถึงเนื้อหนัง จากภายนอกถึงภายในนั้นใหญ่หลวงเพียงใด วันนี้ พวกเรามองไม่เห็นว่ามันเป็นอย่างไร ณ เวลานั้น และได้รับเพียงความเข้าใจชั่วขณะสั้นๆ จากเรื่องราวในพระคัมภีร์เกี่ยวกับอารมณ์ของโยบเมื่อเขาได้ตกอยู่ภายใต้การทรมาน ณ เวลานั้น
ความซื่อสัตย์ที่ไม่สั่นคลอนของโยบนำความอับอายมาให้แก่ซาตานและทำให้มันหนีเตลิดไป
ดังนั้น พระเจ้าทรงทำสิ่งใดเมื่อโยบตกอยู่ภายใต้ความทรมานนี้? พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกต และทรงเฝ้ามอง และทรงรอคอยบทอวสาน ขณะที่พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตและทรงเฝ้ามองแล้ว พระองค์ทรงรู้สึกอย่างไร? แน่นอนว่าพระองค์ทรงรู้สึกถูกครอบงำด้วยความโทมนัส แต่มันเป็นไปได้หรือไม่ว่าพระเจ้าสามารถเสียพระทัยที่พระองค์ทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองโยบเพียงเพราะพระองค์ทรงรู้สึกถึงความโทมนัส? คำตอบคือ ไม่ พระองค์ไม่ทรงสามารถรู้สึกเสียพระทัยเช่นนั้นได้ เพราะพระองค์ทรงเชื่ออย่างมั่นคงว่าโยบนั้นดีพร้อมและเที่ยงธรรม ว่าเขายำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว พระเจ้าเพียงแค่ทรงได้ให้โอกาสแก่ซาตานในการตรวจสอบยืนยันความชอบธรรมของโยบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และในการเปิดเผยความชั่วร้ายและความน่าเหยียดหยามของมันเอง ยิ่งไปกว่านั้น มันยังเป็นโอกาสสำหรับโยบในการเป็นพยานต่อความชอบธรรมของเขาและต่อการที่เขามีความยำเกรงพระเจ้าและการหลบเลี่ยงความชั่วต่อหน้าผู้คนบนโลกนี้ ซาตาน และแม้กระทั่งบรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่ติดตามพระเจ้า บทอวสานสุดท้ายได้พิสูจน์หรือไม่ว่าการประเมินผลโยบของพระเจ้านั้นถูกต้องและไม่มีข้อผิดพลาด? โยบได้ชนะซาตานจริงๆ หรือไม่? ในที่นี้พวกเราได้อ่านคำพูดที่เป็นแบบฉบับที่โยบพูด คำพูดที่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเขาได้ชนะซาตานแล้ว เขาได้กล่าวว่า "ข้ามาจากครรภ์มารดาตัวเปล่า และข้าจะกลับไปตัวเปล่า" นี่คือท่าทีของโยบที่มีการเชื่อฟังต่อพระเจ้า ต่อไป เขาได้กล่าวว่า "พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์" คำพูดที่โยบได้พูดไปเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่า พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตส่วนลึกของหัวใจมนุษย์ ว่าพระองค์ทรงสามารถมองเข้าไปถึงจิตใจของมนุษย์ และคำพูดเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นว่าการที่พระองค์ทรงรับรองโยบนั้นไม่มีข้อผิดพลาด ว่ามนุษย์ที่พระเจ้าทรงรับรองผู้นี้ชอบธรรม "พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์" คำพูดเหล่านี้คือคำพยานของโยบต่อพระเจ้า คำพูดธรรมดาเหล่านี้นี่เองที่ทำให้ซาตานขลาดกลัว ที่ได้นำความอับอายมาสู่มันและทำให้มันหนีเตลิดไป และยิ่งไปกว่านั้น ที่ได้พันธนาการซาตานและทิ้งให้มันไม่มีหนทาง ดังนั้น คำพูดเหล่านี้ด้วยเช่นกันที่ทำให้ซาตานรู้สึกถึงความน่าพิศวงและอิทธิฤทธิ์แห่งกิจการทั้งหลายของพระยาห์เวห์พระเจ้า และทำให้มันล่วงรู้ถึงพรสวรรค์เหนือธรรมดาของผู้ที่หัวใจของเขาถูกปกครองด้วยหนทางแห่งพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น คำพูดเหล่านี้ได้แสดงให้ซาตานเห็นถึงพลังที่ทรงอำนาจในการยึดมั่นกับหนทางแห่งการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วที่แสดงให้เห็นโดยมนุษย์ตัวเล็กๆ และไม่สำคัญคนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ซาตานจึงได้พ่ายแพ้ในการแข่งขันครั้งแรก ถึงแม้ว่าจะได้ "เรียนรู้จากการนี้" แล้ว แต่ซาตานก็ไม่มีเจตนาที่จะปล่อยโยบไป และไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ในธรรมชาติที่มุ่งร้ายของมัน ซาตานพยายามที่จะดำเนินการโจมตีโยบต่อไป และจึงได้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกครั้ง…
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
วิดีโอประเภทอื่นๆ