พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน: การรู้จักพระเจ้า | บทตัดตอน 29

วันที่ 03 เดือน 11 ปี 2020

พระเจ้าได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามหรือไม่หรือว่าพวกเขาติดตามพระองค์หรือไม่ พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์ในฐานะที่เป็นผู้ที่พระองค์ทรงรักทรงทะนุถนอมที่สุด—หรืออย่างที่มนุษย์จะพูดว่าผู้คนที่เป็นที่รักที่สุดของพระองค์—และไม่ใช่ของเล่นของพระองค์ แม้ว่าพระเจ้าตรัสว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้าง และว่ามนุษย์คือสิ่งทรงสร้างของพระองค์ ซึ่งอาจฟังคล้ายกับว่ามีความแตกต่างเล็กน้อยในระดับตำแหน่ง แต่ความเป็นจริงก็คือทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำเพื่อมวลมนุษย์เหนือล้ำกว่าสัมพันธภาพในลักษณะนี้มากนัก พระเจ้าทรงรักมวลมนุษย์ ทรงใส่พระทัยมวลมนุษย์ และทรงแสดงความห่วงใยต่อมวลมนุษย์ ตลอดจนการจัดเตรียมให้มนุษย์อย่างต่อเนื่องและไม่หยุดหย่อน พระองค์ไม่มีวันทรงรู้สึกในพระทัยของพระองค์ว่านี่เป็นพระราชกิจเพิ่มเติม หรือบางสิ่งที่สมควรได้รับความเชื่อถือมากมาย พระองค์ไม่ทรงรู้สึกว่าการช่วยมนุษยชาติให้รอด การหล่อเลี้ยงพวกเขา และการประทานทุกสิ่งทุกอย่างแก่พวกเขา เป็นการมีส่วนร่วมสนับสนุนมวลมนุษย์อย่างมหาศาล พระองค์เพียงทรงจัดเตรียมให้มวลมนุษย์อย่างเงียบๆ และสงบ ด้วยวิธีของพระองค์เองและโดยผ่านทางแก่นแท้ของพระองค์เอง และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น ไม่สำคัญว่ามวลมนุษย์ได้รับการจัดเตรียมมากเพียงใด และความช่วยเหลือมากเพียงใดจากพระองค์ พระเจ้าก็ไม่มีวันทรงนึกถึงหรือทรงพยายามที่จะได้รับความเชื่อถือ การนี้ถูกกำหนดโดยแก่นแท้ของพระเจ้า และยังเป็นการแสดงออกที่แท้จริงถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างแม่นยำอีกด้วย โดยไม่คำนึงถึงว่าเรื่องนี้อยู่ในพระคัมภีร์หรือหนังสือเล่มอื่นใด นี่คือสาเหตุที่พวกเราไม่มีวันได้พบว่าพระเจ้าทรงกำลังแสดงพระดำริของพระองค์ และพวกเราไม่มีวันได้พบว่าพระเจ้าทรงกำลังบรรยายหรือแถลงต่อพวกมนุษย์ โดยมีจุดมุ่งหมายแห่งการทำให้มวลมนุษย์สำนึกบุญคุณต่อพระองค์ หรือสรรเสริญพระองค์ เหตุใดพระองค์จึงทรงทำสิ่งเหล่านี้ หรือเหตุใดพระองค์จึงทรงใส่พระทัยในมวลมนุษย์มากถึงเพียงนี้ แม้เมื่อพระองค์ทรงเจ็บปวด เมื่อพระทัยของพระองค์ทรงอยู่ในความเจ็บปวดสุดขีด พระองค์ก็ไม่มีวันทรงลืมความรับผิดชอบของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ หรือความห่วงใยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ ทั้งหมดในขณะที่พระองค์ทรงแบกรับความบาดเจ็บและความเจ็บปวดเพียงลำพังในความเงียบ ในทางตรงกันข้าม พระเจ้าทรงยังคงจัดเตรียมให้มนุษย์ต่อไปเฉกเช่นที่พระองค์ได้ทรงทำมาตลอด แม้ว่ามวลมนุษย์จะสรรเสริญพระเจ้าหรือเป็นพยานต่อพระองค์บ่อยๆ แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงเรียกร้องพฤติกรรมอันใดเช่นนี้ นี่เป็นเพราะพระเจ้าไม่มีวันทรงเจตนาใช้สิ่งดีๆ สิ่งใดที่พระองค์ทรงทำเพื่อมวลมนุษย์แลกเปลี่ยนกับความกตัญญูรู้คุณหรือการได้รับการตอบแทน ในทางกลับกัน บรรดาผู้ที่สามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้ บรรดาผู้ที่สามารถติดตามพระเจ้า ฟังพระองค์ และจงรักภักดีต่อพระองค์ได้อย่างแท้จริง และบรรดาผู้ที่สามารถเชื่อฟังพระองค์ได้—เหล่านี้คือผู้คนที่จะได้รับพระพรของพระเจ้าบ่อยๆ และพระเจ้าจะทรงประทานพระพรเช่นนี้โดยไม่มีข้อสงสัย ยิ่งไปกว่านั้นพระพรที่ผู้คนได้รับจากพระเจ้านั้นมักจะเกินกว่าจินตนาการของพวกเขา และเกินกว่าสิ่งอันใดที่มนุษย์สามารถทำให้ชอบธรรมได้โดยผ่านทางสิ่งที่พวกเขาได้ทำ หรือราคาที่พวกเขาได้จ่ายไป เมื่อมวลมนุษย์กำลังสุขสำราญกับพระพรของพระเจ้า มีผู้ใดใส่ใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงกำลังทำอยู่หรือไม่? มีผู้ใดแสดงความห่วงใยบ้างหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงกำลังรู้สึกอย่างไร? มีผู้ใดพยายามซาบซึ้งในความเจ็บปวดของพระเจ้าหรือไม่? คำตอบคือคำว่าไม่อย่างหนักแน่น! มนุษย์ผู้ใดเล่า รวมถึงโนอาห์ด้วย สามารถซาบซึ้งในความเจ็บปวดที่พระเจ้าทรงกำลังรู้สึก ณ ชั่วขณะนั้นได้? มีผู้ใดบ้างสามารถจับใจความได้ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงจะทรงตั้งพันธสัญญาเช่นนี้? พวกเขาไม่สามารถ! มวลมนุษย์ไม่ซาบซึ้งในความเจ็บปวดของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่สามารถเข้าใจความเจ็บปวดของพระเจ้า และไม่ใช่เพราะช่องว่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ หรือความแตกต่างในสถานะของพวกเขา ตรงกันข้ามเป็นเพราะมวลมนุษย์ไม่ใส่ใจเลยเกี่ยวกับความรู้สึกอันใดของพระเจ้า มวลมนุษย์คิดว่าพระเจ้าทรงเป็นอิสระ—ว่าพระเจ้าไม่ทรงต้องการให้ผู้คนใส่ใจเกี่ยวกับพระองค์ เข้าใจพระองค์ หรือแสดงความเห็นใจต่อพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นพระองค์จึงไม่ทรงมีความเจ็บปวด ไม่ทรงมีพระอารมณ์ พระองค์จะไม่ทรงโศกเศร้า พระองค์จึงไม่ทรงรู้สึกเสียพระทัย พระองค์จึงไม่ทรงแม้แต่กรรแสง พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ดังนั้นพระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องมีการแสดงออกทางอารมณ์อันใด และพระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องมีการปลอบโยนทางอารมณ์อันใด ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมบางอย่าง หากพระองค์ทรงจำเป็นต้องมีสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วพระองค์ก็ทรงสามารถรับมือได้โดยลำพัง และจะไม่ทรงพึงประสงค์ความช่วยเหลืออันใดจากมวลมนุษย์ ในทางกลับกัน เป็นมนุษย์ที่ "อ่อนแอ ยังไม่มีวุฒิภาวะ" นั่นเองที่จำเป็นต้องมีการปลอบใจ การจัดเตรียม การให้กำลังใจจากพระเจ้า และแม้กระทั่งให้พระองค์ปลอบประโลมอารมณ์ของพวกเขาตลอดเวลาและในทุกสถานที่ สิ่งทั้งหลายเช่นนี้แฝงตัวลึกอยู่ภายในหัวใจของมวลมนุษย์ กล่าวคือ มนุษย์เป็นผู้อ่อนแอ พวกเขาต้องการให้พระเจ้าทรงดูแลพวกเขาในทุกวิถีทาง พวกเขาสมควรได้รับการดูแลทั้งหมดที่พวกเขาได้รับจากพระเจ้า และพวกเขาควรเรียกร้องสิ่งใดก็ตามที่พวกเขารู้สึกว่าควรเป็นของพวกเขาจากพระเจ้า พระเจ้าทรงเป็นผู้เข้มแข็ง พระองค์ทรงมีทุกสิ่งทุกอย่าง และพระองค์ควรจะทรงเป็นผู้พิทักษ์และผู้ประทานพระพรของมวลมนุษย์ ในเมื่อพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าอยู่แล้ว พระองค์ก็ทรงฤทธานุภาพสูงสุด และไม่มีวันทรงจำเป็นต้องการสิ่งใดจากมวลมนุษย์

เนื่องจากมนุษย์ไม่ให้ความสนใจกับวิวรณ์อันใดของพระเจ้า เขาจึงไม่เคยรู้สึกถึงความเสียพระทัย ความเจ็บปวด หรือความชื่นบานของพระเจ้า แต่ในทางกลับกัน พระเจ้าทรงรู้จักการแสดงออกต่างๆ ทั้งหมดของมนุษย์เหมือนฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์ พระเจ้าทรงหล่อเลี้ยงความต้องการของทุกคนตลอดเวลาและในทุกสถานที่ ทรงสังเกตการณ์ความคิดที่เปลี่ยนแปลงของแต่ละบุคคลและจึงปลอบประโลมและเตือนสติพวกเขา และนำทางและให้ความกระจ่างแก่พวกเขา ในแง่ของทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำกับมวลมนุษย์ และราคาทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงจ่ายไปเพราะพวกเขา ผู้คนสามารถพบบทตอนในพระคัมภีร์ หรือจากสิ่งใดที่พระเจ้าได้ตรัสไว้จนถึงบัดนี้ที่ระบุอย่างชัดเจนว่าพระเจ้าจะทรงเรียกร้องบางสิ่งจากมนุษย์ได้หรือไม่? ไม่! ในทางตรงกันข้าม ไม่สำคัญว่าผู้คนเพิกเฉยต่อการขบคิดของพระเจ้าอย่างไร พระองค์ก็ทรงยังคงนำทางมวลมนุษย์ซ้ำๆ จัดเตรียมให้มวลมนุษย์และช่วยเหลือพวกเขาซ้ำๆ เพื่อทำให้พวกเขาสามารถทำตามวิถีทางของพระเจ้าเพื่อที่พวกเขาจะสามารถบรรลุบั้นปลายอันสวยงามที่พระองค์ได้ทรงตระเตรียมไว้ให้พวกเขาได้ เมื่อพูดถึงพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น พระคุณของพระองค์ ความกรุณาของพระองค์ และบำเหน็จของพระองค์ทั้งหมดจะได้รับการประทานให้โดยปราศจากข้อสงสัยแก่บรรดาผู้ที่รักและติดตามพระองค์ แต่พระองค์ไม่มีวันทรงเปิดเผยความเจ็บปวดที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์ หรือสภาพจิตใจของพระองค์ต่อบุคคลใด และพระองค์ไม่มีวันทรงร้องทุกข์คร่ำครวญเกี่ยวกับผู้ใดก็ตามที่ไม่เห็นอกเห็นใจต่อพระองค์ หรือไม่รู้จักน้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์เพียงทรงแบกรับทั้งหมดนี้ในความเงียบ รอคอยวันที่มวลมนุษย์จะสามารถเข้าใจได้

เหตุใดเราจึงพูดถึงสิ่งเหล่านี้ที่นี่? พวกเจ้าเห็นอะไรจากสิ่งต่างๆ ที่เราได้พูดไป? มีบางสิ่งในแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าซึ่งง่ายอย่างเหลือเกินต่อการมองข้าม เป็นบางสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นทรงครอบครองและไม่มีบุคคลใดมี รวมถึงพวกที่คนอื่นๆ คิดว่าเป็นผู้คนที่ยิ่งใหญ่ ผู้คนที่ดี หรือพระเจ้าแห่งจินตนาการของพวกเขา สิ่งนี้คืออะไร? คือความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้า เมื่อพูดถึงความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เจ้าก็อาจคิดว่าเจ้าก็ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากเช่นกัน เพราะเมื่อพูดถึงลูกหลานของเจ้า เจ้าไม่มีวันต่อรองราคาหรือต่อล้อต่อเถียงกับพวกเขา หรือเจ้าคิดว่าเจ้าก็ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากเช่นกันเมื่อพูดถึงบิดามารดาของเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าจะคิดอะไร อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็มีมโนทัศน์เกี่ยวกับคำว่า "ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน" และคิดว่ามันเป็นคำในเชิงบวก และคิดว่าการเป็นบุคคลที่ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนนั้นสูงศักดิ์มาก เมื่อเจ้าไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน เจ้าจะนับถือตัวเจ้าเองอย่างสูงส่ง แต่ไม่มีใครสักคนที่สามารถเห็นความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง ท่ามกลางผู้คน เหตุการณ์ และวัตถุต่างๆ และในพระราชกิจของพระองค์ได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? เพราะมนุษย์เห็นแก่ตัวเกินไป! เหตุใดเราจึงพูดเช่นนั้น? มวลมนุษย์อาศัยอยู่ในโลกแห่งวัตถุ เจ้าอาจติดตามพระเจ้า แต่เจ้าไม่มีวันเห็นหรือซาบซึ้งในวิธีที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้เจ้า รักเจ้า และแสดงความห่วงใยต่อเจ้า ดังนั้นเจ้าเห็นอะไร? เจ้าเห็นญาติสายโลหิตที่รักเจ้าหรือหลงใหลในตัวเจ้า เจ้าเห็นสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อเนื้อหนังของเจ้า เจ้าใส่ใจเกี่ยวกับผู้คน และสิ่งต่างๆ ที่เจ้ารัก นี่คือสิ่งที่เรียกกันว่าความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่ "ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน" เช่นนี้ไม่มีวันห่วงใยเกี่ยวกับพระเจ้าที่ทรงให้ชีวิตแก่พวกเขา ตรงกันข้ามกับของพระเจ้า ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์กลายเป็นเห็นแก่ตัวและน่ารังเกียจ ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนที่มนุษย์เชื่อนั้นว่างเปล่าและไม่สมจริง ปลอมปน เข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า และไม่เกี่ยวโยงกับพระเจ้า ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของมนุษย์มีไว้สำหรับตัวเอง ในขณะที่ความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าเป็นการเปิดเผยแก่นแท้ของพระองค์ที่แท้จริง เป็นเพราะความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้านั่นเอง มนุษย์จึงได้รับการจัดเตรียมให้โดยพระองค์ตลอดเวลา พวกเจ้าอาจจะไม่ได้รับผลกระทบอย่างลึกล้ำจากหัวข้อนี้ที่เรากำลังพูดถึงในวันนี้ และเพียงกำลังพยักหน้าด้วยความเห็นชอบ แต่เมื่อเจ้าพยายามซาบซึ้งในพระทัยของพระเจ้าในหัวใจของเจ้า เจ้าจะค้นพบการนี้โดยไม่รู้ตัวว่า ท่ามกลางผู้คน เรื่องสำคัญและสิ่งต่างๆ ทั้งหมดที่เจ้าสามารถสำนึกรับรู้ได้ในโลกนี้ มีเพียงความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นจริงและเป็นรูปธรรม เพราะมีเพียงความรักของพระเจ้าต่อเจ้าเท่านั้นที่ปราศจากเงื่อนไขและไร้ที่ติ นอกเหนือจากพระเจ้าแล้ว ที่เรียกว่าความไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนของคนอื่นใดนั้นแสร้งทำ ผิวเผิน ไม่แท้จริง มันมีจุดประสงค์ เจตนาบางอย่าง มีการแลกเปลี่ยน และไม่สามารถทนทานต่อการทดสอบได้ เจ้าถึงกับสามารถพูดได้ว่ามันโสมมและน่ารังเกียจ พวกเจ้ามีความเห็นด้วยกับพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 1

ดูเพิ่ม

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

แบ่งปัน

ยกเลิก

ติดต่อเราผ่าน Messenger