นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3) (ตอนที่สอง)

พระราชกิจของพระเจ้าตลอดทั่วทั้งการบริหารจัดการของพระองค์ทั้งหมดมีความชัดเจนอย่างเพียบพร้อม กล่าวคือ ยุคพระคุณก็คือยุคพระคุณ และยุคสุดท้ายก็คือยุคสุดท้าย มีความแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างแต่ละยุค เพราะในแต่ละยุคนั้นพระเจ้าทรงพระราชกิจที่ใช้เป็นตัวแทนของยุคนั้น สำหรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายที่จะทรงกระทำนั้น ต้องมีการเผาไหม้ การพิพากษา การตีสอน พระพิโรธ และการทำลายล้างเพื่อนำพายุคนั้นไปสู่บทอวสาน ยุคสุดท้ายหมายถึงยุคสุดท้าย ในระหว่างยุคสุดท้ายนี้ พระเจ้าจะไม่ทรงนำพายุคนี้ไปถึงบทอวสานหรอกหรือ? เพื่อสิ้นสุดยุคนี้ พระเจ้าต้องทรงนำพาการตีสอนและการพิพากษามากับพระองค์ มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พระองค์จะทรงสามารถนำยุคนี้ไปถึงบทอวสานได้ จุดประสงค์ของพระเยซูคือเพื่อที่ว่ามนุษย์อาจจะรอดชีวิตต่อไป มีชีวิตต่อไป และเพื่อที่ว่าเขาอาจจะดำรงอยู่ในหนทางที่ดีขึ้น พระองค์ได้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปเพื่อที่ว่าเขาอาจจะยุติการเคลื่อนลงไปในความชั่วช้าของเขา และไม่ใช้ชีวิตอยู่ในแดนคนตายและนรกอีกต่อไป และโดยการช่วยมนุษย์ให้รอดจากแดนคนตายและนรก พระเยซูได้ทรงอนุญาตให้เขาใช้ชีวิตต่อไป บัดนี้ ยุคสุดท้ายได้มาถึงแล้ว พระเจ้าจะทรงทำลายล้างมนุษย์และทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้นซาก นั่นก็คือ พระองค์จะทรงแปลงสภาพการกบฏของมวลมนุษย์ ด้วยเหตุผลนี้ มันจึงคงจะเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงจบยุคนี้หรือนำพาแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ไปสู่การบังเกิดผลด้วยความสงสารเห็นใจและพระอุปนิสัยที่แสดงถึงความรักในอดีต ทุกยุคแสดงลักษณะความเป็นตัวแทนพิเศษอย่างหนึ่งของพระอุปนิสัยพระเจ้า และทุกยุคบรรจุด้วยพระราชกิจที่ควรต้องทรงกระทำโดยพระเจ้า ดังนั้น พระราชกิจที่กระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองในแต่ละยุคจึงบรรจุด้วยการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระองค์ และทั้งพระนามของพระองค์และพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำจึงเปลี่ยนไปพร้อมกับยุคนั้น—ซึ่งล้วนเป็นสิ่งใหม่ ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจแห่งการทรงนำมวลมนุษย์กระทำไปภายใต้พระนามของพระยาห์เวห์ และพระราชกิจช่วงระยะแรกได้ริเริ่มขึ้นบนแผ่นดินโลก ในช่วงระยะนี้ พระราชกิจประกอบไปด้วยการสร้างพระวิหารและแท่นบูชา และการใช้ธรรมบัญญัติเพื่อทรงนำประชากรแห่งอิสราเอลและเพื่อทรงพระราชกิจในท่ามกลางพวกเขา โดยการทรงนำประชากรแห่งอิสราเอลนี้ พระองค์ได้ทรงเปิดตัวพื้นฐานหนึ่งสำหรับพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก จากพื้นฐานนี้ พระองค์ได้ทรงแผ่ขยายพระราชกิจของพระองค์ไปไกลโพ้นจากอิสราเอล ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์ได้ทรงขยายพระราชกิจของพระองค์ออกไปโดยการเริ่มต้นจากอิสราเอล เพื่อที่คนรุ่นต่อไปในภายหลังจะได้ค่อยๆ มารู้ว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้า และรู้ว่าพระยาห์เวห์นั่นเองคือผู้ที่ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง และรู้ว่าพระยาห์เวห์นั่นเองคือผู้ที่ได้ทรงสร้างสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวง พระองค์ทรงเผยแพร่พระราชกิจของพระองค์โดยผ่านทางประชากรแห่งอิสราเอลออกไปไกลโพ้นจากพวกเขา แผ่นดินแห่งอิสราเอลคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกของพระราชกิจของพระยาห์เวห์บนแผ่นดินโลก และเป็นแผ่นดินแห่งอิสราเอลนี่เองที่พระเจ้าได้เสด็จมาทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกเป็นครั้งแรก นั่นคือพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ ในช่วงระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งได้ช่วยมนุษย์ให้รอด สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นคือพระคุณ ความรัก ความสงสารเห็นใจ ความอดกลั้น ความอดทน ความถ่อมพระองค์ ความใส่พระทัย และความยอมผ่อนปรน และพระราชกิจมากมายเหลือเกินที่พระองค์ได้ทรงกระทำนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการไถ่มนุษย์ พระอุปนิสัยของพระองค์คืออุปนิสัยของความสงสารและความรัก และเพราะพระองค์ทรงมีความสงสารเห็นใจและมีความรัก พระองค์จึงทรงต้องได้ถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อมนุษย์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ดังเช่นรักพระองค์เอง รักมากจนถึงขนาดที่พระองค์ทรงมอบถวายพระองค์เองในความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ ในระหว่างยุคพระคุณนั้น พระนามของพระเจ้าคือพระเยซู กล่าวคือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ซึ่งได้ช่วยมนุษย์ให้รอด และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้มีความสงสารเห็นใจและมีความรัก พระเจ้าได้ทรงอยู่กับมนุษย์ ความรักของพระองค์ ความสงสารของพระองค์ และความรอดของพระองค์ได้ไปพร้อมกับแต่ละบุคคลและทุกคน มีเพียงโดยการยอมรับพระนามของพระเยซูและการทรงสถิตของพระองค์เท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดี ได้รับพระพรของพระองค์ พระคุณอันกว้างใหญ่และมากมายของพระองค์ และความรอดของพระองค์ได้ บรรดาผู้ที่ได้ติดตามพระองค์ล้วนได้รับความรอดและได้รับการอภัยบาปของพวกเขา โดยผ่านทางการตรึงกางเขนของพระเยซู ในระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเยซูคือพระนามของพระเจ้า อีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจในยุคพระคุณนั้นได้ดำเนินการภายใต้พระนามของพระเยซูเป็นหลัก ในระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเจ้าทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเยซู พระองค์ทรงรับหน้าที่ในช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจใหม่ที่นอกเหนือไปจากพันธสัญญาเดิม และพระราชกิจของพระองค์ได้สิ้นสุดลงด้วยการตรึงกางเขน นี่คือความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจของพระองค์ ดังนั้น ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์คือพระนามของพระเจ้า และในยุคพระคุณนั้น พระนามของพระเยซูได้เป็นตัวแทนพระเจ้า ในระหว่างยุคสุดท้าย พระนามของพระองค์คือ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์—องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ซึ่งทรงใช้ฤทธานุภาพของพระองค์เพื่อนำมนุษย์ พิชิตมนุษย์ และได้รับมนุษย์ไว้ และนำยุคนี้ไปสู่การปิดตัวของมันในท้ายที่สุด ในทุกยุค ณ ทุกช่วงระยะของพระราชกิจของพระเจ้านั้น พระอุปนิสัยของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ชัด

ในปฐมกาล การนำทางมนุษย์ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติภาคพันธสัญญาเดิมนั้นเป็นเหมือนการนำทางชีวิตของเด็กคนหนึ่ง มวลมนุษย์ในช่วงแรกเริ่มต้นคือทารกแรกเกิดของพระยาห์เวห์ พวกเขาคือชาวอิสราเอล พวกเขาไม่มีความเข้าใจถึงวิธีที่จะเคารพพระเจ้าหรือวิธีที่จะดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลกเลย กล่าวคือ พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ นั่นก็คือพระองค์ได้ทรงสร้างอาดัมและเอวา แต่พระองค์มิได้ทรงให้ปฏิภาณทั้งหลายแก่พวกเขาเพื่อเข้าใจวิธีที่จะเคารพพระยาห์เวห์หรือปฏิบัติตามธรรมบัญญัติทั้งหลายของพระยาห์เวห์บนแผ่นดินโลก หากไม่มีการทรงนำโดยตรงของพระยาห์เวห์ ก็ไม่มีสักคนที่สามารถรู้การนี้ได้โดยตรง เพราะในปฐมกาลนั้นมนุษย์ไม่มีปฏิภาณทั้งหลายเช่นนั้น มนุษย์เพียงได้รู้ว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าเท่านั้น แต่สำหรับการที่จะเคารพพระองค์อย่างไร ความประพฤติประเภทใดที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการเคารพพระองค์ คนเราจะต้องเคารพพระองค์ด้วยจิตใจประเภทใด หรือจะมอบถวายสิ่งใดในการเคารพพระองค์นั้น มนุษย์ไม่มีแนวคิดโดยสิ้นเชิง มนุษย์รู้เพียงวิธีที่จะชื่นชมกับสิ่งที่สามารถชื่นชมได้ท่ามกลางสรรพสิ่งทั้งปวงที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างขึ้น แต่สำหรับเรื่องชีวิตประเภทใดบนแผ่นดินโลกที่เป็นชีวิตที่ควรค่าแก่สิ่งทรงสร้างของพระเจ้านั้น มนุษย์ไม่มีความรู้แต่อย่างใดเลย หากไม่มีใครบางคนมาแนะนำพวกเขา หากไม่มีใครบางคนมานำพวกเขาโดยตนเองแล้ว มวลมนุษย์นี้ก็คงจะไม่ได้ใช้ชีวิตที่เหมาะกับมนุษยชาติอย่างถูกต้องเหมาะสม แต่คงจะเพียงแค่ได้ถูกจับเป็นเชลยของซาตานอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เท่านั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างมวลมนุษย์ กล่าวคือ พระองค์ได้ทรงสร้างบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ เอวาและอาดัม แต่พระองค์มิได้ทรงประทานความฉลาดหรือสติปัญญาใดๆ เพิ่มเติมแก่พวกเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกแล้วก็ตาม แต่พวกเขาแทบจะไม่เข้าใจสิ่งใดเลย และดังนั้น พระราชกิจของพระยาห์เวห์ในการทรงสร้างมวลมนุษย์จึงเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเท่านั้น และห่างไกลจากความครบบริบูรณ์ พระองค์เพียงได้ทรงทำแบบจำลองของมนุษย์ให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นจากดินเหนียวและได้ทรงมอบลมปราณของพระองค์ให้แก่มันเท่านั้น แต่มิได้ทรงประทานความเต็มใจในการเคารพพระองค์ที่พอเพียงให้แก่มนุษย์ ในปฐมกาล มนุษย์ยังไม่มีจิตใจที่จะเคารพพระองค์ หรือที่จะยำเกรงพระองค์ มนุษย์รู้เพียงวิธีที่จะรับฟังพระวจนะของพระองค์เท่านั้น แต่ไม่รู้เท่าทันเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานสำหรับชีวิตบนแผ่นดินโลก และเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ที่ปกติของชีวิตมนุษย์ และดังนั้น ถึงแม้ว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างผู้ชายและผู้หญิง และได้ทรงทำโครงการเจ็ดวันเสร็จสิ้นแล้ว แต่พระองค์ยังมิได้ทรงทำให้การทรงสร้างมนุษย์มีความครบบริบูรณ์แต่อย่างใด เพราะมนุษย์เป็นแต่เพียงแกลบ และขาดความเป็นจริงของการเป็นมนุษย์ มนุษย์ได้รู้เพียงว่าพระยาห์เวห์นั่นเองคือผู้ที่ทรงได้สร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา แต่เขาไม่มีการระแคะระคายถึงวิธีที่จะปฏิบัติตามพระวจนะทั้งหลายหรือธรรมบัญญัติทั้งหลายของพระยาห์เวห์ และดังนั้น หลังจากที่มวลมนุษย์ได้มามีชีวิตขึ้น พระราชกิจของพระยาห์เวห์ก็อยู่ห่างไกลจากการเสร็จสิ้น พระองค์ยังคงต้องทรงนำมวลมนุษย์อย่างเต็มที่เพื่อให้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ เพื่อที่พวกเขาอาจจะมีความสามารถที่จะใช้ชีวิตด้วยกันบนแผ่นดินโลกและเคารพพระองค์ได้ และเพื่อที่พวกเขาอาจจะมีความสามารถที่จะเข้าสู่ร่องครรลองอันถูกต้องของชีวิตมนุษย์ปกติบนแผ่นดินโลกด้วยการทรงนำของพระองค์ ในหนทางนี้เท่านั้นที่พระราชกิจที่ได้มีการดำเนินการภายใต้พระนามของพระยาห์เวห์เป็นหลักจะได้ครบบริบูรณ์อย่างเต็มที่ นั่นก็คือ ในหนทางนี้เท่านั้นที่พระราชกิจแห่งการทรงสร้างโลกของพระยาห์เวห์จะได้สรุปปิดตัวอย่างเต็มที่ และดังนั้น โดยการได้ทรงสร้างมวลมนุษย์มานี้ พระองค์จึงต้องทรงนำชีวิตของมวลมนุษย์บนแผ่นดินโลกเป็นเวลาหลายพันปี เพื่อที่มวลมนุษย์อาจจะมีความสามารถที่จะปฏิบัติตามประกาศกฤษฎีกาทั้งหลายและธรรมบัญญัติทั้งหลายของพระองค์ได้ และเข้าร่วมในกิจกรรมต่างๆ ทั้งหมดของชีวิตมนุษย์ปกติบนแผ่นดินโลก เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระราชกิจของพระยาห์เวห์จึงจะครบบริบูรณ์อย่างเต็มที่ พระองค์ได้ทรงเข้ารับพระราชกิจนี้หลังจากการทรงสร้างมวลมนุษย์และได้ทรงดำเนินพระราชกิจนั้นมาจนกระทั่งถึงศักราชของยากอบ ซึ่งเป็นเวลาที่พระองค์ได้ทรงทำให้บุตรสิบสองคนของยากอบเป็นสิบสองเผ่าของอิสราเอล จากเวลานั้นเป็นต้นมา ประชากรของอิสราเอลทั้งหมดได้กลายเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ได้รับการทรงนำทางอย่างเป็นทางการโดยพระองค์บนแผ่นดินโลก และอิสราเอลได้กลายเป็นตำแหน่งเฉพาะบนแผ่นดินโลกที่ซึ่งพระองค์ได้ทรงพระราชกิจของพระองค์ พระยาห์เวห์ได้ทรงทำให้ผู้คนเหล่านี้เป็นประชากรกลุ่มแรกที่พระองค์ได้ทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างเป็นทางการกับพวกเขาบนแผ่นดินโลก และพระองค์ได้ทรงทำให้แผ่นดินทั้งหมดทั้งมวลของอิสราเอลเป็นจุดต้นกำเนิดสำหรับพระราชกิจของพระองค์ โดยได้ทรงใช้พวกเขาเป็นการเริ่มต้นพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดที่ถือกำเนิดจากพระองค์บนแผ่นดินโลกจะได้รู้จักวิธีที่จะเคารพพระองค์และวิธีที่จะดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลก และดังนั้น ความประพฤติต่างๆ ของชาวอิสราเอลจึงได้กลายเป็นแบบอย่างให้ผู้คนของชาติต่างชาติทั้งหลายได้ปฏิบัติตาม และสิ่งที่ได้พูดกันท่ามกลางประชากรของอิสราเอลได้กลายเป็นถ้อยคำทั้งหลายที่ผู้คนของชาติต่างชาติทั้งหลายได้รับฟัง เนื่องจากพวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่ได้รับธรรมบัญญัติทั้งหลายและพระบัญญัติทั้งหลายของพระยาห์เวห์ และดังนั้นพวกเขาจึงเป็นกลุ่มแรกด้วยเช่นกันที่รู้วิธีที่จะเคารพหนทางทั้งหลายของพระยาห์เวห์ พวกเขาคือบรรดาบรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์มนุษย์ผู้ซึ่งรู้จักหนทางทั้งหลายของพระยาห์เวห์ ตลอดจนตัวแทนทั้งหลายของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงเลือกสรร เมื่อยุคพระคุณได้มาถึง พระยาห์เวห์มิได้ทรงนำมนุษย์ในหนทางนี้อีกต่อไป มนุษย์ได้ทำบาปและได้ปล่อยตัวเขาเองให้อยู่กับบาป และดังนั้น พระองค์จึงได้ทรงเริ่มช่วยมนุษย์ให้พ้นจากบาป ในหนทางนี้ พระองค์ได้ทรงตำหนิมนุษย์จนกระทั่งมนุษย์ได้รับการช่วยให้พ้นจากบาปโดยสิ้นเชิง ในยุคสุดท้ายนั้น มนุษย์ได้จมอยู่กับความชั่วช้าถึงระดับที่พระราชกิจของช่วงระยะนี้จะสามารถดำเนินการได้ก็โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนเท่านั้น ในหนทางนี้เท่านั้นที่พระราชกิจนี้จะสามารถสำเร็จลุล่วงได้ การนี้ได้เป็นพระราชกิจของหลายยุค อีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงใช้พระนามของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์ และพระฉายาทั้งหลายที่แตกต่างกันของพระเจ้าเพื่อแบ่งแยกยุคจากยุคและทำการเปลี่ยนผ่านระหว่างยุคเหล่านั้น พระนามของพระเจ้าและพระราชกิจของพระองค์เป็นตัวแทนยุคของพระองค์และเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระองค์ในทุกยุค สมมติว่าพระราชกิจของพระเจ้าในทุกยุคนั้นเป็นแบบเดียวกันอยู่เสมอ และพระองค์ทรงได้รับการเรียกขานด้วยพระนามเดียวกันอยู่เสมอ มนุษย์จะรู้จักพระองค์ได้อย่างไร? พระเจ้าต้องทรงได้รับการเรียกขานว่าพระยาห์เวห์ และนอกเหนือจากพระเจ้าที่เรียกว่าพระยาห์เวห์แล้ว ผู้ใดที่ถูกเรียกด้วยชื่ออื่นใดย่อมไม่ใช่พระเจ้า หรือมิฉะนั้นพระเจ้าทรงสามารถเป็นพระเยซูเท่านั้น และนอกเหนือจากพระนามของพระเยซูแล้วพระองค์ไม่อาจได้รับการเรียกขานโดยชื่ออื่นใด นอกเหนือจากพระเยซูแล้ว พระยาห์เวห์ก็ไม่ใช่พระเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ไม่ใช่พระเจ้าเช่นกัน มนุษย์เชื่อว่า จริงอยู่ที่พระเจ้าคือผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่พระเจ้าคือพระเจ้าผู้อยู่กับมนุษย์ และพระองค์ต้องทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเยซู เพราะพระเจ้าทรงอยู่กับมนุษย์ การทำแบบนี้คือการคล้อยตามคำสอน และการจำกัดพระเจ้าไว้กับวงเขตใดวงเขตหนึ่ง ดังนั้น พระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำ พระนามที่พระเจ้าทรงได้รับการเรียกขาน และพระฉายาที่พระองค์ทรงรับมาใช้ในทุกยุค—พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำในทุกช่วงระยะตลอดหนทางเรื่อยมาถึงวันนี้—ทั้งหมดนี้มิได้ปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อเดียว และมิได้อยู่ภายใต้ขีดจำกัดใดๆ ไม่ว่าสิ่งใดก็ตาม พระองค์คือพระยาห์เวห์ แต่พระองค์ก็คือพระเยซู รวมถึงพระเมสสิยาห์ และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ด้วยเช่นกัน พระราชกิจของพระองค์สามารถก้าวผ่านการแปลงสภาพทีละน้อย ด้วยการเปลี่ยนพระนามที่สอดคล้องกันของพระองค์ ไม่มีพระนามเดียวพระนามใดที่สามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้โดยครบถ้วน แต่พระนามทั้งหมดที่ใช้เรียกขานพระองค์นั้นสามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้ และพระราชกิจที่พระองค์ทรงปฏิบัติในทุกยุคเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์ สมมติว่าเมื่อถึงยุคสุดท้าย พระเจ้าที่เจ้ามองเห็นยังคงเป็นพระเยซู และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์กำลังทรงประทับอยู่บนเมฆขาว และพระองค์ยังคงมีการทรงปรากฏของพระเยซู และพระวจนะที่พระองค์ตรัสยังคงเป็นพระวจนะของพระเยซู ที่ว่า "พวกเจ้าควรจะรักเพื่อนบ้านของพวกเจ้าเสมือนตัวพวกเจ้าเอง พวกเจ้าควรอดอาหารและอธิษฐาน รักศัตรูทั้งหลายของพวกเจ้าเสมือนที่พวกเจ้าทะนุถนอมชีวิตของเจ้าเอง จงอดกลั้นกับผู้อื่น และจงอดทนและถ่อมใจ พวกเจ้าต้องทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมดก่อนที่พวกเจ้าจะสามารถกลายเป็นสาวกของเรา และโดยการทำสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ทั้งหมด พวกเจ้าอาจจะได้เข้าสู่อาณาจักรของเรา” การนี้จะมิได้เป็นของพระราชกิจแห่งยุคพระคุณหรอกหรือ? สิ่งที่พระองค์ตรัสจะมิใช่หนทางของยุคพระคุณหรอกหรือ? พวกเจ้าจะรู้สึกอย่างไรหากพวกเจ้าได้ยินพระวจนะเหล่านี้? พวกเจ้าจะไม่รู้สึกว่านี่ยังคงเป็นพระราชกิจของพระเยซูหรอกหรือ? นี่จะมิใช่การทำมันซ้ำซ้อนหรอกหรือ? มนุษย์จะสามารถพบความชื่นชมยินดีในการนี้ได้หรือ? พวกเจ้าคงจะรู้สึกว่าพระราชกิจของพระเจ้าสามารถเพียงแค่คงอยู่อย่างที่มันเป็น ณ บัดนี้ และจะไม่ก้าวหน้าต่อไปอีกแล้ว พระองค์ทรงมีเพียงฤทธานุภาพมากมายยิ่งนักเท่านั้น และไม่มีพระราชกิจใหม่ให้ทำอีกแล้ว และพระองค์ได้ทรงใช้ฤทธานุภาพของพระองค์มาจนถึงขีดจำกัดของมันแล้ว สองพันปีก่อนหน้านี้เป็นยุคพระคุณ และสองพันปีต่อมาพระองค์ยังคงกำลังทรงประกาศหนทางของยุคพระคุณ และยังคงกำลังทรงทำให้ผู้คนกลับใจอยู่ ผู้คนคงจะกล่าวว่า “พระเจ้า พระองค์ทรงมีเพียงฤทธานุภาพมากมายยิ่งนักเท่านั้น ข้าพระองค์เคยเชื่อว่าพระองค์ทรงพระปรีชาญาณยิ่งนัก แต่ทว่าพระองค์ทรงรู้จักเพียงความอดกลั้นเท่านั้น และทรงเป็นกังวลอยู่กับความอดทนเท่านั้น พระองค์ทรงรู้เพียงวิธีที่จะรักศัตรูของพระองค์ และไม่รู้อะไรมากกว่านั้นเลย” ในจิตใจของมนุษย์ พระเจ้าคงจะทรงเป็นดังเช่นที่พระองค์ทรงเคยเป็นในยุคพระคุณตลอดไป และมนุษย์คงจะเชื่ออยู่เสมอว่าพระเจ้าทรงมีความรักและมีความสงสารเห็นใจ เจ้าคิดว่าพระราชกิจของพระเจ้าจะย่ำอยู่ที่เดิมเสมอไปหรือ? และดังนั้น ในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจของพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงถูกตรึงกางเขน และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเจ้าเห็นและสัมผัสจะไม่เป็นเหมือนกับสิ่งใดที่พวกเจ้าได้จินตนาการไว้หรือได้ยินคำบอกเล่ามา วันนี้ พระเจ้าไม่ทรงข้องเกี่ยวกับพวกฟาริสี อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้โลกรู้จัก และบรรดาผู้ที่รู้จักพระองค์มีเพียงพวกเจ้าผู้ซึ่งติดตามพระองค์เท่านั้น เพราะพระองค์จะไม่ทรงถูกตรึงกางเขนอีกครั้ง ในระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเยซูเคยทรงประกาศอย่างเปิดเผยทั่วทั้งแผ่นดินเพื่อประโยชน์ของพระราชกิจข่าวประเสริฐของพระองค์ พระองค์เคยทรงข้องเกี่ยวกับพวกฟาริสีเพื่อประโยชน์ของพระราชกิจการตรึงกางเขน หากพระองค์มิได้ทรงข้องเกี่ยวกับพวกฟาริสีและพวกผู้มีอำนาจไม่เคยรู้เรื่องพระองค์ พระองค์จะทรงถูกกล่าวโทษ และจากนั้นทรงถูกทรยศและถูกตอกตรึงกับกางเขนได้อย่างไร? และดังนั้น พระองค์ได้ทรงข้องเกี่ยวกับพวกฟาริสีเพื่อประโยชน์ของการตรึงกางเขน วันนี้ พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างลับๆ เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการทดลอง ในการจุติเป็นมนุษย์สองครั้งของพระเจ้า พระราชกิจและนัยสำคัญแตกต่างกัน และสถานที่ก็แตกต่างกันด้วย ดังนั้น พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำจะสามารถเหมือนกันอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ได้อย่างไร?

พระนามของพระเยซู—“พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”—สามารถเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันได้อย่างไร? มันสามารถบรรยายให้เห็นภาพพระเจ้าอย่างครบถ้วนได้อย่างไร? หากมนุษย์กล่าวว่าพระเจ้าทรงสามารถได้รับการเรียกขานว่าพระเยซูเท่านั้น และมิอาจทรงมีพระนามอื่นใดเพราะพระเจ้าไม่ทรงสามารถเปลี่ยนพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ ถ้อยคำเหล่านี้เป็นการหมิ่นประมาทอย่างแท้จริง! เจ้าเชื่อหรือว่าพระนามพระเยซู ซึ่งแปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา เพียงพระนามเดียวนั้นสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ได้? พระเจ้าอาจทรงได้รับการเรียกขานโดยพระนามต่างๆ มากมาย แต่ท่ามกลางพระนามต่างๆ มากมายเหล่านี้ ไม่มีสักหนึ่งพระนามที่สามารถครอบคลุมทั้งหมดของพระเจ้าได้ ไม่มีสักหนึ่งพระนามที่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน และดังนั้น พระเจ้าจึงทรงมีพระนามต่างๆ มากมาย แต่พระนามต่างๆ มากมายเหล่านี้ไม่สามารถบรรยายให้เห็นภาพพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน เพราะพระอุปนิสัยของพระเจ้าทรงอุดมมากเสียจนเกินความสามารถของมนุษย์ที่จะรู้จักพระองค์ได้ ไม่มีหนทางเลยสำหรับมนุษย์ที่จะครอบคลุมพระเจ้าอย่างครบถ้วนโดยใช้ภาษาของมวลมนุษย์ มวลมนุษย์มีแต่คำศัพท์ที่จำกัดที่ใช้เพื่อครอบคลุมทุกอย่างที่พวกเขารู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า ได้แก่ ทรงยิ่งใหญ่ ทรงพระเกียรติ ทรงมหัศจรรย์ ทรงยากหยั่งถึง ทรงสูงสุด ทรงบริสุทธิ์ ทรงชอบธรรม ทรงพระปรีชา และอื่นๆ ช่างมากมายหลายคำนัก! คำศัพท์ที่จำกัดนี้ไม่สามารถที่จะพรรณนาถึงส่วนน้อยที่มนุษย์ได้เป็นประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้ เมื่อเวลาผ่านไป คนอื่นๆ มากมายได้เพิ่มคำทั้งหลายที่พวกเขาคิดว่าสามารถพรรณนาความศรัทธาแรงกล้าในหัวใจของพวกเขาได้ดีกว่า ได้แก่ พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ยิ่งนัก! พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก! พระเจ้าทรงดีงามยิ่งนัก! วันนี้ คำกล่าวของมนุษย์เช่นคำเหล่านี้ได้มาถึงยอดสูงสุดของพวกมันแล้ว กระนั้น มนุษย์ยังคงไม่สามารถแสดงออกแก่ตัวเขาเองได้อย่างชัดเจน และดังนั้น สำหรับมนุษย์แล้ว พระเจ้าทรงมีพระนามต่างๆ มากมาย กระนั้น พระองค์มิได้ทรงมีหนึ่งพระนาม และนี่เป็นเพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นช่างอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก และภาษาของมนุษย์ช่างขัดสนยิ่งนัก คำหรือพระนามเฉพาะอย่างหนึ่งนั้นไม่สามารถที่จะเป็นตัวแทนพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ได้ แล้วเจ้าคิดว่าพระนามของพระเจ้าสามารถคงที่ได้หรือ? พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ยิ่งนักและทรงบริสุทธิ์ยิ่งนัก กระนั้นแล้วเจ้าจะไม่ยินยอมให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระนามของพระองค์ในยุคใหม่แต่ละยุคหรือ? ดังนั้น ในทุกยุคที่พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์เองโดยพระองค์เองนั้น พระองค์ทรงใช้พระนามที่เหมาะกับยุคนั้นเพื่อที่จะครอบคลุมพระราชกิจที่พระองค์ทรงตั้งพระทัยที่จะทำ พระองค์ทรงใช้พระนามเฉพาะนี้ พระนามที่มีนัยสำคัญชั่วคราว เพื่อเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์ในยุคนั้น นี่คือการที่พระเจ้าทรงใช้ภาษาของมวลมนุษย์เพื่อแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์เอง แม้กระนั้นก็ตาม ผู้คนมากมายที่ได้มีประสบการณ์ทางจิตวิญญาณและได้เห็นพระเจ้าด้วยตนเองมาแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าพระนามเฉพาะพระนามหนึ่งนี้ไม่สามารถที่จะเป็นตัวแทนพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ได้—อนิจจา เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้—ดังนั้นมนุษย์ก็จะไม่กล่าวถึงพระเจ้าโดยพระนามใดอีกต่อไป นอกจากเรียกพระองค์ง่ายๆ ว่า “พระเจ้า” เท่านั้น มันเป็นราวกับว่าหัวใจของมนุษย์เต็มเปี่ยมด้วยความรัก และยังรุมเร้าไปด้วยความขัดแย้ง เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าจะอธิบายถึงพระเจ้าอย่างไร สิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักจนกระทั่งไม่มีหนทางที่จะพรรณนาถึงได้ง่ายๆ ไม่มีพระนามเดียวพระนามใดที่สามารถสรุปพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้ และไม่มีพระนามเดียวพระนามใดที่สามารถพรรณนาถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นได้ หากมีใครถามเราว่า “พระองค์ทรงใช้พระนามใดกันแน่?” เราจะบอกพวกเขา “พระเจ้าก็คือพระเจ้า!” นั่นมิใช่พระนามที่ดีที่สุดสำหรับพระเจ้าหรอกหรือ? มันมิใช่การครอบคลุมที่ดีที่สุดสำหรับพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรอกหรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดพวกเจ้าจึงใช้ความพยายามอย่างมากเหลือเกินในการแสวงหาพระนามของพระเจ้า? เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องใช้สมองอย่างหนัก โดยไม่กินไม่นอน ทั้งหมดนั้นก็เพื่อประโยชน์ของชื่อชื่อหนึ่ง? วันนั้นจะมาถึง เมื่อพระเจ้าจะไม่ได้รับการเรียกขานว่าพระยาห์เวห์ พระเยซู หรือพระเมสสิยาห์—พระองค์จะทรงเป็นเพียงพระผู้สร้าง ณ เวลานั้น พระนามต่างๆ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงได้ใช้มาบนแผ่นดินโลกจะต้องมาถึงบทอวสาน เพราะพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกจะได้มาถึงบทอวสานแล้ว ซึ่งหลังจากนั้นจะไม่มีพระนามทั้งหลายของพระองค์อีกแล้ว เมื่อทุกสรรพสิ่งมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง พระองค์จะทรงมีความจำเป็นอะไรกับพระนามที่เหมาะสมอย่างสูงกระนั้นก็ยังไม่ครบบริบูรณ์? ขณะนี้ เจ้ายังคงกำลังแสวงหาพระนามของพระเจ้าอยู่ใช่ไหม? เจ้ายังคงกล้าที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงได้รับการเรียกขานว่าพระยาห์เวห์เท่านั้นหรือ? เจ้ายังคงกล้าที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงสามารถได้รับการเรียกขานว่าพระเยซูได้เท่านั้นหรือ? เจ้ามีความสามารถที่จะรับบาปแห่งการหมิ่นประมาทต่อพระเจ้าได้หรือ? เจ้าควรต้องรู้ว่าโดยดั้งเดิมนั้นพระเจ้าไม่ทรงมีพระนาม พระองค์เพียงทรงใช้พระนามหนึ่ง หรือสอง หรือหลายๆ พระนามก็เพราะพระองค์ทรงมีพระราชกิจที่ต้องกระทำและทรงต้องจัดการกับมวลมนุษย์เท่านั้น ไม่ว่าพระนามใดที่พระองค์ได้รับการเรียกขาน—พระองค์มิได้ทรงเลือกมันโดยอิสระด้วยพระองค์เองหรอกหรือ? พระองค์จำเป็นจะต้องให้เจ้า—ซึ่งเป็นหนึ่งในสรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์—มาตัดสินมันกระนั้นหรือ? พระนามที่พระเจ้าทรงใช้ในการได้รับการเรียกขานนั้นคือพระนามที่สอดคล้องกันกับสิ่งที่มนุษย์สามารถจับความได้ สอดคล้องกับภาษาของมวลมนุษย์ แต่พระนามนี้ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่สามารถหมายรวมถึงมนุษย์ได้ เจ้าสามารถพูดได้เพียงว่ามีพระเจ้าในสวรรค์ ว่าพระองค์ทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเจ้า ว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เองที่ทรงมีฤทธานุภาพยิ่งใหญ่ ผู้ทรงพระปรีชาญาณยิ่งนัก ทรงเป็นที่ยกย่องยิ่งนัก ทรงน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก ทรงล้ำลึกยิ่งนัก และทรงเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ยิ่งนักเท่านั้น และหลังจากนั้นเจ้าก็ไม่สามารถพูดมากไปกว่านี้ได้อีก สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี้คือทั้งหมดที่เจ้าสามารถรู้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เพียงแค่พระนามของพระเยซูจะสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าพระองค์เองได้หรือ? เมื่อยุคสุดท้ายมาถึง แม้ว่าผู้ที่ทรงพระราชกิจยังคงเป็นพระเจ้า แต่พระนามของพระองค์ต้องเปลี่ยน เพราะมันเป็นยุคหนึ่งที่แตกต่างออกไป

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger