ความล้ำลึกแห่งการทรงจุติเป็นมนุษย์ (4) (ตอนที่หนึ่ง)

พวกเจ้าควรรู้เกี่ยวกับเรื่องราวเบื้องหลังพระคัมภีร์และเกี่ยวกับการสร้างมันขึ้นมา ความรู้นี้ไม่ได้เป็นของพวกที่ไม่ได้ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า พวกเขาไม่รู้หรอก หากเจ้ากำลังจะพูดกับพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาถึงเรื่องราวเหล่านี้ที่เป็นสาระสำคัญ พวกเขาก็คงจะไม่เป็นพวกยึดติดเกี่ยวกับพระคัมภีร์กับเจ้าอีกต่อไป พวกเขากำลังขุดคุ้ยลงไปในสิ่งที่ได้ถูกพยากรณ์ไว้อยู่ตลอดเวลา ว่าคำกล่าวนี้ได้เกิดขึ้นหรือไม่? คำกล่าวนั้นได้เกิดขึ้นหรือไม่? การยอมรับข่าวประเสริฐของพวกเขานั้นเป็นไปตามพระคัมภีร์ และพวกเขาประกาศข่าวประเสริฐไปตามพระคัมภีร์ การเชื่อของพวกเขาในพระเจ้าฝากไว้กับพระวจนะในพระคัมภีร์ หากปราศจากพระคัมภีร์ พวกเขาก็จะไม่เชื่อในพระเจ้า การนำพระคัมภีร์มาสู่การพินิจพิเคราะห์อันหยุมหยิมนี่เองคือลักษณะที่พวกเขาใช้ชีวิต เมื่อพวกเขามาขุดคุ้ยลงไปในพระคัมภีร์อีกครั้งและขอให้เจ้าช่วยอธิบาย เจ้าพูดว่า "ก่อนอื่น พวกเราจงอย่าได้ตรวจสอบยืนยันแต่ละคำกล่าวเลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเราจงมองดูวิธีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจจะดีกว่า ขอพวกเราจงนำเอาเส้นทางที่พวกเราเดิน มาเปรียบเทียบกับความจริง เพื่อดูว่าเส้นทางนี้ใช่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ และพวกเราจงใช้พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อตรวจว่า เส้นทางดังกล่าวนั้นถูกต้องหรือไม่ สำหรับการที่คำกล่าวนี้หรือคำกล่าวนั้นได้เกิดขึ้นตามที่ถูกทำนายไว้หรือไม่นั้น พวกเรามนุษย์ทั้งหลายไม่ควรยื่นจมูกของเราเข้าไปพิสูจน์มัน พวกเราจงมาพูดถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กับพระราชกิจสุดท้ายที่พระเจ้าได้กำลังทรงกระทำมาโดยตลอดแทนจะดีเสียกว่า" คำพยากรณ์ทั้งหลายในพระคัมภีร์คือพระวจนะของพระเจ้าซึ่งถูกถ่ายทอดในเวลานั้นโดยผู้เผยวจนะและคำพูดที่เขียนไว้โดยมนุษย์ที่พระเจ้าได้ทรงใช้ ซึ่งได้รับการดลใจ มีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงสามารถอธิบายพระวจนะเหล่านั้นได้ มีเพียงพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่ทรงสามารถทำให้ความหมายของพระวจนะเหล่านั้นเป็นที่รู้กันได้ และมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่สามารถทำลายตราทั้งเจ็ดดวงและเปิดหนังสือม้วนได้ เจ้ากล่าวว่า "ท่านไม่ใช่พระเจ้า และฉันก็ไม่ใช่เช่นกัน ดังนั้นใครเล่ากล้าที่จะอธิบายพระวจนะของพระเจ้าแม้แต่น้อย? ท่านกล้าที่จะอธิบายพระวจนะเหล่านั้นหรือ? ต่อให้เหล่าผู้เผยวจนะเยเรมีย์ ยอห์น และเอลียาห์กำลังจะมา พวกเขาก็คงจะไม่กล้าที่จะลองพยายามอธิบายพระวจนะเหล่านี้ เพราะพวกเขาหาใช่พระเมษโปดกไม่ เฉพาะพระเมษโปดกเท่านั้นที่สามารถทำลายตราทั้งเจ็ดดวงและเปิดหนังสือม้วนได้ และไม่มีใครนอกจากนี้เลยที่สามารถอธิบายพระวจนะของพระองค์ได้ ฉันไม่กล้าช่วงชิงพระนามของพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะกล้าพยายามอธิบายพระวจนะของพระเจ้า ฉันเป็นได้เพียงคนที่เชื่อฟังพระเจ้า ท่านเป็นพระเจ้าหรือไร? ไม่มีสิ่งทรงสร้างใดเลยของพระเจ้าที่จะกล้าเปิดหนังสือม้วนหรืออธิบายพระวจนะเหล่านั้น และดังนั้นแล้วฉันก็ไม่กล้าอธิบายพระวจนะเหล่านั้นเช่นกัน ท่านจงอย่าพยายามที่จะอธิบายพระวจนะเหล่านั้นเสียจะดีกว่า ไม่มีใครควรลองพยายามที่จะอธิบายพระวจนะเหล่านั้นเลย พวกเราจงมาพูดคุยเกี่ยวกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กันเถิด มนุษย์ทำได้มากเท่านี้เอง ฉันพอรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระยาห์เวห์และพระเยซูอยู่บ้างเล็กน้อย แต่เนื่องจากฉันไม่มีประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับพระราชกิจดังกล่าวเลย ฉันจึงสามารถพูดถึงได้เฉพาะในขอบข่ายที่เล็กน้อยเท่านั้น สำหรับเรื่องความหมายของพระวจนะต่างๆ ที่อิสยาห์หรือพระเยซูได้ตรัสไว้ในกาลเวลานั้น ฉันจะไม่มีคำอธิบาย ฉันไม่ศึกษาพระคัมภีร์ แต่ในทางกลับกัน ฉันติดตามพระราชกิจปัจจุบันของพระเจ้า อันที่จริงแล้ว ท่านคำนึงถึงพระคัมภีร์เสมือนเป็นหนังสือม้วนฉบับเล็ก ว่าแต่ว่า มันมิใช่บางสิ่งที่เฉพาะพระเมษโปดกเท่านั้นที่สามารถเปิดได้หรอกหรือ? นอกเสียจากพระเมษโปดกแล้ว ใครอื่นเล่าที่สามารถเปิดมันได้? ท่านไม่ใช่พระเมษโปดก และยิ่งน้อยไปใหญ่ที่ฉันจะกล้ากล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้าพระองค์เอง ดังนั้นพวกเราจงอย่าวิเคราะห์พระคัมภีร์หรือนำพระคัมภีร์ไปอยู่ภายใต้การพินิจพิเคราะห์อันหยุมหยิมเลย การหารือกันเรื่องพระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำ ซึ่งก็คือพระราชกิจปัจจุบันที่พระเจ้าพระองค์เองทรงกระทำนั้นย่อมดีกว่ามากมาย พวกเราจงมองว่าอะไรคือหลักการที่พระเจ้าใช้ในการทรงพระราชกิจ และอะไรคือสาระสำคัญของพระราชกิจของพระองค์ ใช้สิ่งเหล่านี้ตรวจสอบยืนยันว่าเส้นทางที่พวกเราเดินกันอยู่ในวันนี้นั้นถูกต้อง และด้วยวิธีนี้ ย่อมทำให้มั่นใจเกี่ยวกับมัน" หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะประกาศข่าวประเสริฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพวกที่อยู่ในโลกศาสนา พวกเจ้าต้องเข้าใจพระคัมภีร์และมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังของมัน มิฉะนั้นแล้ว ไม่มีทางที่เจ้าจะประกาศข่าวประเสริฐได้เลย ทันทีที่เจ้าได้มีความรู้ความเข้าใจในภาพที่กว้างกว่า และหยุดพินิจพิเคราะห์พระวจนะที่ตายแล้วของพระคัมภีร์ในวิธีที่หยุมหยิม แต่พูดถึงพระราชกิจของพระเจ้าและความจริงของชีวิตเท่านั้น เมื่อนั้นเจ้าจึงจะมีความสามารถที่จะรับบรรดาผู้ซึ่งแสวงหาด้วยหัวใจที่แท้จริงเอาไว้

พระราชกิจของพระยาห์เวห์ ธรรมบัญญัติที่พระองค์ได้ทรงจัดวางไว้ และหลักการต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงใช้ในการทรงนำพวกมนุษย์ในการดำเนินชีวิตของพวกเขา เนื้อหาของพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไปในยุคธรรมบัญญัติ นัยสำคัญของการที่พระองค์ทรงจัดวางธรรมบัญญัติของพระองค์ นัยสำคัญของพระราชกิจของพระองค์ในยุคพระคุณ และพระราชกิจอะไรที่พระเจ้าทรงทำในช่วงระยะสุดท้ายนี้: เหล่านี้คือสิ่งต่างๆ ที่พวกเจ้าควรเข้าใจ ช่วงระยะแรกคือพระราชกิจของยุคธรรมบัญญัติ ช่วงระยะที่สองพระราชกิจของยุคพระคุณ และช่วงระยะที่สามพระราชกิจของยุคสุดท้าย พวกเจ้าต้องเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับช่วงระยะเหล่านี้ของพระราชกิจของพระเจ้า นับจากเริ่มต้นไปจนจบ รวมแล้วมีสามช่วงระยะ สาระสำคัญของแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจคืออะไร? มีกี่ช่วงระยะที่ถูกดำเนินการจนเสร็จสิ้นในพระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปี? ช่วงระยะต่างๆ เหล่านี้ถูกดำเนินการจนเสร็จสิ้นด้วยวิธีใด และเหตุใดแต่ละช่วงระยะจึงถูกดำเนินการจนเสร็จสิ้นในหนทางเฉพาะของมัน? เหล่านี้ล้วนเป็นคำถามอันสำคัญยิ่งยวด พระราชกิจของแต่ละยุคมีคุณค่าในเชิงของการเป็นตัวแทน พระราชกิจอะไรหรือที่พระยาห์เวห์ได้ทรงดำเนินการจนเสร็จสิ้น? เหตุใดพระองค์จึงได้ทรงทำมันไปในหนทางเฉพาะนั้น? เหตุใดพระองค์จึงทรงได้รับการเรียกขานว่าพระยาห์เวห์? อีกเช่นกัน พระราชกิจอะไรหรือที่พระเยซูได้ทรงดำเนินการจนเสร็จสิ้นในยุคพระคุณ และพระองค์ได้ทรงทำมันไปในลักษณะใด? แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจและแต่ละยุคถูกใช้เป็นตัวแทนพระอุปนิสัยด้านใดของพระเจ้าหรือ? พระอุปนิสัยด้านใดของพระองค์ที่ถูกแสดงออกมาในยุคธรรมบัญญัติ? และด้านใดที่ถูกแสดงในยุคพระคุณ? และด้านใดที่อยู่ในยุคสุดท้าย? เหล่านี้คือคำถามที่มีสาระสำคัญซึ่งพวกเจ้าจะต้องเข้าใจให้ชัดเจนเกี่ยวกับพวกมัน องค์รวมของพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นได้ถูกเปิดเผยไว้ในครรลองของแผนการบริหารจัดการหกพันปี มันไม่ได้ถูกเปิดเผยเฉพาะในยุคพระคุณเท่านั้น อีกทั้งไม่ใช่เฉพาะในยุคธรรมบัญญัติเท่านั้น และยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ที่จะเป็นเช่นนั้นในช่วงเวลาของยุคสุดท้ายนี้ พระราชกิจที่ได้ถูกดำเนินไปจนเสร็จสิ้นในยุคสุดท้ายเป็นตัวแทนการพิพากษา ความพิโรธ และการตีสอน พระราชกิจที่ถูกดำเนินการจนเสร็จสิ้นในยุคสุดท้ายไม่สามารถแทนที่พระราชกิจของยุคธรรมบัญญัติหรือพระราชกิจของยุคพระคุณได้ อย่างไรก็ตาม ช่วงระยะทั้งสามเชื่อมโยงกันและกันก่อร่างขึ้นเป็นความครบถ้วนหนึ่งเดียว และทั้งหมดนั้นคือพระราชกิจของพระเจ้าหนึ่งเดียว เป็นธรรมดาที่การลงมือปฏิบัติพระราชกิจนี้ได้ถูกแยกออกเป็นยุคต่างๆ พระราชกิจที่ทรงทำในยุคสุดท้ายนำทุกสิ่งทุกอย่างมาสู่การปิดฉาก ที่ทรงทำไปในยุคธรรมบัญญัตินั้นคือพระราชกิจแห่งการเริ่ม และที่ทรงทำในยุคพระคุณคือพระราชกิจแห่งการไถ่ สำหรับเรื่องของนิมิตต่างๆ ของพระราชกิจในแผนการบริหารจัดการหกพันปีนี้ ไม่มีใครเลยที่มีความสามารถที่จะได้รับความเข้าใจหรือความเข้าใจเชิงลึกได้ และนิมิตเหล่านี้ยังคงค้างเป็นปริศนาอยู่ ในยุคสุดท้าย มีเพียงพระราชกิจแห่งพระวจนะเท่านั้นที่ถูกดำเนินการให้เสร็จสิ้น ทั้งนี้เพื่อที่จะนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร แต่มันไม่ใช่เป็นตัวแทนของยุคทั้งหมด ยุคสุดท้ายไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ายุคสุดท้าย และไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่ายุคแห่งราชอาณาจักร และพวกมันไม่ได้เป็นตัวแทนของยุคพระคุณและยุคธรรมบัญญัติ มันก็แค่ว่า พระราชกิจทั้งหมดในแผนการบริหารจัดการหกพันปีถูกเปิดเผยต่อพวกเจ้าในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย นี่คือการเปิดผ้าคลุมแห่งความล้ำลึก ความล้ำลึกประเภทนี้เป็นบางสิ่งซึ่งไม่มีมนุษย์ใดเลยที่สามารถเปิดผ้าคลุมออกได้ ไม่สำคัญว่ามนุษย์มีความเข้าใจเกี่ยวกับพระคัมภีร์มากมายแค่ไหน มันก็ยังคงไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าพระวจนะต่างๆ เพราะมนุษย์ไม่ได้เข้าใจสาระสำคัญของพระคัมภีร์เลย ในการอ่านพระคัมภีร์นั้น มนุษย์อาจเข้าใจความจริงบางอย่าง อธิบายพระวจนะบางคำ หรือนำบทตอนและบทต่างๆ ซึ่งมีชื่อเสียงไปอยู่ภายใต้การพินิจพิเคราะห์อันหยุมหยิมของเขา แต่เขาก็จะไม่มีวันสามารถไขความหมายที่บรรจุอยู่ภายในพระวจนะเหล่านั้นออกมาได้ เพราะทั้งหมดที่มนุษย์มองเห็นคือพระวจนะที่ตายไปแล้ว ไม่ใช่ฉากเหตุการณ์แห่งพระราชกิจของพระยาห์เวห์และของพระเยซู และมนุษย์ไม่มีทางที่จะเปิดผ้าคลุมแห่งความล้ำลึกของพระราชกิจนี้ออกได้ เพราะฉะนั้นความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการหกพันปีนั้นคือความล้ำลึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และถูกซ่อนเร้นอย่างลุ่มลึกที่สุด และยากหยั่งถึงทั้งสิ้นโดยมนุษย์ ไม่มีใครเลยที่สามารถจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้โดยตรง เว้นเสียแต่ว่า พระเจ้าพระองค์เองทรงอธิบายและเปิดเผยมันต่อมนุษย์ มิฉะนั้นแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็จะคงค้างเป็นปริศนาต่อมนุษย์ไปตลอดกาล คงค้างเป็นความล้ำลึกที่ถูกผนึกตราไว้ตลอดกาล อย่าว่าแต่พวกที่อยู่ในโลกศาสนาเลย หากพวกเจ้าไม่ได้รับการบอกกล่าวในวันนี้แล้วไซร้ พวกเจ้าก็คงจะไม่มีวันได้จับความเข้าใจเช่นกัน พระราชกิจหกพันปีนี้ล้ำลึกกว่าคำพยากรณ์ทั้งหมดของเหล่าผู้เผยวจนะ มันเป็นความล้ำลึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดนับจากการสร้างโลกมาจนถึงปัจจุบัน และไม่มีใครเลยท่ามกลางเหล่าผู้เผยวจนะตลอดทุกยุคที่เคยสามารถหยั่งลึกถึงมันได้ เพราะความล้ำลึกนี้ถูกเปิดผ้าคลุมออกก็เฉพาะในยุคสุดท้ายเท่านั้นและไม่เคยได้ถูกเปิดเผยมาก่อนเลย หากพวกเจ้าสามารถจับความเข้าใจความล้ำลึกนี้ได้ และหากพวกเจ้ามีความสามารถที่จะได้รับมันในแบบครบถ้วนบริบูรณ์ของมัน เช่นนั้นแล้ว บุคคลทางศาสนาทั้งหมดย่อมจะถูกกำราบโดยความล้ำลึกนี้ นี่เท่านั้นที่เป็นนิมิตอันยิ่งใหญ่ที่สุด มันคือสิ่งที่มนุษย์ถวิลหาอย่างใจจดใจจ่อที่สุดที่จะจับความเข้าใจ แต่ทว่ามันก็เป็นสิ่งที่เขาไม่เข้าใจอย่างชัดเจนที่สุดเช่นกัน เมื่อตอนที่พวกเจ้าอยู่ในยุคพระคุณ พวกเจ้าก็ไม่ได้รู้ว่าพระราชกิจที่พระเยซูทรงทำหรือที่พระยาห์เวห์ทรงทำนั้นเกี่ยวกับอะไร ผู้คนไม่ได้เข้าใจว่าเหตุใดพระยาห์เวห์จึงได้ทรงออกธรรมบัญญัติ เหตุใดพระองค์จึงได้ทรงขอให้มวลชนรักษาธรรมบัญญัติ หรือเหตุใดวิหารจึงได้จำเป็นต้องถูกสร้าง และยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ที่ผู้คนได้เข้าใจว่าเหตุใดคนอิสราเอลจึงถูกนำทางจากอียิปต์เข้าไปสู่ถิ่นทุรกันดาร แล้วก็ต่อไปยังคานาอัน จนกระทั่งมาถึงทุกวันนี้นี่เองที่เรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกเปิดเผยออกมา

พระราชกิจในยุคสุดท้ายเป็นช่วงระยะสุดท้ายของสามช่วงระยะ เป็นพระราชกิจของยุคใหม่อีกยุค และไม่ได้เป็นตัวแทนของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการอันครบถ้วนบริบูรณ์ แผนการบริหารจัดการหกพันปีถูกแบ่งออกเป็นพระราชกิจสามระยะ ไม่มีช่วงระยะหนึ่งใดเพียงลำพังที่สามารถเป็นตัวแทนพระราชกิจของสามยุคได้ แต่เป็นได้แค่เพียงหนึ่งส่วนของทั้งองค์รวม พระนามพระยาห์เวห์ไม่สามารถเป็นตัวแทนองค์รวมแห่งพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้ ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ได้ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติไม่ได้พิสูจน์ว่า พระเจ้าทรงสามารถเป็นได้เพียงพระเจ้าภายใต้ธรรมบัญญัติเท่านั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงออกธรรมบัญญัติสำหรับมนุษย์ และได้ทรงส่งต่อพระบัญญัติมายังเขา ขอให้มนุษย์สร้างวิหารและแท่นบูชาต่างๆ พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไปเป็นตัวแทนของยุคธรรมบัญญัติเท่านั้น พระราชกิจนี้ที่พระองค์ได้ทรงทำไปมิได้พิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงเป็นเพียงพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งขอให้มนุษย์รักษาธรรมบัญญัติเท่านั้น หรือว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในวิหาร หรือว่าพระองค์เป็นพระเจ้าหน้าแท่นบูชา พูดได้เลยว่านี่คงไม่จริง พระราชกิจที่ทรงทำไปภายใต้ธรรมบัญญัติสามารถเป็นตัวแทนได้เพียงหนึ่งยุคเท่านั้น เพราะฉะนั้น หากพระเจ้าได้ทรงทำพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติเท่านั้น เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็คงจะจำกัดขอบเขตของพระเจ้าอยู่ภายในนิยามต่อไปนี้ที่กล่าวว่า "พระเจ้าคือพระเจ้าองค์ที่อยู่ในวิหาร และเพื่อที่จะรับใช้พระเจ้า พวกเราต้องสวมเสื้อคลุมแบบปุโรหิตและเข้าสู่วิหาร" หากพระราชกิจในยุคพระคุณไม่ได้ถูกดำเนินการจนแล้วเสร็จ และยุคพระธรรมบัญญัติไม่ได้สานต่อมาจนถึงปัจจุบัน มนุษย์ก็คงจะไม่รู้ว่า พระเจ้าทรงเปี่ยมปราณีและเปี่ยมความรักด้วยเช่นกัน หากพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติไม่ได้ถูกกระทำไป และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับมีเพียงพระราชกิจในยุคพระคุณเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ทั้งหมดที่มนุษย์คงจะรู้ก็คือว่า พระเจ้าทรงสามารถไถ่มนุษย์และยกโทษให้กับบาปต่างๆ ของมนุษย์เท่านั้น มนุษย์คงจะรู้เพียงว่า พระองค์ทรงบริสุทธิ์และไร้เดียงสา และว่าพระองค์ทรงมีความสามารถพลีอุทิศพระองค์เองและถูกตรึงกางเขนได้เพื่อประโยชน์ของมนุษย์ มนุษย์คงจะรู้เพียงสิ่งเหล่านี้ แต่ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งอื่นใดเลย ดังนั้น แต่ละยุคเป็นตัวแทนหนึ่งส่วนของพระอุปนิสัยของพระเจ้า สำหรับเรื่องที่พระอุปนิสัยด้านใดของพระเจ้ามีตัวแทนในยุคธรรมบัญญัติ ด้านใดมีอยู่ในยุคพระคุณ และด้านใดมีอยู่ในช่วงระยะปัจจุบันนั้น เฉพาะเมื่อช่วงระยะทั้งสามได้ถูกรวมเข้าเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวแล้วเท่านั้น พวกมันจึงจะสามารถเปิดเผยความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าออกมาได้ เฉพาะเมื่อมนุษย์ได้มารู้จักครบทั้งสามช่วงระยะแล้วเท่านั้น เขาจึงจะสามารถเข้าใจมันได้อย่างครบถ้วน ไม่มีช่วงระยะใดในสามช่วงระยะนี้ที่สามารถถูกละเว้นได้เลย เจ้าจะมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ก็เฉพาะหลังจากที่ได้มารู้จักสามช่วงระยะเหล่านี้ของพระราชกิจแล้วเท่านั้น ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติไม่ได้พิสูจน์ว่า พระองค์ทรงเป็นเพียงพระเจ้าภายใต้ธรรมบัญญัติเท่านั้น และข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์ก็ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าจะทรงไถ่มวลมนุษย์ไปตลอดกาล เหล่านี้คือข้อสรุปที่มนุษย์วาดภาพขึ้นมา การที่ยุคพระคุณได้จบลงไปแล้ว ใช่ว่าเจ้าจะสามารถพูดได้ว่า พระเจ้าเพียงเป็นของกางเขนเท่านั้น และว่าเฉพาะกางเขนเพียงลำพังเท่านั้นที่เป็นตัวแทนความรอดของพระเจ้า การทำเช่นนั้นย่อมจะเป็นการให้นิยามต่อพระเจ้า ในช่วงระยะปัจจุบัน โดยหลักแล้วพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจแห่งพระวจนะ แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถพูดได้อยู่ดีว่า พระเจ้าไม่เคยทรงเปี่ยมปราณีต่อมนุษย์ และพูดว่าทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงนำมาก็คือการพิพากษาและการตีสอน พระราชกิจในยุคสุดท้ายแผ่วางให้เห็นพระราชกิจของพระยาห์เวห์และพระเยซู และความล้ำลึกทั้งหมดที่มนุษย์ไม่เข้าใจ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเปิดเผยบั้นปลายและบทอวสานของมวลมนุษย์ และสิ้นสุดพระราชกิจแห่งความรอดทั้งหมดท่ามกลางมวลมนุษย์ ช่วงระยะนี้ของพระราชกิจในยุคสุดท้ายนั้นนำพาทุกสิ่งทุกอย่างไปสู่การปิดฉาก ความลึกล้ำทั้งมวลที่มนุษย์ไม่เข้าใจจำเป็นจะต้องได้รับการคลี่คลาย เพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้หยั่งค้นลงไปในความลึกของพวกมัน และมีความเข้าใจที่ชัดเจนโดยครบบริบูรณ์ในหัวใจของเขา เฉพาะเมื่อถึงตอนนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงจะสามารถถูกจำแนกชนชั้นออกไปตามประเภท เฉพาะหลังจากแผนการบริหารจัดการหกพันปีเสร็จสิ้นลงเท่านั้น มนุษย์จึงจะมาเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ เพราะถึงตอนนั้น แผนการบริหารจัดการของพระองค์ก็จะได้มาถึงปลายทางแล้ว ณ บัดนี้ที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายแล้ว อะไรหรือคือพระอุปนิสัยของพระเจ้า? เจ้ากล้าที่จะพูดหรือไม่ว่า พระเจ้าก็คือพระเจ้าผู้ที่แค่ตรัสพระวจนะเท่านั้นและไม่มีอะไรอีกแล้ว? เจ้าคงจะไม่กล้าที่จะให้ข้อสรุปเช่นนั้น บางคนคงจะพูดว่า พระเจ้าก็คือพระเจ้าผู้ซึ่งทรงเปิดผ้าคลุมของความล้ำลึกทั้งหลาย ว่าพระเจ้าก็คือพระเมษโปดกและองค์หนึ่งเดียวผู้ซึ่งทรงทำลายตราทั้งเจ็ดดวง แต่ก็ไม่มีใครเลยที่กล้าให้ข้อสรุปเช่นนั้น คนอื่นๆ ก็อาจพูดว่า พระเจ้าคือเนื้อหนังที่ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ แต่นี่ก็ยังคงจะไม่ถูกต้อง คนอื่นๆ อาจยังคงพูดว่า พระเจ้าที่จุติเป็นมนุษย์นั้นเพียงตรัสพระวจนะเท่านั้นและไม่ได้ทรงพระราชกิจหมายสำคัญและการอัศจรรย์ แต่เจ้าคงยิ่งจะไม่กล้าพูดแบบนี้ เพราะพระเยซูได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และได้ทรงพระราชกิจหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ดังนั้นเจ้าคงจะไม่กล้าที่จะนิยามพระเจ้าอย่างแผ่วผิวขนาดนั้น พระราชกิจทั้งหมดที่ได้ทรงกระทำมาตลอดแผนการบริหารจัดการหกพันปีได้มาปิดตัวลงในตอนนี้เท่านั้นเอง เฉพาะหลังจากที่พระราชกิจนี้ทั้งหมดได้รับการเปิดเผยต่อมนุษย์และดำเนินการจนเสร็จสิ้นในท่ามกลางมวลมนุษย์เท่านั้น มนุษยชาติจึงจะรู้จักพระอุปนิสัยทั้งหมดของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น เมื่อพระราชกิจของช่วงระยะนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้วอย่างครบถ้วน ความล้ำลึกทั้งหมดที่มนุษย์ไม่เข้าใจจะได้รับการเปิดเผย และความจริงทั้งหมดที่ก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่เข้าใจจะได้รับการอธิบายให้ชัดเจน และเผ่าพันธุ์มนุษย์จะได้รับการบอกกล่าวเกี่ยวกับเส้นทางในอนาคตและบั้นปลายของพวกเขา นี่คือองค์รวมของพระราชกิจซึ่งจะต้องถูกทำในช่วงระยะปัจจุบัน แม้ว่าเส้นทางที่มนุษย์เดินในวันนี้ก็คือเส้นทางของกางเขนและเส้นทางของความทุกข์ด้วยเช่นกัน สิ่งที่มนุษย์ปฏิบัติ และสิ่งที่เขากิน ดื่ม และชื่นชมในวันนี้ก็แตกต่างอย่างใหญ่หลวงจากสิ่งที่ตกมาสู่มนุษย์ภายใต้ธรรมบัญญัติและในยุคพระคุณ สิ่งที่ขอจากมนุษย์ในวันนี้ก็ไม่เหมือนกับในอดีตและยิ่งไม่เหมือนกับสิ่งที่ขอจากมนุษย์ในยุคธรรมบัญญัติ เอาละ สิ่งที่ขอจากมนุษย์ภายใต้ธรรมบัญญัติเมื่อตอนที่พระเจ้าได้กำลังทรงพระราชกิจของพระองค์อยู่ในอิสราเอลนั้นคืออะไรหรือ? มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการที่มนุษย์ควรรักษาวันสะบาโตและธรรมบัญญัติทั้งหลายของพระยาห์เวห์ จะต้องไม่มีใครที่ทำงานหนักในวันสะบาโตหรือล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์ แต่บัดนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ในวันสะบาโต มนุษย์ทำงาน ชุมนุม และอธิษฐานกันตามปกติ และไม่มีข้อจำกัดที่ถูกนำมาบังคับใช้กับเขา บรรดาผู้ที่อยู่ในยุคพระคุณนั้นได้จำเป็นต้องรับบัพติศมา และพวกเขาจะต้องถูกขอต่อไปอีกให้ทำการอดอาหาร หักขนมปัง และดื่มเหล้าองุ่น คลุมศีรษะ และล้างเท้าของผู้อื่นเพื่อตัวพวกเขาเอง ตอนนี้ กฎเกณฑ์เหล่านี้ได้ถูกลบล้างไปแล้ว แต่มนุษย์กลับถูกขอในข้อเรียกร้องที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เพราะพระราชกิจของพระเจ้านับวันก็ยิ่งงอกเงยลึกซึ้งขึ้น และการเข้าสู่ของมนุษย์นับวันยิ่งเอื้อมสูงขึ้น ในอดีต พระเยซูได้ทรงวางพระหัตถ์บนตัวมนุษย์แล้วทรงอธิษฐาน แต่มาบัดนี้ที่ทุกอย่างได้ถูกพูดไปหมดแล้ว ประโยชน์ของการวางมือคืออะไรหรือ? พระวจนะทั้งหลายเพียงลำพังก็สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้อยู่แล้ว ตอนที่พระองค์วางพระหัตถ์ของพระองค์ลงบนมนุษย์ในอดีตนั้นก็เพื่ออวยพรมนุษย์และรักษาโรคให้เขาเช่นกัน นี่คือวิธีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงพระราชกิจในกาลเวลานั้น แต่มิได้เป็นเช่นนั้นในตอนนี้ ตอนนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้พระวจนะเพื่อที่จะทรงพระราชกิจและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ พระวจนะของพระองค์ได้รับการอธิบายต่อพวกเจ้าไว้อย่างชัดเจนแล้ว และพวกเจ้าควรนำมาปฏิบัติให้เหมือนดั่งที่พวกเจ้าได้รับการบอกกล่าวไว้ไม่มีผิด พระวจนะของพระองค์ก็คือน้ำพระทัยของพระองค์ พระวจนะเหล่านั้นคือพระราชกิจที่พระองค์ทรงปรารถนาจะทำ โดยผ่านทางพระวจนะทั้งหลาย เจ้าจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงขอให้เจ้าบรรลุ และเจ้าอาจแค่นำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติโดยตรงโดยไม่มีความจำเป็นใดๆ สำหรับการเอามือมาวางเลย บางคนอาจกล่าวว่า "ขอทรงวางพระหัตถ์ของพระองค์บนตัวข้าพระองค์! ขอทรงวางพระหัตถ์ของพระองค์บนตัวข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์อาจได้รับพระพรของพระองค์และเพื่อที่ข้าพระองค์อาจได้เป็นส่วนหนึ่งของพระองค์" เหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นการปฏิบัติที่หลงยุคมาจากอดีต เลิกใช้ไปแล้วตอนนี้ เพราะยุคได้เปลี่ยนไปแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจโดยสอดคล้องกับยุค ไม่ใช่ทั้งโดยแบบสุ่มและโดยสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ตั้งไว้ ยุคได้เปลี่ยนไปแล้ว และยุคใหม่จำเป็นต้องนำพาพระราชกิจใหม่ของมันมากับมันด้วย นี่เป็นความจริงสำหรับทุกช่วงระยะของพระราชกิจ และดังนั้นแล้วพระราชกิจของพระองค์จึงไม่เคยถูกทำซ้ำ ในยุคพระคุณ พระเยซูได้ทรงทำพระราชกิจประเภทนั้นไปมากมายพอสมควรแล้ว อาทิ การรักษาอาการป่วย การขับไล่ปีศาจ การวางพระหัตถ์บนตัวมนุษย์แล้วอธิษฐานให้เขา และการอวยพรมนุษย์ อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนั้นอีกก็คงจะไม่มีความหมายในปัจจุบันนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงพระราชกิจในหนทางนั้นในกาลเวลานั้น เพราะนั่นเป็นยุคพระคุณ และมีพระคุณพอเพียงสำหรับมนุษย์ที่จะชื่นชม เขาไม่ได้ถูกขอให้จ่ายอะไรเลย และนานตราบที่เขามีความเชื่อ เขาก็จะได้รับพระคุณ ทุกอย่างได้รับการปฏิบัติไปอย่างเปี่ยมพระคุณมาก บัดนี้ยุคได้เปลี่ยนไปแล้ว และพระราชกิจของพระเจ้าก็ได้ก้าวหน้าไปอีก นั่นก็คือ โดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษา นี่เองที่ความเป็นกบฏของมนุษย์และสิ่งต่างๆ ที่ไม่สะอาดภายในมนุษย์จะถูกชำระล้างออกไป ด้วยความที่ช่วงระยะนี้เป็นช่วงระยะของการไถ่ พระเจ้าจึงได้จำเป็นที่จะต้องทรงพระราชกิจในหนทางนั้น โดยการแสดงพระคุณที่เพียงพอสำหรับมนุษย์ที่จะชื่นชม เพื่อที่มนุษย์อาจได้รับการไถ่จากบาป และได้รับการยกโทษต่อบาปทั้งหลายของพวกเขาด้วยวิถีทางของพระคุณ ช่วงระยะปัจจุบันนี้เป็นไปเพื่อเปิดโปงความไม่ชอบธรรมภายในมนุษย์โดยวิถีทางของการตีสอน การพิพากษา และการเฆี่ยนตีของพระวจนะต่างๆ ตลอดจนการบ่มวินัยและวิวรณ์แห่งพระวจนะ เพื่อที่มนุษยชาติอาจได้รับการช่วยให้รอดหลังจากนั้น พระราชกิจนี้ลงรายละเอียดลึกกว่าการไถ่ พระคุณในยุคพระคุณนั้นพอเพียงสำหรับความชื่นชมยินดีของมนุษย์ ตอนนี้ที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์กับพระคุณไปแล้ว เขาจะไม่ได้ชื่นชมกับมันอีกต่อไป ตอนนี้ พระราชกิจนี้ได้ผ่านกาลเวลาของมันมาแล้วและไม่ต้องกระทำอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มนุษย์จะต้องได้รับการช่วยให้รอดโดยผ่านทางการพิพากษาของพระวจนะ หลังจากที่มนุษย์ถูกพิพากษา ตีสอน และถลุงแล้ว อุปนิสัยของเขาก็จะเปลี่ยนไปด้วยการเช่นนั้นเอง ทั้งหมดนี้มิใช่เป็นเพราะพระวจนะทั้งหลายที่เราได้กล่าวไปหรอกหรือ? แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจนั้นได้ถูกทำไปในแนวเดียวกับความก้าวหน้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งองค์รวมและกับยุคนั้น พระราชกิจทั้งหมดล้วนมีนัยสำคัญ และทั้งหมดถูกทำไปเพื่อประโยชน์ของความรอดสุดท้ายที่มวลมนุษย์อาจมีบั้นปลายที่ดีในอนาคต และที่มนุษยชาติอาจได้รับการจำแนกชนชั้นไปตามประเภทในที่สุด

พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายก็คือเพื่อที่จะตรัสพระวจนะ การเปลี่ยนแปลงต่างๆ อันยิ่งใหญ่สามารถส่งผลในมนุษย์โดยวิถีทางแห่งพระวจนะทั้งหลาย การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่ได้ส่งผลในผู้คนเหล่านี้ในตอนนี้ทันทีที่พวกเขายอมรับพระวจนะเหล่านี้นั้น ยิ่งใหญ่กว่าบรรดาการเปลี่ยนแปลงที่ได้ส่งผลในผู้คนในทันทีที่พวกเขายอมรับหมายสำคัญและการอัศจรรย์แห่งยุคพระคุณมากมายนัก เนื่องเพราะในยุคพระคุณนั้น ปีศาจทั้งหลายได้ถูกขับไล่ออกจากมนุษย์ด้วยการวางมือและการอธิษฐาน แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายภายในมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่ มนุษย์ได้รับการรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาและได้รับการยกโทษต่อบาปของเขา แต่สำหรับการที่มนุษย์จะต้องได้รับการชำระล้างอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานภายในตัวเขานั้น พระราชกิจนี้ยังมิได้ถูกกระทำ มนุษย์เพียงได้รับการช่วยให้รอดและยกโทษต่อบาปของเขาเนื่องจากความเชื่อของเขาเท่านั้น แต่ธรรมชาติของมนุษย์อันเต็มไปด้วยบาปนั้นหาได้ถูกขุดรากถอนโคนไม่และยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษโดยผ่านทางพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า มนุษย์ไม่ได้มีบาปภายในตัวเขาอีกต่อไป บาปทั้งหลายของมนุษย์อาจสามารถได้รับการยกโทษโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาปได้ แต่สำหรับวิธีที่แน่ๆ ที่มนุษย์จะไม่สามารถถูกทำให้มีบาปอีกต่อไป และวิธีที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์และแปลงสภาพไปนั้น เขาไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้ บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษไปแล้ว และนี่ก็เพราะพระราชกิจการถูกตรึงกางเขนของพระเจ้า แต่มนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานแบบเดิมต่อไป เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษย์จะต้องได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบบริบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน เพื่อที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์ ไม่มีวันพัฒนาขึ้นมาอีก เช่นนั้นจึงจะเป็นการทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการแปลงสภาพได้ การนี้มนุษย์พึงต้องจับความเข้าใจในเส้นทางการเติบโตของชีวิต จับความเข้าใจในวิถีแห่งชีวิต และจับความเข้าใจในหนทางที่จะเปลี่ยนอุปนิสัยของเขา ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์พึงต้องกระทำโดยสอดคล้องกับเส้นทางนี้ เพื่อที่อุปนิสัยของเขาอาจค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและเขาอาจมีชีวิตอยู่ภายใต้การสาดแสงของความสว่าง เพื่อที่ทั้งหมดที่เขาทำอาจสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อที่เขาอาจทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และเพื่อที่เขาอาจหลุดพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดของซาตาน อันเป็นผลให้โผล่พ้นออกจากบาปได้อย่างครบถ้วน ถึงตอนนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงจะได้รับความรอดอันครบบริบูรณ์ ในกาลเวลาที่พระเยซูได้กำลังทรงพระราชกิจของพระองค์อยู่นั้น ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์ยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน มนุษย์เชื่อเสมอว่าพระองค์เป็นบุตรของดาวิด และป่าวประกาศว่าพระองค์เป็นผู้เผยวจนะที่ยิ่งใหญ่ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีความกรุณามากมายผู้ซึ่งได้ทรงไถ่บาปทั้งหลายของมนุษย์ ด้วยความเชื่อที่แข็งแกร่งของพวกเขา บางคนก็ได้รับการรักษาแค่จากการที่สัมผัสชายฉลองพระองค์ของพระองค์ คนตาบอดได้สามารถมองเห็น และแม้แต่คนตายก็สามารถคืนชีวิตมาได้ อย่างไรก็ตาม มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะค้นพบอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานซึ่งฝังรากลึกอยู่ภายในตัวเขาได้ อีกทั้งเขาก็ไม่รู้ว่าจะทิ้งมันไปอย่างไร มนุษย์ได้รับพระคุณมามากมาย อาทิ สันติสุขและความสุขของเนื้อหนัง ความเชื่อของสมาชิกหนึ่งคนที่นำมาซึ่งพระพรต่อทั้งครอบครัว การรักษาอาการป่วย และอื่นๆ ที่เหลือก็คือความประพฤติที่ดีของมนุษย์และรูปลักษณ์ตามแบบพระเจ้าของเขา หากใครบางคนสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นฐานเหล่านี้ พวกเขาย่อมได้ถูกถือว่าเป็นผู้เชื่อที่ยอมรับได้ เฉพาะผู้เชื่อประเภทนี้เท่านั้นที่อาจสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้หลังจากความตาย ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาได้รับการช่วยให้รอด แต่ทว่าในช่วงชีวิตของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เข้าใจหนทางของชีวิตเลยสักนิด ทั้งหมดที่พวกเขาทำลงไปก็คือการทำบาปแล้วก็สารภาพบาปของพวกเขาอย่างเป็นวัฏจักรสม่ำเสมอโดยไม่มีเส้นทางใดที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเลย เช่นนั้นเองที่เป็นสภาพเงื่อนไขของมนุษย์ในยุคพระคุณ มนุษย์ได้รับความรอดที่ครบบริบูรณ์แล้วหรือยังหนอ? ยัง! ดังนั้นภายหลังจากที่พระราชกิจช่วงระยะนั้นได้แล้วเสร็จลง ยังคงมีพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนค้างอยู่ ช่วงระยะนี้คือการทำให้มนุษย์บริสุทธิ์โดยวิถีทางของพระวจนะ และด้วยการนั้นจึงเป็นการให้เส้นทางสำหรับเขาที่จะติดตาม ช่วงระยะนี้คงจะไม่ออกผลหรือเปี่ยมความหมายหากมันดำเนินต่อไปด้วยการขับไล่ปีศาจ เพราะมันคงจะล้มเหลวที่จะขุดรากถอนโคนธรรมชาติบาปของมนุษย์ และมนุษย์ก็คงจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่การยกโทษบาปของเขา มนุษย์ได้รับการยกโทษต่อบาปของเขาโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาป เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนได้มาถึงปลายทางแล้ว และพระเจ้าก็ได้ทรงมีอำนาจเหนือซาตานแล้ว แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา มนุษย์ยังคงสามารถทำบาปและต้านทานพระเจ้าได้ และพระเจ้าก็ยังทรงไม่ได้รับมวลมนุษย์เอาไว้เลย นี่คือเหตุผลที่ทำไมในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ พระเจ้าจึงทรงใช้พระวจนะมาตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ เป็นเหตุให้เขาปฏิบัติไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง ช่วงระยะนี้เปี่ยมความหมายมากกว่าช่วงระยะก่อนหน้า รวมถึงออกผลมากกว่า เพราะตอนนี้ พระวจนะนี่เองที่จัดหาให้กับชีวิตมนุษย์โดยตรง และทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการเริ่มใหม่อย่างครบบริบูรณ์ มันเป็นช่วงระยะของพระราชกิจที่ละเอียดทั่วถึงกว่ามาก เพราะฉะนั้น การจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายได้ทำให้นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าครบบริบูรณ์และเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมนุษย์โดยสมบูรณ์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger