ทำไมการยอมรับหนทางที่แท้จริงจึงมีอุปสรรคมากมายนัก

วันที่ 07 เดือน 12 ปี 2022

ในปี 2008 ฉันเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าตามแม่ และหลังจากนั้น ฉันก็เริ่มเข้าร่วมการชุมนุมที่คริสตจักรท้องถิ่น ต่อมา ฉันถึงขั้นได้เป็นมัคนายกของคริสตจักร แต่ละครั้งที่เรามีการชุมนุม ฉันจะอยากอ่านพระวจนะมากขึ้นเสมอ และเข้าใจน้ำพระทัยได้ดีขึ้น แต่พอผ่านไป ฉันก็ตระหนักว่าฉันไม่ได้รับเสบียงจากคำเทศนาของศิษยาภิบาล ฉันไม่เพลินกับการชุมนุม และรู้สึกว่างเปล่า มิถุนายนปี 2020 ตอนที่ฉันเข้าโรงเรียนศาสนาเพื่อศึกษาต่อ ฉันพบพี่น้องหญิงการ์เซีย จากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทางออนไลน์ เธอแบ่งปันข่าวประเสริฐในยุคสุดท้ายกับฉัน และชวนฉันเข้าร่วมกลุ่มชุมนุม ฉันอ่านพระวจนะของพระองค์เยอะมาก และเห็นว่าพระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ เป็นเสียงของพระเจ้า และแน่ใจว่าพระองค์คือพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาซึ่งเราเฝ้ารอมาตลอด ฉันตื้นตันมากจนร้องไห้ ฉันรู้สึกโชคดีมากที่ได้ต้อนรับการกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า และได้รับความรอดในยุคสุดท้ายของพระเจ้า

หลังจากนั้น ฉันอยากให้พี่น้องชายหญิงรู้ถึงการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยเร็วที่สุด เพราะรู้ว่าแองเจิลเป็นผู้ประกาศของคริสตจักรเรา และเขาใจดี มีความรับผิดชอบ และมักจะช่วยเหลือพวกเราทุกคน ฉันนำข่าวเรื่องการกลับมาไปบอกเขาคนแรก แบ่งปันพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และสามัคคีธรรมสิ่งที่เข้าใจกับเขา แต่ต้องแปลกใจ เมื่อแองเจิลขัดจังหวะฉันทันที พูดออกมาว่า “นั่นเป็นไปไม่ได้ พระวจนะมีอยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น ไม่อาจปรากฏอยู่นอกพระคัมภีร์ได้ การอ่านเนื้อหาที่ไม่มีในพระคัมภีร์เป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า!” ฉันรีบตอบกลับไปว่า “นี่จะเป็นการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยังไง? คุณไม่เข้าใจงานในยุคสุดท้ายเลย อย่างน้อยก็ควรสืบค้นดู เพื่อดูว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือเสียงของพระเจ้าหรือไม่ แล้วคุณค่อยตัดสินใจ” แต่เขาขัดจังหวะฉันอีก และวางท่าตอบฉันว่า “ไม่จำเป็นต้องตรวจสอบเลย ถ้าคุณอยากฟังคำเทศนา ฟังผมก็พอ คุณต้องจำไว้ว่า ห้ามอ่านหนังสืออื่นนอกจากพระคัมภีร์ การห่างจากพระคัมภีร์คือการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า” ฉันประหลาดใจและสับสน จากท่าทีต่องานในยุคสุดท้ายของเขา “ในอดีต เขาบอกเราเสมอว่าเราควรเป็นเหมือนหญิงพรหมจารีมีปัญญา และเฝ้ารออย่างมุ่งมั่น ไม่งั้นเราอาจพลาดการทรงกลับมา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว แล้วทำไมเขาจึงไม่เต็มใจแสวงหาและตรวจสอบ และถึงกับสั่งให้ฉันเลิกฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์? เขาไม่อยากต้อนรับการกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหรอ?” ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจึงมาท่าทีแบบนั้น ฉันยังคิดถึงการที่เขาพูดว่า “พระวจนะทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ พระวจนะไม่ปรากฏนอกพระคัมภีร์ การหลงจากพระคัมภีร์คือการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า” ถึงจะรู้ตัวว่าฉันกำลังต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่ทรยศพระองค์ ฉันก็ยังรู้สึกสับสนจากสิ่งที่เขาพูด

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะสองสามบทตอน และฟังสามัคคีธรรมจากพี่น้องชายหญิงในคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และนี่ช่วยแก้ไขความสับสนของฉัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “สิ่งทั้งหลายที่ถูกบันทึกอยู่ในพระคัมภีร์นั้นมีขีดจำกัด สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ของมันได้ รวมพระกิตติคุณทั้งสี่เข้าด้วยกันแล้วก็มีน้อยกว่าหนึ่งร้อยบท ซึ่งในนั้นเขียนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในจำนวนที่จำกัด อาทิเช่น พระเยซูทรงสาปแช่งต้นมะเดื่อ คำปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้าสามครั้งของเปโตร พระเยซูทรงปรากฏแก่บรรดาสาวกภายหลังการตรึงกางเขนและการคืนพระชนม์ของพระองค์ การสอนเรื่องการอดอาหาร การสอนเรื่องการอธิษฐาน การสอนเรื่องการหย่า การประสูติและลำดับพงศ์ของพระเยซู การแต่งตั้งบรรดาสาวกของพระเยซู เป็นต้น อย่างไรก็ตาม มนุษย์ให้คุณค่าสิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ประหนึ่งสมบัติล้ำค่า ถึงขั้นเปรียบเทียบพระราชกิจของวันนี้กับสิ่งเหล่านั้น พวกเขาถึงขั้นเชื่อว่าพระราชกิจทั้งหมดที่พระเยซูได้ทรงทำไว้ในช่วงพระชนม์ชีพของพระองค์รวมกันได้มากแค่นั้นเท่านั้นเอง ราวกับว่าพระเจ้าทรงสามารถทำได้มากแค่นี้เท่านั้นและไม่มีสิ่งใดเกินไปจากนี้ นี่ไม่ไร้สาระสิ้นดีหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (1))ในที่สุดแล้ว สิ่งใดยิ่งใหญ่กว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์? เหตุใดพระเจ้าต้องทรงพระราชกิจตามพระคัมภีร์? เป็นไปได้หรือที่พระเจ้าจะไม่ทรงมีสิทธิ์ทำเกินกว่าพระคัมภีร์? พระเจ้าไม่สามารถแยกจากพระคัมภีร์และปฏิบัติพระราชกิจอื่นหรือ? เหตุใดพระเยซูและสาวกทั้งหลายของพระองค์จึงไม่รักษาวันสะบาโตต่อไป? หากพระองค์ทรงปฏิบัติตามวันสะบาโตและตามพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิม เหตุใดเล่าพระเยซูจึงไม่รักษาวันสะบาโตหลังจากที่พระองค์เสด็จมา แต่ทรงล้างพระบาท เอาผ้าคลุมพระเศียร หักขนมปัง และดื่มเหล้าองุ่นแทน? ทั้งหมดนี้มิใช่ไม่มีอยู่ในพระบัญญัติของพันธสัญญาเดิมหรอกหรือ? หากพระเยซูทรงให้เกียรติพันธสัญญาเดิม เหตุใดพระองค์จึงทรงยุติความเกี่ยวข้องกับหลักคำสอนเหล่านี้? เจ้าควรรู้ว่าอย่างใดสำคัญกว่ากัน พระเจ้าหรือพระคัมภีร์! ในเมื่อทรงเป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโต แล้วพระองค์จะไม่สามารถเป็นเจ้าเป็นนายเหนือพระคัมภีร์ด้วยหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (1))ไม่มีใครรู้ความเป็นจริงของพระคัมภีร์ ว่าพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าบันทึกประวัติศาสตร์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า และพันธสัญญาของพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้า และว่าพระคัมภีร์ไม่ได้ให้ความเข้าใจใดๆ เกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้าแก่เจ้า ทุกคนที่ได้อ่านพระคัมภีร์รู้ว่าพระคัมภีร์บันทึกพระราชกิจสองช่วงระยะของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ พันธสัญญาเดิมบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ของอิสราเอลและพระราชกิจของพระยาห์เวห์นับตั้งแต่เวลาแห่งการทรงสร้างจนกระทั่งจุดสิ้นสุดของยุคธรรมบัญญัติ พันธสัญญาใหม่บันทึกพระราชกิจของพระเยซูบนแผ่นดินโลก ซึ่งอยู่ในหนังสือหมวดพระกิตติคุณสี่เล่ม ตลอดจนงานของเปาโล—เหล่านี้ไม่ใช่บันทึกประวัติศาสตร์หรือ? การยกสิ่งต่างๆ ในอดีตมากล่าวถึงในวันนี้ทำให้สิ่งเหล่านั้นเป็นประวัติศาสตร์ และไม่สำคัญว่าสิ่งเหล่านั้นอาจเที่ยงแท้หรือเป็นจริงเพียงใดก็ตาม สิ่งเหล่านั้นยังคงเป็นประวัติศาสตร์—และประวัติศาสตร์ไม่สามารถกล่าวถึงปัจจุบันได้ เพราะพระเจ้าไม่ทรงย้อนกลับไปมองประวัติศาสตร์! และดังนั้น หากเจ้าเพียงเข้าใจพระคัมภีร์เท่านั้น แต่ไม่เข้าใจพระราชกิจที่พระเจ้าทรงตั้งพระทัยที่จะปฏิบัติในวันนี้เลย และหากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่แสวงหาพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่เข้าใจความหมายของการแสวงหาพระเจ้า หากเจ้าอ่านพระคัมภีร์เพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ของอิสราเอล เพื่อค้นคว้าประวัติศาสตร์การทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกทั้งหมดของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้เชื่อในพระเจ้า แต่วันนี้ เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามเสาะหาชีวิต เนื่องจากเจ้าไล่ตามเสาะหาความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และไม่ไล่ตามเสาะหาไปตามตัวอักษรและคำสอนที่ตายไปแล้วหรือความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ เจ้าต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในวันนี้ และเจ้าต้องมองหาทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับพระคัมภีร์ (4)) ฉันจำได้ว่าพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรมกับฉันว่า พระคัมภีร์แค่บันทึกงานก่อนหน้าของพระเจ้า เป็นการรวบรวมบันทึกงานของพระเจ้าเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อถูกรวบรวมและแก้ไข ก็เลี่ยงไม่ได้ที่บางส่วนจะถูกคัดออกหรือมองข้าม เป็นไปไม่ได้ที่จะรวบรวมและบันทึกพระวจนะและงานของพระเจ้าทั้งหมดไว้ในพระคัมภีร์ ดังที่อัครทูตยอห์นพูดว่า “พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น” (ยอห์น 21:25) นี่แสดงว่าพระวจนะและงานของพระเจ้าที่ถูกบันทึกในพระคัมภีร์นั้นจำกัดมาก พระเจ้าคือนายแห่งการสร้าง และเป็นแหล่งของชีวิตมนุษย์ กว่าหลายพันปี พระเจ้าทรงงานและทรงตรัส จัดหาสิ่งจำเป็นให้มนุษยชาติอย่างไม่ขาดสาย และนำมนุษยชาติไปข้างหน้า พระวจนะเป็นเหมือนน้ำพุแห่งชีวิตที่ไหลรินไม่สิ้นสุด แล้วพระวจนะทั้งหมดจะอยู่ในพระคัมภีร์ได้ยังไง? พระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง ทรงเป็นทั้งองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งวันสะบาโต และพระคัมภีร์ พระองค์ไม่ทรงงานตามพระคัมภีร์ และไม่ทรงถูกจำกัดโดยพระคัมภีร์ แต่พระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจเหนือ และทรงงานใหม่ๆ มากขึ้น และทรงประกาศพระวจนะมากขึ้น ตามแผนการของพระองค์เองและความจำเป็นของมนุษยชาติ อย่างเช่นในยุคพระคุณ องค์พระเยซูเจ้าไม่ทรงงานแบบเดียวกับที่พันธสัญญาเดิมบันทึกว่าทรงทำไปในยุคธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงทรงงานที่ใหม่กว่าและสูงกว่า ทรงแสดงหนทางกลับใจ ทรงงานแห่งการตรึงกางเขน ไถ่มนุษยชาติจากความบาปของพวกเขา เพื่อไม่ให้ถูกกล่าวโทษและลงโทษจนตาย และอยู่รอดต่อไปได้ พระเจ้ามาทรงงานในยุคสุดท้าย พระองค์ไม่ได้ทรงงานซ้ำกับที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แต่ทรงแสดงพระวจนะใหม่และทรงงานใหม่ ดังคำเผยพระวจนะที่ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล(ยอห์น 16:12-13) ในยุคสุดท้าย องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงงานพิพากษาโดยเริ่มจากพระนิเวศ ทรงแสดงความจริงทั้งมวลเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เปิดโอกาสให้มนุษย์เป็นอิสระจากบาป ไร้มลทิน เพียบพร้อม และเข้าสู่ราชอาณาจักร ทุกคนที่ยอมรับงานในยุคสุดท้าย ได้รับการให้น้ำและจัดหาจากพระวจนะ และเข้าร่วมงานเสกสมรสของพระเมษโปดก เป็นเหมือนกับที่วิวรณ์บรรยายไว้ว่า “เป็นพวกที่ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน(วิวรณ์ 14:4) ชัดเจน ว่าพวกเขาเดินตามย่างพระบาทของพระเมษโปดก และไม่ทรยศพระเจ้า ดังนั้น “ทั้งหมดที่พระเจ้าตรัสและทรงทำได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ และการหลงไปจากพระคัามภีร์คือการทรยศพระเจ้า” จึงเป็นความเข้าใจผิดๆ และไม่สอดคล้องกับพระวจนะหรือข้อเท็จจริง หลังจากสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิง ฉันเข้าใจชัดเจนขึ้นมาก และมีวิจารณญาณในความเข้าใจผิดๆ ของแองเจิล

จากนั้น ฉันไปแบ่งปันข่าวประเสริฐกับพี่น้องหญิงจากคริสตจักรเดิมของฉัน แต่พอแองเจิลได้ยินเข้า เขาก็ไปก่อกวนพี่น้องหญิงคนนั้น และเพื่อให้แน่ใจว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับข่าวประเสริฐ เขากล่าวโทษและหมิ่นประมาทพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพูดว่าฉันได้ทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยการเข้าร่วมนิกายอื่น เขากับศิษยาภิบาลยังแพร่ข่าวลือเรื่องฉันในคริสตจักร โดยพูดว่าฉันเลิกเข้าชุมนุมเพราะมีแฟนใหม่ ว่าฉันไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในองค์พระผู้เป็นเจ้า คนในคริสตจักรควรหลีกเลี่ยงฉัน เมื่อทุกคนได้ยินข่าวลือนั้น พวกเขาก็เลิกเคารพฉันและเริ่มหลีกเลี่ยงฉัน บางคนถึงกับมองฉันแปลกๆ ราวกับฉันเป็นพวกน่ารังเกียจ ไม่กี่วันต่อมา ศิษยาภิบาลก็ไปหาพ่อแม่ฉัน เพื่อบอกพวกท่านว่าฉันเดินเส้นทางผิด และเลิกเข้าร่วมชุมนุมแล้ว เขายังบอกแม่ของฉันให้จับตาดูฉันและไม่ให้ฉันไปไหน เมื่อทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในคราวเดียว ฉันก็รู้สึกแย่มาก และฉันคิดว่าคงอดทนไม่ไหว ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเขาถึงปฏิบัติกับฉันแบบนั้น ฉันแค่บอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว จากนั้นพวกเขาก็กุข่าวลือทั้งหมดนี้มาหลู่เกียรติฉัน และถึงกับยุให้พ่อแม่กดข่มฉัน ทั้งหมดนี้รู้สึกราวกับมีดแทงใจฉัน ทำให้ฉันเป็นทุกข์เกินทานทน ฉันอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงช่วย ด้วยน้ำตาคลอเบ้า เมื่อพี่น้องหญิงคนหนึ่งรู้สถานการณ์ของฉันเข้า เธอก็แบ่งปันพระวจนะมากมายกับฉัน และหนุนใจฉันอย่างมาก

ฉันเห็นพระวจนะบทตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “ปัจจุบันนี้ บรรดาผู้ที่แสวงหาและบรรดาผู้ที่ไม่แสวงหาคือผู้คนสองประเภทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ผู้ซึ่งบั้นปลายของพวกเขาแตกต่างกันมากเช่นกัน บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความรู้แห่งความจริงและปฏิบัติความจริงคือผู้ซึ่งพระเจ้าจะทรงนำความรอดมาให้ ส่วนบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักหนทางที่แท้จริงคือพวกปีศาจและศัตรูทั้งหลาย พวกเขาคือลูกหลานของหัวหน้าทูตสวรรค์ และจะเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้าง แม้แต่บรรดาผู้ที่เป็นผู้เชื่อที่เคร่งครัดในพระเจ้าที่คลุมเครือ—พวกเขาไม่ใช่ปีศาจด้วยหรอกหรือ? ผู้คนที่มีมโนธรรมที่ดีแต่ไม่ยอมรับหนทางที่แท้จริงคือพวกปีศาจ กล่าวคือ แก่นแท้ของพวกเขาคือแก่นแท้แห่งการต้านทานพระเจ้า…ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์คือผู้เป็นเยี่ยงปีศาจ และมิหนำซ้ำ ยังจะถูกทำลาย บรรดาผู้ที่มีความเชื่อแต่ไม่ได้ปฏิบัติความจริง บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าก็จะเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้างด้วยเช่นกัน บรรดาผู้ที่จะได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่ทั้งหมดนั้นคือผู้คนซึ่งได้ก้าวผ่านความทุกข์แห่งกระบวนการถลุงและได้ตั้งมั่น เหล่านี้คือผู้คนที่ได้สู้ทนต่อการทดสอบอย่างแท้จริง ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระเจ้าคือศัตรู กล่าวคือ ผู้ใดที่ไม่ตระหนักถึงพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์—ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ภายในหรือภายนอกกระแสนี้หรือไม่ก็ตาม—คือศัตรูของพระคริสต์! ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้า หากไม่ใช่บรรดาผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า? พวกเขามิใช่ผู้คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อฟังพระเจ้าหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) ผ่านการสามัคคีธรรมพระวจนะกับพี่น้องหญิง ฉันตระหนักว่า เมื่อองค์พระเยซูเจ้ามาทรงงาน พวกฟาริสีที่นมัสการพระยาห์เวห์พระเจ้าในวิหาร รู้ชัดเจนว่าสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสนั่นมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่นอกจากไม่แสวงหาและสืบค้น พวกเขายังต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์อย่างบ้าคลั่ง อ้างความเท็จว่าพระองค์ทรงใช้อำนาจของเบลซีบับเพื่อขับผี พวกเขาหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์ และถูกพระเจ้าลงโทษและสาปแช่ง พวกฟาริสีไม่เพียงหมิ่นประมาทและกล่าวโทษองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขายังหลอกลวงผู้เชื่อให้ต่อต้านพระองค์ ซึ่งนำให้พวกเขาสูญเสียความรอดของพระเจ้า และกลายเป็นสิ่งของที่ถูกฝังไปพร้อมกับพวกฟาริสี ฉันคิดถึงการที่องค์พระเยซูเจ้าสาปแช่งพวกฟาริสีในตอนนั้นว่า “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม(มัทธิว 23:13) และ “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า(มัทธิว 23:15) พระวจนะทำให้เราเห็นว่า พวกฟาริสีเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ต่อต้านพระเจ้า พวกเขาแสร้งใจดี แต่จริงๆ แล้วเกลียดความจริง เห็นพระเจ้าเป็นศัตรู พวกเขาคือมารที่กลืนกินดวงจิตและล่อผู้คนลงนรก จากการกระทำต่ำทรามของพวกฟาริสี องค์พระเยซูเจ้าจึงนำ “วิบัติ” ทั้งเจ็ดไปสู่พวกเขา จากเรื่องนี้ เราเห็นได้ว่าพระอุปนิสัยไม่ทนการล่วงเกินใดๆ ในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาทรงงาน ได้ทรงแสดงความจริง เพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด และสร้างกลุ่มผู้ชนะ ส่งคลื่นกระแทกทั่วโลกศาสนา แม้จะทรงงานใหญ่หลวงเช่นนี้ ศิษยาภิบาลแห่งโลกศาสนาไม่เพียงไม่แสวงหาและสืบค้น พวกเขาถึงกับทำทุกทางเพื่อแพร่ข่าวลือ และขัดขวางผู้เชื่อจากการตรวจสอบหนทางที่แท้จริง พวกเขาเป็นเหมือนพวกฟาริสี ที่ธรรมชาติและแก่นแท้เกลียดชังความจริงและต่อต้านพระเจ้า ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงงานแบ่งคนออกตามประเภท เปิดโปงผู้เชื่อเทียมเท็จและระบุตัวผู้เชื่อที่แท้จริง ผู้ที่อ้างว่าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ยอมรับความจริงและพระเจ้าในร่างมนุษย์ ไม่ใช่ผู้เชื่อที่แท้จริง และจะถูกขับออกในท้ายที่สุด มีเพียงผู้เปิดใจหาความจริง และยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า ที่จะมีโอกาสได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า แองเจิลดูเหมือนคนที่ใจดี ถ่อมใจ และเกื้อกูล แต่เมื่อเขาได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว เขาไม่แสวงหาและสืบค้นเลย เขาตัดสินและกล่าวโทษพระวจนะและพระราชกิจ ถึงกับขัดขวางผู้เชื่อจากการสืบค้นหนทางที่แท้จริง เขาไม่มีความยำเกรงพระเจ้าเลย ขณะที่เขาเชื่อและรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า แก่นแท้ของเขาก็เกลียดความจริงและอยู่ตรงข้ามกับพระเจ้า เขาไม่ต่างกับพวกฟาริสีที่ต่อต้านพระเจ้าในยุคเก่า พอตระหนักทั้งหมดนี้ ฉันก็แยกแยะแองเจิลและผู้นำของโลกศาสนาขึ้นมาได้บ้าง และมีความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นว่าทำไมพวกเขาทำแบบนั้น หลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้สึกแย่เท่าเก่า

ไม่นานหลังจากนั้น ฉันเริ่มลุล่วงหน้าที่ในคริสตจักร ฉันเข้าร่วมชุมนุมและอ่านพระวจนะทุกวันกับคนอื่นๆ และรู้สึกเยี่ยมมาก แต่พอพ่อแม่ได้ยินข่าวลือที่ศิษยาภิบาลและผู้ประกาศแพร่ออกไป พวกท่านก็ดุด่าฉันด้วยความโกรธ พวกท่านบังคับให้ฉันกลับไปคริสตจักรเดิมและห้ามฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การขัดขวางและหยุดยั้งจากพ่อแม่ ทำให้ฉันทำหน้าที่ตามปกติไม่ได้ และเข้าร่วมการชุมนุมไม่ได้ด้วยซ้ำ วันหนึ่ง พ่อจับได้ว่าฉันเข้าร่วมการชุมนุมออนไลน์กับพี่น้องชายหญิงคนอื่น และโกรธมากจนเกือบจะตบฉัน โชคดีที่แม่เข้ามาห้ามพ่อได้ทันเวลา หลังจากนั้น พ่อแม่ก็ยิ่งคุมฉันแจมากขึ้นไปอีก พวกท่านขังฉันไว้ในบ้าน ไม่ยอมให้ออกมา ฉันจึงไม่สามารถเข้าร่วมการชุมนุมได้อีกต่อไป ตอนนั้น มันมากเกินกว่าฉันจะรับไหวจริงๆ ฉันรู้สึกอ่อนแอและไม่มั่นใจที่จะทำหน้าที่ ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงมอบความเข้มแข็งให้ฉัน หลังจากนั้น ฉันก็เจอพระวจนะที่ว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือความประพฤติของพวกมนุษย์และการแทรกแซงของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้า คือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังมันทั้งหมดคือการสู้รบ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) ฉันได้เข้าใจผ่านพระวจนะว่า ในสถานการณ์ตอนนั้น ดูเหมือนพ่อแม่กำลังขัดขวางฉันจากการติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่ฉากหลังคือการก่อกวนจากซาตาน นี่คือการต่อสู้ทางจิตวิญญาณ พระเจ้าทรงแสดงความจริงมากมายในยุคสุดท้าย เพื่อให้เราเป็นอิสระจากอุปนิสัยเยี่ยงซาตานและถูกพระเจ้าช่วยให้รอด แต่ซาตานไม่อยากให้พระเจ้าช่วยฉันให้รอด มันจึงใช้พ่อแม่มาโจมตีฉันและกันฉันจากการเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ ซาตานอยากทำให้ฉันสูญเสียโอกาสถูกช่วยให้รอดอย่างสิ้นเชิงและถูกขับลงนรกไปกับมัน ซาตานช่างชั่วร้ายเลวทรามจริงๆ! ถ้าฉันเลิกติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จะไม่เป็นไปตามแผนอันชั่วร้ายของมันเหรอ?

แล้วฉันก็เจอพระวจนะอีกบทตอนหนึ่งที่ว่า “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก! เจ้าต้องการให้พรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดายมิใช่หรือ? ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับบททดสอบอันขมขื่น หากปราศจากการทดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของการทดสอบทั้งหลายจะแปรผันไปตามแต่ละตัวบุคคลเท่านั้น การทดสอบทั้งหลายคือพรจากเรา และมีพวกเจ้ามากน้อยแค่ไหนหรือที่เข้าเฝ้าเราบ่อยครั้งและคุกเข่าขอร้องพรจากเรา? เจ้าพวกเด็กโง่เอย! เจ้าเอาแต่คิดว่าคำพูดที่เป็นมงคลไม่กี่คำนับเป็นพรของเราแล้ว ทว่ากลับไม่ตระหนักว่าความขมขื่นก็เป็นพรหนึ่งของเรา พวกคนที่ร่วมแบ่งปันความขมขื่นของเราจะได้ร่วมแบ่งปันความหวานชื่นของเราอย่างแน่นอน นั่นคือคำสัญญาของเราและพรของเราแก่พวกเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41) พระวจนะทำให้ฉันตระหนักว่า แม้ฉันทนทุกข์มาบ้างเนื่องจากการกดข่มของศิษยาภิบาล และการขัดขวางของพ่อแม่ พระเจ้าทรงให้สิ่งนี้เกิดขึ้นเพื่อทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อม นี่คือเจตนารมณ์อันดีของพระเจ้า แต่ฉันอ่อนแอและพร้อมจะละทิ้งหน้าที่เพียงเพราะความทุกข์ยากเล็กน้อย ฉันไม่มีแรงขับที่จะยอมลำบากเพื่อให้ได้รับความจริง ฉันไม่มีท่าทีที่จริงใจต่อพระเจ้า แถมวุฒิภาวะยังค่อนข้างน้อย ฉันมาเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าและไม่รู้สึกเฉื่อยชาและหดหู่อีกต่อไป ฉันยังมีความเชื่อและความเข้มแข็ง และพร้อมเผชิญสถานการณ์ข้างหน้า พึ่งพาพระเจ้าเพื่อตั้งมั่นเผชิญการกดขี่ด้วย จากนั้น ฉันมักจะอธิษฐานถึงพระเจ้า อ่านพระวจนะเพื่อทำให้ความเชื่อเข้มแข็ง และขอให้พระเจ้าทรงเปิดทาง ให้ฉันชุมนุมและทำหน้าที่ต่อไปได้ได้

หลังจากนั้น ข่าวลือเกี่ยวกับฉันที่แองเจิลกับคนอื่นๆ ลือกันก็เริ่มส่งผลต่อพ่อแม่ของฉัน และเพื่อไม่ให้ข่าวลือพวกนั้นกระทบพวกท่าน พวกท่านจึงส่งฉันไปอาศัยอยู่กับคุณย่า ฉันสามารถติดต่อกับพี่น้องชายหญิงผ่านทางอินเตอร์เน็ตได้ และเข้าชุมนุมและทำหน้าที่ได้อีกครั้ง พอพ่อแม่รู้เรื่องเข้าก็โกรธมาก แต่ก็ทำอะไรฉันไม่ได้ ฉันพูดกับพวกท่านอย่างแน่วแน่ว่า “ความหวังยิ่งยวดในการเชื่อของหนู คือการต้อนรับการทรงกลับมา องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้ว ดังนั้นต่อให้พ่อกับแม่ไม่เข้าใจ หนูก็จะยังติดตามพระองค์ไปถึงปลายทาง ถ้าพ่อกับแม่ยังยืนกรานจะห้าม หนูคงต้องไปจากครอบครัวนี้” พอเห็นว่าฉันหนักแน่นแค่ไหน พวกท่านก็ไม่พูดอะไรเรื่องนี้อีก ตั้งแต่นั้นมา แม้พวกท่านจะยังพร่ำบ่นบ่อยๆ หรือพยายามรบกวนการทำหน้าที่ของฉัน ฉันก็ไม่ถูกพวกท่านบีบคั้นอีก และแน่วแน่ในการทำหน้าที่ของตัวเอง การถูกกดขี่และขัดขวางซ้ำๆ จากศิษยาภิบาลและครอบครัว ทำฉันเป็นทุกข์อยู่บ้างก็จริง แต่ฉันก็เข้าใจความจริงบางอย่าง ได้รับวิจารณญาณ และเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น ไม่ว่าวันหน้าจะเจอกับอะไร ฉันก็พร้อมพึ่งพาพระเจ้าเพื่อก้าวผ่านไปค่ะ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ไม่โอ้อวดอีกต่อไป

โดย ม่อเหวิน ประเทศสเปน ผมจำได้ย้อนไปในปี 2018 ผมทำหน้าที่ด้านข่าวประเสริฐในคริสตจักร แล้วต่อมาก็ได้เป็นผู้ดูแลงานนั้น...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger