1. สิ่งที่เป็นการติดตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และการที่การติดตามน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นเพียงการประกาศและการทำงานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นหรือไม่
ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง
“‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน’ และด้วยสุดความคิดของท่าน นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’” (มัทธิว 22:37-39)
“ถ้าใครรักเรา คนนั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระบิดาจะทรงรักเขา แล้วเราทั้งสองจะมาหาเขาและจะอยู่กับเขา คนที่ไม่รักเราก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา” (ยอห์น 14:23-24)
“ถ้าพวกท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง” (ยอห์น 8:31)
“ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้ เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนจำนวนมากร้องแก่เราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์ได้เผยพระวจนะในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกในพระนามของพระองค์ และได้ทำการแห่งฤทธานุภาพมากมายในพระนามของพระองค์ไม่ใช่หรือ?’ เมื่อนั้นเราจะกล่าวแก่พวกเขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักพวกเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’” (มัทธิว 7:21-23)
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
ในทุกยุค ขณะที่ทรงพระราชกิจท่ามกลางพวกมนุษย์ พระเจ้าประทานพระวจนะบางคำให้กับพวกเขาและทรงบอกความจริงบางประการแก่พวกเขา ความจริงเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นหนทางที่ผู้คนควรยึดติด เป็นหนทางที่พวกเขาควรจะเดินไปข้างใน เป็นหนทางที่ทำให้พวกเขาสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว และเป็นหนทางที่ผู้คนควรนำไปฝึกฝนปฏิบัติและยึดติดในชีวิตของพวกเขาและตลอดครรลองแห่งการเดินทางแห่งชีวิตของพวกเขา เป็นเพราะเหตุผลเหล่านี้นั่นเองพระเจ้าจึงทรงแสดงถ้อยดำรัสเหล่านี้ต่อมนุษยชาติ พระวจนะเหล่านี้ซึ่งมาจากพระเจ้าควรได้รับการยึดติดโดยผู้คน และการยึดติดในพระวจนะเหล่านี้คือการรับชีวิตเอาไว้ หากบุคคลผู้หนึ่งไม่ยึดติดในพระวจนะเหล่านี้ ไม่นำพระวจนะเหล่านี้ไปฝึกฝนปฏิบัติ และไม่ดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตของพวกเขา เช่นนั้นแล้วบุคคลผู้นี้ก็จะไม่ได้กำลังนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ ยิ่งไปกว่านั้น หากผู้คนไม่ได้กำลังนำความจริงไปฝึกฝนปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ได้กำลังยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว อีกทั้งไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ ผู้คนที่ไม่สามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ไม่สามารถรับคำสรรเสริญของพระองค์ได้ และผู้คนเช่นนี้ก็จะไม่มีบทอวสาน
ตัดตอนมาจาก “วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์
การเดินในทางของพระเจ้านั้นไม่ได้เกี่ยวกับการปฏิบัติตามกฎอันผิวเผินทั้งหลายตรงกันข้ามกลับหมายความว่าเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับปัญหา เจ้ามีทรรศนะว่าเหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นสถานการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้แล้ว เป็นความรับผิดชอบที่พระองค์ประทานให้แก่เจ้า หรือภารกิจที่พระองค์วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหานี้ เจ้าควรถึงกับเห็นว่าเป็นการทดสอบที่พระเจ้าทรงใส่ให้กับเจ้า เมื่อเจ้าประสบกับปัญหานี้ เจ้าต้องมีมาตรฐานในหัวใจของเจ้า และเจ้าต้องคิดว่าเรื่องนี้ได้มาจากพระเจ้า เจ้าต้องคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการกับมันในหนทางที่เจ้าสามารถทำให้ความรับผิดชอบของเจ้าลุล่วง ในขณะที่ยังคงจงรักภักดีต่อพระเจ้า ตลอดจนวิธีที่จะทำเช่นนั้นโดยไม่ทำให้พระองค์กริ้วหรือทำให้พระอุปนิสัยของพระองค์ทรงขุ่นเคือง
ตัดตอนมาจาก “วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์
แม้ว่าบุคคลหนึ่งอาจได้ทำงานที่ดีจำนวนมากนับตั้งแต่ที่ได้มาสู่ความเชื่อในพระเจ้า เรื่องมากมายอาจยังคลุมเครือสำหรับพวกเขา และนับประสาอะไรที่พวกเขาอาจได้มาสู่ความเข้าใจความจริง—กระนั้น เพราะงานที่ดีมากมายของพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้มาใช้ชีวิตในพระวจนะของพระเจ้าแล้ว และได้นบนอบต่อพระองค์แล้ว และได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์มากแล้ว นี่เป็นเพราะเมื่อไม่มีรูปการณ์แวดล้อมที่ไม่เป็นใจเกิดขึ้น เจ้าทำสิ่งใดก็ตามที่เจ้าถูกบอก เจ้าไม่มีความรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่ใดๆ และเจ้าไม่ต้านทาน เมื่อเจ้าถูกบอกให้เผยแผ่ข่าวประเสริฐ นั่นเป็นความยากลำบากที่เจ้าสามารถแบกรับได้ และเจ้าไม่เสนอคำร้องทุกข์ และเมื่อเจ้าถูกบอกให้วิ่งมาตรงนี้และตรงนั้น หรือให้ใช้แรงงาน เจ้าก็ทำเช่นนั้น เพราะการแสดงเหล่านี้ เจ้ารู้สึกว่าเจ้าคือผู้ที่นบนอบต่อพระเจ้าและผู้ไล่ตามเสาะหาความจริงที่แท้จริง กระนั้น หากคนผู้หนึ่งจะตั้งคำถามกับเจ้าอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นและถามว่า “ท่านคือบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่? ท่านคือบุคคลที่นบนอบต่อพระเจ้าอย่างจริงแท้หรือไม่? บุคคลที่มีอุปนิสัยเปลี่ยนแปลงแล้ว?” เช่นนั้นแล้ว เมื่อถูกถามดังนั้น เมื่อถูกนำมาอิงกับความจริงเพื่อการพินิจพิเคราะห์ดังนั้น เจ้า—และอาจพูดได้ว่าผู้ใดก็ตาม—คงจะถูกพบว่าต้องการ และไม่มีบุคคลใดสามารถที่จะปฏิบัติตามความจริงได้อย่างแท้จริง ดังนั้น เมื่อรากเหง้าของการกระทำและความประพฤติทั้งหมดของมนุษย์ ตลอดจนธาตุแท้และธรรมชาติของการกระทำของเขา ถูกนำมาอิงกับความจริง ทั้งหมดก็ถูกกล่าวโทษ อะไรคือเหตุผลสำหรับการนี้? นั่นก็คือว่ามนุษย์ไม่รู้จักตัวเขาเอง เขาเชื่อในพระเจ้าในหนทางของเขาเอง ปฏิบัติหน้าที่ของเขาในหนทางของเขาเอง และรับใช้พระเจ้าในหนทางของเขาเองเสมอ ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขารู้สึกว่าเขาเต็มไปด้วยความเชื่อและเหตุผล และในที่สุด เขารู้สึกว่าเขาได้รับมากมายแล้ว โดยที่เขาไม่รู้ตัว เขามารู้สึกว่าเขากำลังปฏิบัติตนในแนวเดียวกันกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และได้ทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ และว่าเขาได้ตอบสนองข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าแล้ว และกำลังติดตามน้ำพระทัยของพระองค์ หากนี่คือวิธีที่เจ้ารู้สึก หรือหากในหลายปีแห่งการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้ารู้สึกว่าเจ้าได้เก็บเกี่ยวผลกำไรแล้ว เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ควรกลับมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อทบทวนตัวเจ้าเองมากยิ่งกว่าเดิมอีก โดยตรวจดูว่าทั้งหมดที่เจ้าได้ทำไปแล้วและพฤติกรรมทั้งหมดของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้ สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยครบถ้วนบริบูรณ์หรือไม่ และว่าสิ่งที่เจ้าได้ทำไปแล้วได้ตอบสนองข้อพึงประสงค์ของพระองค์อย่างแท้จริงหรือไม่ จงดูว่าสิ่งใดที่ได้ทำให้พระองค์พึงพอพระทัย ตลอดจนสิ่งใดที่เยาะเย้ยท้าทายพระองค์ เหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าควรชำแหละ
ตัดตอนมาจาก “เจ้าจะสามารถรู้จักตัวเองได้ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของเจ้าเท่านั้น” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์
สำหรับเรื่องงานนั้น มนุษย์เชื่อว่างานนั้นคือการวิ่งสาละวนเพื่อพระเจ้า เทศนาไปทั่วทุกหนแห่ง และทุ่มเทเพื่อประโยชน์ของพระองค์ทั้งหมด แม้ความเชื่อนี้จะถูกต้อง แต่ก็เป็นเพียงด้านเดียวมากเกินไป สิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากมนุษย์นั้นไม่ใช่แค่การวิ่งสาละวนเพื่อพระองค์เท่านั้น นอกจากนี้แล้ว งานนี้เกี่ยวข้องกับพันธกิจและการจัดเตรียมภายในจิตวิญญาณ พี่น้องชายหญิงหลายคน แม้ภายหลังจากที่มีประสบการณ์กันมาหลายปีแล้วก็ตาม กลับไม่เคยคิดถึงเรื่องการทำงานเพื่อพระเจ้าเลย เนื่องจากงานตามที่มนุษย์คิดได้นั้นหาได้สอดคล้องกับสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องไม่ เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงไม่มีความสนใจใดๆ เลยในเรื่องของงาน และนี่คือเหตุผลที่ชัดเจนว่าเหตุใดการเข้าสู่ของมนุษย์จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างมีลักษณะด้านเดียวเหมือนกัน พวกเจ้าทั้งหมดควรจะเริ่มต้นการเข้าสู่ของพวกเจ้าด้วยการทำงานเพื่อพระเจ้า เพื่อที่พวกเจ้าอาจจะก้าวผ่านทุกแง่มุมของประสบการณ์ได้ดีขึ้น นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าควรจะเข้าสู่ งานไม่ได้หมายถึงการวิ่งสาละวนเพื่อพระเจ้า แต่หมายถึงว่าชีวิตของมนุษย์และการดำเนินชีวิตของมนุษย์นั้นสามารถมอบความชื่นชมยินดีแก่พระเจ้าได้หรือไม่ งานหมายถึงการที่ผู้คนใช้การอุทิศตัวของตนแด่พระเจ้าและใช้ความรู้ของตนเกี่ยวกับพระเจ้าเพื่อเป็นพยานเกี่ยวกับพระเจ้า รวมทั้งเพื่อปรนนิบัติมนุษย์ด้วย นี่คือความรับผิดชอบของมนุษย์ และนี่คือสิ่งที่มนุษย์ทุกคนควรเข้าใจ เราอาจกล่าวได้ว่าการเข้าสู่ของพวกเจ้าคืองานของพวกเจ้า และว่าพวกเจ้ากำลังพยายามเข้าสู่ในช่วงระหว่างการทำงานเพื่อพระเจ้า การได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้มีความหมายแค่ว่าเจ้ารู้วิธีกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เจ้าต้องรู้วิธีเป็นพยานเกี่ยวกับพระเจ้า และสามารถรับใช้พระเจ้า และสามารถปรนนิบัติและจัดเตรียมให้มนุษย์ได้ นี่คืองาน และเป็นการเข้าสู่ของพวกเจ้าเช่นกัน นี่คือสิ่งที่ทุกคนควรจะสำเร็จลุล่วง มีหลายคนที่มุ่งเน้นเพียงแต่การวิ่งสาละวนเพื่อพระเจ้า และเทศนาไปทั่วทุกหนแห่ง แต่มองข้ามประสบการณ์ส่วนบุคคลของตนเองไป และเพิกเฉยต่อการเข้าสู่ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของตนเอง สิ่งนี้เองที่ได้นำพาบรรดาผู้ที่รับใช้พระเจ้าให้กลายเป็นพวกที่ต้านทานพระเจ้า
ตัดตอนมาจาก “งานและการเข้าสู่ (2)” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์
ในการเชื่อในพระเจ้าของเขา เปโตรได้พยายามที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยในทุกสิ่งทุกอย่าง และได้พยายามเชื่อฟังทั้งหมดที่ได้มาจากพระเจ้า โดยที่ไม่มีการปริบ่นแม้แต่น้อย เขาสามารถยอมรับการตีสอนและการพิพากษา ตลอดจนกระบวนการถลุง ความทุกข์ลำบาก และการดำเนินต่อไปโดยความไม่มีสิ่งใดเลยในชีวิตของเขา ซึ่งไม่มีสิ่งใดเลยในบรรดาเหล่านี้ที่จะสามารถปรับเปลี่ยนความรักของเขาที่มีแด่พระเจ้าได้ นี่ไม่ใช่ความรักขั้นสูงสุดที่มีแด่พระเจ้าหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่การลุล่วงหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าหรอกหรือ? ไม่ว่าในการตีสอน การพิพากษา หรือความทุกข์ลำบาก เจ้าสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังจนตายได้เสมอ และนี่คือสิ่งที่ควรสัมฤทธิ์โดยสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า นี่คือความบริสุทธิ์ของความรักที่มีแด่พระเจ้า หากมนุษย์สามารถสัมฤทธิ์ผลได้มากขนาดนี้ เช่นนั้นแล้วเขาก็เป็นสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าที่มีคุณสมบัติเหมาะสม และไม่มีสิ่งใดเลยที่ทำให้สมดังที่พระผู้สร้างทรงพึงปรารถนาได้ดีกว่า จงจินตนาการว่าเจ้าสามารถทำงานเพื่อพระเจ้าได้ ทว่าเจ้ากลับไม่เชื่อฟังพระเจ้า และไม่สามารถที่จะรักพระเจ้าได้อย่างแท้จริง ในหนทางนี้ ไม่เพียงเจ้าจะไม่ได้ลุล่วงหน้าที่ของสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้าเท่านั้น แต่เจ้ายังจะถูกพระเจ้าทรงกล่าวโทษด้วยเช่นกัน เพราะเจ้าคือใครบางคนที่ไม่ครองความจริง ที่ไม่สามารถที่จะเชื่อฟังพระเจ้าได้ และที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้า เจ้าเพียงใส่ใจกับการทำงานเพื่อพระเจ้าเท่านั้น และไม่ใส่ใจกับการนำความจริงไปปฏิบัติหรือการรู้จักตัวเจ้าเอง เจ้าไม่เข้าใจหรือรู้จักพระผู้สร้าง และไม่เชื่อฟังหรือรักพระผู้สร้าง เจ้าคือใครบางคนที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้ามาแต่กำเนิด และดังนั้นแล้วผู้คนเช่นนั้นจึงไม่เป็นที่รักโดยพระผู้สร้าง
ตัดตอนมาจาก “ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์
ผู้ติดตามพระเจ้ามากมายเพียงห่วงกับวิธีที่จะได้รับพระพร หรือไม่ก็วิธีที่จะป้องกันยับยั้งการเกิดความวิบัติ ทันทีที่มีการเอ่ยถึงพระราชกิจและการบริหารจัดการของพระเจ้า พวกเขาจะเงียบกริบและหมดความสนใจไป พวกเขาคิดว่า การเข้าใจหัวข้อต่างๆ ดังกล่าวที่น่าเหนื่อยหน่ายเช่นนั้นจะไม่ช่วยให้ชีวิตของพวกเขาเติบโต หรือให้ผลประโยชน์ใดๆ ผลสืบเนื่องตามมาก็คือ แม้ว่าพวกเขาจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการบริหารจัดการของพระเจ้ามาแล้ว พวกเขาก็ให้การใส่ใจเพียงน้อยนิด พวกเขาไม่ได้มองว่าเป็นบางสิ่งอันล้ำค่าที่ควรยอมรับ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะรับไว้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของพวกเขา ผู้คนเหล่านั้นมีเพียงจุดมุ่งหมายอันเรียบง่ายอยู่หนึ่งอย่างในการติดตามพระเจ้า และจุดมุ่งหมายนั้นก็คือ เพื่อที่จะได้รับพระพร ผู้คนดังกล่าวไม่พยายามที่จะให้การใส่ใจกับสิ่งอื่นใดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับจุดมุ่งหมายนี้ สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีเป้าหมายใดที่ถูกทำนองคลองธรรมมากไปกว่าการเชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะได้รับพระพร—นั่นคือคุณค่าแท้จริงของความเชื่อของพวกเขา หากบางสิ่งไม่มีส่วนช่วยให้จุดมุ่งหมายนี้สัมฤทธิ์ พวกเขาจะยังคงไม่มีอารมณ์ร่วมไปกับสิ่งนั้นโดยสิ้นเชิง นี่เป็นกรณีของผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งเชื่อในพระเจ้าทุกวันนี้ จุดมุ่งหมายและเจตนาของพวกเขาดูเหมือนถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เพราะในขณะที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้า พวกเขาสละให้พระเจ้าทั้งหมด มอบอุทิศตนเองให้กับพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาด้วยเช่นกัน พวกเขายอมละทิ้งชีวิตวัยเยาว์ ละทิ้งครอบครัวและอาชีพการงาน และถึงขั้นใช้เวลาหลายปีจากบ้านไปผูกพันตัวเองกับกิจธุระมากมาย เพื่อเห็นแก่เป้าหมายสูงสุดของพวกเขา พวกเขาเปลี่ยนแปลงความสนใจต่างๆ ของตนเอง เปลี่ยนทัศนะของพวกเขาที่มีต่อชีวิต และถึงขั้นเปลี่ยนทิศทางที่พวกเขาแสวงหา กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนจุดมุ่งหมายของการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาได้ พวกเขาวุ่นสาละวนกับการบริหารจัดการอุดมคติต่างๆ ของตัวพวกเขาเอง ไม่ว่าถนนเส้นนั้นจะยาวไกลเพียงใด ไม่ว่าความยากลำบากและอุปสรรคต่างๆ จะมากมายเพียงใดตลอดเส้นทางนั้น พวกเขายังคงยืนกรานและหาได้เกรงกลัวต่อความตายไม่ พลังอำนาจอะไรกันที่ขับดันพวกเขาให้มอบอุทิศตัวเองต่อไปในหนทางนี้? นี่คือมโนธรรมของพวกเขาอย่างนั้นหรือ? นี่คือบุคลิกลักษณะอันยิ่งใหญ่และสง่างามของพวกเขาอย่างนั้นหรือ? นี่คือความตั้งใจแน่วแน่ของพวกเขาที่จะสู้รบกับกองกำลังของความชั่วไปจนถึงที่สุดเลยหรือ? นี่คือความเชื่อของพวกเขาที่จะเป็นพยานต่อพระเจ้าโดยปราศจากการแสวงบำเหน็จรางวัลหรือ? นี่คือความจงรักภักดีของพวกเขาในความเต็มใจที่จะยอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อสัมฤทธิ์ในน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือ? หรือว่านี่คือจิตวิญญาณแห่งการอุทิศของพวกเขาที่จะละแล้วซึ่งความต้องการฟุ้งเฟ้อส่วนตัวอย่างนั้นหรือ? การที่บางคนซึ่งไม่เคยเข้าใจพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าจะยังคงมอบให้อย่างมากมายนั้นเป็นเรื่องปาฏิหาริย์ชัดๆ! ณ ตอนนี้ พวกเราจงหยุดหารือกันเถิดว่า ผู้คนเหล่านี้ได้ให้มาแล้วเท่าไรแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร พฤติกรรมของพวกเขานั้นก็มีค่าควรแก่การวิเคราะห์ของพวกเราอย่างยิ่ง นอกเหนือไปจากผลประโยชน์ต่างๆ ที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเขาอย่างมากแล้ว พอจะสามารถมีเหตุผลอื่นใดไหมว่า เหตุใดผู้คนเหล่านี้ซึ่งไม่เคยเข้าใจพระเจ้าเลย จึงจะมอบให้พระองค์อย่างมากมาย? พวกเราค้นพบปัญหาหนึ่งซึ่งไม่เคยถูกระบุมาก่อนหน้าอยู่ในการนี้ นั่นก็คือ สัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเจ้านั้นเป็นแค่สัมพันธภาพแห่งผลประโยชน์ของตนเองอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้รับกับผู้ให้พร กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ คล้ายกับสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง ลูกจ้างทำงานเพียงเพื่อได้รับสินจ้างรางวัลที่นายจ้างมอบให้ ไม่มีเสน่หาใดเลยในสัมพันธภาพเช่นนี้ มีเพียงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเท่านั้น ไม่มีการให้ความรัก หรือการได้รับความรัก มีเพียงการแบ่งปันและความปรานี ไม่มีความเข้าใจ มีเพียงความขัดเคืองคับข้องที่ถูกเก็บกดเอาไว้และความหลอกลวงเท่านั้น ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนม มีเพียงช่องว่างทางความนึกคิดที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้เท่านั้น บัดนี้เมื่อสิ่งต่างๆ ได้มาถึงจุดนี้ ใครเล่าที่สามารถเดินย้อนเส้นทางนั้นกลับไปได้? และมีคนมากแค่ไหนที่เข้าใจได้อย่างแท้จริงว่าสัมพันธภาพนี้ได้กลับกลาย เป็นจริงจังยิ่งแล้วอย่างไร? เราเชื่อว่า เมื่อผู้คนชุ่มแช่ตัวเองอยู่ในความชื่นบานยินดีแห่งการได้รับพระพร ไม่มีใครเลยที่จะสามารถจินตนาการได้ว่า สัมพันธภาพกับพระเจ้าเช่นนั้นช่างน่าตะขิดตะขวงและไม่น่ามองเพียงไร
ตัดตอนมาจาก “มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์
ผู้คนพากันพูดว่า พระเจ้าคือพระเจ้าผู้ชอบธรรม และพูดว่า ตราบเท่าที่มนุษย์ติดตามพระองค์ไปจนสุดปลายทาง แน่นอนว่าพระองค์จะทรงเป็นธรรมต่อมนุษย์ เพราะพระองค์ทรงชอบธรรมที่สุด หากมนุษย์ติดตามพระองค์ไปจนสุดทาง พระองค์จะสามารถทอดทิ้งมนุษย์ได้เช่นไรเล่า? เราเป็นธรรมต่อมนุษย์ทุกคน และพิพากษามนุษย์ทุกคนด้วยอุปนิสัยอันชอบธรรมของเรา ทว่ามีสภาพเงื่อนไขที่เหมาะสมต่อข้อพึงประสงค์ที่เราทำต่อมนุษย์ และสิ่งที่เราพึงประสงค์จะต้องถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าพวกเขาเป็นใคร เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะมีคุณสมบัติเหมาะสมอย่างไร หรือเจ้ามีคุณสมบัติเช่นนั้นมานานเท่าใดแล้ว เราใส่ใจเพียงว่าเจ้าเดินไปในหนทางของเรา และไม่ว่าเจ้ารักและกระหายต่อความจริงหรือไม่ หากเจ้าขาดความจริง และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับนำความอับอายมาสู่นามของเรา และไม่ปฏิบัติอย่างสอดคล้องกับหนทางของเรา แค่ทำตามโดยปราศจากความใส่ใจหรือความห่วงใย เช่นนั้นแล้ว ณ เวลานั้น เราจะบดขยี้เจ้าและลงโทษเจ้าสำหรับความชั่วของเจ้า และเจ้าจะต้องพูดอะไรอีกเล่าเมื่อถึงตอนนั้น? เจ้าจะสามารถพูดว่า พระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมอย่างนั้นหรือ? ในวันนี้หากเจ้าปฏิบัติตามวจนะที่เราได้พูดไป เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็คือบุคคลประเภทที่เราเห็นชอบ เจ้าพูดว่า เจ้าเป็นทุกข์เสมอขณะกำลังติดตามพระเจ้า พูดว่าเจ้าได้ติดตามพระองค์ผ่านร้อนผ่านหนาว และได้ใช้เวลาที่ดีและที่เลวร้ายร่วมกับพระองค์ แต่เจ้าไม่ได้ดำเนินชีวิตตามพระวจนะที่พระเจ้าตรัสไว้ เจ้าปรารถนาเพียงสาละวนวุ่นวายเพื่อพระเจ้าและสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้าในแต่ละวัน และไม่เคยคิดที่จะดำเนินชีวิตที่มีความหมาย เจ้ายังพูดด้วยว่า “ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ข้าพระองค์เชื่อว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม ข้าพระองค์ได้ทนทุกข์เพื่อพระองค์ สาละวนวุ่นวายเพื่อพระองค์ และอุทิศตัวข้าพระองค์เพื่อพระองค์ และข้าพระองค์ได้ทำงานหนักทั้งที่ไม่ได้รับการให้ความสำคัญอันใด พระองค์จะทรงจำข้าพระองค์ได้อย่างแน่นอน” เป็นความจริงที่พระเจ้านั้นทรงชอบธรรม ทว่าความชอบธรรมนี้ไม่ได้ด่างพร้อยด้วยราคีอันใด กล่าวคือ มันไม่มีเจตจำนงของมนุษย์อยู่ในนั้นเลย และมันไม่ได้ถูกทำให้ด่างพร้อยโดยเนื้อหนัง หรือโดยการแลกเปลี่ยนของมนุษย์ ผู้ที่เป็นกบฏและต่อต้านทั้งหมด ผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหนทางของพระองค์จะถูกลงโทษ ไม่มีใครเลยที่ได้รับการอภัย และไม่มีใครเลยที่ได้รับการยกเว้น! ผู้คนบางคนพูดว่า “ในวันนี้ ข้าพระองค์สาละวนวุ่นวายเพื่อพระองค์ เมื่อบทอวสานมาถึง พระองค์จะทรงสามารถมอบพระพรให้ข้าพระองค์สักเล็กน้อยได้หรือไม่?” ดังนั้นเราจึงถามเจ้าว่า “เจ้าได้ปฏิบัติตามวจนะของเราแล้วหรือยัง?” ความชอบธรรมที่เจ้าพูดถึงนั้นมีพื้นฐานอยู่บนการทำการแลกเปลี่ยน เจ้าเพียงแต่คิดว่าเราชอบธรรมและเป็นธรรมต่อมนุษย์ทุกคน และคิดว่าบรรดาผู้ซึ่งติดตามเราทั้งหมดไปจนสุดทางนั้นจะต้องได้รับการช่วยให้รอดและได้รับพรของเราอย่างแน่นอน วจนะของเราที่ว่า “บรรดาผู้ซึ่งติดตามเราทั้งหมดไปจนสุดทางนั้นจะต้องได้รับการช่วยให้รอดอย่างแน่นอน” มีความหมายแฝงเร้นอยู่ กล่าวคือ บรรดาผู้คนที่ติดตามเราไปจนสุดทางนั้นคือผู้ที่จะได้รับการรับไว้โดยเราอย่างครบถ้วน พวกเขาคือบรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงและได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หลังจากที่ถูกเราพิชิตแล้ว สภาพเงื่อนไขใดหรือที่เจ้าได้สัมฤทธิ์? เจ้าเพียงสัมฤทธิ์การติดตามเราไปจนสุดทาง ว่าแต่อย่างอื่นเล่า? เจ้าได้ปฏิบัติตามวจนะของเราหรือไม่? เจ้าได้สำเร็จลุล่วงหนึ่งในข้อพึงประสงค์ทั้งห้าของเรา กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำให้อีกสี่ข้อที่เหลือนั้นสำเร็จลุล่วง เจ้าก็แค่ได้พบเส้นทางซึ่งธรรมดาที่สุด ง่ายดายที่สุด และได้ไล่ตามเสาะหามันไปด้วยท่าทีของการที่แค่หวังว่าจะโชคดี กับบุคคลเช่นเจ้า อุปนิสัยอันชอบธรรมของเราก็คือหนึ่งในการตีสอนและการพิพากษา มันคือหนึ่งในการลงทัณฑ์อันสาสมซึ่งชอบธรรม และมันคือการลงโทษอันชอบธรรมสำหรับพวกคนทำชั่วทุกคน นั่นก็คือ บรรดาพวกที่ไม่เดินในหนทางของเราทั้งหมดจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน ต่อให้พวกเขาติดตามมาจนสุดทางก็ตาม นี่คือความชอบธรรมของพระเจ้า
ตัดตอนมาจาก “ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์
พวกเจ้าอาจจะจินตนาการว่า จากการที่ได้เป็นผู้ติดตามมาหลายปียิ่งนัก เจ้าได้ปฏิบัติงานอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ตาม และเจ้าก็ควรได้รับข้าวถ้วยหนึ่งในพระนิเวศของพระเจ้าเพียงเพราะการเป็นคนปรนนิบัติคนหนึ่ง เราคงจะกล่าวได้ว่าพวกเจ้าส่วนมากคิดแบบนี้ เพราะพวกเจ้าได้ไล่ตามเสาะหาหลักการเกี่ยวกับวิธีที่จะใช้ประโยชน์จากสิ่งทั้งหลายและวิธีที่จะไม่ให้ถูกใครใช้ประโยชน์อยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงกำลังบอกพวกเจ้าในบัดนี้อย่างจริงจังมากว่า เราไม่สนใจว่างานที่หนักของเจ้านั้นมีความดีความชอบเพียงใด คุณวุฒิของเจ้าน่าประทับใจเพียงใด เจ้าติดตามเราอย่างใกล้ชิดเพียงใด เจ้าเป็นที่รู้จักมากเพียงใด หรือว่าเจ้าได้ปรับปรุงท่าทีของเจ้าไปมากเพียงใดแล้ว ตราบเท่าที่เจ้ายังไม่ทำตามข้อเรียกร้องของเรา เจ้าจะไม่มีวันได้รับคำสรรเสริญจากเราเลย จงขีดฆ่าแนวคิดและการคำนวณเหล่านั้นของพวกเจ้าออกไปทั้งหมดให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ และเริ่มปฏิบัติต่อข้อพึงประสงค์ของเราอย่างจริงจัง หาไม่แล้ว เราจะแปรทุกคนไปเป็นขี้เถ้าเพื่อให้งานของเราสิ้นสุดลงและถ้ามองในแง่ดีที่สุดก็คือ แปรช่วงเวลาหลายปีของงานและการทนทุกข์ของเราไปเป็นการไม่มีอะไรเลย เพราะเราไม่สามารถนำพาศัตรูทั้งหลายของเราและผู้คนเหล่านั้นที่เหม็นคลุ้งไปด้วยความชั่วและมีรูปลักษณ์ของซาตานเข้าสู่อาณาจักรของเราหรือพาพวกเขาเข้าไปสู่ยุคถัดไปได้
ตัดตอนมาจาก “การล่วงละเมิดจะนำทางมนุษย์ไปสู่นรก” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์
ผู้คนบางคนจะลงเอยด้วยการกล่าวว่า “ข้าพระองค์ได้ทำงานมากมายเหลือเกินเพื่อพระองค์ และแม้ว่าข้าพระองค์อาจไม่ได้ผลสัมฤทธิ์อันขึ้นชื่อลือนามใดๆ แต่ข้าพระองค์ก็ยังคงขยันหมั่นเพียรในความพยายามของข้าพระองค์เสมอมา พระองค์แค่ทรงปล่อยให้ข้าพระองค์ขึ้นสู่สวรรค์เพื่อกินผลไม้แห่งชีวิตไม่ได้หรอกหรือ?” เจ้าต้องรู้ว่าเราพึงปรารถนาผู้คนประเภทใด พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ราชอาณาจักร พวกที่ไม่บริสุทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำผืนดินศักดิ์สิทธิ์แปดเปื้อน แม้ว่าเจ้าอาจได้ทำงานมากมายแล้ว และได้ทำงานมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว ในที่สุดหากเจ้ายังคงโสมมอย่างน่าสังเวช เช่นนั้นแล้วก็จะเป็นเรื่องที่มิอาจยอมผ่อนปรนได้ต่อธรรมบัญญัติแห่งฟ้าที่เจ้าปรารถนาที่จะเข้าสู่ราชอาณาจักรของเรา! ตั้งแต่การแรกสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ เราไม่เคยได้เสนอช่องทางอันง่ายดายสู่ราชอาณาจักรของเราให้แก่พวกที่ประจบเรา นี่คือกฎเกณฑ์แห่งสวรรค์ และไม่มีใครสามารถทำลายสิ่งนั้นได้! เจ้าต้องแสวงหาชีวิต วันนี้ บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมคือประเภทเดียวกันกับเปโตร นั่นคือ พวกเขาคือบรรดาผู้ที่แสวงหาการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายในอุปนิสัยของพวกเขาเอง และผู้ที่เต็มใจที่จะเป็นคำพยานต่อพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในฐานะสิ่งที่ทรงสร้างหนึ่งของพระเจ้า มีเพียงผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม หากเจ้าเพียงมุ่งหวังบำเหน็จ และไม่พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของชีวิตของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วความพยายามของเจ้าทั้งหมดก็จะสูญเปล่า—นี่คือความจริงที่มิอาจปรับเปลี่ยนได้อย่างหนึ่ง!
ตัดตอนมาจาก “ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์