ด้วยการนบนอบที่แท้จริงเท่านั้น คนเราจึงจะสามารถมีความไว้วางใจจริงได้ (ตอนที่สอง)
เรามาสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งที่ขัดต่อมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์มากที่สุดกัน โมเสสใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นทุรกันดารกว่าสี่สิบปี สี่สิบปีนั้นถือเป็นเกือบทั้งชีวิตของคนคนหนึ่ง หากใครมีชีวิตอยู่ถึงแปดสิบปี สี่สิบปีย่อมเป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตพวกเขา สภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตประเภทใดที่เรียกว่าถิ่นทุรกันดาร ถิ่นทุรกันดารไม่ใช่เพียงสภาพแวดล้อมย่ำแย่สุดขีดซึ่งโมเสสต้องเผชิญการใช้ชีวิตกับความลำบากยากเย็นมากมายเท่านั้น แต่สิ่งที่เป็นปัญหายิ่งกว่าคือการที่เขาไม่ได้ติดต่อกับคนอิสราเอลเลยตลอดสี่สิบปีนั้น และพระเจ้าก็ไม่ทรงปรากฏต่อเขาด้วยเช่นกัน พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมนี้ให้แก่โมเสสเพื่อถลุงเขา สิ่งนี้สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์หรือไม่? หากผู้คนขาดพร่องความเชื่อจริงแท้ โดยทั่วไปแล้วสิ่งนี้จะแสดงตัวอย่างไร? ในสองปีแรกพวกเขาจะยังมีความแข็งแกร่งในหัวใจอยู่บ้างและคิดว่า “พระเจ้าทรงกำลังทดสอบฉัน แต่ฉันไม่กลัว ฉันมีพระเจ้าอยู่! ตราบใดที่พระเจ้าไม่ทรงปล่อยให้ฉันตาย ฉันก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ตราบเท่าที่ฉันยังมีลมหายใจเหลืออยู่เฮือกหนึ่ง ฉันใช้ชีวิตตามพระเจ้า ฉันมีความไว้วางใจ ฉันต้องทำให้พระเจ้าพอพระทัย!” พวกเขามีความมุ่งมั่นเช่นนี้อยู่บ้างเพราะพวกเขายังมีเหล่าแกะอยู่เป็นเพื่อน แต่ผ่านไปราวสองสามปี แกะเหล่านั้นก็น้อยลงเรื่อยๆ ทั้งยังมีลมพัดโหมตลอดทั้งวัน ในยามค่ำคืนที่นิ่งสงัด ผู้คนย่อมจะรู้สึกโดดเดี่ยว พวกเขาไม่มีใครให้แบ่งปันสิ่งที่อยู่ในหัวใจของตน เมื่อพวกเขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ทั้งหมดที่พวกเขาเห็นก็คือหมู่ดาวและพระจันทร์ ในคืนที่เมฆครึ้มและฝนกระหน่ำ แม้แต่พระจันทร์ก็หลบไปจากการมองเห็น พวกเขายิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวมากกว่าเดิม ความไว้วางใจของพวกเขาค่อยๆ เยือกเย็นลงไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อความไว้วางใจของพวกเขาเยือกเย็น หัวใจที่เต็มไปด้วยการพร่ำบ่นและการเข้าใจผิดก็เริ่มแสดงตัว หลังจากนั้น สภาวะภายในของพวกเขาก็เริ่มหดหู่ลงเรื่อยๆ และชีวิตก็เริ่มไร้ความหมายไปทีละน้อย พวกเขารู้สึกอยู่ตลอดว่าพระเจ้าไม่ใส่พระทัยพวกเขาและทรงทอดทิ้งพวกเขาไปแล้ว พวกเขาเกิดคำถามต่อการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า และความไว้วางใจของพวกเขาก็หดหายลงไปเรื่อยๆ หากเจ้าขาดพร่องความเชื่อจริงแท้ เจ้าจะไม่ทานทนต่อการทดสอบของเวลาหรือการทดสอบของสภาพแวดล้อมได้ หากเจ้าไม่อาจทานทนการทดสอบที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้าได้ พระเจ้าย่อมจะไม่ตรัสกับเจ้าหรือทรงปรากฏต่อเจ้า พระเจ้าทรงต้องการดูว่าเจ้าเชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระองค์หรือไม่ ยอมรับการทรงดำรงอยู่ของพระองค์หรือไม่ และเจ้ามีความเชื่อจริงแท้ในหัวใจของเจ้าหรือไม่ นี่คือการที่พระเจ้าทรงพินิจพิเคราะห์ห้วงลึกของหัวใจของผู้คน ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลกนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าใช่หรือไม่? พวกเขาล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน ไม่สำคัญว่าเจ้าอยู่ในถิ่นทุรกันดารหรืออยู่บนดวงจันทร์ เจ้าก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า สิ่งทั้งหลายย่อมเป็นไปในหนทางนั้น หากพระเจ้าไม่ทรงปรากฏต่อเจ้า เจ้าจะสามารถเห็นถึงการทรงดำรงอยู่และอธิปไตยของพระเจ้าได้อย่างไร? เจ้าจะสามารถอนุญาตให้ความจริงที่ว่า “พระเจ้าทรงดำรงอยู่และทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง” หยั่งรากในหัวใจของเจ้าและไม่มีวันจางหายไปได้อย่างไร? เจ้าจะทำให้ถ้อยแถลงนี้เป็นชีวิตของเจ้า เป็นแรงขับเคลื่อนในชีวิตเจ้า อีกทั้งเป็นความไว้วางใจและพละกำลังที่ทำให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร? (ด้วยการอธิษฐาน) นั่นสัมพันธ์กับชีวิตจริง นั่นคือเส้นทางในการปฏิบัติ เมื่อเจ้าอยู่ในช่วงเวลาที่ลำบากยากเย็นที่สุดของเจ้า เมื่อเจ้าสามารถรู้สึกถึงพระเจ้าได้น้อยที่สุด เมื่อเจ้ารู้สึกเจ็บปวดและโดดเดี่ยวอย่างที่สุด เมื่อเจ้ารู้สึกราวกับตนเองไกลห่างจากพระเจ้า สิ่งหนึ่งที่เจ้าควรทำเหนือสิ่งอื่นใดคืออะไร? จงส่งเสียงร้องถึงพระเจ้า การส่งเสียงร้องถึงพระเจ้ามอบพละกำลังให้เจ้า การส่งเสียงร้องถึงพระเจ้าทำให้เจ้ารู้สึกถึงการสถิตของพระองค์ การส่งเสียงร้องถึงพระเจ้าทำให้เจ้ารู้สึกถึงอธิปไตยของพระเจ้า เมื่อเจ้าส่งเสียงร้องถึงพระเจ้า อธิษฐานถึงพระเจ้า และวางชีวิตของเจ้าไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า เจ้าย่อมจะรู้สึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่เคียงข้างเจ้าและพระองค์ไม่ได้ทรงทอดทิ้งเจ้า เมื่อเจ้ารู้สึกอย่างแท้จริงว่าพระองค์สถิตอยู่เคียงข้างเจ้า ความไว้วางใจของเจ้าจะเติบโตขึ้นหรือไม่? หากเจ้ามีความไว้วางใจที่แท้จริง เมื่อกาลเวลาผ่านไป ความไว้วางใจนั้นจะเสื่อมลงและเลือนหายไปหรือไม่? ไม่อย่างแน่นอน ขณะนี้ปัญหาเรื่องความไว้วางใจได้รับการแก้ไขแล้วหรือยัง? ผู้คนสามารถมีความไว้วางใจจริงด้วยการแค่หอบหิ้วพระคัมภีร์ไปทุกที่และท่องจำข้อพระคัมภีร์แบบคำต่อคำอย่างเข้มงวดได้หรือไม่? เจ้ายังคงต้องอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้าเพื่อแก้ไขปัญหานี้ โมเสสก้าวผ่านช่วงเวลาสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดารนั้นมาได้อย่างไร? ตอนนั้นไม่มีพระคัมภีร์ และมีผู้คนอยู่รอบตัวเขาเพียงไม่กี่คน เขามีเพียงแกะที่อยู่กับเขา แน่นอนว่าโมเสสได้รับการทรงนำจากพระเจ้า ถึงแม้พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกไว้ว่าพระเจ้าทรงนำเขาอย่างไร พระเจ้าทรงปรากฏต่อเขาหรือไม่ พระเจ้าตรัสกับเขาหรือไม่ หรือพระเจ้าทรงอนุญาตให้โมเสสเข้าใจเหตุผลที่พระองค์ทรงให้เขาใช้ชีวิตอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปีหรือไม่ นี่ก็เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าโมเสสรอดชีวิตจากการอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปีจริงๆ ไม่มีใครปฏิเสธข้อเท็จจริงนี้ได้ โมเสสรอดชีวิตจากการอยู่ในถิ่นทุรกันดารเพียงลำพังถึงสี่สิบปีได้อย่างไรโดยไม่มีใครอยู่รอบตัวเขาให้ได้แบ่งปันเรื่องราวในหัวใจเลยสักคน? หากไร้ซึ่งความเชื่อจริงแท้ เรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ไม่ว่ากับใครก็ตาม นี่คงจะเป็นปาฏิหาริย์! ไม่ว่าผู้คนใคร่ครวญเรื่องนี้อย่างไร พวกเขาก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีวันเกิดขึ้นได้ สิ่งนี้ขัดต่อมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์มากเกินไป! ทว่านี่ไม่ใช่ตำนานเล่าขาน ไม่ใช่เรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ นี่คือข้อเท็จจริงที่เป็นจริง ไม่มีวันเปลี่ยน และไม่สามารถปฏิเสธได้ การมีอยู่ของข้อเท็จจริงข้อนี้แสดงให้ผู้คนเห็นถึงสิ่งใด? หากเจ้ามีความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้า ตราบใดที่เจ้ายังมีลมหายใจสุดท้ายเหลืออยู่ พระเจ้าก็จะไม่ทรงทอดทิ้งเจ้า นี่คือข้อเท็จจริงข้อหนึ่งของการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า หากเจ้ามีความไว้วางใจจริงและมีความเข้าใจที่แท้จริงเช่นนั้นต่อพระเจ้า ความไว้วางใจของเจ้าก็ย่อมยิ่งใหญ่มากพอ ไม่ว่าเจ้าพบว่าตนเองอยู่ในสภาพแวดล้อมใด และไม่ว่าเจ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมนี้นานแค่ไหน ความไว้วางใจของเจ้าก็จะไม่มีวันเสื่อมไป
โมเสสอยู่ในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปี พระเจ้าทรงไม่เคยปรากฏต่อเขา และไม่เคยจัดเตรียมความจริงให้แก่เขาเลย โมเสสไม่มีหนังสือที่มีพระวจนะของพระเจ้าอยู่ในมือ เขาไม่มีประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรอยู่เคียงข้างแม้แต่คนเดียว และไม่มีใครให้แบ่งปันเรื่องราวในหัวใจของเขาเลยสักคน การใช้ชีวิตเพียงลำพังในถิ่นทุรกันดารนั้น เขาทำได้แค่มีชีวิตอยู่ด้วยการพึ่งพาการอธิษฐานถึงพระเจ้า สุดท้ายแล้ว สิ่งนี้ก็ทำให้โมเสสสัมฤทธ์ความไว้วางใจจริง แล้วเหตุใดพระเจ้าจึงทรงทำเช่นนี้? พระเจ้ากำลังจะทรงไว้วางพระทัยมอบหมายพระบัญชาให้แก่โมเสส ใช้ประโยชน์ยิ่งใหญ่จากเขา และพระเจ้าทรงจำเป็นที่จะต้องทรงพระราชกิจในตัวเขา ดังนั้นพระองค์จึงทรงทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น พระองค์ทำให้โมเสสแข็งแกร่งขึ้นในเรื่องใด? (ความไว้วางใจของเขา) พระเจ้าทรงต้องการทำให้ความไว้วางใจของเขาเพียบพร้อม ไม่ใช่ทำให้ความไว้วางใจของเขาแข็งแกร่ง สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นคือความตั้งใจดีของมนุษย์ สิ่งที่เรียกว่าความมุ่งมั่นตั้งใจของมนุษย์และความสามารถกับทักษะของเขา รวมถึงความใจร้อนของเขา เหตุใดตอนนั้นโมเสสจึงออกจากอียิปต์มา? (เพราะเขาสังหารชาวอียิปต์ด้วยความใจร้อน) พระเจ้าทรงสามารถใช้เขาในเวลานั้นได้หรือไม่? (ไม่ได้) หากพระเจ้าทรงใช้เขาตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น? เขาเกลียดชาวอียิปต์และจงใจกระทำการอย่างหุนหันพลันแล่นเสมอ หากเขาสังหารคนอีกคนหนึ่ง นั่นจะไม่ทำให้เกิดปัญหาหรือ? หากพระเจ้าทรงขอให้เขาไปนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ และโมเสสกระทำการอย่างหุนหันพลันแล่นในยามที่ฟาโรห์ไม่ทรงเห็นด้วย นั่นจะไม่ทำให้เกิดปัญหาหรือ? พระเจ้าจะตรัสว่า “หากเจ้าปฏิบัติตนเช่นนี้ เจ้าจะสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้หรือ?” ด้วยเหตุนั้น พระเจ้าจึงไม่สามารถใช้เขาได้เนื่องจากความใจร้อนของเขา ความใจร้อนนั้นเป็นข้อห้ามหลักสำหรับมนุษย์ หากเจ้าเป็นคนใจร้อน หากเจ้าต้องการทำสิ่งทั้งหลายตามความเป็นธรรมชาติและความหุนหันพลันแล่นของเจ้าเสมอ และหากเจ้าต้องการที่จะแก้ไขปัญหาโดยใช้วิธีการของมนุษย์อยู่ตลอดเวลา หากเจ้าไม่มีความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้า อีกทั้งไม่พึ่งพาพระเจ้าและเชื่อในอธิปไตยของพระองค์ด้วยความเชื่อจริงแท้เช่นนั้น พระเจ้าจะไม่สามารถใช้เจ้าได้ หากพระเจ้าทรงพยายามที่จะใช้เจ้า ไม่เพียงเจ้าจะไม่บรรลุสิ่งใดเลยเท่านั้น แต่ที่จริงแล้วเจ้าจะทำให้สิ่งต่างๆ วุ่นวายอีกด้วย นั่นทำให้หลังจากโมเสสสังหารชาวอียิปต์คนนั้น เขาจึงหลบหนีไปยังถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าทรงใช้สภาพแวดล้อมของถิ่นทุรกันดารทำให้เจตจำนง ความใจร้อน ความตั้งใจดี ความกระตือรือร้น และแรงกระตุ้น รวมถึงความเป็นวีรบุรุษของเขาที่ทำให้เขาปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนของตนและต่อสู้เพื่อความอยุติธรรมแข็งแกร่งขึ้น สิ่งเหล่านี้คือล้วนเป็นของเจตจำนง ความใจร้อน และความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ทรงจัดการเตรียมการให้คนอิสราเอลสักสองสามคนติดตามไปกับเขา? หากมีคนอยู่กับเขาอีกหนึ่งคน เขาก็อาจจะไม่พึ่งพาพระเจ้า แต่กลับพึ่งพาอีกคนหนึ่ง สุดท้ายแล้ว โมเสสถูกถลุงจนกลายเป็นคนประเภทใดในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น? เขาสามารถนบนอบพระเจ้าและมีความไว้วางใจจริงได้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าความใจร้อนโดยธรรมชาติของเขานั้นหมดไปแล้ว เมื่อเขาออกมาจากถิ่นทุรกันดารนั้น เขายังคงมีความใจร้อนและความเป็นวีรบุรุษอยู่หรือไม่? (ไม่มี) การนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร? (โมเสสกล่าวว่าเขาไม่ใช่ผู้พูดที่ดีอีกต่อไปแล้ว) เขาไม่สามารถพูดได้อีกต่อไป แล้วเขายังคงมีความตั้งใจและแรงกระตุ้นของตนเองอยู่หรือไม่? (ไม่มี) เมื่อดูจากเรื่องนี้ ในยามที่พระเจ้าทรงต้องการทำให้บุคคลหนึ่งเพียบพร้อม ทำให้ความไว้วางใจในพระเจ้าของบุคคลหนึ่งเพียบพร้อม ไม่ว่าพระองค์ทรงใช้คนคนนี้หรือไม่ พระเจ้าย่อมจะทำให้ความเข้าใจต่อความจริงและต่อเจตนารมณ์ของพระเจ้าของบุคคลนี้เพียบพร้อม และทรงอนุญาตให้บุคคลนี้นบนอบพระเจ้าอย่างสมบูรณ์และแท้จริงโดยไร้ซึ่งการปลอมปน ไร้ซึ่งสิ่งที่เรียกว่าความเป็นวีรบุรุษ แรงกระตุ้น ความมักใหญ่ใฝ่สูง และความหลงใหลอันสูงส่งของมนุษย์ ไร้ซึ่งความใจร้อน และไร้ซึ่งความตั้งใจและความมีใจกระตือรือร้นอันดีของมนุษย์—ไร้ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่เรียกว่าเป็นความศรัทธา ทุกคนเลื่อมใสและไล่ตามไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้ที่มาจากเจตจำนงของมนุษย์ หากพูดให้สอดคล้องกัน สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่หัวใจของมนุษย์เรียกว่าเป็นบวก ดี และถูกต้อง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนเต็มใจใช้ชีวิตตาม สิ่งเหล่านี้เป็นความศรัทธาของผู้คน เมื่อผู้คนไม่มีสิ่งเหล่านี้ พวกเขาก็สามารถนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และพวกเขาจะไม่พูดและทำสิ่งต่างๆ ตามความคิดฝันของมนุษย์และความดีงามของมนุษย์ เมื่อผู้คนมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอีกครั้ง พวกเขาย่อมจะมีองค์ประกอบของความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้ามากขึ้น องค์ประกอบของความเชื่อจริงแท้คืออะไร? พวกเขาจะยังคงแนะนำพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า สิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงทำนั้นไม่สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และผู้คนก็ยอมรับการกระทำของพระองค์ได้ยาก ที่จริงพระองค์จำเป็นต้องทรงทำเช่นนี้” และ “ข้าแต่พระเจ้า สิ่งที่พระองค์ตรัสฟังดูไม่ถูกต้อง น้ำเสียงดูไม่เข้าท่า อีกทั้งวิธีการก็ผิด และพระวจนะที่พระองค์ทรงใช้ก็ไม่ถูกต้อง” อยู่หรือไม่? สิ่งเหล่านี้ย่อมเสื่อมลงไปจากพวกเขาและพวกเขาจะไม่ให้คำแนะนำพระเจ้าอีกต่อไป พวกเขาจะสามารถนบนอบพระเจ้า มีเหตุผล และมีความยำเกรงพระเจ้าได้อย่างแท้จริง การถูกทำให้แข็งแกร่งกว่าสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดารทำให้โมเสสรู้สึกถึงการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าอย่างแท้จริง ในสภาพแวดล้อมที่แค่การมีชีวิตรอดสำหรับคนคนหนึ่งยังเป็นไปไม่ได้ เขาพึ่งพาพระเจ้าเพื่อที่จะมีชีวิตรอดในแต่ละวันและยึดมั่นในความหวังปีแล้วปีเล่า และใช้ชีวิตมาจนถึงปลายทาง เขาได้เห็นพระเจ้าจริงๆ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญและไม่ใช่ตำนานเล่าขาน ไม่มีสิ่งใดที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือกระทันหันในเรื่องนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องจริง เขาได้เห็นการทรงดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้าและเห็นว่าอธิปไตยของพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งนั้นเป็นจริง เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าในตัวผู้คนสัมฤทธิ์ผลเช่นนั้น หัวใจของพวกเขาก็ย่อมจะเกิดความเปลี่ยนแปลง มโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาจะมลายหายไปและพวกเขาจะรู้สึกว่าตนเองไร้ค่า และไม่สามารถทำสิ่งใดได้หากไร้ซึ่งพระเจ้า ผลก็คือ พวกเขาจะไม่ต้องการยืนกรานที่จะทำสิ่งทั้งหลายตามหนทางของตนเอง เมื่อถึงคราวนี้ ผู้คนจะกล่าวว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า จะให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดกับพระองค์ไม่ได้” หรือไม่? (ไม่) พวกเราสามารถกล่าวได้ว่า เมื่อถึงคราวนี้ ผู้คนจะไม่พูดขัดพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และพวกเขาจะไม่ทำสิ่งทั้งหลายด้วยเจตจำนงของมนุษย์หรือยืนกรานที่จะทำสิ่งทั้งหลายตามที่พวกเขาเห็นว่าเหมาะสม ในเวลานี้ ผู้คนย่อมใช้ชีวิตตามรากฐานใด? พวกเขาใช้ชีวิตตามสิ่งใด? โดยส่วนตัวแล้ว พวกเขาสามารถนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้ และเมื่อมองตามความเป็นจริง พวกเขาก็สามารถปล่อยให้ธรรมชาติเป็นไปตามครรลอง รอคอยและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า รวมถึงนบนอบพระเจ้าในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงขอให้พวกเขาทำได้โดยไร้ซึ่งการตัดสินใจส่วนบุคคล
ย้อนกลับไปตอนที่พระเจ้าทรงส่งโมเสสไปนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ ปฏิกิริยาที่โมเสสมีต่อการที่พระเจ้าประทานพระบัญชาเช่นนี้แก่เขาคืออะไร? (เขากล่าวว่าเขาไม่มีคารมคมคาย ทั้งยังพูดจาไม่เก่ง) เขามีสิ่งนั้น ซึ่งก็คือความแคลงใจเล็กน้อย ว่าเขาไม่มีคารมคมคาย ทั้งยังพูดจาไม่เก่ง แต่เขาต้านทานพระบัญชาของพระเจ้าหรือไม่? เขาปฏิบัติต่อพระบัญชาอย่างไร? เขาทิ้งตัวหมอบราบ การทิ้งตัวหมอบราบหมายถึงสิ่งใด? หมายถึงการนบนอบและยอมรับ เขาหมอบราบทั้งกายเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่คำนึงถึงความชอบส่วนตัวของตน และไม่เอ่ยถึงความลำบากยากเย็นใดๆ ที่เขาอาจมี ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงให้เขาทำสิ่งใด เขาจะทำสิ่งนั้นทันที เหตุใดเขาจึงสามารถยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าแม้ในเวลาที่เขารู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดที่เขาสามารถทำได้? เพราะเขามีความเชื่อใจจริงอยู่ในตัวเขา เขามีประสบการณ์มาบ้างแล้วกับอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือทุกสิ่งและทุกเรื่อง และในช่วงเวลาสี่สิบปีที่เขามีประสบการณ์อยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาได้รู้ว่าอธิปไตยของพระเจ้านั้นเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ ดังนั้นเขาจึงยอมรับพระบัญชาของพระเจ้าด้วยความกระตือรือร้น และเริ่มลงมือทำสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชาให้เขาทำโดยไม่ลังเล ที่กล่าวว่าเขาเริ่มลงมือหมายความว่ากระไร? หมายความว่าเขามีความเชื่อใจที่แท้จริงในพระเจ้า มีการพึ่งพาพระองค์อย่างแท้จริง และมีความนบนอบพระองค์อย่างแท้จริง เขาไม่ใช่คนขลาด และเขาไม่ได้เลือกด้วยตนเองหรือพยายามที่จะปฏิเสธ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับเชื่ออย่างเต็มเปี่ยม และเขาเริ่มลงมือกระทำการตามพระบัญชาที่พระเจ้ามีแก่เขา เปี่ยมไปด้วยความเชื่อใจ เขามีความเชื่อเช่นนี้ “หากพระเจ้าทรงบัญชาให้ทำดังนี้ เช่นนั้นแล้วทั้งหมดนี้ย่อมจะสำเร็จตามที่พระเจ้าตรัส พระเจ้าตรัสบอกให้ฉันนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ ดังนั้นฉันจะไป ในเมื่อนี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชา พระองค์ย่อมจะเสด็จไปทรงพระราชกิจ และพระองค์จะประทานเรี่ยวแรงแก่ฉัน ฉันเพียงต้องให้ความร่วมมือเท่านั้น” นี่คือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่โมเสสมี ผู้คนที่ขาดความเข้าใจทางวิญญาณคิดว่าพวกเขาสามารถทำสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าไว้วางพระทัยมอบหมายแก่พวกเขาได้ด้วยตนเอง ผู้คนมีความสามารถเช่นนั้นหรือไม่? แน่นอนว่าไม่มี หากผู้คนขี้ขลาด พวกเขาย่อมจะไม่มีแม้แต่ความกล้าหาญที่จะเข้าพบฟาโรห์แห่งอียิปต์เสียด้วยซ้ำ พวกเขาจะพูดกับตัวเองว่า “ฟาโรห์แห่งอียิปต์เป็นกษัตริย์ผู้ชั่วร้าย พระองค์ทรงมีกองทัพที่อยู้ใต้พระบัญชาและสามารถสังหารฉันได้ในคำเดียว ฉันจะพาคนอิสราเอลมากมายออกไปได้อย่างไร? ฟาโรห์แห่งอียิปต์จะฟังฉันหรือ?” คำพูดเหล่านี้ประกอบด้วยการปฏิเสธ การแข็งขืน และความเป็นกบฏ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงการไร้ซึ่งความศรัทธาในพระเจ้า และนี่ไม่ใช่ความไว้วางใจจริง รูปการณ์แวดล้อมในเวลานั้นไม่เอื้ออำนวยต่อคนอิสราเอลหรือต่อโมเสส การนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ในทรรศนะของมนุษย์ย่อมเป็นเพียงกิจที่เป็นไปไม่ได้เท่านั้น เพราะอียิปต์มีทะเลแดงขวางกั้นอยู่ และการข้ามทะเลแดงย่อมจะเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ โมเสสไม่อาจรู้ได้จริงๆ หรือว่าการทำให้พระบัญชานี้ลุล่วงลำบากยากเย็นเพียงใด? ในหัวใจของเขา เขารู้ แต่เขากลับพูดเพียงว่าเขาพูดจาไม่เก่ง ว่าจะไม่มีผู้ใดสนใจคำพูดของเขา หัวใจของเขาไม่ได้ปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าตรัสบอกโมเสสให้นำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์ เขาหมอบราบและยอมรับพระบัญชา เหตุใดเขาจึงไม่เอ่ยถึงความลำบากยากเย็นต่างๆ? ใช่เพราะหลังจากสี่สิบปีที่อยู่ในถิ่นทุรกันดาร เขาก็ไม่รู้ถึงภัยทั้งหลายในโลกมนุษย์ หรือไม่รู้ว่าสิ่งต่างๆ ในอียิปต์ก้าวหน้าไปถึงสภาวะไหนแล้ว หรือไม่รู้ถึงสถานการณ์อันเลวร้ายของคนอิสราเอลในห้วงเวลานั้นกระนั้นหรือ? เขาไม่อาจมองเห็นสิ่งเหล่านั้นได้อย่างชัดเจนกระนั้นหรือ? นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่ โมเสสฉลาดและมีปัญญา เขารู้ทั้งหมดนั้นเพราะได้ก้าวผ่าน และมีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านั้นในโลกของมนุษย์มาแล้วด้วยตัวเอง และเขาจะไม่มีวันลืมสิ่งเหล่านั้น เขารู้ทั้งหมดนั้นเป็นอย่างดียิ่ง ดังนั้นเขารู้หรือไม่ว่าพระบัญชาที่พระเจ้าประทานแก่เขาลำบากยากเย็นเพียงใด? (รู้) หากเขารู้ เขาสามารถยอมรับพระบัญชานั้นได้อย่างไร? เขาวางใจในพระเจ้า ด้วยประสบการณ์ที่เขามีมาตลอดชีวิต เขาจึงเชื่อในมหิทธานุภาพของพระเจ้า ดังนั้นเขาจึงยอมรับพระบัญชาครั้งนี้ของพระเจ้าด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อใจและไม่กังขาแม้แต่น้อย เขามีประสบการณ์ใด? จงบอกเราที (ในประสบการณ์ของเขานั้น ทุกครั้งที่เขาส่งเสียงร้องหาพระเจ้าและทุกครั้งที่เขาเข้าใกล้พระเจ้า พระเจ้าก็ทรงนำและทรงชี้แนะเขา โมเสสเห็นว่าพระเจ้าทรงไม่เคยกลับคำตรัสของพระองค์ และเขาก็มีความไว้วางใจจริงต่อพระเจ้า) นี่คือแง่มุมหนึ่ง มีด้านอื่นหรือไม่? (ช่วงเวลาสี่สิบปีที่โมเสสอยู่ในถิ่นทุรกันดาร อันที่จริงเขาได้เห็นถึงอธิปไตยของพระเจ้าผ่านการส่งเสียงร้องและอธิษฐานถึงพระเจ้า เขาสามารถมีชีวิตรอดและก้าวผ่านเหตุการณ์นั้นมาได้ และเขาก็มีความเชื่อจริงแท้ในอธิปไตยของพระเจ้า) มีอะไรอีก? (พระเจ้าทรงพระราชกิจมากมายแล้วในตัวโมเสส โมเสสรู้บางอย่างเกี่ยวกับว่าพระเจ้าทรงสร้างสวรรค์ แผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่งอย่างไร พระเจ้าทรงใช้น้ำท่วมเพื่อทำลายโลกในยุคของโนอาห์อย่างไร รวมถึงรู้เกี่ยวกับอับราฮัมและสิ่งอื่นๆ เหล่านั้น เขาเขียนสิ่งเหล่านี้ลงในหนังสือปัญจบรรพ ซึ่งพิสูจน์ว่าเขาได้รับความเข้าใจเชิงลึกในกิจการทั้งปวงของพระเจ้าและรู้ว่าพระเจ้าทรงมหิทธิฤทธิ์และทรงรู้แจ้งเห็นจริง ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเชื่อว่าหากพระเจ้าจะทรงนำเขา ภารกิจของเขาก็ย่อมจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน เขาต้องการที่จะดูกิจการของพระเจ้า ดูว่าพระเจ้าจะทรงกระทำสิ่งใดผ่านเขา รวมถึงพระเจ้าจะทรงช่วยเหลือและทรงนำเขาอย่างไร นี่คือความไว้วางใจที่เขามี) สิ่งนี้เป็นเช่นนั้น จงบอกเราสิว่าในช่วงสี่สิบปีที่เขาอยู่ในถิ่นทุรกันดาร โมเสสสามารถมีประสบการณ์หรือไม่ว่าในพระเจ้าไม่มีสิ่งใดลำบากยากเย็น และมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า? เป็นเช่นนั้นจริงๆ—นั่นคือประสบการณ์ที่จริงแท้ที่สุดของเขา ในช่วงสี่สิบปีที่เขาอยู่ในถิ่นทุรกันดาร มีหลายสิ่งเหลือเกินที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตของเขา และเขาไม่รู้ว่าเขาจะรอดตายจากสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ ทุกวันเขาย่อมจะดิ้นรนต่อสู้เพื่อชีวิตของตนและอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อขอการปกป้อง นั่นคือความปรารถนาเพียงประการเดียวของเขา ในช่วงสี่สิบปีนั้น สิ่งที่เขามีประสบการณ์ด้วยอย่างลึกซึ้งที่สุดคืออธิปไตยและการปกป้องของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เมื่อเขายอมรับพระบัญชาของพระเจ้าในเวลาต่อมา ความรู้สึกแรกของเขาจึงต้องเป็นว่า “ไม่มีสิ่งใดลำบากยากเย็นในพระเจ้า หากพระเจ้าตรัสว่าสามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วก็สามารถทำได้อย่างแน่นอน ในเมื่อพระเจ้ามีพระบัญชาเช่นนั้นแก่ฉัน พระองค์ย่อมจะทรงดูแลเรื่องนี้ให้อย่างแน่นอน—เป็นพระองค์ที่จะทรงทำสิ่งนั้น หาใช่มนุษย์คนใดไม่” ก่อนลงมือกระทำการ ผู้คนต้องวางแผนและเตรียมการล่วงหน้า พวกเขาต้องจัดการขั้นตอนเบื้องต้นทั้งหลายเสียก่อน พระเจ้าต้องทรงทำสิ่งเหล่านี้ก่อนที่พระองค์จะทรงกระทำการหรือไม่? พระองค์ไม่จำเป็นต้องทรงทำเช่นนั้น สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทุกชนิดไม่ว่าจะมีอิทธิพลเพียงใด ไม่ว่าจะมีความสามารถหรือมีพลังอำนาจเพียงใด ไม่ว่าจะบ้าคลั่งเพียงใด ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า โมเสสมีความเชื่อใจ ความรู้ และประสบการณ์ในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่มีความกังขาหรือความกลัวอยู่ในหัวใจของเขาแม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้ ความเชื่อใจที่เขามีต่อพระเจ้าจึงจริงแท้และบริสุทธิ์เป็นพิเศษ อาจกล่าวได้ว่าเขามีความเชื่อใจอย่างเต็มเปี่ยม
เราเพิ่งพูดถึงความหมายของความเชื่อจริงแท้ไป บอกเราทีว่า สุดท้ายแล้วพระเจ้าทรงต้องการความศรัทธาของผู้คนหรือความเชื่อจริงแท้ของผู้คน? (พระองค์ทรงต้องการความเชื่อจริงแท้ของผู้คน) สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการคือความเชื่อจริงแท้ของผู้คน ความเชื่อจริงแท้คืออะไร? พูดให้ตรงและเรียบง่ายที่สุด นี่ก็คือความไว้วางใจจริงต่อพระเจ้าของผู้คนนั่นเอง ความไว้วางใจจริงดูเป็นเช่นไรในทางปฏิบัติ? สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทั้งหมดในชีวิตจริงของผู้คนอย่างไร? (ผู้คนเชื่อว่าพระเจ้าทรงลิขิตและทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง พวกเขาเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้าที่อยู่เหนือทุกสิ่งที่พวกเขาเผชิญ และเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดลำบากยากเย็นสำหรับพระเจ้า) (ผู้คนเชื่อว่าพระวจนะทุกคำที่พระเจ้าตรัสย่อมจะเกิดขึ้น) จงใคร่ครวญเรื่องนี้เพิ่มเติม ความไว้วางใจจริงจะเผยตนอย่างไรหรือ? (ความไว้วางใจของโมเสสต่างจากของผู้เชื่อธรรมดาทั่วไป ตอนที่เขาเขียนหนังสือปฐมกาล เขาเชื่อว่าพระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งด้วยพระวจนะของพระองค์ เขาเชื่อว่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งนั้นเกิดขึ้นผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า เขาเชื่อว่าสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัสย่อมเป็นเช่นนั้นโดยแท้และสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตย่อมจะเกิดขึ้น และเขาก็เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าล้วนจะเกิดขึ้นและถูกทำให้ลุล่วง เขามีความไว้วางใจจริงต่อพระเจ้าในเรื่องนี้ เขาไม่ได้เชื่อเพียงข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง เขาเชื่อว่าฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่งล้วนถูกสร้างโดยพระเจ้า ในหัวใจของเขา เขาเชื่อโดยแท้จริงว่าพระวจนะของพระเจ้าทำให้ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ผล และเขาเชื่อในความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า หากเขาขาดความไว้วางใจในพระเจ้าเช่นนั้น เขาย่อมไม่มีวันเขียนหนังสือปฐมกาลได้ คำพูดเหล่านี้ต่างก็ได้รับการดลใจหรือการเปิดเผยจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน) บอกเราทีว่า การทรงดำรงอยู่จริงของพระเจ้าเป็นข้อเท็จจริงเพราะผู้คนเชื่อในเรื่องนี้ใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) การทรงดำรงอยู่จริงของพระเจ้าเป็นข้อเท็จจริงประเภทใด? (ไม่ว่าผู้คนจะเชื่อหรือไม่ พระเจ้าก็ทรงดำรงอยู่ และพระเจ้าก็ทรงดำรงอยู่ด้วยพระองค์เองและทรงเป็นนิรันดร์) อย่างน้อยที่สุดความไว้วางใจในพระเจ้าก็ต้องอยู่บนรากฐานนี้ที่ว่า พระเจ้าไม่ทรงดำรงอยู่เพราะการยอมรับพระองค์ด้วยวาจาของเจ้า อีกทั้งไม่ใช่ว่าพระองค์จะไม่ทรงดำรงอยู่หากเจ้าไม่ยอมรับพระองค์ ในทางกลับกัน พระเจ้าทรงดำรงอยู่ไม่ว่าเจ้าเชื่อในพระองค์หรือยอมรับพระองค์หรือไม่ พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างอยู่ชั่วนิรันดร์และมีอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งตลอดกาล เหตุใดผู้คนจำเป็นต้องมาเข้าใจเรื่องนี้? สิ่งนี้สามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งใดในตัวผู้คนได้? บางคนกล่าวว่า “หากพวกเราเชื่อในพระองค์ พระองค์ก็คือพระเจ้า แต่หากพวกเราไม่เชื่อในพระองค์ พระองค์ก็ไม่ใช่พระเจ้า” คำพูดเหล่านี้คืออะไร? คำพูดเหล่านี้คือคำพูดที่เป็นกบฏและคลาดเคลื่อน พระเจ้าตรัสว่า “หากเจ้าไม่เชื่อในเรา เราก็ยังคงเป็นพระเจ้าและเราก็ยังคงมีอธิปไตยเหนือโชคชะตาของเจ้า เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้” นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ ไม่ว่าผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าจะแข็งขืนหรือไม่ยอมรับพระเจ้ามากเพียงใด ชะตากรรมของพวกเขาก็ยังคงอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า และพวกเขาก็ไม่สามารถหนีไปจากการลงโทษของพระเจ้าได้ หากเจ้ายอมรับและนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าโดยสมบูรณ์ อีกทั้งสามารถยอมรับความจริงทุกประการที่พระเจ้าทรงแสดงได้ พระวจนะของพระเจ้าก็ย่อมสามารถเปลี่ยนแปลงหนทางในชีวิตของเจ้า เปลี่ยนแปลงเป้าหมายในชีวิตและทิศทางในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า เปลี่ยนแปลงเส้นทางที่เจ้าเลือก และเปลี่ยนแปลงความหมายชีวิตของเจ้าได้ คนบางคนพูดจากปากของพวกเขาว่าพวกเขาเชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า และเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งและทุกสิ่งที่มีอยู่ แต่พวกเขาไม่สามารถนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพวกเขามองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสำหรับแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป ผู้คนเหล่านี้ต้องการไล่ตามไขว่คว้าความมักใหญ่ใฝ่สูงและความอยากได้อยากมีของตนอยู่เสมอ ทั้งยังต้องการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่อยู่ตลอดเวลา แต่พวกเขาก็เผชิญกับความพลาดพลั้งซ้ำๆ และในที่สุดก็ถูกทุบตีจนแตกสลายและหลั่งโลหิต ตอนนั้นเท่านั้นพวกเขาจึงยอมจำนน หากพวกเขาเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาจะปฏิบัติตนในหนทางนี้หรือไม่? ย่อมเป็นไปไม่ได้สำหรับพวกเขา พวกเขาควรดำเนินการต่อไปอย่างไร? อันดับแรก พวกเขาควรเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ในพระราชกิจเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ของพระเจ้านั้น พระองค์ทรงช่วยผู้คนให้ทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตนเอง และหลุดพ้นจากอิทธิพลของซาตาน ก้าวเดินไปบนเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิต และใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า หากผู้คนเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมจะทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าในการไล่ตามเสาะหาความจริงและการสืบเสาะที่จะเข้าใจพระเจ้า สัมฤทธิ์ความนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า มีเพียงหนทางนี้ที่พวกเขาจะสามารถตรงตามเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้ มีผู้คนมากมายที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่สามารถนบนอบพระเจ้าได้ พวกเขาอยากไล่ตามไขว่คว้าความต้องการของพวกเขาเองอยู่เสมอ แต่ในท้ายที่สุดทุกคนก็ล้มเหลว ตอนนั้นเท่านั้นที่พวกเขาจะพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของตนว่า “นี่คือโชคชะตา และไม่มีใครเปลี่ยนแปลงสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ได้!” ตอนนี้เอง เมื่อพวกเขากล่าวอีกครั้งว่า “ฉันเชื่อในการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้า และเชื่อว่าพระเจ้าทรงกุมทุกสิ่งไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” คำพูดเหล่านี้ต่างจากที่พวกเขาพูดก่อนหน้านี้หรือไม่? คำพูดเหล่านี้สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากกว่าคำสอนที่พวกเขาพูดถึงเมื่อก่อน ก่อนหน้านี้ พวกเขาเพียงเชื่อและยอมรับด้วยวาจาว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง แต่เมื่อสิ่งต่างๆ จะเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาก็ไม่สามารถนบนอบพระเจ้าและไม่สามารถปฏิบัติความจริงตามพระวจนะของพระเจ้าได้ พวกเขาคิดอยู่ในหัวใจว่าพวกเขาสามารถทำให้อุดมคติทั้งหลายของตนเป็นจริงได้ด้วยตัวพวกเขาเอง ในหนทางนี้ พระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาเชื่ออยู่ในหัวใจ อีกทั้งคำสอนที่อยู่บนลิ้นของพวกเขาย่อมไม่สามารถกลายเป็นหลักธรรมในการกระทำของพวกเขาได้ นั่นก็คือ พวกเขาไม่ได้เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าล้วนเป็นความจริงและสามารถทำให้ทุกสรรพสิ่งสัมฤทธิ์ผลได้ พวกเขาคิดว่าพวกเขาเข้าใจความจริง แต่พวกเขาไม่สามารถนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้ ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาเข้าใจจึงเป็นเพียงคำพูดและคำสอน ไม่ใช่ความเป็นจริงความจริง พวกเขาพูดจากปากของตนว่าพวกเขาเชื่อในอธิปไตยของพระเจ้า แต่ในชีวิตจริง พวกเขากลับไม่สามารถนบนอบพระเจ้าได้ พวกเขาเดินไปบนเส้นทางของตนเองอยู่เสมอ ต้องการไล่ตามไขว่คว้าความต้องการของตนเองอยู่ตลอด อีกทั้งละเมิดข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า นี่คือการนบนอบที่แท้จริงหรือ? ในจุดนี้มีความศรัทธาจริงหรือความไว้วางใจจริงอยู่หรือไม่? (ไม่) ไม่มีเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเวทนาเหลือเกิน! สิ่งใดคือการสำแดงถึงความไว้วางใจจริงในพระเจ้า? อย่างน้อยผู้คนที่มีความไว้วางใจจริงก็เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง อีกทั้งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นและถูกทำให้ลุล่วง และพวกเขาก็เชื่อว่าการปฏิบัติตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเป็นเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต ในชีวิตของพวกเขานั้น พวกเขาอธิษฐานถึงพระเจ้าและพึ่งพาพระเจ้า นำพระวจนะของพระเจ้ามาสู่ชีวิตจริงของตน ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง พยายามเป็นคนซื่อสัตย์ และใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า ไม่เพียงแต่พวกเขาเชื่อในการทรงดำรงอยู่และอธิปไตยของพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังแสวงหาที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าในชีวิตจริงของพวกเขาอีกด้วย หากพวกเขาเป็นกบฏ พวกเขาก็สามารถทบทวนตนเอง ยอมรับความจริง ยอมรับการบ่มวินัยของพระเจ้า และสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าได้ หากเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้ ความจริงที่เจ้าเชื่อและยอมรับย่อมจะกลายมาเป็นความเป็นจริงของชีวิตของเจ้า ความจริงนี้จะสามารถนำความคิดของเจ้า นำชีวิตของเจ้า และนำทิศทางที่เจ้าเดินตลอดทั้งชีวิตได้ ในเวลานี้ เจ้าจะสามารถเกิดความไว้วางใจจริงในพระเจ้า เมื่อเจ้าครองความศรัทธาจริงในพระเจ้าและการนบนอบที่แท้จริง สิ่งนี้ย่อมทำให้เกิดความไว้วางใจที่แท้จริง ความไว้วางใจนี้คือความเชื่อจริงแท้ในพระเจ้า ความเชื่อจริงแท้นี้มาจากไหน? สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้นจากการปฏิบัติและมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าแล้วจึงมาเข้าใจความจริง ยิ่งผู้คนเข้าใจความจริงมากขึ้น ความไว้วางใจในพระเจ้าของพวกเขาก็ยิ่งใหญ่ขึ้น ยิ่งพวกเขารู้เกี่ยวกับพระเจ้ามากขึ้น พวกเขาก็ยิ่งนบนอบพระเจ้าโดยแท้จริงมากขึ้น นี่คือวิธีที่ผู้คนมามีความเชื่อจริงแท้
Scripture quotations are from The Holy Bible-Thai Standard Version, copyright © 2014 by Thailand Bible Society. Used by permission. All rights reserved.
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ